spacer.png, 0 kB
John McLaughlin and Mahavishnu Orchestra (AFM)
Top Ten Songs from Genesis (Analog Kid)
5 Greatest Major Fusion Jazz Albums from 70's (AFM)
The Red Stratocaster and EMGs (AFM)
Diggin' Deeper "Shine On You Crazy Diamond - Pink Floyd" (AFM)
Roger Waters - Amused to Death (AFM)
Porcupine Tree - Fear of a Blank Planet (Parid)
Top Ten Songs from Yes (Analog Kid)
Top Ten Songs from King Crimson (Analog Kid)
Aviv Geffen - Blackfield : Part I (Parid)
The Rise and Fall of Queensryche (Lilium)
13 Essential Albums of “Extreme Progressive Metal” (Lilium)
Eloy Albums Guide (PSLK)
13 Greatest Rhythm Section Albums (AFM)
Robert Fripp's Soundscapes Technique (AFM)
Penguin Cafe Orchestra (Panyarak)
Penguin Cafe Orchestra & Simon Jeffes (Polotoon)
Mike Oldfield (Panyarak)
John Cale (Panyarak)
Philip Glass - Part I (Panyarak)
Philip Glass - Part II (Panyarak)
Van der Graaf Generator (Panyarak)
Sally Oldfield (Panyarak)
Family (Panyarak)
Renaissance & Annie Haslam (Panyarak)
Strawberry Fields Forever by George Martin (Winston)
Syd Barrett (Panyarak)
Peter Gabriel (panyarak)
Telecasters plus Les Paul Goldtop & Gretsch Duo Jet (AFM)
7 Phases in Prog Heads Life (Analog Kid)
Aviv Geffen - Blackfield : Part II (Parid)
Aviv Geffen - Blackfield : Part III (Parid)
Pink Floyd's Back Up Role
Ayreon - 01011001 (Parid)
Roger Waters – Amused to Death (Parid)
Snowy White & His Guitar : Interview (AFM)
Rick Wakeman (panyarak)
Coldplay - Viva la Vida (parid)
Jeff Beck - Blow By Blow & Wired (AFM)
Interview with \"Dredg\" (Lilium)

spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
Home arrow Strawberry Fields Forever by George Martin (Winston)
Strawberry Fields Forever by George Martin (Winston) PDF Print E-mail
Written by Agent Fox Mulder   
Tuesday, 01 April 2008

'Strawberry Fields Forever'

in my loving memory by George Martin

Written by winston


 
 
Part 1
 
เรียน สมาชิกแฟนคลับสี่เต่าทองแห่งประเทศไทย
เนื่องจากผม(ขออนุญาตใช้คำแทนตัวแบบนี้ เพราะจะใช้ลุงก็อาจจะเด็กเกินไป
หรือปู่ก็อาจจะไม่เหมาะสำหรับสมาชิกบางท่าน)ได้ผ่านมาเห็นว่ามีสมาชิกบางท่าน ต้องการทราบเรื่องราวของเพลง' Strawberry Fields Forever'
ถ้าจะรอข้อมูลจากคุณ Mark Lewisohn หรือ คุณ Steve Turner ก็อาจจะช้าเกินไปและก็เป็นมุมมองของ"คนนอก"
ผมจึงอยากจะมาเล่าประสบการณ์ ความรู้สึกเก่าๆของผม รวมทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเพลงนี้ ให้พวกเราได้ฟังกัน
ถ้าจะมีอะไรผิดพลาดในสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ก็ขอยกให้ความทรงจำแก่ๆของผมเป็นผู้รับผิดชอบ
จะเอาอะไรกับคนอายุ70กว่า กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วล่ะครับ

ผมจะเริ่มตรงไหนดี เพลงนี้เกิดขึ้นในยุคเดียวกับที่พวกเราสร้าง Sgt. Pepper's แต่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้ม
มันเป็นเพลงที่แสดงจุดยืน ทางด้านดนตรีของเดอะ บีทเทิ่ลส์ในห้วงเวลานั้น
ขณะที่ 'All You Need Is Love' บอกทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาในด้านความโด่งดังและความสำเร็จ
ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าการชำแหละวิเคราะห์บทเพลงอย่างเลือดเย็นมันจะเกี่ยวอะไรกับการที่ใครสักคนจะรักงานศิลปะสักชิ้น
หรือเปล่า? มันก็เหมือนการที่เราตกหลุมรักใครสักคนนั่นล่ะครับ เราสนใจด้วยหรือว่าเค้าคนนั้นจะมีรอยย่นตำหนิตรงนั้นตรงนี้?
ในความเห็นผม ดนตรีเป็นสื่อที่เรียกอารมณ์ทั้งมวลได้ตรงไปตรงมาที่สุดในบรรดางานศิลปะทั้งมวล
เราจะต้องการอะไรมากไปกว่า พลังที่สามารถเหนี่ยวนำให้ผู้คนร่ำไห้หรือหัวเราะ..โหดเหี้ยมหรือรู้สึกสงสาร..
.สิ่งที่ผมอยากจะบอกพวกเราก็คือ ความรู้สึกที่มีต่อเพลงที่เราฟัง เป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด

โดยเฉพาะปฏิกิริยาแรกสุดต่อชิ้นงานดนตรีหนึ่งๆ..มันมักจะถูกเสมอ
ครั้งแรกที่ผมได้ฟัง' Strawberry Fields Forever'ผมตะลึงตะลานใจนัก
และทุกวันนี้ เมื่อผมกลับไปฟังมันอีกรอบ เพลงนี้ก็ยังคงเขย่าผมสั่นไปถึงไขสันหลัง

คืนลมแรงที่เย็นยะเยือกคืนหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 1966 นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินมัน
เราอยู่ในห้องอัดหมายเลขสองของ Abbey Road จอห์นยืนอยู่เบื้องหน้าผม พร้อมกับกีต้าร์โปร่งตัวหนึ่งในมือ
นี่แทบจะเป็นสูตรสำเร็จเวลาที่เขามีเพลงใหม่ๆมาโชว์ให้ผมฟัง
จอห์นเอ่ยกับผมด้วยเสียงแบบทองไม่รู้ร้อน
"มันเป็นอย่างนี้..จอร์จ" แล้วเขาก็เริ่มตีคอร์ดอย่างนุ่มนวล

