Written by Agent Fox Mulder
|
Wednesday, 26 March 2008 |
Mike OldfieldWritten by Panyarak Poolthup Transcribed by Polotoon จากนิตยสาร Starpics (1988)
Mike Oldfield เริ่มฉายแววสร้างสรรค์ตั้งแต่ร่วมงานผลิตอัลบั้มชุดแรกกับพี่สาว Sally Oldfield ในนาม Sallyangie โดย Mike เป็นผู้เล่นกีตาร์โปร่ง แต่งเพลงและช่วยร้องนำในบางเพลง ขณะนั้น Mike มีอายุเพียง 14 ปี แต่ผลงาน Children Of The Sun ที่ผลิตขึ้นครั้งนั้น เป็นดนตรี Folk ที่แสนไพเราะ ซึ่งมีน้อยรายที่นักแต่งเพลงอายุเท่า Mike และ Sally จะสามารถแต่งเพลงที่มีเนื้อหาและความไพเราะเช่นนั้นได้
Children Of The Sun - Sallyangie
พี่น้องทั้ง 2 คนมีผลงานร่วมกันในนาม Sallyangie เพียงชุดเดียว แล้วก็แยกทางกันเดินในถนนสายดนตรีที่ลาดคู่ขนานกันไปตลอด Mike มีความสนใจในดนตรีที่ซับซ้อนมากกว่าดนตรี Folk ที่เขาเริ่มต้นชีวิตในการเป็นนักดนตรี เขาตั้งวง Barefeet ซึ่งก็ต้องล้มเลิกไปในเวลาอันสั้น ในปี 1969 Mike ไปร่วมงานกับ Kevin Ayers and the Whole World ซึ่งรวบรวมนักดนตรีประเภทหัวก้าวหน้าแบบสุดกู่เอาไว้มากมาย อาทิ Robert Wyatt, David Bedford, Lol Coxhill รวมทั้งตัว Kevin Ayers เอง ความสามารถและความสร้างสรรค์ทางดนตรีของศิลปินในกลุ่มนี้ ทั้งด้าน Rock, Jazz และ Minimalism ได้กลายเป็นอิทธิพลสำคัญต่อผลงานดนตรีจนกระทั่งปัจจุบันของ Mike Mike แยกตัวออกจากกลุ่มของ Ayers ในปี 1971 แล้วหันไปเป็นนักดนตรีในสตูดิโออยู่พักหน่ง เพื่อพัฒนารูปแบบความคิดทางดนตรีที่เขาได้วางโครงร่างไว้ ซึ่งเป็นงานดนตรีที่ได้ส่งผลให้เขาเป็นที่โด่งดังไปทันใดในปี 1973
Mike Oldfield มีผลงานออกมามากมาย ทั้งเป็น LP, ซิงเกิ้ล 12 นิ้ว, 10 นิ้ว และ 7 นิ้ว สำหรับหน้า B ของซิงเกิ้ลทุกชุด จะเป็นการบันทึกเพลงบรรเลงแปลกๆไว้โดยไม่มีการนำมารวบรวมภายหลังในรูป LP เลย ดังนั้นผู้ที่เป็นแฟนเพลงของ Mike จึงต้องตามซื้อทั้ง LP และซิงเกิ้ลขนาดต่างๆ ซึ่งยากที่จะตามเก็บได้หมด ก็ขอกล่าวถึงผลงานในรูป LP ของ Mike เท่าที่พอจะตามเก็บมาได้ดังนี้ครับ
1. Tubular Bells (1973)
LP ประวัติศาสตร์ชุดนี้วางตลาดเมื่อ Mike อายุเพียง 20 ปี ซึ่งเขาต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการเรียบเรียงความคิดให้ออกมาเป็นดนตรีที่ซับซ้อนและสมบูรณ์ได้สำเร็จ Mike เป็นผู้เล่นดนตรีเองเกือบทุกชิ้นโดยการใช้เทคนิคอัดทับหลายๆ ครั้ง LP ชุดนี้ติดอันดับ Pop LP ในอังกฤษติดต่อกันนานถึง 3 ปี และ Mike ยังได้รับรางวัลแกรมมี่ ในฐานะผู้ผลิต Best Instrumental Pop LP ซึ่งผู้เขียนก็ยังสงสัยอยู่ไม่หายว่า LP นี้ มันเป็น Pop ได้ยังไง นอกจากนี้ Mike ยังได้รับคำชมเชยจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมาก ในด้านความคิดแบบนอกรีดนอกรอย ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่มีอิทธิพลต่อตัว Mike เองในเวลาต่อมา ตลอดจนต่อนักแต่งเพลงคนอื่นๆ
