PenGuin Café Orchestra Written by Polotoon
Simon Jeffes เกิดที่ Sussex หลังจากไปเล่าเรียนในวัยเด็กที่ Canada ก็กลับมาอาศัยในอังกฤษ Simon เริ่มเล่นกีตาร์เมื่ออายุ 13 ปีโดยได้เรียนกีตาร์คลาสสิค, เปียนโนและทฤษฎีดนตรีที่ภาควิชาดนตรี Chiswick Polytechnic ด้วยความมุ่งหวังในการศึกษาต่อในวิทยาลัยการดนตรี อย่างไรก็ตาม Simon ได้พบว่าการศึกษาในลักษณะนั้นไม่เหมาะสำหรับตัวเขา Simon จึงได้ทดลองงานดนตรีในหลายๆลักษณะซึ่งไม่เป็นที่พึงพอใจสำหรับเขาเรื่อยมา จนได้ก่อกำเนิด Penguin Café Orchestra ในที่สุด เพื่อที่ตอบสนองความปรารถนาของเขาในการที่จะพัฒนาผลงานในบทบาทของนักประพันธ์
“ในปี 1972 ผมอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ช่วงนั้ผมได้กินเนื้อปลาที่มีคุณภาพค่อนข้างแย่และมันถึงกับทำให้ผมป่วย ในขณะที่ผมนอนพักอยู่บนเตียงนั้น ได้เกิดนิมตรขึ้นตรงหน้าผมหลายต่อหลายครั้ง ผมเห็นอาคารคอนกรีตเหมือนเป็นโรงแรมหรือสถานที่ประชุม ผมมองเห็นผ่านเข้าไปในห้องต่างๆเหมือนผมมีตาวิเศษที่มองผ่านผนังกำแพงห้องได้ ในห้องเหล่านั้นได้ถูกจับจองไปด้วยผู้คน ในห้องหนึ่งมีคนกำลังส่องกระจกเงา อีกห้องหนึ่งหนุ่มสาวคู่นึงกำลังประกอบเพศสัมพันธ์โดยไร้ซึ่งความรัก ในห้องที่สาม นักประพันธ์กำลังฟังดนตรีผ่านหูฟัง รอบๆตัวเขานั้น เรียงรายไปด้วยเครื่องเคราอีเล็กโทรนิค แต่ทั้งหมดนั้นผมเห็นโดยปราศจากเสียงใดๆให้ได้สดับ เปรียบเสมือนผู้คนในที่แห่งนั้นได้ถูกลบล้างให้เลือนรางและไม่เป็นที่รู้จัก ภาพที่เห็นนั้นเหมือนถูกเจาะจงสำหรับให้ผมเห็นเพียงลำพัง มันเหมือนผมกำลังมองไปยังสถานที่ที่ผู้คนปราศจากใจไร้ความรู้สึก วันถัดมาเมื่อผมรู้สึกดีขึ้น ผมไปที่ชายหาด ขณะที่นั่งอยู่ที่นั่นเสนาะเสียงหนึ่งก็ล่องลอยมายังตัวผม “ ฉันมาจาก Penguin Café ฉันจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้เธอฟัง .. ‘
ในเสียงที่ได้ยินโดยบังเอิญโดยไม่ได้สังเกตนั้น อธิบายถึง Café ว่าชะตา, โอกาสเล็กน้อยในชีวิตนั้นสำคัญกับชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เราหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆที่ต่อเนื่องและไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเพื่อให้เกิด “ ความปลอดภัย “ ผ่าน “ ความกลัว “, ความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการกระทำที่ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าของมนุษย์ได้ถูกทำลายและสูญหายไป เขาย้ำหลายครั้งว่า “ มาที่ Penguin Café สิ สื่งต่างๆจะไม่เป็นเช่นนั้น “ หลังจากนั้นไม่นานนัก ผมได้เดินทางไปญี่ปุ่น บางทีอาจจะเป็นเพราะความตะลึงงันกับวัฒนธรรมของการค้นหาตัวตนในโลกใหม่ที่ทำให้ผมได้หยุดและคิดถึง Penguin Café อีกครั้ง ผมเริ่มเขียนถึงและบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ฝรั่งเศส มันค่อนข้างจะเหลือเชื่อมาก ความคงอยู่ของบันทึกเรื่องราวนั้นเฉกเช่นเดียวกับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนสำคัญแค่ไหนหรือเป็นเพียงบุคคลสามัญทั่วไป