จอห์นตีคอร์ดอินโทรไปสองคอร์ดก็เข้าสู่บรรทัดอันแสนวังเวง..."Living is easy with eyes closed...."
เสียงร้องอันน่าอัศจรรย์ใจของจอห์นสั่นเล็กน้อย...ขึ้นจมูกนิดๆ...มันฟังดูเศร้าแต่ก็สว่างไสวอยู่ในที
ผมเหมือนต้องมนต์ ผมตกหลุมรักเข้าแล้วครับ

"คุณว่าเป็นยังไง,จอร์จ?" จอห์นถามแบบตื่นๆเล็กน้อย หลังจากที่เขาเล่นให้ผมฟังจนจบ
จอห์นไม่ใช่คนบ้ายอ แต่เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าผมชอบเพลงไหนหรือเปล่าก่อนที่ผมจะอ้าปากออกมาเสียอีก
ผมตอบไปตะกุกตะกักว่า "มันยอดมากจอห์น,..มันเป็นเพลงที่เยี่ยมมาก คุณจะทำมันอย่างไรล่ะ?"

"ผมนึกว่าคุณจะบอกผมซะอีก(ว่าจะทำยังไง)!!" จอห์นสวนกลับกลั้วเสียงหัวเราะสนุก
บอกตามตรง ผมมาคิดตอนนี้ว่า ผมน่าจะบอกเขาไปตอนนั้นว่าผมจะทำเพลงอย่างที่ผมได้ยินนั่นแหละ
ทำไมผมไม่อัดเทคนั้นเอาไว้ แล้วทำออกขายมาทั้งอย่างนั้นเลยนะ!

' Strawberry Fields Forever' นั้นนิ่มนวล เหมือนล่องลอยในความฝัน ไม่ค่อยเหมือนสไตล์ของจอห์นในตอนนั้นนัก
เขาได้ผ่านพ้นขอบเขตแห่งการสร้างสรรค์มามากมาย ซึ่งแม้แต่ผมเองก็ยังนึกไม่ถึงเมื่อฟังจากเพลงเก่าๆของเขา
บางทีเขาอาจจะบอกเป็นนัยๆไว้แล้วใน 'Tomorrow never knows' แต่นี่!

จอห์นแต่ง ' Strawberry Fields Forever' ในสเปน เขามีบทเล็กๆในชื่อ Private Gripweed ในภาพยนตร์ของริชาร์ด เลสเตอร์ 'How I Won The War'
เขาแต่งมันระหว่างช่วงเบรคในการถ่ายทำ เพลงนี้ได้อารมณ์ฤดูร้อนที่สดใสจัดจ้านของสเปนอย่างครบถ้วน
ทั้งๆที่มันเป็นแคปซูลกาลเวลาที่บรรจุความทรงจำวัยเยาว์ของจอห์นในตอนเหนือของอังกฤษเอาไว้

ถ้าเรายึดนี่เป็นคำทำนายถึงสิ่งที่จะตามมา เราก็ควรจะได้อัลบั้มที่สุดยอด มันไม่เหมือนอะไรที่พวกเราเคยทำมาก่อน
เหมือนฝัน แต่ไม่เรื่อยเปื่อย ผิดเพี้ยนแปลกประหลาดแต่ไม่เสแสร้ง
มันตัดกันอย่างแรงกับ 'Penny Lane' ที่พอลแต่งหลังจากเพลงนี้
' Strawberry Fields Forever'ห่อหุ้มความรู้สึกถวิลหาอดีตของมันไว้ด้วยรัศมีอัศจรรย์
ปลุกเร้าหมอกควันของความงดงามแห่งดินแดนในฝัน,ในจินตนาการที่แสนหวาน

ความจริงแล้ว ' Strawberry Fields Forever' เป็นชื่อขององค์กรทางศาสนาในลิเวอร์พูล ไม่ห่างนักจากบ้านของเด็กชาย จอห์น เลนนอน
สภาพของมันโดยแท้แล้วห่างไกลจากความโรแมนติกนัก แต่ในเพลงของจอห์น มันกลับกลายเป็นประหนึ่งสรวงสวรรค์
แค่คำว่า 'Strawberry Fields' คุณก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของท้องทุ่งอันอบอุ่นน่านอนฝัน

โลกของจอห์น ในห้วงคำนึงของเขา จะเป็นโลกที่เขาต้องการจะอยู่ มากกว่าโลกใบนี้ มันเป็นที่ๆน่าอยู่กว่ามาก
โลกที่แท้จริงดูเหมือนจะไม่เป็นตามที่เขาคาดหวังไว้นัก เหมือนที่เขาเขียนไว้ว่า
"It's getting hard to be someone, but it all works out....It doesn't matter much to me."

ความเฉียบคมอีกอย่างของเนื้อเพลงนี้ก็คือ จอห์นใช้คำพูดเหมือนกับบทสนทนาของคนทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ถ้าคุณลองเปิดเทปที่อัดจากเสียงคนคุยกัน คุณจะพบว่ามันเต็มไปด้วย การใช้คำผิดไวยากรณ์ วางประโยคสลับที่ มีเสียง อืมม์,อา..เต็มไปหมด ลองไปฟังในเพลงของจอห์นอีกครั้งสิครับ
"Always no sometimes think it's me, but you know and I know it's a dream...."
จะมีใครอีกไหม ที่เขียนออกมาได้อย่างนี้

ดนตรีของจอห์นนั้นก็เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับเนื้อร้องตะกุกตะกักเช่นนั้น
และก็เหมือนกับเพลงอื่นๆอีกหลายเพลงของเขา ' Strawberry Fields Forever' มีพื้นฐานอยู่บนโน๊ตตัวเดียว โดยมีเสียงประสานที่เคลื่อนไหวดึงดูดอยู่เบื้องหลัง
ท่วงทำนองนี้เป็นกุญแจสำคัญของทั้งบทเพลง โดยเริ่มจากท่อนอินโทรที่ลืมไม่ลง..เปิดโอกาสให้จอห์นได้ใช้เสียงร้อยอ้อยอิ่งแบบอารมณ์เดียวไปทั้งเพลง