The Exorcist
ใน LP ชุดนี้มีเพลงอยู่เพลงเดียว ความยาวกว่า 40 นาทีเป็นเพลงบรรเลงหลายลีลาที่มีทั้งช่วงที่เปลี่ยนจังหวะแบบค่อยเป็นค่อยไป และแบบกะทันหัน ซึ่งยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ว่าไพเราะเพียงใด ในชุดนี้ มี Sally Oldfield มาช่วยร้องเป็น Chorus คนหนึ่งซึ่งไม่มีบทบาทมากนัก ท่อนที่เด่นมากของเพลงชุดนี้คือ ท่อนเริ่ม ซึ่งถูกหยิบยืมไปใช้ในหนัง The Exorcist ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยโหมกระพือความโด่งดังของ LP ชุดนี้ สำหรับท่อนท้ายของหน้า A ซึ่งเป็นช่วงแนะนำเครื่องดนตรีหลายชนิด และท่อนท้ายของ หน้า B ซึ่งเป็นการนำเพลงสั้นๆ ชื่อ Sailor's Hornpipe มาเรียบเรียงใหม่ ก็ได้ถูกแยกออกไปรวมไว้ใน LP รวมเพลงเอกของ Mike ในชุดต่างๆ เมื่อติดตามผลงานของ Mike ทุกชุด จะพบว่า Mike ไม่สามารถหลุดพ้นจาก Tubular Bells ซึ่งเปรียบเสมือนมีดปักหลังของ Mike ไปได้ ไม่ว่าเขาจะทำผลงานออกมาในแนวไหน ก็ยังพบว่า ยังมีอิทธิพลของ Tubular Bells แฝงอยู่ไม่มากก็น้อย การจะทำความรู้จักกับผลงานของ Mike ทั้งหมด สามารถทำได้โดยการฟังชุด Tubular Bells เพียงชุดเดียว เพราะ LP. อีกหลายชุดที่ตามมาเป็นการเดินรอยตาม Tubular Bells อย่างออกนอกหน้า ส่วน LP ชุดอื่นๆ ที่ออกตามมาอีกแม้จะเพิ่มเสียงร้องนำ และการทำดนตรีให้ Pop มากขึ้นเพื่อพยายามทำตัวให้หลุดพ้นจากอิทธิพลของ Tubular Bells แต่เสียงกีตาร์ในหลายเพลง มันช่างเหมือนเสียงกีตาร์ในเพลง Tubular Bells เหลือเกิน
The Orchestral Tubular Bells - David Bedford
เพื่อเป็นการฉวยโอกาสจากความสำเร็จของ Tubular Bells หรือเปล่า ไม่สามารถทราบได้ David Bedford ได้ผลิต LP ชุด The Orchestral Tubular Bells ขึ้นมาซึ่งเป็นการบรรเลงโดยวง Orchestra โดยมี Mike เป็นผู้เล่นกีตาร์ ซ้ำยังทำหน้าปกเลียนแบบ LP ของ Mike อีกด้วย
2. Hergest Ridge (1974) LP ชุดนี้ Mike ยังคงเหมาเล่นเครื่องดนตรีส่วนใหญ่เช่นเคย ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นดนตรีที่ด้อยกว่าแผ่นแรกอย่างน่าเกลียด โดยมีอิทธิพลของดนตรี Minimalism เข้ามาพอสมควร LP ชุดนี้ได้รับการต้อนรับด้วยดี โดยอาศัยบารมีของ Tubular Bells คุ้มหัว ดนตรีในชุดนี้ มีการเปลี่ยนอารมณ์แบบค่อยเป็นค่อยไป แบบ Minimalism ซึ่งผิดกับ LP ชุดแรก ทำให้ฟังดูธรรมดามากและค่อนข้างน่าเบื่อ อาจจะเป็นเพราะมี David Bedford มาช่วยงานด้านเครื่องสายและเสียงประสาน ซึ่งตามความเห็นของผู้เขียน David Bedford ในยุคนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำดนตรีที่แปลกแต่น่าเบื่อ และยืดเยื้อมากๆ เช่นเดียวกับดนตรีแนว Ambient ของ Brian Eno 3. Ommadawn (1975)