ผมเริ่มแต่งดนตรีที่บรรเลงที่ Café ดนตรีรูปแบบไหนกัน ในอุดมคติ ผมคาดหวังถึงดนตรีในแบบที่คุณอยากจะฟัง, ดนตรีที่จะยกระดับจิตใจ มันเหมือนกับดนตรีจากจิตนาการของชาวเขาที่คึกคะนองอย่างเสรีที่สรรค์สร้างเสียงที่น่าหลงใหลดั่งความฝัน มันเป็นดนตรีของสถานที่อันหรูหราที่จิตวิญญาณของผู้คนสื่อถึงด้วยความปรีดาและระทมระคนกัน ที่ซึ่งดนตรีสามรถเข้าถึงสัมผัสอันสุนทรีย์ของผู้ฟังเสมอ
เดิมที ผมสร้าง Penguin Café Orchestra เพื่อสรรค์สร้างดนตรีลักษณะนั้น ผมแต่งเพลงสำหรับ violin, cello, guitar และ piano แต่แล้วผมใช้เครื่องดนตรีทุกอย่างที่ผมมี .. “
( Penguin Café Orchestra ได้ออกแสดงไปทั่วยุโรป, อเมริกาและญี่ปุ่น) PCO เล่นคอนเสิร์ตใหญ่อย่างเป็นทางการในปี 1977 โดยเป็นวง support ให้กับ Kraftwerk ที่ Roundhouse พวกเขาตระเวณทัวร์ไปทั่วโลกและแสดงในเทศกาลดนตรีต่างๆเช่นเดียวกับแสดงในถื่นกำเนิดอย่าง London’s South Bank
เมื่อปีที่ผ่านมา (2007) PCO ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวาระที่ได้ห่างหายไปจากวงการยาวนานครบ 10 ปี โดยเปิดแสดง 3 โชว์ที่ London’s Union Chapel เมื่อ 11, 12 และ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา และแน่นอนที่ทั้ง 3 โชว์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจาก ผู้ฟังที่ต้องการได้เข้าไปอยู่ใน Penguin Café แม้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ตาม
Simon Jeffes (1) (Founder of the Penguin Cafe Orchestra)
วงดนตรีบางวงถูกก่อตั้งขึ้นในโรงเรียนหรือวิทยาลัย, บ้างก็เป็นเพื่อนสมัยวัยรุ่นหรือจากประกาศรับสมัครนักดนตรี เกือบจะทั้งหมดนั้นเกิดจากความคิดเริ่มต้นของการสร้างดนตรีที่คล้ายกันไปกันได้กับนักดนตรีอื่น แต่เงื่อนไขดังกล่าวใช้ไม่ได้กับ Penguin Café Orchestra รวมไปถึงความคิดหรือเหตุผลของแบบแผนส่วนใหญ่ที่ดนตรีสมัยใหม่เป็นอยู่หรือควรจะเป็น
PCO เกิดจากความคิดของนักประพันธ์ดนตรีและนักเล่นเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดชาวอังกฤษ Simon Jeffes (1949-1997) ด้วยความที่งานของบิดาเกี่ยวเนื่องกับการติดต่อกับต่างประเทศ, ในวัยเด็กของเขาจึงต้องเดินทางไปมาทั้งใน Canada และ Europe, ประสบการณ์ที่เกิดแก่เขานั้นก็คือความมีเสรีของผู้คนในแดนดินตะวันตกที่ไม่ยึดติดกับถิ่นกำเนิด ในวัย 12 ปีที่ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนในอังกฤษ Simon ได้ฟังเพื่อนนักเรียนใหม่เล่นกีตาร์ให้ฟัง “ มันเหมือนได้พบกับหนชะตาชีวิตของเขา “ เขาเล่าให้ฟังต่อว่า, “ กีตาร์ตัวนั้นกำลังส่องแสงเปล่งประกายออกมา ดั่งมีหมู่เทพยดาล่องลอยออกมา มันช่างตราตรึงใจยิ่งนัก “ หลังจากนั้น Simon ได้เข้าร่วมเล่นในวง R’n’B ของโรงเรียน