รูปแบบของเพลงก็ค่อนข้างผิดแผกไปจากเพลงอื่น มีแค่ท่อนเวิร์สกับท่อนคอรัส ไม่มีท่อนแยก
ท่อนคอรัสจะเปลี่ยนอารมณ์ของบทเพลง เน้นความหนักแน่นของเนื้อหายิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันของฮาร์โมนี่โดยการเน้นที่คำว่า 'to' ในประโยค 'Where I'm going to" นั้นให้ผลกระทบต่ออารมณ์ยิ่งนัก ซึ่งผมมั่นใจว่ามันไม่ได้เกิดจากการคิดคำนวณแต่อย่างใด
ผมขอเรียกมันว่า "สัญชาติญาณอัจฉริยะ"

เราจะเริ่มบันทึกเสียงเพลงแบบนี้กันอย่างไรดี? ไอเดียแรกของจอห์นก็คือ เขาอยากใช้ Mellotron ของเล่นชิ้นใหม่ของเขาตอนนั้น
มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของ Heath Robinson เวลามองเข้าไปคุณจะเห็น สายเอ็นและยางยึดโยงกันเต็มไปหมด
มันเหมือนกับเป็นลูกหลานจากการผสมพันธุ์กันของเปียโนดึกดำบรรพ์กับคีย์บอร์ดไฟฟ้าโบราณ
(สถาบันนักดนตรีเคยพยายามแบนสิ่งประดิษฐ์นี้ ด้วยกลัวว่ามันจะ"ฆ่า"การเล่นดนตรีสดๆ แต่ผมว่าดูเหมือนมันจะฆ่าคนเล่นซะมากกว่า!)

ผมคงไม่ลงรายละเอียดว่า mellotron ทำงานอย่างไร เอาเป็นว่ามันต้องใช้เทปลูปของเครื่องดนตรีจริงๆ และคุณต้องกดคีย์บอร์ดของมันไปด้วยให้เกิดเสียง และก็ยังมีปุ่ม master speed control ที่คุณจะสามารถเปลี่ยน pitch ของเสียงไปได้4-6semitones ขนาดของมันนั้นใหญ่มหึมา ยังกับตู้เสื้อผ้าเชียวล่ะครับ

เราเริ่มต้นบันทึกเสียง ' Strawberry Fields Forever' ในห้องอัดหมายเลข2ของ Abbey Road ในวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 1966
ไม่มีการเรียบเรียงเสียงประสานมาก่อน บีทเทิ่ลส์ทั้งสี่เข้ามาลุยกันในห้องอัดสดๆเลย จอห์นร่างภาพคร่าวๆให้พวกเราฟังว่า
"เราจะเริ่มจากท่อนเวิร์ส,ไม่มีอินโทร, แล้วตามด้วยคอรัส และกลับมาที่อีกเวิร์ส แล้วก็ไปเรื่อยๆ..." ได้เลย,จอห์น

จอห์นอยากจะเล่นกีต้าร์โปร่งของเขาในเซสชั่นนี้ พอลก็เลยไปเล่นเมลโลทรอน ริงโก้-กลอง และจอร์จ เล่นกีต้าร์ไฟฟ้า
เพลงฟังดูหนักแน่นกว่าที่ผมได้ฟังจอห์นเล่นครั้งแรกหลายเท่า
แต่มันเข้าที่เข้าทางเร็วมาก แทบจะในทันที ที่เราได้เทคที่เราคิดตอนนั้นว่าเป็นเทคสุดท้ายแล้ว
มันเป็นเทคที่เฉียบมาก โดยเฉพาะการร้องของจอห์น..แจ่มใส บริสุทธิ์ และคมคาย
การร้องของเขาทำให้บทเพลงนี้เป็นราวกับการสะกดจิต นุ่มนวลแต่ก็แข็งแกร่ง
เสียงร้องของเขาตัดกันกับเสียงกีต้าร์ที่อิ่มเอิบของจอร์จ,การเล่นเมลโลทรอนที่เปี่ยมจินตนาการของพอล
และการกระหน่ำกลองแบบสุดเหวี่ยงของริงโก้

เทคนี้เริ่มต้นด้วยประโยคที่กลายมาเป็นคอรัสในเวอร์ชั่นสุดท้าย 'Living is easy with eye closed..
"ยังไม่มีการเขียน ท่อนอินโทรที่เรารู้จักกันในตอนนั้น
และตามฟอร์ม,จอห์นเข้ามาขอให้ผมปรับสปีดของเสียงร้องของเขา ผมคิดว่าเสียงของเขาเป็นหนึ่งในเสียงที่เยี่ยมยอดที่สุดตลอดกาล
แต่จอห์นก็มักจะขอให้ผมมาบิดเบือนดัดแปลงอะไรกับมันอยู่เป็นประจำ เพื่อ"ยกระดับ"มัน ตามความคิดของเขา
ดังนั้นตอนเราโอเวอร์ดับเสียงของเขา ผมก็เลยเร่งความถี่ของเสียงขึ้นไปเป็น 53 แทนที่จะเป็น 50 เฮิร์ตซ์อย่างปกติ
พอนำกลับมาเล่นที่สปีดปกติ เสียงของเขาจะต่ำลงครึ่งเสียง[1 semitone> ทำให้ฟังดูอบอุ่นขึ้นและแห้งแล้งขึ้นด้วย

มันเป็นคืนมหัศจรรย์ เราทุกคนมีความสุขกับการเริ่มต้นอัลบั้มใหม่ และกลับบ้านตอนรุ่งสาง เหนื่อย,แต่ก็พึงพอใจในผลงาน

เช้านั้น จะมีใครสักคนทราบไหมว่ามันเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
 
 
 
 Part 2
 
อย่างไรก็ตาม สุดสัปดาห์นั้น จินตนาการที่เริ่มตกตะกอนก็ทำงานของมัน
เมื่อถึงเวลาเข้าห้องอัดในวันจันทร์,จอห์นและพอลก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเต็มไปด้วยไอเดียใหม่ๆให้'Strawberry fields forever'
ผมเคยคิดว่า"เด็กน้อย"('Strawberry fields forever') ของเราน่ะสมบูรณ์แบบแล้ว,แต่...