Mike แก้ตัวด้วย LP ที่ผู้เขียนชื่นชอบมากที่สุด แม้จะมาฟอร์มเดียวกับ LP ชุดแรกแต่ก็ทำได้ยิ่งใหญ่ และฟังดูขลังกว่า ใน LP นี้ นอกจาก Sally แล้วก็มี Terry Oldfield มาร่วมเล่น Pan Pipe ให้ Mike เริ่มใช้นักดนตรีภายนอกมากขึ้น นอกจากนี้เขายังหันไปใช้ African Drums ซึ่งเล่นโดยนักดนตรีแอฟริกัน เนื่องจากเขาเริ่มเบื่อเสียงกลองธรรมชาติที่ฟังดูไม่มีชีวิตชีวา ผลก็คือ ผลงานดนตรีชั้นยอดซึ่งผู้ฟังสามารถจินตนาการไปได้ต่างๆ นานา แล้วแต่พื้นของผู้ฟังแต่ละคน สำหรับผู้เขียนแล้ว ทุกครั้งที่ฟัง LP ชุดนี้ จะมองเห็นภาพนิยายปรัมปราที่มีพิธีบูชายัญในเวลากลางคืน ของพวกที่มีอารยธรรมล้าหลัง โดยเฉพาะท่อนที่มีเสียงร้องเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ (คิดว่า Muke คิดขึ้นเอง) ยิ่งทำให้เห็นภาพแม่มดกำลังทำพิธีไสยศาสตร์ชัดเจนยิ่งขึ้น LP ชุดนี้จบลงด้วย เพลงร้องที่น่ารักมากๆ ซึ่งตอนหลัง Mike แยกเพลงนี้ออกไปรวมไว้ใน LP รวมเพลงฮิตโดยตั้งชื่อให้ว่าเพลง On Horseback ซึ่งเพลงนี้ เมื่อได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Legend (ผู้เขียนได้ดู Version ที่ Tangerine Dream เป็นผู้ทำดนตรีประกอบซึ่งช่วยให้หนังน่ารักและเป็น Fantasy มากกว่า Version ที่ใช้ดนตรีประกอบของ Jerry Goldsmith ซี่งค่อนข้างเครียด) ก็ทำให้คิดถึงเพลงนี้ ว่ามันเหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก Ommadawn เป็น LP ที่รวบรวมอิทธิพลเกี่ยวกับอารยธรรมต่างๆ ทั้ง Celtic ยุโรปตะวันออก และแอฟริกา หลังจาก LP ชุดนี้ Mike ได้ปลีกตัวกลับไปนอนเล่นที่บ้านเพื่อทบทวนสิ่งที่เขาต้องประสบโดยไม่คาดฝันจนตั้งตัวไม่ติด นั่นคือการประสบความสำเร็จแบบทันทีทันใด
4. Boxed (1976)
ในช่วงที่ Mike ไม่ได้ผลิตงานใหม่ออกมา ก็มีการปล่อย LP ใส่กล่องชุดนี้ออกมาซึ่งมี 4 แผ่น โดย 3 แผ่นเป็นการนำเอาผลงาน 3 ชุดแรกมา mix สียงใหม่เพื่อดึงเอาส่วนที่สำคัญซึ่งถูกปิดบังอยู่เมื่อบันทึกเสียงครั้งแรกออกมา อีกแผ่นใช้ชื่อว่า Collaborations เป็นการรวบรวมผลงานปลีกย่อยที่ Mike ร่วมงานกับศิลปินอื่น เช่น David Bedford, Leslie Penninl และ Chris Cutler และเพลง Traditional ต่างๆ ที่ Mike นำมาเรียบเรียงใหม่ ให้ไพเราะและสนุกสนานยิ่งขึ้น
5. Incantations (1978)
Mike กลับมาใหม่ด้วย LP. คู่ที่ฟังดูสนุกสนานร่าเริงมากกว่าชุดก่อนๆ หลังจากการวางตลาดของ LP ชุดนี้ Mike สามารถเปิดการแสดง Concert ได้ด้วยความเชื่อมั่นซึ่งเขาเคยเป็นผู้ที่ตื่นเวทีมากๆ โดยเขาได้ใช้เวลาที่หายหน้าไป 2 ปีแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ ใน LP ชุดนี้ Mike ยังเหมาเล่นเครื่องดนตรีหลายชิ้นตามเคย โดยมี David Bedford, Terry Oldfield และอีกหลายคนมาช่วยงาน เสียงร้องนำยังคงเป็น Sally ตามเดิม โดยมี Maddy Prior จากวง Folk ชื่อดัง Steeleye Span มาร่วมสมทบแทนคนเก่าที่เลิกราไป
