spacer.png, 0 kB
John McLaughlin and Mahavishnu Orchestra (AFM)
Top Ten Songs from Genesis (Analog Kid)
5 Greatest Major Fusion Jazz Albums from 70's (AFM)
The Red Stratocaster and EMGs (AFM)
Diggin' Deeper "Shine On You Crazy Diamond - Pink Floyd" (AFM)
Roger Waters - Amused to Death (AFM)
Porcupine Tree - Fear of a Blank Planet (Parid)
Top Ten Songs from Yes (Analog Kid)
Top Ten Songs from King Crimson (Analog Kid)
Aviv Geffen - Blackfield : Part I (Parid)
The Rise and Fall of Queensryche (Lilium)
13 Essential Albums of “Extreme Progressive Metal” (Lilium)
Eloy Albums Guide (PSLK)
13 Greatest Rhythm Section Albums (AFM)
Robert Fripp's Soundscapes Technique (AFM)
Penguin Cafe Orchestra (Panyarak)
Penguin Cafe Orchestra & Simon Jeffes (Polotoon)
Mike Oldfield (Panyarak)
John Cale (Panyarak)
Philip Glass - Part I (Panyarak)
Philip Glass - Part II (Panyarak)
Van der Graaf Generator (Panyarak)
Sally Oldfield (Panyarak)
Family (Panyarak)
Renaissance & Annie Haslam (Panyarak)
Strawberry Fields Forever by George Martin (Winston)
Syd Barrett (Panyarak)
Peter Gabriel (panyarak)
Telecasters plus Les Paul Goldtop & Gretsch Duo Jet (AFM)
7 Phases in Prog Heads Life (Analog Kid)
Aviv Geffen - Blackfield : Part II (Parid)
Aviv Geffen - Blackfield : Part III (Parid)
Pink Floyd's Back Up Role
Ayreon - 01011001 (Parid)
Roger Waters – Amused to Death (Parid)
Snowy White & His Guitar : Interview (AFM)
Rick Wakeman (panyarak)
Coldplay - Viva la Vida (parid)
Jeff Beck - Blow By Blow & Wired (AFM)
Interview with \"Dredg\" (Lilium)

spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
Home arrow Top Ten Songs from King Crimson (Analog Kid)
Top Ten Songs from King Crimson (Analog Kid) PDF Print E-mail
Written by Agent Fox Mulder   
Wednesday, 19 March 2008

"หยิบสิบ" เพลงเอกของ 10 วงโปรเกรสซีฟร็อค : ภาค 3 "A Royol Flush"

Written by Analog Kid
จากกระทู้ในเว็บบอร์ด Pantip.com ห้อง Rock & Roll วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2550


สำหรับภาค 3 เป็นของวง King Crimson ที่หนังสือ Mojo ฉบับ Progressive เลือก 10 เพลงเอกของวงโพรเกรสซีฟ 10 วง

มาดูกันเลยครับว่ามี 10 เพลงจากชุดไหนบ้าง

 

 


1). Epitath - In The Court of The Crimson King (1969) 

จากอัลบั้มที่บางคนบอกว่าเป็น "The first 100% Progressive Rock Album"  และเพลงนี้เองคือเหตุผลหลักว่าทำไม แม้ว่าจะสู้เพลง 21st Century Schizoid Man ในแง่ความหนักแน่น แต่เพลง Epitath มีความยิ่งใหญ่ที่แสดง
ถึงของคุณสมบัติของคำว่า "โพรเกรสซีฟ" ได้อย่างชัดเจน ขนาด Mojo ยังบอกว่า

"Quintessential prog that raised the stake for many bands, including Genesis. Gothic Grandeur, symphonic arrangements and a career-definding performance from a 21-year-old Grek Lake"

จุดเด่นของเพลงนี้คือ เสียงเมโลตรอนนั่นเอง ส่วนตัวแล้วเพลงนี้ผมให้เป็น 1 ใน 10 เพลงที่ใช้เมโลตรอนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ส่วนเนื้อเพลงนั้น Peter Sinfield มองโลกในแง่ร้าย เข้ากับทำนองที่ออกไปทางเศร้าๆและหม่นหมองได้เหมาะเจาะ ผมชอบท่อนนี้ครับ;

 "Confusion will be my epitaph
 As I crawl a cracked and broken path
 If we make it we can all sit back and laugh
 But I fear tomorrow I'll be crying"

เอาไปเลย 10 เต็ม 10 เพลงนี้


2). The Sailor's Tale - Islands (1971)

จากอัลบั้มที่ 4 ของวง และ อัลบั้มสุดท้ายของเฟสแรกของวง ซึ่งหลายคนบอกว่าเป็นอัลบั้มที่ดีน้อยที่สุดในบรรดา 4 อัลบั้มของเฟสแรก แล้วทำไม Mojo เลือกเพลงนี้หละ ?? ซึ่ง Mojo บอกว่าเพลงนี้เป็น

 "jazz-rock hybrid featuring a glorious wig-out solo from Robert fripp, done at 2 pm. Sounds as though he's on a steriod-enhanced banjo as he saheds the past and fashions a metal-edged future."