นานมาแล้วที่ผมเคยแนะนำพวกเขาถึงความสำคัญในการที่จะเข้าถึงแก่นของบทเพลงให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
(เช่นในเพลง 'Can't Buy Me Love' และ 'She Loves You')
นั่นคือสิ่งที่จอห์นต้องการจะทำตอนนี้,ด้วยการเริ่มต้นเพลงด้วยท่อนคอรัส 'Let me take you down'
แทนที่จะเป็น 'Living is easy with eyes closed....' เช่นเดิม

มันเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เพราะขณะนี้ เนื้อหาของเพลงพุ่งตรงเข้าสู่ความรู้สึกของผู้ฟังทันที
ถ้อยคำเป็นดั่งการชักชวนคุณเข้าสู่การเดินทางพิศวง
แทนที่จะเริ่มด้วยการนำเสนอความเห็นแบบนามธรรม มันคล้ายกับจอห์นไปดึงแขนผู้คนมาจากท้องถนน เพื่อไปปาร์ตี้กับเขา

ที่ยังขาดอยู่ก็คือท่อนอินโทร พอลทำอะไรจุ้กจิ้กอยู่กับท่อนเวิร์สอยู่พักใหญ่
แล้วเขาก็ได้ตัวโน๊ตออกมาชุดหนึ่ง ซึ่งจริงๆก็เป็นคอร์ดของเพลงนั่นแหละ
แต่มันถูกยืดขยายออกมาในรูปแบบ arpeggio

และแล้วพอลก็ได้แต่งท่อนอินโทรฯที่เรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์ให้เพลงนี้ของจอห์น

คุณต้องหลับตาจินตนาการว่าเรามีแค่เทป4แทรคในตอนนั้น
ผมทำได้แค่อัดแทรคต่างๆกัน4แทรคลงไปในนั้น ซึ่งผมจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการที่จะละเมียดละไมต่อการจัดสรรพื้นที่ในเนื้อเทปให้มัน เราเลือกวางเสียงกลองในแทรค1 แต่เราก็ไม่มีที่พอสำหรับเครื่องดนตรีชิ้นเดียวใน1แทรค
ริงโก้จำเป็นต้องแบ่งพื้นที่ให้เสียงเมลโลทรอนของพอลและเสียง maracas ของจอร์จ
การเล่นกลองของริงโก้ดูไม่เป็นกระจุกๆเท่าเทคแรก, เขาใช้ทอม-ทอมในการแบ่งวรรคตอนของบทเพลงได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม

ในแทรค2(ของขั้นตอนนี้) เป็นการ"เกา"กีต้าร์ไฟฟ้าของจอร์จ เป็น counterpoint ตีคู่ไปกับท่อนร้อง
ส่วนแทรค3 เราอัดทับเสียงเบสของพอลไปกับเสียงเมลโลทรอนที่เล่นโดยจอห์น (เขาเล่นกับปุ่มปรับspeedอย่างเมามันสำหรับแทรคนี้)
ขณะที่บทเพลงงอกงามไปเรื่อยๆ ความเร้าใจของผมก็พอกพูนขึ้นตามลำดับ ผมรู้สึกตื่นเต้นไปกับการทำงานของพวกเขาจริงๆครับ
มันกำลังจะกลายเป็น"อะไรบางอย่าง"แน่ๆ
และสุดท้าย เราก็ใส่แทรคที่เป็นเสียงร้องหลักของจอห์น ก่อนที่จะเก็บข้าวของเลิกงานตอนตี1ครึ่ง

แต่เรายังไม่จบง่ายๆ พวกเราทุกคนรู้สึกคึกคักกับการสร้างสรรบทเพลงนี้
เรากลับมาอีกครั้งตอนบ่ายสองครึ่งของวันต่อมา (ซึ่งจัดว่าเช้ามากสำหรับพวกเรา)
เราบันทึกเสียงเทคใหม่,เทค6 ซึ่งจะเล่นเกือบเหมือนเทค4ของวันก่อน และเราก็อัดเทคนี้ลงบนเทป4แทรคม้วนใหม่
เพื่อที่เราจะได้แทรคพิเศษเพิ่มเข้ามาอีก2แทรค
เทปม้วนนี้ (ซึ่งมีเสียงร้องและดนตรีเพิ่มเข้ามาเล็กน้อย) ถูกลงลำดับไว้ว่าเป็น "เทค7"
และในที่สุด, เราก็ได้มันมา 'Strawberry fields forever' master

พวกเราทุกคนปลื้มปิติกับงานชิ้นนี้กันถ้วนหน้า เราออกจากสตูดิโอไปค่อนข้างเร็ว (ประมาณสองทุ่ม)หลังจากมิกซ์เสียงแบบโมโนเสร็จ
ซึ่งผมถือเป็นเพลงที่เสร์จสมบูรณ์แล้ว และผมก็แจกแผ่นเดโมมิกซ์ที่พึ่งตัดออกมานี้ให้บีทเทิลแต่ละคนนำกลับบ้านไปฟัง...

สัปดาห์ต่อมา จอห์นมาหาผม และบอกว่า เขายังไม่ค่อยพอใจนักกับสิ่งที่พวกเราทำกันไป
เขารู้สึกเหมือนบทเพลงที่แท้จริงจะพยายามหนีจากมือเขาไปตลอด เขาได้ยินในสิ่งที่เขาอยากทำ,ในหัวเขา แต่ทำให้มันเป็นจริงไม่ได้
เราไม่เคย re-make หลังจากตัดแผ่นแล้วมาก่อน แต่จอห์นต้องการเช่นนั้นในตอนนี้
ผมก็ตั้งใจจะทำ 'Strawberry fields forever' ให้ตรงกับใจจอห์นให้จงได้

เขาจะเอายังไงล่ะ?

