Syd Barrett Written by Panyarak Poolthup Transcribed by Agent Fox Mulder จากนิตยสาร Starpics (1989)
“หลังจากที่ Pink Floyd ยุคแรกเกิดต้องประสบปัญหาต่างๆ นานา จนแทบประคับประคองวงกันต่อไปไม่ไหว สมาชิกของวงสามคนคือ Roger Waters, Nick Mason และ Richard Wright ก็เห็นว่า Syd Barrett คือตัวปัญหาจนมีดำริกันที่จะกำจัด Syd ออกไปจากวง เพื่อให้วง Pink Floyd อยู่รอดต่อไปได้ทั้งๆ ที่ Syd คือคนตั้งชื่อวง แต่งเพลงแทบทั้งหมดให้วง รวมทั้งเป็นนักร้องนำ และมือกีตาร์ของวง”
หลังจากความสำเร็จของ The Piper At The Gates Of Dawn อัลบั้มชุดแรกแล้ว Syd ก็เริ่มทำตัวเหลวไหลทั้งในชีวิตส่วนตัวและบนเวทีการแสดง โดยเฉพาะบนเวทีการแสดง Syd จะบ้าเต็มทีจนเพื่อนร่วมวงคุมไม่อยู่ และการแสดงมักจะจบลงด้วยความหายนะ ทั้งด้านการแสดงและการตอบสนองจากผู้ชม
Roger Waters ได้เสนอทางเลือกหนึ่ง คือให้ Syd อยู่กับวงต่อไปในสถานะสมาชิกของวงและผู้แต่งเพลงให้วง แต่ห้ามขึ้นเวทีการแสดง โดยเพิ่ม David Gilmour เข้ามารับหน้าที่แทน Syd บนเวที แต่ในที่สุด Syd ก็ออกจากวงไปในขณะที่บันทึกเสียงอัลบั้ม A Saucerful Of Secrets ไปได้เพียงครึ่งเดียว
หลังจากออกจาก Pink Floyd ไปแล้ว Syd กลับไปเป็นจิตรกรตามที่เขาถนัด แล้วก็มีอัลบั้มส่วนตัวออกมา
The Madcap Laughs (1970) อัลบั้มนี้ Produce โดย David Gilmour, Roger Waters และ Malcolm Jones เครื่องดนตรีหลักบรรเลงโดยอคูสติกกีตาร์ Syd ทั้งร้องและพูด เมื่อฟังโดยรวมแล้วค่อนข้างน่าเบื่อ ผิดกับ The Piper At The Gates Of Dawn และจะสังเกตได้ชัดถึงอิทธิพลดิบของดนตรีแนว Psychedelic Rock ที่ Syd คลั่งไคล้
Barrett (1970) อัลบั้มนี้ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศเช่นเดียวกับอัลบั้มแรกโดยไม่เสื่อมคลาย นอกจากนี้ระบบเสียงที่ค่อนข้างทึบก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมให้อัลบั้มชุดนี้มีความน่าฟังลดน้อยลง
ช่วงต่อจากนี้ Syd Barrett ออกแสดงตามเวทีต่างๆ บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่ง John Peel ได้บันทึกไว้เป็นอัลบั้มแสดงสดของ Syd ในปี 1972 Syd ออกแสดงโดยเป็นวงปิดรายการให้ Skin Alley และ Mcs แต่การที่เขาหมดความสนใจในการเป็นนักดนตรี ทำให้การแสดงของเขาน่าเบื่อสุดขีด เขาร้องเพลงโดยยืนห่างจากไมโครโฟนมากเกินไป จนคนฟังไม่ได้ยิน สิ่งที่เขาร้องเป็นเหตุให้ผผู้ชมเดินออก และเมื่อเขาร้องเพลง Octopus ซึ่งเป็นเพลงแรกการแสดงของเขาจบลง คนดูก็เหลือเพียง 30 คน การแสดงจบลงด้วยการที่นิ้วชี้ขวาของเขาเลือดไหลไม่หยุด