ใช่เลยครับ เสียงกีตาร์โซโล ตอนกลางเป็นไฮไลท์จริงๆ และฟังเหมือนเสียงแบนโจด้วย  ส่วนอิทธิพลของการแจมแบบแจ็ส ที่จะไปเน้นอย่างมากในเฟสที่สองก็เริ่มจากหลายๆเพลงในชุดนี้ รวมถึงเพลงนี้ด้วย

ผมค่อนข้างชอบเพลงนี้มาก ในชุดนี้ แม้ว่าโดยรวมค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย


3). 21st Century Schizoid Man (Live) - Earthbound (1972)

เพลงแรกจากอัลบั้มแรกของวง แต่ Mojo เลือกเวอร์ชั่นแสดงสดจากอัลบั้ม Earthbound ที่ป็นอัลบั้มแสดงสดที่คุณภาพห่วยระดับต้นๆ (สูสีกับ Live at Last ของ Black Sabbath)

แต่ถ้ามองข้ามคุณภาพเสียงของเพลงนี้ Mojo บอกว่า

 "Sharper than the studio version, the double-whammy tag team of Fripp and Collins transcend the dodgy sonics of what was probably the UK's first offcial bootleg"

แหมกัดแสบจริงๆเลยนะ Mojo โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย คนที่เคยฟังชุดนี้ท่ก่อน น่าจะจำได้ว่าเสียงมันห่วยจริงๆ จำได้ว่าผมได้ชุดนี้จากเทป 501 ซึ่งปกติคุณภาพเสียงของเทปผียี่ห้อนี้ก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอต้นฉบับที่เสียงห่วยเลยไปกันใหญ่

จริงๆอัลบั้ม Official Bootleg ของวงอย่างชุด The Great Deceiver ก็มีการบันทึกเสียงเพลงนี้ในแบบ Live ที่เสียงดีกว่านี้เยอะ ทำไม Mojo ไม่เลือกจากชุดเหล่านั้นก็ไม่ทราบ


4). Larks' Tongues in Aspic (Part One) - Larks' Tongues in Aspic (1973)

เพลงแรกจากอัลบั้มแรกของเฟสที่สองของวง ซึ่งเป็นเฟสที่วงเน้นการแจมแบบบ้าคลั่ง และเพลงนี้ก็แสดงถึงทิศทางใหม่ของวงได้อย่างตรงไปตรงมา โดย Mojo บอกว่า

  "A first-rate tour of killer riffs, punchy dynamics, Vaughan Williams-style violin and courtesy of free-jazz court jester Jamie Muir - mucho pots, pans and pisachio nuts."

ใช่เลย Free-jazz เล่นโดยวงร็อค เอ้ ..จะเรีกว่า "Free-rock" ได้มั่ยเนี้ย จำได้ว่าตอนผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกบอกว่า เออ เพราะดีแฮะ ตรงเสียงเครื่องเคาะมาแบบช้าๆ แล้วค่อยๆ Buildup มาเรื่อยๆ จากนั้นเสียง Violin ของ David Cross ก็แทรกเข้ามาพร้อมเสียงกีตาร์ของ Fripp ตอนนี้ก็ยังไม่ไหร่ พอกลองเข้ามาเท่านั้น มันตูมเข้าหน้าแบบไม่ทันระวังตัวเลย สุดยอดของอินโทรเพลงจริงๆ ยิ่งช่วง "ต่างตนต่างเล่น" มันมั่วแบบมันจริงๆ

เป็นการศักราชใหม่ของวงในเฟสที่ 2 ได้สมบูรณ์จริงๆ


5). Starless and Bible Black - Starless and Bible Black (1974)

เพลงจากอัลบั้มที่ 5 ที่วงยังสานต่อแนว Jazz-rock และเพลงนี้ก็แสดงให้เห็นว่า การอิมโพรไวส์ ยังเป็นหัวใจหลักของการทำเพลงในยุคที่สอง โดย Mojo กล่าวว่า

" Violinist David Cross shines on an improvisation so tight, it could be offered in evidence to prove the case for mental telepathy. Complex and haunting"

จริงๆ ผมว่า ไม่ใช่แค่ Cross เท่านั้นที่เด่นในเพลงนี้ ทั้ง Fripp, Wetton และ Bruford ต่างโชว์กันอย่างเต็มที่ และมันโหยหวนจริงๆอย่าง Mojo ว่า โดยเฉพาะในช่วงที่ช้าๆ

คนที่ไม่คุ้นกับเพลงฝนยุคนี้ของวง คงคิดว่า มันเหมือนกับอัลบั้มแสดงสดมากกว่า เพราะดูเหมือนว่าเพลงไม่มีโครงสร้างเลย ซึ่งจริงๆก็เป็นอย่างนั้น แต่นี่คือเสน่ห์ของดนตรีของวงในเฟสที่สอง


6). Red - Red (1974)

เพลงเปิดอัลบั้มสุดท้ายของเฟสที่สอง และเป็นการเปิดอัลบั้มที่แฟนพันธ์แท้บอกว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของวง อีกเพลงบรรเลงของในลิสท์นี้ของ Mojo และยังเป็นเพลงที่วงนำมาเล่นในยุคต่อมา อย่างสม่ำเสมอ ประมาณว่าเพลงขัวญใจแฟนๆ

แม้ว่าจังหวะอาจจะไม่เร็ว แต่ความหนักแน่นของเพลงอยู่ที่การเล่นของทั้งวง โดย Mojo บอกว่า

  "A Harsh snarl of a track, and '70s-era Crimson's dying breath. Nirvana producer Butch Vig told Wetton it was of his favourite tracks."