เขาเซอร์ไพรส์ผมด้วยการบอกว่า เขาต้องการให้ผมเขียนสกอร์สำหรับเครื่องสายและเครื่องเป่าให้หน่อย?
ผมยังไม่ลืมความเรียบง่ายของเพลงนี้ในตอนเริ่มแรกอยู่,,,

เรากำหนดการบันทึกเสียงขึ้นในวันอังคารต่อมา-8 ธันวาคม เพื่อที่จะลงริธึ่มแทรคใหม่
พวก"เด็กๆ"ต้องการจะเริ่มงานเวลา1ทุ่ม
แต่ผมกับ Geoff Emerick วิศวกรเสียงของเรามีนัดต้องไปงานปฐมทัศน์ภาพยนตร์เรื่อง 'Finders Keepers' ของคลิฟ ริชาร์ด อยู่ก่อนแล้ว
หลายครั้งที่บีทเทิ่ลส์เข้าเซสชั่นสาย หรือไม่ก็ไม่เข้าเลย
ผมตัดสินใจไปดูหนังก่อน
แต่คืนนั้น พวกเขาเข้ามาตอน1ทุ่มเป๊ะ นี่ล่ะกฏของเมอร์ฟี่!

ตอนผมและเจฟฟ์เดินเข้ามาใน studio no.2 ขณะนั้นเป็นเวลาห้าทุ่ม สภาพห้องอัดยังกะเกิดจลาจล(แบบควบคุมได้)ย่อยๆ
"เด็กๆ"ตัดสินใจว่า มันน่าจะสนุกดีที่จะลงริธึ่มแทรคแบบไม่ธรรมดา" ให้สำหรับ 'Strawberry fields forever' ด้วยตัวของพวกเขาเอง (ไม่ต้องพึ่งผม), โดยที่กติกาก็คือ ใครก็ได้ และทุกๆคนที่อยู่แถวนั้น "เล่น" กับเครื่องมืออะไรก็ได้ที่พอจะหยิบฉวยได้ในตอนนั้น
ภาพที่เราสองคนเห็นตอนนั้นยังกับตัดตอนมาจากฉากของเวอร์ชั่นห่วยๆของหนังทาร์ซานสักเรื่อง
จอห์นกับพอลกำลังกระหน่ำกลองบองโก้., จอร์จกระทุ้ง kettledrum ใบยักษ์ โดยมีพอลมาช่วยฟาดเป็นพักๆ, นีล เล่น gourd scraper อยู่,
มาล อีแวนส์เคาะแทมโบรีน, เทอรี่ ดอแรน เพื่อนจอร์จ กำลังเขย่า maracas และใครก็ไม่ทราบสั่น finger cymbals กรุ๋งกริ๋งๆ
เหนือสิ่งอื่นใด...ริงโก้กำลังพยายามสุดชีวิตที่จะควบคุมจังหวะของสรรพเสียงทั้งหมดไว้ด้วยกลองชุดประจำตัวของเขา
The Beales กำลัง "เล่น" สนุกกันอยู่ และผมก็เดินเข้ามาในขณะที่ปาร์ตี้กำลังพีคเต็มที่!

ขณะที่แทรคนี้กำลังจะจบลง, เดฟ แฮรี่ส์ วิศวกรมวยแทนของเรากำลังพยายามสุดความสามารถที่จะบันทึกเสียงทุกอย่างเอาไว้,
ทุกคนในสตูดิโอกำลังแหกปากเต้นแร้งเต้นกา...ผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา....
ชัดเจนว่าเป็นเสียงจอห์น เลนนอน..เหมือนเขาสวดมนต์แบบยานคาง...เข้ากับจังหวะดิบๆของเพลงในตอนนั้น
'Cranberry sauce...cranberry sauce...' ทำไมต้อง cranberry sauce? ทำไมล่ะ? ก็มันจะคริสต์มาสอยู่แล้วนี่!

บางส่วนของการบันทึกเสียงอันบ้าคลั่งนี้ได้หลุดรอดไปถึงเวอร์ชั่นสุดท้ายของ 'Strawberry fields forever' ถ้าตั้งใจฟังจริงๆคุณก็จะยังได้ยินเสียงจอห์นสวดบ่นคำๆนั้น นี่เป็นหนึ่งในร่องรอยของข่าวลืองี่เง่าๆเกี่ยวกับการตายของพอล แทนที่จะได้ยินว่า 'cranberry sauce' คนฟังกลับได้ยินว่า 'I buried Paul' หรือไม่ก็"คิด"ว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาได้ยิน
(ในปี1969 มีดีเจช่างฝันคนนึงกระพือข่าวลือนี้ขึ้น ข่าวแพร่สะพัดไปราวกับไฟลามทุ่งในพายุ ร่องรอยต่างๆผุดขึ้นมาสนับสนุนข่าวลือนี้เต็มไปหมด รวมทั้งความจริงที่ว่าพอลยืนหันหลังให้กล้องในภาพปกหลัง Sgt. Pepper's และแน่นอน...เท้าเปลือยเปล่าคู่นั้นบนทางม้าลายของหน้าปก Abbey Road ในเวลาต่อมา...บ้าชมัด!)

ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ จอร์จ แฮริสัน ได้สะดุดตากับ"ซีต้าร์"ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง 'Help!
' ความสนใจต่อเนื่องของเขาที่มีต่อดนตรีอินเดียส่งผลมาถึง 'Strawberry fields forever
' เขานำเครื่องดนตรีชิ้นใหม่ 'swordmandel' มาเล่นในเพลงนี้ มันดูเหมือนฮาร์พตั้งโต๊ะของอินเดียตอนเหนือ
จอร์จพยายามเล่นมันเหมือนฮาร์พธรรมดา เขาใช้เวลาเป็นชาติกว่าที่จะทำให้มันเป็นเสียงออกมาเป็นโน๊ตๆได้
รางวัลจากความอึดของเขาคือเสียงที่น่าตะลึงจากเครื่องดนตรีประหลาดๆนี้
และมันก็เป็นการเพิ่มรสชาติอย่างดีของบทเพลง,เมื่อเรา"เหยาะ"เสียงของมันลงไปในริธึ่มแทรค

จอห์นได้ค้นพบวิธีการเล่นเมลโลทรอนแบบสุ่มเป็นกลุ่มของตัวโน๊ต แทนที่จะเล่นทีละตัวๆแบบเดิม ซึ่งเสียงนี้เรียกอารมณ์ฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างดีในช่วงท้ายๆเพลง พอลขัดเกลาบทเพลงอย่างเฉียบคมอีกครั้งด้วยเสียงกีต้าร์ก้องกังวาน...

