spacer.png, 0 kB
John McLaughlin and Mahavishnu Orchestra (AFM)
Top Ten Songs from Genesis (Analog Kid)
5 Greatest Major Fusion Jazz Albums from 70's (AFM)
The Red Stratocaster and EMGs (AFM)
Diggin' Deeper "Shine On You Crazy Diamond - Pink Floyd" (AFM)
Roger Waters - Amused to Death (AFM)
Porcupine Tree - Fear of a Blank Planet (Parid)
Top Ten Songs from Yes (Analog Kid)
Top Ten Songs from King Crimson (Analog Kid)
Aviv Geffen - Blackfield : Part I (Parid)
The Rise and Fall of Queensryche (Lilium)
13 Essential Albums of “Extreme Progressive Metal” (Lilium)
Eloy Albums Guide (PSLK)
13 Greatest Rhythm Section Albums (AFM)
Robert Fripp's Soundscapes Technique (AFM)
Penguin Cafe Orchestra (Panyarak)
Penguin Cafe Orchestra & Simon Jeffes (Polotoon)
Mike Oldfield (Panyarak)
John Cale (Panyarak)
Philip Glass - Part I (Panyarak)
Philip Glass - Part II (Panyarak)
Van der Graaf Generator (Panyarak)
Sally Oldfield (Panyarak)
Family (Panyarak)
Renaissance & Annie Haslam (Panyarak)
Strawberry Fields Forever by George Martin (Winston)
Syd Barrett (Panyarak)
Peter Gabriel (panyarak)
Telecasters plus Les Paul Goldtop & Gretsch Duo Jet (AFM)
7 Phases in Prog Heads Life (Analog Kid)
Aviv Geffen - Blackfield : Part II (Parid)
Aviv Geffen - Blackfield : Part III (Parid)
Pink Floyd's Back Up Role
Ayreon - 01011001 (Parid)
Roger Waters – Amused to Death (Parid)
Snowy White & His Guitar : Interview (AFM)
Rick Wakeman (panyarak)
Coldplay - Viva la Vida (parid)
Jeff Beck - Blow By Blow & Wired (AFM)
Interview with \"Dredg\" (Lilium)

spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
Home arrow Family (Panyarak)
Family (Panyarak) PDF Print E-mail
Written by Agent Fox Mulder   
Sunday, 30 March 2008

FAMILY

Written by Panyarak Poolthup
Transcribed by Kongbei & Shineon
จาก นิตยสาร Starpics คอลัมน์ Vinyl Mania พฤศจิกายน 2531





น้อยคนนักที่จะได้รู้จักกับ Family วงดนตรี Rock ที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในปี 1966 และมีชีวิตอยู่ได้เพียง 7 ปีก็แยกย้ายกันไปโดยทิ้งผลงานอันล้ำค่าไว้ให้นักดนตรีรุ่นหลังได้ศึกษาและดัดแปลงจนแตกแขนงเป็นดนตรี Rock ประเภทก้าวหน้าหลายต่อหลายวงที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกมานำเสนอดนตรี Rock ที่มีพื้นฐานและอิทธิพลส่วนหนึ่งจาก Family

ก่อนที่จะมาเป็น Family นักศึกษาจากวิทยาลัยศิลปะแห่งเมือง Leicester ประเทศอังกฤษ John 'Charlie' Whitney ได้ตั้งวง The Farinas ขึ้นในปี 1962 โดยมี Jim King (แซ็กและร้องนำ) Tim Kirchin (เบส) และ Harry Overnall (กลอง) เป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้ง ต่อมา Ric Grech ซึ่งเล่นไวโอลินด้วยก็เข้ามาแทนที่มือเบสที่ลาออกไป

ช่วงนี้ทางวงมักเล่นเพลงที่ออกไปทาง Blues และ Soul แต่พอเพิ่ม Roger Chapman ในตำแหน่งนักร้องนำเข้าไป Roger ก็นำสำเนียงแบบดนตรี West Coast ของอเมริกาเข้ามาผสมผสานให้กับแนวดนตรีดั้งเดิมของวงด้วย พวกเขาเริ่มแต่งเพลงเองโดยมีการทดลองเสียงใหม่ๆที่แต่งเติมสีสันด้วย เสียงแซ็กของ Jim และเสียงไวโอลินที่ไม่มีใครเหมือนของ Ric