ในปี 1974 Syd พยายามทำอัลบั้มชุดที่สาม แต่ไม่สำเร็จ เขาเดินเข้าห้องอัดเสียงพร้อมกีตาร์ที่ไม่มีสาย เขาจึงต้องไปยืมสายมาจาก Phil May จากวง Pretty Things เมื่อเขาขอร้องให้คนช่วยพิมพ์เนื้อร้องให้ แต่คนพิมพ์เกิดใช้ผ้าหมึกสีแดงพิมพ์ให้ เมื่อมายื่นให้ Syd นึกว่าเป็นบิลล์เก็บเงินจึงโดดเข้ากัดนิ้วของคนพิมพ์ ผลของความพยายามบันทึกเสียงใน 3 วันตามที่ Syd จองห้องอัดไว้ มีเพียง Backing Track ที่ยังไม่ได้อัดเสียงร้อง ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใดๆ ได้
อัลบั้มที่ปรากฎออกมาในปี 1974 จึงกลายเป็นอัลบั้มคู่ที่จับ 2 อัลบั้มที่ผ่านมาออกใหม่เป็นชุดเดียวกัน โดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า Syd Barrett
Opel (1988) เป็นอัลบั้มที่ออกมาในโอกาสครบรอบ 20 ปีที่ Syd ออกจาก Pink Floyd ซึ่งรวบรวมเพลงที่ Syd เคยบันทึกเสียงไว้แต่ไม่ได้นำไปใช้ในอัลบั้ม 2 ชุดดังกล่าว เพลงส่วนหนึ่งบันทึกเสียงไว้ในปี 1968 ในช่วงที่เขาออกจาก Pink Floyd ใหม่ๆ ส่วนหนึ่งบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้ม The Madcap Laughs แต่เป็น Version ที่ไม่ได้ใช้ฟังดูไพเราะสดใสกว่า Version ที่ได้มีโอกาสไปปรากฎในอัลบั้ม อย่างไรก็ดี ไม่มีเพลงใดที่มาจากความพยายาม เมื่อคราวที่ Syd พยายามทำอัลบั้มชุดที่สาม เนื่องจากคุณภาพไม่เข้าขั้น
แม้ว่าฝีมือของ Syd Barrett จะส่องประกายอยู่ในระยะเวลาอันสั้นแต่อัลบั้ม Opel คือการรวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดที่ Syd เคยผลิตไว้ในฐานะนักดนตรีที่คนปัจจุบันเห็นคุณค่า จึงได้นำมารวบรวมไว้ มิฉะนั้นแล้วเพชรในตมเหล่านี้คงสูญหายไปกับกาลเวลา ซึ่งนับวันชื่อเสียงของ Syd Barrett มีแต่จะจางหายไปทั้งๆ ที่เขาคือผู้ให้กำเนิด Pink Floyd วงดนตรีที่สามารถดำรงอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบันได้ เพราะปราศจาก Syd Barrett
ในปี 1975 ขณะที่ Pink Floyd กำลังบันทึกเสียงอัลบั้ม Wish You Were Here อยู่ Syd ก็มาปรากฎตัวในห้องอัดเสียงด้วยศีรษะอันล้านเกลี้ยงและร่างอ้วนที่ปึ้ก เนื่องจากรับประทานหมูเข้าไปมาก เมื่อ Roger Waters เห็นสภาพที่เหมือนคนบ้าของ Syd เขาถึงกับน้ำตาซึม การปรากฎตัวของ Syd ประจวบเหมาะพอดีกับการบันทึกเสียงอัลบั้มที่ ‘You’ ในชื่ออัลบั้มหมายถึง Syd และเนื้อร้องส่วนหนึ่งของเพลง Shine On You Crazy Diamond กล่าวถึง Syd ในฐานะสัญลักษณ์ของวง Pink Floyd
|