ขณะเดียวกันผมก็ยังคงต้องจัดเตรียมเครื่องดนตรีสนับสนุนเพิ่มเติมตามที่จอห์นขอไว้
ผมจองตัวนักทรัมเป็ต4คน และนักเชลโล3คน เพื่อทำการบันทึกเสียงอัดทับในวันที่ 15 ธันวาคม
ผมชอบที่จะ "ประหยัด" ในการทำดนตรี ไม่ใช่เพื่อเซฟเงิน แต่เพื่อความกระจ่างชัดในการบันทึกเสียง
การใช้เครื่องดนตรีมากเกินไป บางครั้งจะทำให้เสียงที่ได้ออกมาขุ่นมัว...
ผมมีเวลาไม่ถึง1สัปดาห์ในการที่จะเขียนสกอร์ให้จอห์น ผมรู้ใจเขาดีว่าจอห์นชอบเสียงเครื่องเป่าแบบฉูดฉาดปรู๊ดปร๊าดหน่อย,
แต่ผมก็มีความรู้สึกว่าจำเป็นต้อง"เสริม"อะไรบางอย่างให้คอร์ด สำหรับการเปลี่ยนแปลงในบางจุด

การที่เราได้บันทึกเสียงเบสิกแทรคมาแล้ว ทำให้งานผมสบายขึ้นมาก
มันหมายความว่า ผมสามารถมองออกว่าจะแปะ"เนื้อ"เข้าไปตรงไหนของ"โครงกระดูก",
ผมตกลงว่าจะให้เชลโลทุกตัวเล่นเป็นเสียงเดียวกัน โดยทำเป็นเสียงต่ำไล่ล้อไปกับท่วงทำนองหลัก,
ส่วนทรัมเป็ตนั้นผมเขียนให้เล่นแผดเสียงบนโน๊ตตัวเดียว ไม่ว่าจะเป็นคอร์ด triad (จับสามนิ้ว)ธรรมดาๆ หรือการเน้นแบบ unison staccato

ผมขอสารภาพไว้ตรงนี้เลยว่า ช่วงนั้นผมได้ฟังงานของศิลปินฝั่งอเมริกาหลายชิ้นที่มีเซ็กชั่นเครื่องเป่าเจ๋งๆ
และผมก็แอบหยิบยืมมานิดหน่อย ตอนนี้ผมรู้สึกว่าน่าจะเข้าทีดีที่จะใช้ Trumpet เล่นเสียงประสานอยู่เบื้องหลังเสียงร้อง,ให้เสียงในวลีเชิงเดียวกับอินโทรที่น่ารักของเรา

และก็มาถึงเซ็กชั่นที่ผมหนักใจที่สุด ในจุดนี้จังหวะทั้งหมดจะถูกยึดไว้ด้วยกันจากเสียงฉาบที่ซอยถี่ที่ถูกบันทึกเสียงแบบย้อนหลังจากฝีมือริงโก้...
มันไม่ใช่เสียงที่จะนำอะไรไป"เกาะ"ติดได้ง่ายๆเลย
ผมเขียนให้เชลโลเล่นเสียงต้านจังหวะเร่งเร้านี้ด้วยท่อน triple time motif ที่เชื่องช้ากว่า...ผมไม่แน่ใจนักว่ามันจะเวิร์ครึเปล่า
แต่ทุกวันนี้ ผมดีใจที่จะบอกว่า ผมไม่อาจคิดถึงเพลงนี้โดยไม่มีเซ็กชั่นนี้ได้....

มันยากมากที่จะบันทึกเสียงในส่วนที่ผมเขียนขึ้นนั้นให้ได้ตามที่ต้องการ, ทรัมเป็ตทั้ง4ตัว จำเป็นต้องเล่นให้ได้ดังและคมตรงกับจังหวะจริงๆ,ส่วนเชลโลก็ต้องสีให้หนักแน่นและเที่ยงตรงพอๆกัน
พวกเขาจำเป็นต้องเล่นให้เข้ากับริธึ่มแทรคของเราเป๊ะๆ ซึ่งผมก็มาพบทีหลังว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ผมลืมไปว่า การนับจังหวะแบบอนุบาลของเรานั้นไม่มีความสม่ำเสมอเอาซะเลย
อัตราเร็วของจังหวะ[tempo>เปลี่ยนไปแทบตลอดเพลง

นักดนตรีในทุกวันนี้จะยึดหลักไว้เลยว่า เมื่อใดที่ต้องมีการอัดทับ[overdub> เบสิคแทร็คต้องมีจังหวะคงที่ แต่ริธึ่มแทร็คของเราสิครับ ขนาดบาร์ต่อบาร์ยังไม่เท่ากันเลย มันไม่ถึงกับ out of time แต่ก็มากพอที่จะทำให้ชีวิตเป็นนรกได้ ถ้าคุณจะแปะอะไรลงบนแทร็ค
แม้จะพูดอย่างนี้ ผมก็ยังเชื่อว่านี่เป็นการเล่นกลองที่ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งในอาชีพของริงโก้ เขาใช้สไตล์ที่ผิดแผกจากสามัญในเพลงนี้อย่างเหมาะเจาะตั้งแต่เริ่มแรก ส่งเสริมสนับสนุนทุกวลีของจอห์นตลอดการเปลี่ยนแปลงสารพัดที่เพลงเคลื่อนตัวผ่านไป...