เมื่อฝีไม้ลายมือของ The Farinas เข้าที่เข้าทางดี พวกเขาก็ออกตระเวนแสดงตามสถานที่เล็กๆ จนมีคนรู้จักพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขายังขาดอยู่ก็คือผู้สนับสนุน โชคดีเป็นของ The Farinas ที่ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการเพลงฮิตในสหรัฐฯ นามว่า Kim Fowley ซึ่งเคยชมการแสดงของพวกเขาและติดใจในเสียงร้องที่แปลกและสั่นระรัวของ Roger รวมทั้งฝีมือการแต่งเพลงร่วมกันของ
Roger และ John เข้ามาสร้างภาพพจน์ใหม่ให้กับวง

Kim เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนชื่อวงให้ใหม่เป็น Family เนื่องจากเห็นว่าพวกเขาแต่งตัวเหมือนพวกมาเฟีย การที่ Kim ได้ช่วย Produce เพลง Demo ให้ Family (แม้จะไม่มีเพลงใดได้อัดออกมาเป็นแผ่นก็ตาม) ทำให้พวกเขามีความกระตือรือร้นที่จะสร้างตัวให้ยิ่งใหญ่ในวงการดนตรีต่อไป



Family ออกแสดงอย่างหนักในลอนดอน พวกเขาสละการเล่นเพลงพวก Rhythm And Blues ทิ้งโดนหันมาเล่นแต่เพลงที่แต่งขึ้นเองและสามารถสร้างกลุ่มแฟนเพลงที่คลั่งไคล้พวกเขาอย่างเหนียวแน่นได้ในระดับ
ที่น่าพอใจ พวกเขาสลัดภาพพจน์พวกมาเฟียออกโดยหันมาแต่งตัวธรรมดาๆ ด้วยกางเกงยีนส์และรองเท้ากีฬาซึ่งทำให้พวกเขาดูเป็นพวกเดียวกับคนดูซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น
นักศึกษามหาวิทยาลัยและ Family ก็ได้สถาปนาความสัมพันธ์กับกลุ่มแฟนเพลงซึ่งมีลักษณะแปลกกว่าวงอื่น นั่นคือ พวกเขาจะตะโกนเรียกแฟนเพลงประมาณ 6 แถวแรกหน้าเวทีด้วยชื่อต้นอย่างเป็นกันเอง อันเป็นการชี้ให้เห็นว่ามีกลุ่มแฟนเพลงกลุ่มหนึ่ง
ที่ติดตามชมการแสดงของพวกเขาอย่างใกล้ชิดทุกรอบการแสดง

Family มีซิงเกิ้ลแผ่นแรก Scene Through The Eye Of A Lens ซึ่งให้บรรยากาศ เงียบเหงา วังเวง และน่ากลัวนิดๆ น่าเสียดายที่ซิงเกิ้ลแผ่นนี้ไม่ได้มีโอกาสปรากฎในอัลบั้มใดๆของวงหรือนำมาออกใหม่เมื่อวงมีชื่อเสียง ซิงเกิ้ลแผ่นนี้ขายดีเฉพาะในกลุ่มแฟนเพลงที่คลั่งไคล้วงนี้จริงๆ แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากแต่ก็สามารถทำให้บริษัทแผ่นเสียงตื่นตัว ในช่วงนี้ Rob Townsend เข้ามารับหน้าที่ตีกลองแทนคนเก่าที่ออกไป แล้วพวกเขาก็เริ่มทุ่มเทเวลาให้อัลบั้มชุดแรกที่มี Dave Mason กับ Jimmy Miller เป็น Producer