และเมื่อจบจากโรงเรียนนั้น, Simon ได้ศึกษากีตาร์คลาสสิคและทฤษฎีดนตรีต่อในวิทยาลัย เขาอยู่ในสภาพทีต้องร่ำเรียนตามแบบแผนได้ไม่นานนัก, Simon ก็ได้ขอหยุดพักการเรียนและเข้าร่วมเล่นในวงดนตรีหัวก้าวหน้าในรูปแบบ guitar ensemble 10 ชิ้นที่ชื่อ Gilberto Biberian's Omega Players, ซึ่งยังคงค่อนข้างจะยึดติดอยู่กับหลักเกณฑ์ “ มันถูกควบคุมให้ปฏิบัติโดยกลไกของความนึกคิดมากไปหน่อย “ Simon จึงหันไปหาดนตรี Rock, ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ Rupert Hine ในงานเพลงประกอบภาพยนตร์ รวมทั้งงาน solo album สองชุดแรกของ Rupert; Pick Up A Bone (1970) และ Unfinished Picture (1971) มีเดโมเทปเท่าที่ค้นพบได้จากช่วงเวลานั้นแสดงให้เห็นว่า Simon ได้ลองดูความเป็นไปได้ที่จะเป็นนักร้องเพลงเร็กเก้ด้วย ในปี 1972 ช่วงที่เขาเดินทางด้วยรถไฟสาย Trans Siberian และได้ไปใช้ชีวิต 4 เดือนในปลายทางที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นเวลาที่เขาเริ่มสนใจในดนตรีพื้นบ้านต่างๆ โดยเฉพาะดนตรีแอฟริกันจาก cassette tape ที่บันทึกไว้โดยเพื่อนคนหนึ่ง “ เทปม้วนนี้ทำให้ใจผมพลุ่นพลั่นกระเจิดกระเจิงไปเลยทีเดียว, ผมไม่ต้องเดินทางไปถึงแอฟริกา ไม่ต้องศกษาวิธีเล่นเครื่องดนตรีแอฟริกันหรือการสร้างสรรพเสียงแบบแอฟริกัน สิ่งที่ผมได้ฟังนั้นมาจากแหล่งกำเนิดจริงๆจากพลังความคิดทั้งหมดที่มนุษย์สามารถมีได้, เต็มไปด้วยความรื่นเริง, เปี่ยมสุขมาจากทั้งกายและใจที่ผสมผสาน ไม่จำเป็นต้องปรับจิตใจใดๆให้ยอมรับเลย “
ด้วยเหตุนั้น Simon เริ่มเอาอย่างดนตรีพื้นบ้านจากส่วนลึกของจิตใจมนุษย์และผนวกเข้ากับพื้นฐานดนตรีตะวันตกในทางถนัดภายใต้วง ensemble อันรอมชอม มันคือความผิดพลาด, เขาเชื่อว่าผู้ฟังทั่วไปที่ได้ฟังเพลงพื้นบ้านต่างๆมากมายในตลาดเพลงนั้นคงจะพูดว่า “ เยี่ยมทีเดียวที่ได้ฟัง แต่ถ้าได้ฟังดนตรีพื้นบ้านของวงเองก็คงจะดีไม่น้อย “ ทศวรรษผ่านไป ก่อนที่ความปรารถนาในครั้งนี้จะกลายมาเป็นจริงบนพื้นฐานในเชิงธุรกิจ ในช่วงปลายยุค ’70, ควบคู่ไปกับกิจกรรมในนาม Penguin เขาได้ทำงานอิสระในฐานะโปรดิวเซอร์และอเรนเจอร์ร่วมกับศิลปินหลากหลายแนวทางจาก Caravan, Rod Argent จนถึง Yvonne Elliman and the 101-ers. ผลงานที่โดดเด่นในช่วงเวลาดังกล่าวคงจะเป็นการเรียบเรียงภาคเครื่องสายในงาน cover เพลง My Way ของ Sid Vicious (Sex’s Pistol) “ การได้ร่วมงานกับ Malcolm McLaren นั้นเสมือนผมเป็นที่ปรึกษาทางดนตรีกับบรรดา New Wave เช่นเขาเคยขอให้ผมอธิบายหลักการของกลอง Burundi ให้กับ Adam Ant “ รสนิยมทางดนตรีของ Simon Jeffes นั้นครอบคลุมไปในทุกแนวทาง แต่ที่เขาชอบเป็นพิเศษนั้นได้แก่ Beethoven, Bach, Erik Satie, John Cage, Abba, Wilson Pickett, Zimbabwean mbira, Cajun fiddle, Irish bagpipe, Venezuelan cuatro, West African choral, the Rolling Stones, Stravinsky.