Maddy Prior
ใน LP นี้มีท่อนเสียงร้องที่เด่นๆ อยู่ 2 ท่อน ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ แต่อาศัยฝีมือการร้องของนักร้องโดยเฉพาะ Maddy Prior ร้องให้ฟังดูเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ที่คล้ายภาษาอังกฤษ ที่ผู้เขียนเชื่อเช่นนี้เพราะว่ามี LP เดี่ยวของ Maddy Prior อยู่ ซึ่งแถมเนื้อร้องมาให้ด้วย ปรากฏว่ามีหลายเพลงที่ถ้าไม่ดูเนื้อร้องไปด้วย จะไม่รู้เลยว่าเธอร้องว่าอะไร หรือแม้จะดูเนื้อร้องไปด้วย ก็ต้องทึ่งในความสามารถผันเสียงของเธอ เพราะเธอมีความสามารถในการร้องเพลงภาษาอังกฤษให้ฟังดูเป็นภาษาอื่นได้ ผู้เขียนเคยนำเพลง Incantations ไปเปิดให้เพื่อนฝรั่งหลายคนฟัง ทุกคนพูดตรงกันว่า "เนื้อร้องมันคล้ายภาษาอังกฤษมาก แต่ฟังไม่ออกว่าร้องว่าอะไร มีบางคำที่พอจะจับได้แต่ก็น้อยมาก" ก็ถือว่าเป็นความสามารถของ Maddy ละครับรวมทั้ง Mike ด้วย ที่ชอบทำเพลงที่มีท่อนร้องที่เป็นภาษาประหลาด ทั้งในแผ่น Ommadawn และแผ่นที่ตามมา นับว่า Mike หูตาไวที่ไปเลือก Maddy มาร้องเพลงที่มีเนื้อร้องภาษาอังกฤษ ให้เป็นภาษาอื่นที่ฟังไม่ออก ในเรื่องนี้จะปรากฏให้เห็นชัด ในแผ่นแสดงสดชุดที่จะกล่าวถึงต่อไปซึ่งมีเพลง Incantations ที่ Maddy เป็นคนร้องนำ โดยไม่มี Sally ร่วมด้วยซึ่งทำให้เห็นชัดว่า ฝีมือการร้องนำที่แท้จริงในเพลงนี้คือใคร ชุดนี้เป็นชุดสุดท้ายที่ Sally มาช่วยงาน Mike เนื่องจาก Sally หันไปออกผลงานในนามของตนเอง ข้อสังเกตประการหนึ่งของ LP ของ Mike คือจะไม่มีการแถมเนื้อร้องให้ ในบรรดาผลงานทั้งหมดของ Mike มีการแถมเนื้อร้องให้เพียงเพลงเดียว คือเพลง Five Miles Out จาก LP ชุดเดียวกัน
6. Exposed (1979)
Mike นำลูกวงเกือบ 50 คน ออกทัวร์ยุโรปฤดูร้อน ซึ่งเป็นการนำเพลง Tubular Bells และ Incantations มาเล่นใหม่ให้กระชับ และมันแบบ Rock นอกจากนี้ยังมีเพลง Guilty ซึ่งเคยเป็นซิงเกิ้ลฮิตติดอันดับ เพลงนี้ให้บรรยากาศแบบ Disco ตามสมัยนิยม ในเพลง Guilty ซึ่งเล่นขยายเพลงออกไปเล็กน้อย โดยการเพิ่มดนตรีบางท่อน ของ Tubular Bells เข้าไปในเพลงนี้อย่างกลมกลืน ซึ่งฟังเผินๆจะเหมือนกับเพลงใหม่ แต่ฟังดีๆจะพบว่า เพลง Guilty ก็คือการนำดนตรีบางท่อนของ Tubular Bells มาตัดต่อเรียบเรียงใหม่ แล้วเพิ่มเสียงร้องและเปลี่ยนจังหวะใหม่ให้ฟังดูเป็นเพลงใหม่ ผู้เขียนมีความรู้สึกอคติต่อเพลงนี้มากเพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความซ้ำซากจำเจ และการจมปลักอยู่กับ Tubular bells ของ Mike อย่างไรก็ดี อาจถือได้ว่า Exposed เป็นหนึ่งในอัลบั้ม Rock ในรูปบันทึกการแสดงสด ที่ดีที่สุดชุดหนึ่งของโลก