Music In A Doll's House (1968)
เป็นอัลบั้มที่น่าสนใจมาก สำหรับผลงานที่ผลิตขึ้นในยุคนั้น ทุกเพลงเต็มไปด้วยความหลากหลายและแสดงถึงจินตนาการอันกว้างไกลของทีมแต่งเพลง Roger Chapman/John 'Charlie' Whitney การแสดงสดของ Family เป็นปรากฎการณ์ที่น่าประทับใจยิ่ง
นักดนตรีแต่ละคนมีลีลาในการเล่นดนตรีที่ชวนติดตามประกอบกับเสียงร้องของ Roger ที่แปลกไม่เหมือนใครและดนตรีและการเรียบเรียงเสียงประสานของพวกเขาถือว่าเป็นดนตรีมีระดับและโดดเด่นกว่าวงอื่นๆ
ในรุ่นราวคราวเดียวกัน นอกจากเสียงดนตรีของพวกเขาจะไม่เหมือนใครแล้วยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่พอฟังแล้วก็รู้ได้ทันที Rick Grech ซึ่งเล่นเบสและไวโอลิน เป็นปรากฎการณ์ใหม่สำหรับวง Rock สมัยนั้นที่ใช้ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีหลีกในการแสดงสด เสียงเครื่องเป่าของ Jim King ซึ่งช่วยร้องประสานด้วย ช่วยเพิ่มสีสันที่ฟังดูหรูหราและมีเสน่ห์ เสียงกีตาร์ 2 คอของJohn 'Charlie' Whitney ก็ไม่น้อยหน้าใครในวงการ Rob Townsend เล่นกลองด้วยความคล่องแคล่วรอบตัว เขาสามารถปรับเสียงจากเพลงที่เน้นอะคูสติคไปสู่เพลงที่ออกร็อคหนักๆ หรือโอนเอียงไปทางแจ๊สได้อย่างไม่ขัดเขินและที่ขาดเสียมิได้คือเสียงแผดร้องแบบสั่นระรัวมาจากคอหอยของRoger Chapma (ชื่อเล่นว่า Chappo) นอกจากสไตล์การร้องที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครแล้ว ท่าทางในการประกอบการร้องเพลงของเขายังแหวกแนวไม่เหมือนใครอีกด้วย บางครั้งดูเหมือนว่าเขาตกอยู่ในภวังค์ ลูกตากลอกกลิ้งไปมา หัวกระตุก เกร็งคอจนเส้นปูนขึ้น ราวกับมีหนอนไต่อยู่ภายใต้ผิวหนัง แขนที่บิดเบี้ยวผิดทิศทางอย่างกระทันหัน และการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดธรรมชาติ เช่นการกระตุกอย่างรุนแรงหรือนิ้วมือที่พุ่งชี้ไปยังทิศต่างๆ (การแสดงของเขาได้รับการขนานนามว่า "การเริงระบำของคนบ้า") เสียงร้องอันแปลกประหลาดของเขาเปรียบประดุจเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งที่ทำให้คนฟังต้องทึ่ง ผู้ที่ได้ชมการแสดงสดของ Family ในยุคนั้นนับว่าโชคดีที่สุดในชีวิตที่ได้ชมการแสดงที่เต็มไปด้วยจินตนาการอันล้ำลึก
ความริเริ่มสร้างสรรค์ รวมทั้งความเป็นจุดสุดยอดของวง

ความสำเร็จของ Music In A Doll's House มิได้ทำให้ Family หยุดอยู่กับที่ นอกจากการยอมรับสถานะใหม่ของการเป็นวงดังแล้ว พวกเขายังมุมานะที่จะทำให้ดียิ่งๆขึ้นอีก ไม่ทันที่แฟนเพลงที่ชมการแสดงสดของพวกเขาจะเบื่อเพลงเก่า พวกเขาก็นำเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ซึ่งยังไม่ได้บันทึกเสียงออกแสดงแทนเพลงเก่า และนี่คือเอกลักษณ์หนึ่งของ Family ที่ดูเหมือนไม่ค่อนสนใจกับความสำเร็จในอดีต พวกเขาชอบหลีกเลี่ยงความจำเจ โดยการโละเพลงเก่าๆออกจากรายการแสดงเพื่อบรรจุเพลงใหม่ๆเข้าไปแทนอันเป็นวิธีการที่ทำให้ แฟนเพลงของพวกเขาได้รู้จักกับผลงานใหม่ๆของพวกเขาจากการแสดงสดมากกว่าจากอัลบั้มในสตูดิโอ พวกเขาจึงดูประหนึ่งว่าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งพร้อมๆกับการเพิ่มพูนมาตรฐาน ของวงให้สูงขึ้นจากการออกแสดงสดในระยะนั้น Family ได้ออกทัวร์ร่วมกับศิลปินดังๆอย่าง Jimi Hendrix, Tim Hardin, Ten Years After, Fleetwood Mac และ Fairport Convention



