Pure Reason Revolution – The Dark Third
Written by Lilium วันที่ 23 เมษายน 2551 Rating : Tracklist 1. Aeropause (5:04) 2. Goshen's Remains (5:45) 3. Apprentice Of Ohe Universe (4:16) 4. The Bright Ambassadors Of Morning (11:56) 5. Nimos Ond Tambos (3:44) 6. Voices On Winter / In The Realms Of The Divine (6:35) 7. Bullitts Dominæ (5:22) 8. Arrival / The Intension Craft (8:53) 9. He Tried To Show Them Magic! / Ambassadors Return (5:18) Line-up/Musicians - Jon Courtney / vocals, guitars, keyboards - Chloe Alper / vocals, bass guitars - Jamie Wilcox / vocals, guitars - joined April 2005 - Jim Dobson / vocals, keyboard, guitar, bass guitar, violin - Andrew Courtney / drums
จำได้ว่าได้ยินชื่อของวงนี้มามากพอสมควรเหมือนกัน แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ฟังสักที ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะปกอัลบั้มนี่แหละครับ ดูแล้วเดาไม่ออกเลยเลยว่าแนวอะไร ไม่ค่อยกระตุ้นความอยากฟังเลยครับ ครับ ถ้าปล่อยเอาไว้ก็จะไม่ได้ฟังสักที เมื่อไม่กี่วันนี้ก็เอามาลองฟังสักหน่อย ปรากฏว่าเพลงดีผิดคาดเลยครับผม เป็น New Prog รุ่นใหม่ไฟแรงที่ฝีมือเอาเรื่องทีเดียว
The Dark Third คืออัลบั้มแรกของทางวงครับ (แต่ก่อนหน้านี้มีอีพีออกมาเยอะมาก) เรียกได้ว่าแค่เปิดตัวอัลบั้มแรกก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจกันแล้ว ด้วยดนตรีของวงนี้ฟังไม่ยากมาก ก็เหมือนวง New Prog ทั่วไปครับที่เอาอัลเตอร์เนทีฟร๊อคมาผสมกับโปรเกรสสีฟร๊อค และ Pure Reason Revolution ก็ทำออกมาได้อย่างไม่เคอะเขินและลงตัวมากๆครับ เปิดตัวด้วย Aeropause เพลงบรรเลงสวยๆ กีตาร์ใสๆกรุ่นกลิ่นอาย Space Rock หน่อยๆ งดงามและล่องลอย ซึ่งเชื่อมต่อไปยัง Goshen’s Remain ที่ร้องนำโดยเสียงสวยๆเท่ๆของ Chloe Alper มือเบสของวง เป็นร๊อคที่ฟังง่าย ท่อนคอรัสติดหูและกระตุ้นอารมณ์แบบอัลเตอร์เนทีฟร๊อคดีครับ Jim Dobson มือคีย์บอร์ดยังฝากฝีมือการเล่นไวโอลินไว้ในตอนท้ายๆด้วย ทางด้าน Apprentice of the Universe เป็นเพลงช้าๆที่เคล้ากลิ่นอายสเปซร๊อคเล็กน้อย มีท่อนร้องประสานสวยงาม ฟังแล้วนึกถึง Porcupine Tree ได้เหมือนกันครับ ขณะที่ The Bright Ambassadors of Morning เป็นเพลงที่ยาวที่สุดในอัลบั้ม มีมูฟเมนต์ที่หลากหลายครับ ขึ้นต้นด้วยเสียงเอื้อนประสานที่ไพเราะล่องลอย ก่อนจะตามมาด้วยดนตรีที่มีจังหวะเร่งเร้าขึ้นมาหน่อย เพลงนี้ฟังแล้วนึกถึงพวก Neo-Prog ได้ครับ เพลงนี้ร้องด้วยเสียงประสานทั้งชายและหญิง ไพเราะมากๆครับ ดนตรีจะค่อยๆเร่งเร้าขึ้นไปเรื่อยๆจนไปถึงจุดสูงสุดในช่วงท้ายครับ ทางด้าน Nimos & Tambos เป็นเพลงฟังง่ายๆเบาๆในช่วงต้น เสียงประสานยังคงเพราะมากเช่นเคย ก่อนจะหักอารมณ์ในช่วงท่อนคอรัสที่รวดเร็ว พุ่งทะยานไปข้างหน้า และจะเป็นอย่างนี้ไปจนจบเพลงครับ ฟังดูเท่เอามากๆเลยทีเดียว เช่นเดียวกับ Voices in the Winter / In the Realms of the Divine ก็ขึ้นต้นช่วงแรกอย่างช้าๆล่องลอยๆ นึกถึง Porcupine Tree อีกแล้วครับ ท่อนบรรเลงมีเสียงไวโอลินคลอเล็กน้อย ก่อนที่ช่วงครึ่งหลังของเพลงจะปลดปล่อยกันอย่างเต็มที่ครับ ด้วยจังหวะที่รุกเร้ารวดเร็ว ไวโอลินก็สีตามไปได้อย่างเมามันส์ทีเดียว ส่วน Bullitts Dominae ก็เป็นอัลเตอร์เนทีฟร๊อคช้าๆสวยงาม มีท่อนฮุกที่หนักแน่น Arrival / The Intension Craft ขึ้นต้นด้วยดนตรีและเสียงเครื่องสายที่ฟังดูยิ่งใหญ่ เพลงนี้ยาวเป็นอันดับสองในอัลบั้มครับ เป็น New Prog ชั้นดีที่ฟังแล้วกระตุ้นอารมณ์ตลอดเวลาโดยไม่ทิ้งความงดงามไป ก่อนจะปิดท้ายด้วย He Tried To Show Them Magic! / Ambassadors Return เพลงปิดท้ายที่ดีเป็นมาตรฐานของวงครับ แต่ไม่โดดเด่นสักเท่าไร เท่าที่ฟังดูวงนี้น่าจะอนาคตไกลทีเดียวครับ เพราะสมาชิกแต่ละคนยังดูอายุน้อยๆกันอยู่เลย และดูเหมือนว่าจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองพอสมควร โดยเฉพาะเสียงร้องประสานชาย+หญิงอันไพเราะและดนตรีที่ฟังสนุก รุกเร้า ตื่นตาตื่นใจ ฟังแล้วไม่เบื่อ ที่สำคัญคือน่าจะจับกลุ่มแฟนเพลงรุ่นใหม่ได้พอสมควร ก็ขอให้วงพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกเรื่อยๆอย่าเพิ่งหมดไฟและไอเดียก็แล้วกันครับ รับรองว่าอนาคตสดใสแน่นอน
|