The PCO ก่อร่างสร้างขึ้นในใจของ Simon Jeffes เนื่องมาจากนิมิตรที่เขาได้พบเห็นระหว่างที่ป่วยจากโรคอาหารเป็นพิษอย่างรุนแรงระหว่างที่เขาพักอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ในช่วงฤดูร้อนของปี 1972, Simon บอกเล่าถึงเรื่องราวดังกล่าวหลายต่อหลายครั้ง ดังจะกล่าวต่อไปนี้คือเรื่องที่เขาเล่าในปี 1988, ก่อที่วงกำลังจะแสดงโชว์แรกใน LA.
“ ในขณะที่ผมนอนพักอยู่บนเตียงนั้น ได้เกิดนิมิตรขึ้นตรงหน้าผมหลายต่อหลายครั้ง ผมเห็นอาคารคอนกรีตเหมือนเป็นโรงแรมหรือสถานที่ประชุม ผมมองเห็นผ่านเข้าไปในห้องต่างๆเหมือนผมมีตาวิเศษที่มองผ่านผนังกำแพงห้องได้ ในห้องเหล่านั้นได้ถูกจับจองไปด้วยผู้คน ในห้องหนึ่งมีคนกำลังส่องกระจกเงา อีกห้องหนึ่งหนุ่มสาวคู่นึงกำลังประกอบเพศสัมพันธ์โดยไร้ซึ่งความรัก ในห้องที่สาม นักประพันธ์กำลังฟังดนตรีผ่านหูฟัง รอบๆตัวเขานั้น เรียงรายไปด้วยเครื่องเคราอีเล็กโทรนิค แต่ทั้งหมดนั้นผมเห็นโดยปราศจากเสียงใดๆให้ได้สดับ เปรียบเสมือนผู้คนในที่แห่งนั้นได้ถูกลบล้างให้เลือนรางและไม่เป็นที่รู้จัก ภาพที่เห็นนั้นเหมือนถูกเจาะจงสำหรับให้ผมเห็นเพียงลำพัง มันเหมือนผมกำลังมองไปยังสถานที่ที่ผู้คนปราศจากใจไร้ความรู้สึก วันถัดมาเมื่อผมรู้สึกดีขึ้น ผมไปที่ชายหาด ขณะที่นั่งอยู่ที่นั่นเสนาะเสียงหนึ่งก็ล่องลอยมายังตัวผม “ ฉันมาจาก Penguin Café ฉันจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้เธอฟัง .. ‘
ในเสียงที่ได้ยินโดยบังเอิญโดยไม่ได้สังเกตนั้น อธิบายถึง Café ว่าชะตา, โอกาสเล็กน้อยในชีวิตนั้นสำคัญกับชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เราหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆที่ต่อเนื่องและไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเพื่อให้เกิด “ ความปลอดภัย “ ผ่าน “ ความกลัว “, ความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการกระทำที่ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าของมนุษย์ได้ถูกทำลายและสูญหายไป เขาย้ำหลายครั้งว่า “ มาที่ Penguin Café สิ สื่งต่างๆจะไม่เป็นเช่นนั้น “ ……. Simon Jeffes (2)
ผมเริ่มแต่งดนตรีที่บรรเลงที่ Café ดนตรีรูปแบบไหนกัน ในอุดมคติ ผมคาดหวังถึงดนตรีในแบบที่คุณอยากจะฟัง, ดนตรีที่จะยกระดับจิตใจในขณะที่กำลังถูกครอบงำด้วยความเปล่าเปลี่ยว มืดมน และสะกดกลั้น “ เมื่อถูกขอให้อธิบายอย่างเจาะจงแล้ว, Simon เรียกดนตรีของเขาว่า “ ดนตรีพื้นบ้านในจินตนาการ “ และ “ ดนตรีกึ่งอคูสติคสมัยใหม่ขนาดย่อม “ Simon ชอบคำพูดหลังจากที่ได้ชมคอนเสิร์ตของ Penguin Café ในประเทศญี่ปุ่น ของหญิงท้องถิ่นคนหนึ่งว่า ดนตรีที่ได้ฟังนั้นช่างแปลกนัก, เพราะมันคุ้นหูราวกับเธอเคยได้ฟังที่ไหนมานานแล้ว