การมิกซ์เสียงสี่แทรคไม่ยากนัก ไม่เหมือน48แทรคในยุคนี้ เราจะได้ basic balance มาตั้งแต่ขั้นตอนการบันทึกเสียงและอัดทับแล้ว
เราได้มิกซ์แทรคที่เราคิดว่าเยี่ยมที่สุดไปพร้อมๆกันตลอด

แต่อย่างไรก็ตาม จอห์นยังคิดไม่ตกว่าเขาชอบ performance ไหนที่สุดในบรรดา variations มากมายของ 'Strawberry fields forever'ที่เล่นกันมา ดูเหมือนเขาจะลืมเทค1ไปแล้ว และตอนนี้เขากำลังชั่งใจระหว่าง เทค7ที่เนิบนาบ ลึกซึ้ง กับเทค 20 ที่ทรงพลังแพรวพราวด้วยจังหวะ และเครื่องสายเครื่องเป่า

ด้วยความเป็นนักอุดมคติและไม่แยแสต่ออุปสรรคทางเทคนิคใดๆทั้งสิ้น จอห์นบอกกับผมว่า...
"ผมชอบทั้งสองเวอร์ชั่นเลยว่ะจอร์จ ทำไมคุณไม่เอามันมาต่อกันซะเลยล่ะ? คุณจะเริ่มด้วยเทค7ก็ได้ แล้วก็ต่อด้วยเทค20ตรงกลางเพลง เพื่อที่จะได้จบแบบหรู,ยิ่งใหญ่ไปเลย!."

"ฉลาดมาก!" ผมตอบ "มีปัญหาแค่สองอย่างเท่านั้นเองจอห์น ไอ้สองเทคที่ว่านี่มันอยู่คนละคีย์กันเลย ห่างกันโทนเสียงหนึ่งได้ แถมจังหวะมันก็ต่างกันแบบบ้าเลือดเลย ... นอกจากนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรร็อก!"

จอห์นยิ้มปลอบๆให้ผม
"เอ่อ...จอร์จ" เขาพูดสั้นๆ
"ผมชัวร์ว่าคุณต้องแก้มันได้น่า,ได้ไหม?"
แล้วก็หันหลังเดินไปเลย
ผมหันไปมอง เจฟฟ์...ก่อนจะครางออกมา
 
 
 
 Part 3
 
 ทุกครั้งที่ผมเล่าถึงเทคนิคในการบันทึกเสียงแบบโบราณๆของยุคซิกซ์ตี้ตอนกลาง ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็น Baron von Richthofen ที่กำลังพยายามบรรยายถึงลักษณะของ Fokker Triplane ให้นักบินคองคอร์ดฟัง
แต่ผมก็ต้องพูดล่ะครับ ว่าไม่มีอะไรที่ Abbey road ตอนนั้นที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหานี้ได้
มันไม่มีทางที่สองท่อนนี้จะมาเชื่อมต่อกันได้... เว้นแต่....เว้นแต่....

ผมนึกขึ้นมาได้ว่า เทค20,เทคที่ทรงพลังนั้น มันเร็วกว่า,เร็วกว่าเทค7มาก ผมอาจจะลองหน่วงเวลาเทปให้มันหมุนช้าลง ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดความเร็วของจังหวะ[tempo>ลงแล้ว มันยังลดระดับเสียง[pitch>ลงด้วย
มันจะได้ผลสักแค่ไหนกันนะ? 1โทนเสียงนั้น มันต้องลดลงมากเลย ประมาณ20%ได้ แต่มันก็คุ้มที่จะลองน่า...


เราเรียกทีม 'Backroom boys' ผู้ยิ่งใหญ่ของเราให้มาช่วยเข็นเจ้าเครื่อง 'Frequency changer' ที่ใหญ่โตราวกับเครื่องซักผ้ารุ่นไดโนเสาร์เข้ามา
มันเป็นเครื่องหลอด และทำงานโดยใช้ไฟฟ้ากระแสตรง อย่าถามผมเลยว่ามันทำงานยังไง ผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
แต่ที่รู้ๆก็คือ มันเคยร้อนจัด และจะระเบิดไฟแลบ ถ้าคุณปรับมันมากเกินไป แต่เราก็มีมันอยู่เครื่องเดียว-ไม่มีทางเลือก


ด้วยอำนาจอันสง่างามของพระผู้เป็นเจ้าและโชคอีกนิดหน่อย เราทำสำเร็จครับ ด้วยการค่อยๆปรับลดความเร็วของเทค7ตรงจุดต่อจนมันเชื่อมต่อกันเนียนสนิท
นั่นคือเมื่อเวลาผ่านไป1นาทีในเวอร์ชั่นสุดท้าย บางคนเรียกมันว่า การตัดต่อแห่งศตวรรษ คุณก็ลองไปฟังเอาเองแล้วกัน
แต่สำหรับผม มันตลกครับ มันเป็นเหมือน"ตาปลา"สำหรับผมเวลาฟังเพลงนี้ ผมจะได้ยินมันทุกครั้ง ขณะที่ไม่มีใครสังเกตมันได้

จอห์นชอบงานของเราและยอมรับว่ามันเป็นงานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว(เกือบ1เดือนนับตั้งแต่เราเริ่มงาน)
แต่เขาก็ไม่ตื่นเต้นอะไรกับงานที่เราคิดว่ายากแสนเข็ญ เขาเห็นเป็นเรื่องธรรมดาๆ และเวลาเขาสั่งอะไรมา คุณจำเป็นต้องทำให้เสร็จเร็วๆด้วย ถ้าช้าไปสักนิด เขาจะเลิกสนใจทันที