7. Platinum (1979)
ในชุดนี้เพลงในหน้า A ค่อนข้างไปทาง Rock มากผิดกับชุดก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยมีการนำเพลง North Star ของ Philip Glass ซึ่งแต่งไว้ในแนว Minimalist มาเรียบเรียงใหม่ ให้มีจังหวะชวนเต้นรำ ในหน้า B เป็นเพลงสั้นๆหลายแนวซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Mike เริ่มหันมาทำ LP เพลงสั้นๆ ที่ยาวไม่เกินเพลงละ 5 นาที เนื่องจากปกติ Mike จะทำแต่เพลงที่มีความยาว 40 นาทีขึ้นไป อีกเพลงหนึ่งที่ Mike เอาของคนอื่นมาคือ I Got Rhythm ของ George Gershwin ซึ่งร้องนำโดย Wendy Roberts การที่ Mike นำเพลงของคนอื่นมาเล่น ก็เป็นเพียงการแสดงการคารวะต่อศิลปินที่บ้าพอๆ กัน ในการทำเพลงแปลกๆ ที่สวนทางกับความนิยม และความยึดมั่นในสมัยของตน
8. Q.E. 2 (1980)
Mike สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนเพลงโดยการเลิกทำเพลงที่มีความยาวอย่างน้อยๆ 1 หน้าแผ่นเสียง ในชุดนี้เพลงที่ยาวที่สุดก็เพียง 10 นาทีคือ Taurus 1 ซึ่งเป็นภาคแรกของไตรภาค
Maggie Riley เพลงที่เด่นที่สุดคือเพลง Sheba ซึ่งร้องนำโดย Maggie Riley นักร้องนำคนใหม่ที่ Mike พยายามหามาให้ได้เสียงร้องนำที่พอจะเทียบเคียงกับ Sally ได้ เพลงนี้มีความไพเราะที่ Mike คิดภาษาใหม่ขึ้นมาเอง ซึ่งไปได้ดีกับเสียงดนตรีที่ไม่ซับซ้อนเกินไป เพลงที่มาแปลกมากคือ Arrival ซึ่งเป็นเพลงบรรเลงเพลงเดียวที่ ABBA มีโดย Mike นำมาเรียบเรียงใหม่ ในจังหวะที่น่ารัก และสนุกสนาน เมื่อพูดโดยรวมทั้ง LP พบว่า Mike ยังสับสนว่าจะเอายังไงดี อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก LP ชุด Platinum เพลงใน LP นี้ฟังได้เพลินดี ไม่เครียดและเด่นด้วยเสียงกลองแบบแผ่น Ommadawn
9. Airborn (1980)
LP กึ่งแสดงสด กึ่งรวมเพลงเอก แผ่นที่เป็นบันทึกการแสดงสด เพลงนึงเป็น Tubular Bells (Part 1) ซึ่งก็เล่นต่างไปจากในชุด Exposed สำหรับเพลงนี้ Mike สามารถ Improvise ไปได้หลายแบบ ในวีดีโอชุด The Essential Mike Oldfield ก็มีการเล่นเพลงนี้ไปอีกแบบหนึ่ง ส่วนอีกเพลงเป็น Incantations ที่เอาท่อนที่เล่น Live มาตัดต่อผสมกับท่อนที่เป็น Studio ซึ่งฟังแล้วแยกไม่ออกว่ารอยต่ออยู่ตรงไหน 10. Five Miles Out (1982)
แผ่นนี้ Maggie Riley มีบทบาทค่อนข้างมาก ในการช่วยให้ Mike บรรลุเป้าหมายในการนำเสนอดนตรีที่มีลักษณะเป็นเพลงมากขึ้น โดยเฉพาะเพลง Family Man ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการทำเพลง Pop ของ Mike ในแผ่นนี้ Mike กลับไปทำเพลงที่มีความยาว 1 หน้าแผ่นเสียงอีกครั้ง คือเพลง Taurus II ซึ่งมีหลายลีลา แต่ท่อนที่เด่นที่สุดหรือ Climax ของเพลงนี้คือ ท่อนที่ Maggie ร้องภาษาประหลาด ในตอนค่อนไปทางท้ายของเพลง ทุกครั้งที่ผู้เขียนฟังเพลงนี้ จะมีความรู้สึกว่า เมื่อไรจึงจะถึงท่อนร้องตอนท้ายนี่ซะที เมื่อดนตรีเริ่มเปลี่ยนจังหวะนำก่อนเข้าท่อนร้อง ก็จะรู้ทันทีว่าสิ่งที่กำลังรอคอยกำลังมาถึงแล้ว ซึ่งก็คุ้มค่าแห่งการรอคอยทุกครั้ง เพลง Taurus II นี้นับได้ว่า เป็นสุดยอดของไตรภาค Taurus ทั้งหมดทีเดียว