ออกจากเงื่อนไขของห้วงอาณาเขตและกาลเวลา และเป็นผลของความอัศจรรย์ที่คงอยู่ในดนตรีของพวกเขา Simon ตั้งใจที่จะให้รวบรวมสมาชิกในวงขึ้นอย่างไม่เจาะจงลงไปในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ เว้นเพียงแต่นัก cello ผู้ร่วมก่อตั้ง PCO; Helen Liebmann, ไม่มีสมาชิกถาวร นักดนตรีหลายสิบชีวิตได้เป็นสมาชิกของวงอยู่ตามช่วงเวลาต่างกันตลอดอายุของวง “ เป็นความตั้งใจของผมที่จะเป็นผู้ประพันธ์ดนตรี, ผมประพันธ์เพลงเพื่อผู้คนมากกว่าเพื่อเครื่องดนตรี “
ต้องใช้เวลาถึง 4 ปีในการที่จะถ่ายทอดผลจากนิมิตที่ผมได้เห็นมาเป็นอัลบั้มแรกของ Penguins รูปแบบแรกที่กลายมาเป็นวง Orchestra เริ่มมาจากการร่วมเล่นด้วยกันในลักษณะวง 4 คนใน London เมื่อปี 1973 โดยปราศจากการประชาสัมพันธ์ใดๆ แต่ก็ชื่อลับๆที่บอกต่อๆกันถึง “ 4 นักดนตรีชุดเขียว ” Helen Liebmann เล่น cello, Gavyn Wright เล่น violin, Steve Nye ผู้เป็นทั้ง producer และ engineer เล่น electric piano และตัว Simon Jeffes เองเล่น electric guitar พวกเขาร่วมกันบันทึกบทเพลง 2 เพลงแรกในปี 1974, Penguin Cafe Single และ The Sound of Someone You Love Who's Going Away ซึ่งก็ไม่ได้ประสบผลำเร็จใดๆ …….
Simon Jeffes (3)
ในปีถัดมา, Steve Nye ได้แนะนำให้ Simon รู้จักกับ Brian Eno ซึ่งกำลังก่อตั้งตราแผ่นเสียง Obscure อยู่และได้ชวนให้ Simon เข้าร่วมโครงการด้วย กับการทำงานด้วยทุนที่จำกัดมาก – 870 ปอนด์ – บันทึกกันด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่จำกัดในสวนหลังบ้าน, Simon กับวงของเขาจึงขยับขยายขอบเขตของเสียงดนตรีด้วยการเชื้อเชิญบรรดาเพื่อนของ Simon มาร่วมงานด้วย, เช่นชวนให้ครูสอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัย Neil Rennie มาเล่น Ukelele และแต่งคำร้องบางท่อน, หญิงสาวที่เขาคบหาอยู่ในช่วงนั้น Emily Young, ผู้ที่เป็นจิตรกรและก็คือ Emily ที่ถูกกล่าวถึงใน “ See Emily Play “ ของ Pink Floyd, มาร่วมร้องในสองสามเพลงรวมทั้งมอบภาพเขียนที่ในจิตนาการเหนือจริงที่สวยงามจับใจของชีวิตใน Penguin Café ที่นำมาเป็นปกอัลบั้มของวง ส่วนตัว Simon เองนั้นร้อยเรียงเสียงเครื่องดนตรีแปลกๆมากมาย, ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีโบราณอย่าง พิณ ไปจนถึงเครื่องมือสร้างคลื่นเสียงสมัยใหม่ต่างๆ
“ เพราะผมเป็นผู้ประพันธ์ ผมต้องได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ, โดยส่วนใหญ่แล้ว ในอดีตผมต้องเล่นเครื่องดนตรีเพราะผมเลือกหยิบมันขึ้นมา ผมสามารถสร้างเสียงที่น่าฟังได้เกือบจะทันที (ยกเว้นกับ Oboe) “