Family Entertainment (1969)
เป็นอัลบั้มถัดมาที่เปลี่ยนสไตล์ไปจากอัลบั้มแรกอย่างเห็นได้ชัด  ซึ่งฟังจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า โดยยังคงความเป็น  Progressive Rock ไว้อย่างเหนียวแน่น  สำหรับเพลงต่างๆที่ปรากฏในอัลบั้มล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่แฟนของ  Family  รู้จักจากการแสดงสดมาแล้วอย่างไรก็ดีพวกเขาก็ตั้งตารอคอยอย่างกระวนกระวายใจที่ Family จะนำเพลงเหล่านี้มาบรรจุไว้ในอัลบั้มเพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นเจ้าของความทรงจำอันไม่รู้ลืมเหล่านี้ในรูปของอัลบั้ม
นอกจากนี้ยังมีเพลงใหม่ๆที่ไม่เคยนำออกแสดงให้แฟนเพลงได้รู้จักก่อนอีกหลายเพลง
   แต่โชคไม่เข้าข้าง  Family  เมื่อ Rick Grech ลาออกไปร่วมวง Blind Faith ขณะโปรแกรมทัวร์เพิ่งเริ่มต่นขึ้น  การขาดเสียงไวโอลินซึ่งเป็นเครื่องดนตรีหลักของวงโดยไม่สามารถหาคนมาแทนได้ทันกาล
ทำให้การออกทัวร์ประสบกับความหายนะ  โดยเฉพาะการแสดงที่ Fill More East ซึ่งแฟนเพลงโห่ไล่
 Family ที่แสดงไม่เอาไหน  เพื่อที่ Alvin Lee & CO. จะได้ขึ้นไปแสดงแทนทำให้ Chappo โกรธจัดจนต่อว่าคนดูด้วยคำที่ไม่สุภาพแล้วเขาก็เหวียงขาตั้งไมโครโฟนไปโดนผู้จัดรายการ Bill Graham ซึ่งนึกว่า
Chappo ทำไปโดยเจตนาที่จะให้โดนเขา Bill จึงดึง  Family  ออกจากโปรแกรมในวันต่อไป  แต่เมื่อทำ
ความเข้าใจกันได้  Family  จึงได้แสดงต่อ  อย่างไรก็ดีความหายนะครั้งนี้ถือว่าเป็นลางร้ายของ  Family 
ในอเมริกาเพราะนับจากนี้ไป  Family ไม่สามารถกอบโกยชื่อเสียงในอเมริกาได้อีกเลย
   John Weider (อดีต Animals ยุคใหม่) ซึ่งเคยเล่นไวโอลินถูกดึงมา เล่นไวโอลินเพื่อให้การออกแสดงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ได้ซ้อมกันมาก่อนเลย ซึ่งเขาก็ทำได้ดีเกินความคาดหมายของทุกคน  จนเป็นตัวจักรสำคัญของวงในเวลาต่อมา
   สำหรับการทัวร์ในอังกฤษซึ่งพวกเขานำ Concept จากอัลบั้ม Family Entertainment มา
ประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่โดยการนำตัวตลก นักมายากล นักแสดงผาดโผนมาประกอบช่วงการโซโลดนตรีของแต่ละคน ในครึ่งแรกของการแสดง ส่วนครึ่งหลังเป็นการแสดงของ Family ขนานแท้และดั้งเดิมซึ่งแน่นอนครึ่งของการแสดงได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากแฟนเพลงมากกว่า
   ช่วงนี้ Jim King ซึ่งไม่ค่อยมีบทบาทในช่วงหลังได้ออกจากวงไป พวกเขาได้ John ‘Poli’ Palmer ซึ่งเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิดมาแทน




A Song For Me (1970)

   ได้รับความนิยมค่อนข้างสูงซึ่งอัลบั้มนี้ก็ เหมือนชุดก่อนที่นำเพลงที่เคยได้รับการแนะนำจากการแสดงสดมาแล้วมาบรรจุในอัลบั้ม
   ช่วงนี้เป็นช่วงที่วง Family มีความมั่นคงและประสบความสำเร็จด้านรายได้มากที่สุด สมาชิกในช่วงนี้เป็นสมาชิกที่ติดอยู่ในความทรงจำของแฟนเพลงมากที่สุด Chappo มีชื่อเสียงโด่งดังในยุโรปในฐานะ “คนเถื่อน” ของวงการร็อค ในขณะที่ Jimi Henderix และ  Pete Townshend ทำลายกีตาร์บนเวทีอย่างบ้าคลั่ง Chappo ก็ทำลาย Tambourine และขาตั้งไมโครโฟนร่วมครึ่งโหลบนเวที



Anyway (1970)
   
เดิมประกันว่าอัลบั้มนี้จะเป็นบันทึกการแสดงสด  แต่พอเอาเข้าจริงๆก็เหลือแสดงสดเพียงหน้าแรกหน้าเดียว ซึ่งก็ได้ทำให้แฟนเพลง  Family  ประจักษ์ว่า การการแสดงสดของ Family ไม่เหมาะกับการบันทึกเป็นอัลบั้ม เนื่องจาก Chappo จะปล่อยอารมณ์เต็มที่และการแสดงสดจะฟังดูสับสนวุ่นวาย เวลาออกแสดงสดนั้น Chappo จะความสุขกับการดัดเสียงที่แสนประหลาดของตนให้เป็นเสียงใหม่ๆที่เขาคิดขึ้นเอง ซึ่งเมื่อนำมาบันทึกเสียงเป็นอัลบั้มแล้วจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ในขณะที่เพลงที่อัดมาจากสตูดิโอจะทำกันมาอย่างวิจิตรบรรจงและพิถีพิถัน



Old Songs New Songs (1971)

   เป็นอัลบั้มรวมเพลงเอก 11 เพลงที่มีการMixเสียงใหม่หมดทุกเพลง แล้วอยู่ดีๆ John Weider ก็ออกไปโดยทางวงได้ John Wetton เข้ามาแทนในตำแหน่ง เบส  และช่วยเล่นกีต้าร์ด้วยเวลาออกแสดงสดโดยไม่มีใครเข้ามาทดแทนในตำแหน่งไวโอลิน



Fearless (1971)

   การเข้ามาของ John Wetton ได้นำสำเนียงของร็อคหนักๆเข้ามาเสริมแต่งให้แนวดนตรีของ Family ทรงพลังยิ่งขึ้น  และอาจถือได้ว่าอัลบั้ม Fearless นี้เล่นและร้องกันได้มันที่สุดสำหรับผลงายของ Family ที่ผ่านมา



Bandstand (1972)

อัลบั้มนี้ออกไปทาง Rock ที่หนักยิ่งขึ้นกว่า Fearless อย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วแกนนำที่ทำให้ Family หันไปเล่นเพลงหนักๆก็ลาออกไปร่วมวงกับ King Crimson รวมทั้ง Poli.Palmer ที่ออกไปตั้งวงใหม่
   Jim Cregan เข้ามาแทนในตำแหน่งเบส และ Tony Ashton เข้ามารับหน้าที่เล่นคีย์บอร์ด    ในช่วงนี้ Family ได้รับข้อเสนอที่จะออกทัวร์ในอเมริกาแต่พวกเขาก็รู้ตัวดีว่าคงไม่มีทางเจอะตลาดอเมริกาได้  ประกอบกับสมาชิกที่เข้ามาใหม่ก็ไม่สามารถอุทิศตัวให้กับวงได้อย่างเต็มที่  เนื่องจากมี Project นอกวงมากมาย  พวกเขาจึงตัดสินใจยุบวงในขณะกำลังรุ่งโรจน์โดยการออกอัลบั้มส่งท้าย