วิธีการทำงานของเราทำให้ผมนึกไปถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่เป็นการถ่ายทำระหว่างการทำงานของ ปิกัสโซ
โดยเขาจะระบายสีลงบนฉากกระจก กล้องจะถ่ายจากหลังฉาก ดังนั้นรอยปาดป้ายสีจึงเกิดขึ้นบนจอราวกับอภินิหาร
คุณจะได้เห็นขั้นตอนการลงสีแต่ต้น การเปลี่ยนแปลงทีละขั้นๆ ปาดตรงนั้น,ลบตรงนี้ มันมาถึงจุดที่คุณคิดว่า "นั่นมันสุดยอดแล้ว..สวรรค์..พอได้แล้ว" แต่เขาไม่หยุด เขาระบายต่อไป,ต่อไป.....
ในที่สุดเขาก็วางแปรงลง,พอใจ (หรือว่ายัง? ผมสงสัยเหมือนกันว่าจะมีกี่ภาพที่เขาอยากนำมาวาดต่ออีก)
มันเป็นการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมของศิลปินผู้มีการสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ มันช่างเหมือนกับการบันทึกเสียงของเราเสียนี่กระไร เราก็ทำอย่างนั้น อัดเพิ่ม,ลบทิ้ง วางทับ ใส่สกอร์เพิ่มเข้าไป ภายใต้ขีดจำกัดของเทป4แทรคโบราณๆของเรานี่แหละ

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราโยนทิ้ง หรืออัดล้างมันไป เทคแรกของ 'Strawberry Fields Forever' เป็นตัวอย่างที่ดี มันเจ๋งมากๆ แต่เรากลับไม่แยแสมันอีกเลย แต่มันก็ยังคงยิ่งใหญ่อยู่เช่นเดิม
แล้วก็มาถึงท่อนสุดท้ายของ เทค20 ที่เราใช้เป็นช่วงหลังของเวอร์ชั่นสุดท้าย ในตอนใกล้จบมันมีช่วงที่จังหวะของมัน"หลุด"จนใช้งานไม่ได้ ไม่ว่าเราจะปรับแต่งยังไง ผมก็ไม่สามารถได้เทคที่ synchronized กันตลอดเพลงได้
คำตอบมีทางเดียว คือเราต้อง fade out (ค่อยๆเบาเสียง) ลงก่อนจะถึงจุดที่ที่จังหวะจะตีกันมั่ว
แต่นั่นก็หมายความว่า เราต้องทิ้งช่วงที่ผมชอบที่สุดที่อยู่ต่อจากนั้นไป
เป็นช่วงที่มีการเล่นทรัมเป็ตและกีต้าร์อย่างยอดเยี่ยม และเสียงเมลโลทรอนที่พรมออกมาจากปลายนิ้วของจอห์นราวน้ำตกลื่นไหล
มันเต็มไปด้วย"พลัง"ในท่อนนี้ ผมต้องเก็บมันไว้ให้ได้

เราทำสิ่งเดียวที่เป็นไปได้-เราเบาเสียงเพลงลงก่อนที่จังหวะจะแหลกเป็นชิ้นๆ,คนฟังอาจจะคิดว่าเพลงน่าจะจบแล้ว,
แต่เรากลับค่อยๆเร่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เพื่อเรียกท่อนแห่งชัยชนะของเรากลับคืนมา

มันเป็นเทคนิคของ ปิกาสโซในงานของเรา รอยเปื้อนบนผืนผ้าใบที่เราลบมันออก .....ให้มันจมอยู่ภายใต้สีสันที่สดใส

มีเพลงของบีทเทิ่ลส์หลายเพลงที่ผมอยากจะทำใหม่ให้มันเรียบง่ายกว่าเดิม (ผมคิดว่าเราตบแต่งมันมากเกินไป)
แต่สำหรับ 'Strawberry Fields Forever' มันไม่อยุ่ในจำพวกนั้นแน่ๆ
ล้ำสมัย,กร้าวแกร่ง,ซับซ้อนทั้งแนวคิดและตัวงาน,เป็นต้นแบบ และ"ไซคีดีลิค" .....'Strawberry Fields Forever' เป็นงานของอัจฉริยะอย่างปราศจากข้อสงสัยทั้งมวล เราไม่อาจทำพิมพ์เขียวให้อนาคตของเราได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ความเอาใจใส่ที่เราใส่ให้ในเพลงนี้,ความยอดเยี่ยมทั้งทางด้านเทคนิคและดนตรี,ความใจเด็ดของจอห์น เลนนอน ในการที่จะโยนเทคดีๆที่เขายังไม่พอใจทิ้งและทำใหม่หมด----สิ่งเหล่านี้เป็นการวางรูปแบบของอัลบั้ม Sgt. Pepper's ในเวลาต่อมา
เราภูมิใจกับเบบี๋คนใหม่ของเรามาก ผมเดิมพันได้เลยว่า ในนาทีนั้น มันเป็นเพลงที่ออริจินัลและสร้างสรรค์ที่สุดในแวดวงดนตรีป๊อบ

The Beatles ไม่มีห่วงผูกมัดในเรื่องการต้องออกทัวร์คอนเสิร์ทอย่างบ้าคลั่งเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
พวกเขามีเวลาและพื้นที่มากขึ้นในการสยายปีกแห่งอัจฉริยภาพทางดนตรีกาล
พวกเขากำลังจะให้โลกได้รับรู้ถึงศักยภาพที่จริงแท้ของ The Beatles

หลายปีต่อมา ในครัวของ Dakota apartment ของจอห์นในนิวยอร์ค
จอห์นกับผมนั่งคุยกันเรื่องเก่าๆสมัยรุ่งเรืองของเรา เหมือนกับชายแก่สองคนรำลึกความหลัง อยู่ดีๆจอห์นก็จ้องเขม็งมาที่ผม
"คุณรู้อะไรไหม,จอร์จ" เขาบอก "ถ้าผมมีโอกาสนะ,ผมจะอัดเสียงทุกอย่างที่เราทำไปทั้งหมดอีกครั้ง"
"อะไรนะ?" ผมตอบ "แม้แต่ 'Strawberry Fields Forever' ?"
"โดยเฉพาะ 'Strawberry Fields Forever' เลยล่ะ" เขาบอกต่อ "เพลงส่วนมากที่ The Beatles ทำลงไปน่ะ มันเฮงซวยทั้งนั้น"
ผมช็อค

สำหรับจอห์น, วิสัยทัศน์มาก่อนความเป็นจริงเสมอ ทุกอย่างภายในตัวเขามันยิ่งใหญ่กว่าที่เราได้เห็น,ที่โลกได้รับรู้
นั่นล่ะชีวิตของเขา

Last Updated ( Tuesday, 01 April 2008 )
spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Sellers in Clothing