ศูนย์กลางดนตรีของ Penguin Café ก็คือแก่นบทเพลงที่ Zopf แต่งเติมให้แจ่มชัดขึ้น, Giles Farnaby กับฝันของเขาในบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่แบบ Renaissance และสลับด้วย folk ในสไตล์ Venezuelan สรรสร้างเป็นการผสมผสาน classic กับ Folk อันชาญฉลาด
ในขณะที่ Penguins ได้นำรูปแบบดนตรีต่างๆมาผสมผสาน มันได้ก่อให้เกิดเป็นความร่าเริงสนุกสนานที่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุดอันเป็นเอกลักษ์ของเพลง pop ที่มีแง่มุมของหลักธรรมจรรยาแฝงอยู่ ซึ่งเข้าถึงผู้ฟังอย่างลึกซึ้ง
ในขณะที่ช่วงเวลาของ Punk ได้เปิดช่องทางให้กับนักดนตรีและผู้ฟังรุ่นใหม่ กลุ่มผู้เผยแผ่อาณาจักร Penguin ก็ออกจากสตูดิโอมา พวกเขาออกแสดงโชว์แรกในปี 1977 โดยเล่นเป็นวงสนับสนุนให้กับ Kraftwerk ที่ Roundhouse และในปีถัดมาได้ออกแสดงที่ the ICA และ Acklam Hall กับนักดนตรีที่เริ่มขยายกลุ่มขึ้น อันประกอบด้วย Geoffrey Richardson, สมาชิกรุ่นก่อตั้งของ Caravan, ปัจจุบันเล่น viola (และเครื่องดนตรีอื่นๆอีกมากตามช่วงเวลาต่างๆกัน) ได้นำพาเพื่อนนัก accordion; Peter Veitch, ผู้ที่เขาร่วมใช้สตูดิโอบันทึกเสียงด้วย Giles Leaman นักประดิษฐ์เครื่องดนตรีโดยเฉพาะ Oboe เข้ามาช่วยทางด้านเรื่องเป่าลมไม้ ในส่วนของเครื่องให้จังหวะรวมทั้งกลองหลากหลายชนิดได้รับการสนับสนุนโดย Braco ผู้ที่มีบุคลิกของนักเดินทางที่เข้าร่วมกับวงอย่างอิสระ และ Julio Segovia ผู้เล่นฉิ่งฉาบ ในกลุ่มนักดนตรีแบบอิสระประมาณ 10 คนที่ Simon เป็นผู้นำและเรียกขานว่า “ the Penguin Café Orchestra “ ....... Simon Jeffes (4)
Brian Eno พูดถึง Simon Jeffes ไว้ว่า “ หากจะแยกแยะแนวทางดนตรีของ Simon แล้ว ความไม่ยึดติดในแนวทางดนตรีใดๆและความศรัทธาในนิมิตส่วนตนนั้นทำให้ Simon ถูกจัดให้อยู่ในวงนอกของวงการดนตรีอังกฤษ และนั่นทำให้เขามักจะถูกละเลยความสนใจไป
ความจริงก็คือ เขาได้ค้นพบขอบเขตทางดนตรีที่กว้างไกล แผ่ขยายไปยังอาณาจักรของดนตรีทั้งมวล เขาได้ท่องไปในความน่าไหลหลง ดนตรีที่เราได้สดับนั้นคือผลพวงจากความความรู้สึกเปี่ยมสุข ณ.แห่งหนนั้น
ในฐานะนักสำรวจที่ดี Simon นั้นทั้งเป็นผู้ที่ตื่นตัวและถ่อมตัว เขาไม่เคยแสดงออกถึงความอวดรู้ทางดนตรี เขาเพียงแต่ปลื้มใจอยู่ในมิติที่กว้างไกลในทางดนตรี มีความสุขกับการทดลองผสมผสานดนตรีรูปแบบต่างๆ “ ……. Simon Jeffes (5)
ปี 1979 Simon ซื้อโรงรถเก่าๆอยู่ในลานที่สงบใน North Kensington และปรับเปลี่ยนให้เป็นสตูดิโอบันทึกเสียง ที่นี่เองในปีต่อมา Penguins เริ่มบันทึกอัลบั้มซึ่งแสดงออกถึงความปรารถนาอันกว้างไกลทางดนตรีของ Simon เป็นครั้งแรก เพลง folk ที่ร่าเริงสนุกสนานและรูปแบบการบรรเลงแบบ classic ใน Giles Farnaby's Dream ได้กำเนิดขึ้น การผสมผสานอย่างกระฉับกระเฉงละลานตา