11. Crises (1983)
LP ชุดนี้เป็น LP ที่ขายดีที่สุดตั้งแต่ Tubular Bells เป็นต้นมา เพลงฮิตในแผ่นนี้ติดอันดับทั่วโลก แผ่นนี้นอกจากจะมี Maggie ร้องนำแล้ว ยังมีนักร้องมาช่วยสมทบอีกคนละเพลง คือ Roger Chapman อดีตนักร้องนำวง Family ซึ่งแตกแยกกันไปกว่า 10 ปีแล้ว มาแผดเสียง แบบเจ็บปวดในเพลง Shadows on the Wall และ Jon Anderson ในเพลง In High Places นอกจากนี้ยังมีการเล่นกีตาร์มันๆ ในเพลง Taurus 3 ซึ่งเป็นการปิดไตรภาคของเพลงนี้ เพลง Crises ซึ่งเล่นเต็มหน้า A ยังคงลักษณะการเปลี่ยนจังหวะแบบกะทันหันไว้เช่นเดิม เพลงนี้ Mike ร้องนำเอง ซึ่งลักษณะการร้องแบบค่อนข้างซับซ้อน ในเพลงนี้คล้ายกับที่ Mike ร้อง ในเพลง Five Miles Out มาก
12. Discovery (1984)
LP นี้ Mike ได้นักร้องชาย Barry Palmer (อดีต Triumvirat) มาช่วยสมทบอีกคน พวกเพลงสั้นๆ ก็คล้ายในแผ่น Crises ส่วนเพลงยาวที่สุดก็เพียง 12 นาที ซึ่งเป็นเพลงบรรเลงออกไปทาง New Age สำหรับเพลงสั้นๆ 7 เพลง เป็นการขยายแนว Rock และ Folk ที่ Mike ได้วางพื้นไว้ในแผ่น Crises
13. The Killing Fields (1984)
ผู้เขียนซื้อ LP ชุดนี้เพราะติดใจดนตรี หลังจากดูหนังจบแล้ว Mike เพิ่งจะได้แต่งเพลงประกอบหนังสมใจ หลังจากฝันมานานนับตั้งแต่ Tubular Bells ถูกนำไปใช้ใน The Exorcist เพลงในแผ่นนี้มีกลิ่นไอของดนตรีเอเชียตะวันออก ซึ่งแสดงออกมาโดยการใช้ Synthesizer และการเรียบเรียงดนตรีแบบ Orchestra
14. The Complete (1985)
LP คู่รวมเพลงเอก ตั้งแต่สมัยต้นจนปัจจุบัน เพลงที่ยาวก็ถูกตัดมาแต่ตอนที่เด่นจริงๆ ในหน้าสุดท้ายเป็นการบันทึกการแสดงสด ที่บันทึกเสียงแย่มาก พอๆ กับเพลงอื่นๆ ในแผ่นนี้ นอกจากนี้ Mike ยังมี LP รวมเพลงเอกที่ออกในโอกาสต่างๆ หรือออกเฉพาะประเทศเช่น Music Wonderland และ Impression ฯลฯ เป็นที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งของ Mike คือแผ่นแสดงสด และรวมเพลงเอกทุกแผ่นจะมีเพลง Tubular Bells ไม่ยาวก็สั้น นับตั้งแต่ The Killing Fields Mike ก็ไม่มี LP ใหม่ออกมาอีกเลย มีแต่ Single เพลง Pictures In The Dark ซึ่งมีนักร้องหญิงคนใหม่มาแทน Maggie แต่ยังไม่แน่ว่าถาวรแค่ไหน และ Single ล่าสุด Shine ซึ่งร้องนำโดย Jon Anderson ก็ขอจบเรื่องของ Mike ด้วยคำจำกัดความสั้นๆ สำหรับ Mike Oldfield ที่ว่า Mike Oldfield กับ Tubular Bells เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออก
End. |
Last Updated ( Wednesday, 26 March 2008 )
|