It’s Only A Movie (1973)

   ประหนึ่งจะเป็นการบอกกล่าวกับแฟนเพลงจากชื่ออัลบั้มว่า  ภาพยนตร์เรื่อง Family เมื่อมีเริ่มต้นย่อมมีวันจบสิ้น  แม้ว่าอัลบั้มนี้จะฟังดูอ่อนและแย่ที่สุดสำหรับ Family รวมทั้งการออกแบบปกที่ไม่ชวนประทับใจ  แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ Family
   Family ออกแสดงครั้งสุดท้ายในวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 1973 ที่วิทยาลัย Leicester Polytechnic ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Leicester อันเป็นบ้านเกิดของสมาชิก เกือบทั้งหมดของ Family รวมทั้งเป็นเมืองที่ Family ได้เกิดในวงการดนตรีด้วย คราวนี้พวกเขาได้นำเพลงเก่าๆนับตั้งแต่อัลบั้มแรกมาปัดฝุ่นออกแสดงแทนเพลงใหญ่ๆที่ไม่เคยอัดเสียงดังที่เคยปฏิบัติมา  การแสดงคืนนั้นยอกเยี่ยมตระการตาและเป็นการปิดฉากที่สวยงามที่สุดสำหรับ Family



Best Of Family (1974)

   อัลบั้มรวมเพลง 12 เพลงซึ่งมีเพลงเอกจริงๆอยู่เพลงเดียวคือ The Weaver’s Answer จากอัลบั้มที่ 2 ซึ่งเป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ Family ทั้งด้านดนตรีและเนื้อร้อง ที่บรรยายถึงสัจธรรมของชีวิตและการเวียนว่ายตายเกิดอันไม่จบสิ้นของมนุษย์ เพลงที่เหลือเป็นเพลงสั้นๆที่ไม่ถือว่าเด่นเนื่องจากเพลงดีๆหลายเพลงของ Family มีความยาวเกิน 5 นาทีจึงไม่ได้นำมารวมไว้เพราะอัลบั้มนี้ออกมาเพื่อหาประโยชน์จากผู้ซื้อ เคยจับเพลงมายัดให้มากเข้าไว้ก่อน นอกจากนี้การออกแบบปกอัลบั้มอันแสนจะไร้รสนิยมยิ่งช่วยลดคุณค่า อัลบั้มรวมเพลงธรรมดาๆชุดนี้ให้ด้อยค่ายิ่งขึ้น

เมื่อยุบวงกันไปแล้ว แต่ละครก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ดูเหมือนว่าศิษย์เก่า Family ที่ไปได้โลดที่สุดจะมีเพียง John Wetton คนเดียว โดยเขาได้ผ่านงานวง Rock ที่โด่งดังหลายวง อาทิ King Crimson, Roxy Music, Uriah Heep, UK, Asia  และการออกผลงานเดี่ยวที่ไม่เข้าท่า
ส่วน Roger Chapman นอกจากเคยไปร้องเพลง Shadows On The Wall แล้วเขาก็มีผลงานเดี่ยวออกมาอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้รับความนิยมรวมทั้งการออกทัวร์เป็นครั้งคราวในยุโรปกับวง The Shortlist ของเขา
   มีวงดรตรีน้อยวงนักที่แตกแยกกันไปในเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่จะทู่ซี้ดันทุรังเล่นกันต่อไป 2-3อัลบั้มจนแฟนเพลงเลิกให้การต้อนรับ นับว่า Family ฉลาดที่ไม่ทำเช่นนั้น  ดังนั้นจึงมีแต่ความทรงจำอันน่าประทับใจหลงเหลืออยู่และพวกเขาก็เป็นหนึ่งในวงดนตรีชั้นยอดจากอังกฤษเพียงไม่กี่วง
จากยุคนั้น ที่ได้ทิ้งมรดกอันหาค่ามิได้ไว้ ในรูปของการบันทึกเสียงบนแผ่น Vinyl


Last Updated ( Saturday, 12 April 2008 )
spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Sellers in Clothing