Penguin Cafe Orchestra (1981)
วิธีหนึ่งที่จะทำให้รับรู้ถึงความประทับใจในอัลบั้มของ Penguin Café Orchestra ก็คือการบรรยายให้ทราบถึงเครื่องดนตรีที่ใช้ในอัลบั้ม นักดนตรีร่วม 10 คนที่ร่วมงานในอัลบั้มบรรเลงเครื่องดนตรีต่างดังนี้ Guitars (2), Cuatros (2) Ukeleles (3) Pianos (1 + 1 electric) Bass Guitars (2) Violins (3) Dulcitone (1), Harmonium (1) Accordion (1) Oboe (1) Cello (1) Viola (1) Electronic Organ (1) Drums, Shakers, Bongoes etc (2) Cymbals (1) Penny Whistle (1) Ring Modulator (1) Metal Frame (1) Rubber Band (1)
15 เพลงที่ครอบคลุมตั้งแต่รากฐานท่วงทำนองเก่าๆเช่นเพลง Walk Don’t Run ของ The Shadows ไปถึงท่อน riff ที่เกิดจากดนตรีที่สร้างขึ้นจากเสียงธรรมชาติเช่นการบันทึกเสียงริงโทนโทรศัพท์ที่ถูกสัญญาณอื่นรบกวน ( ซึ่งเราได้ยินอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่ Jeff กลับได้ยินเป็นโอกาสในการสร้างดนตรีโดยบันทึกลงเทป และนำมาใช้ในงานเชิงพาณิชย์และในภาพยนตร์ วงโทรศัพท์และเครื่องยางนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นวงที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา )
แต่ละเพลงนั้นมีแรงบันดาลใจที่เกิดจากการกลั่นกรองทางความคิด มีเสน่ห์เฉพาะตัว เช่น Pythagoras's Trousers; Cutting Branches For A Temporary Shelter นั้นคือความหฤหรรย์สำหรับนักเต้นรำ, Air A Danser ได้รับแรงบันดาลใจจากเสียง zither ของ Madagascan, Numbers 1-4 ใช้หลักความสัมพันธ์ทางตัวเลขเป็นพื้นฐานในการแต่ง, Simon's Dream นั้นกลับตรงกันข้าม คือเปรียบดังความฝันสมกับชื่อ แต่ไม่ตรงไปตรงมา ในส่วนของคำร้องได้ถูกจำกัดออกไปจากอัลบั้ม มีเพียงเสียงร้องคลอแบบไม่เป็นคำคลอบ้าง “ ผมมีปัญหากับความหมายของคำร้อง คำต่างๆที่ผมคิดถึงต่างก็ไม่เข้ากัน ผมไม่คุ้นเคยกับมัน ผมไม่ใช่นักเล่นคำ ไม่ใช่นักประพันธ์ ผมคิดว่าเสียงร้องเป็นเครื่องดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ผมต้องมีความสามรถอย่างมากที่จะสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพลงที่ปราศจากคำร้องในอัลบั้ม Penguin Café Orchestra ได้รับการยอมรับพอสมควร หนังสือพิมพ์ The Washington Post ได้ยกย่องให้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความนิยมในเพลงแบบ world music อย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา และเป็นหนึ่งในอัลบั้ม pop ชั้นยอดของยุค 80’
หลังจากที่อัลบั้มได้ถูกวางจำหน่าย Marcus Beale, สถาปนิกและนักแต่บทเพลงสวดมนต์, ได้เข้าร่วมวงในตำแหน่งไวโอลิน ....... |