ผมก็เช่นกัน เพลงนี้คือ 1 ใน 10 เพลงเอกของวงของผมด้วย โดยเฉพาะ เสียง Riff ที่ Fripp เล่นได้แน่นจุกอกอะไรปานนั้นเลย ไม่เชื่อลองดูภาพข้างล่าง ซึ่งเป็นปกหลังของ CD ชุดนี้สิครับว่ามัน หนักขนาดไหน


7). Neurotica - Beat (1982)

เพลงจากอัลบั้มที่สองของเฟสที่ 3 ของวง คราวนี้วงหันหลังให้กับการเล่นแนวแจมมาเป็นการเน้นความแม่นยำของการเล่น โดยเฉพาะการเข้ามาของมือกีตาร์ Adrian Belew ที่มีเซนท์ของป้อบสูงมากๆ โดย Mojo บอกว่า

"Two Americans-Ex-Zappa/Bowie Guitarist Adrian Belew and basist Tony Levin- joined Fripp and Bruford to reinvent Crimson with this NYC rush-hour of pop, beat poetry, gamien and metal."

ส่วนตัวเฟสที่ 3 เป็นเฟสของวงที่ผมชอบน้อยที่สุด ผมว่าดนตรีมันไร้อารมณ์ไปหน่อย อย่างที่ Mojo บอกว่า มัน Metallic ไปหน่อย แต่ในความเป็นโพรเกรสซีฟแล้ว ยังถิอว่า วงมองไปข้างหน้าจริงๆ


8). Vroom/Marine 475 - Vrooom (1994)

เป็นเพลงจาก EP ชื่อเดียวกัน และเป็นจุดเริ่มก่อนที่วงจะเข้าเฟสที่ 4 ที่ขยายสมาชิกจนกลายเป็นวง Trio 2 วง !!
และ Mojo ก็คอมเมนต์เรื่องนี้ว่า

"With two drummers and four guitarists, it was never going to be easy listening. This visceral riff and apocalptic coda became the calling card of a new Crimson starring drummer Pat Mastelotto and guitarist Terry Gunn."

คนที่ไม่เคยฟังวงที่มีกลอง 2 คนเล่นพร้อมกัน ต้องหางานของวงในเฟสนี้มาฟัง มันน่าทึ่งจริงๆ  ผมชอบเฟสนี้ๆมาก ตอนฟังตอนแรก นึกในใตว่า Robert Fripp แกคิดได้ไงเนี้ย 2 มือกลอง 2 มือเบส แต่พอฟังแล้ว มัน work จริงๆ ผสมผสานการแจมของเฟส 2 เข้ากับการเล่นในแบบแม่นยำของเฟส 3 ผลคือดนตรีโพรเกรสซีฟของยุค 90 ที่สมกับคำว่า โพรเกรสซีฟ ที่แปลว่าก้าวหน้าจริงๆ


9). Heaven and Earth - The Construction of Light (2000)

ดูเหมือนว่าวงจะไม่แน่ใจแนวทางใหม่ในชุด Trakk เท่าไหร่นัก ชุดต่อมาคือชุด The Construction of Light เลยออกมาแบบครึ่งๆกลางๆ หลายๆเพลงเหมือนเอาของเก่ามารีไซเคิ้ลใหม่ แต่เพลงนี้ Mojo บอกว่า

 "This sublime patchwork of improvs and electronica was cut and pasted together in between official recording by Gunn and Mastelotto. Stricly speaking a bonus track, it upstages everything else on the record. "

เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า เพลงนี้เด่นจริงๆ โดยเพาะช่วงช้าที่ออกแอมเบี้ยน


10). Facts of Life - The Power to Believe (2003) 

เพลงจากอัลบั้มล่าสุดของวง ที่หลายคนบอกว่าวงน่าจะยุบวงไปเลย แต่ผมว่าไม่ถึงขนาดนั้น เข้าในว่าการหาทางใหม่ตลอดเวลาคงไม่ง่ายเท่าไหร่นัก ซึ่ง Mojo บอกว่า

 "Despite Fripp's solo being annoyingly under-mixed, this tooled-up incarnation of Crimson punch out a brand of what they call Nuevo Metal, sounding as if they can hold their own in any mosphit."

สำหรับเพลงนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในเพลงเด่นของชุดนี้ ผมชอบเสียงกีตาร์ของทั้งสองมากๆ


 
Last Updated ( Thursday, 20 March 2008 )
spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Sellers in Clothing