spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
Home arrow Pain of Salvation - Remedy Lane (Celestial Subway)
Pain of Salvation - Remedy Lane (Celestial Subway) PDF Print E-mail
Written by Agent Fox Mulder   
Saturday, 09 August 2008

Pain of Salvation - Remedy Lane

Written by Celestial Subway
วันที่  1 สิงหาคม 2551


Tracks
1. Of Two Bginnings
2. Ending Theme
3. Fandango
4. A Trace of Blood
5. This Heart of Mine (I Pledge)
6. Undertow
7. Rope Ends
8. Chain Sling
9. Dryad of the Words
10. Remedy Lane
11. Waking Every God
12. Second Love
13. Beyond the Pale

Studio Album, released in 2002


งานชุดนี้ของ Pain of Salvation เป็นอีกหนึ่งชุดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมาสเตอร์พีซของทางวง และก็เป็นผลงานสตูดิโอลำดับที่สี่ที่ออกวางแผงในปี 2002 เป็นเป็นช่วงที่สมาชิกหลักๆอยู่กันพร้อมหน้า (ตอนนี้มือเบสเปลี่ยนเป็น Simon Andersson และ มือกลองเป็นชาวฝรั่งเศส ชื่อ Leo Margarit) ส่วนตอนนี้พวกเขาก็คงง่วนกับการออกทัวร์และก็ทำอัลบั้มใหม่กันอยู่แน่ๆ แดเนียลบอกว่ากำลังง่วนกับดีวีดีอยู่ด้วย คาดว่าคงจะเสร็จในเร็ววัน สำหรับคอนเซ็ปต์ในคราวนี้จะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องติดตามกันในตอนต่อไป

สำหรับเนื้อหาในชุดนี้ก็อยู่ในคอนเซ็ปต์ "มนุษย์ผู้เกิดมาเพื่อหาคำตอบในชีวิต" ซึ่งดูจะคล้ายๆชุดก่อนหน้า (One Hour by the Concrete Lake) ไปบ้าง แต่มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า เนื้อหาจึงจะครอบคลุมไปถึง รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะทำให้เราเหล่าผู้ฟังได้สัมผัสหลายๆอารมณ์ของชายหนุ่มคนหนึ่ง (ซึ่งก็คือ แดเนียล กิลเดนโลว์ นั่นเอง) ตัวเขาเองก็ได้บอกไว้ว่างานชุดนี้จะเป็นแรงบันดาลใจมาจาก "ช่วงที่ได้เรียนรู้ว่าอิสรภาพเป็นอย่างไร" และชื่อ Remedy Lane นี้ก็แปลว่า "การเดินบนถนนสายความทรงจำ" ซึ่งคล้ายกับว่าเราจะย้อนไปเรียนรู้อดีตที่ผ่านมานั่นเอง เจ้าตัวยังบอกไว้อีกว่าอัลบั้มนี้เป็นงานที่มีความเป็นส่วนตัวที่สุดเท่าที่เคยทำมา

สำหรับงานดนตรีของชุดนี้ก็ค่อยข้างจะ "อีโม" (ในที่ไม่ใช่อีโมคอร์หรืออีโมที่มาจากฮาร์ดคอร์พังค์นะครับ) คืองานที่เน้นโทนอารมณ์ความรู้สึกเป็นอย่างมาก สิ่งนี้เองทำให้พวกเขามี "จุดเด่น" ซึ่งแตกต่างจากวงโปรเกรสสีฟเมทัลอื่นๆ ถึงแม้วงนี้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มโปรเกรสสีฟเมทัลก็ตาม สุ้มเสียงดนตรีในชุดนี้ก็ค่อนข้างจะเบาอยู่พอสมควร จนน่าจะจับไปอยู่ในหมวดเฮฟวี่พร็อกร่วมกับ Porcupine Tree  ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้มากกว่าเสียอีก แม้ว่าชุดนี้อาจจะไม่ได้มีความอลังการเท่ากับชุดต่อมาอย่าง Be ทางวงยังใส่ใจรายละเอียดจนทำให้ภาคดนตรีนั้นสามารถสื่ออารมณ์ไปถึงผู้ฟังได้ ซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

ขึ้นชื่อว่าโปรเกรสสีฟแล้วก็ย่อมต้องมีเทคนิคขึ้นมาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีหลายเพลงเลยทีเดียวที่พวกเขาได้ฝากฝังฝีมือเอาไว้ ภาคกีต้าร์ของทั้ง Johan Hallgren และแดเนียลก็มีการประสานงานกันอย่างแม่นยำ แต่ริฟและลีดส่วนใหญ่จะเป็นของ JH ส่วนแดเนียลจะมีส่วนโซโลด้วยในบางเพลง (ถ้าลองเปิดดูในบุ๊คเล็ตของชุดนี้จะมีบอกว่าใครโซโล) เบสของคุณน้องชาย (Kristoffer) ก็มีเทคนิคมาเสริมบ้างนิดๆหน่อยๆ แต่เสียงก็ยังคมเช่นเคย ส่วนคีย์บอร์ด/เปียโนของ Fred ก็ทำหน้าที่ได้อย่้างโดดเด่น แม้จะไม่มีโอกาสโซโลก็ตาม มีการสร้างเมโลดีคอยคลอตามไปกับเพลงอย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลองของ Langell นั้นมีแพทเทิร์นที่หลากหลายอารมณ์ บางช่วงก็สนุกสนาน บางช่วงก็ช้าหม่น เสียงรัวกระเดื่องของเขามีความชัดเจนดี และสิ่งที่ขาดไม่ได้ของวงเลยก็คือ "จังหวะขัด" ซึ่งในชุดนี้ก็มีเพลงเน้นๆอย่าง Fandango, Waking Every God, A Trace of Blood และยังมีเพลงเปลี่ยนจังหวะอย่าง Rope Ends อีก ส่วนเสียงร้องของแดเนียลในชุดนี้จะเน้นอารมณ์มากกว่าชุดอื่นๆ ด้วยความที่ตัวเขามีระยะของเสียงที่กว้าง เขาจึงสามารถร้องเสียงสูงได้ไม่เพี้ยน ตัวอย่างการโหนเสียงของเขาก็ลองฟังได้จากเพลง Waking Every God ช่วงก่อนที่จะโซโลกีต้าร์ได้เลย เสียงของแดเนียลไม่ค่อยแหลมมากทำให้เวลาร้องนั้นดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น (แดเนียลเป็นคนที่เสียงใหญ่โดยธรรมชาติ)

ถ้าใครชอบเพลงบัลลาดปอปหรือร็อคก็น่าจะชอบเพลงคนรักเมียอย่าง This Heart of Mine (I Pledge) ได้ไม่ยาก เพราะตัวดนตรีในเพลงนี้ค่อนข้างนุ่มนวลพอตัว เนื้อหาในเพลงนี้มีความหมายที่ลึกซึ้ง และสะท้อนให้เห็นความศรัทธาที่มีต่อหญิงอันเป็นที่รักได้อย่างดีทีเดียว (แดเนียลเขียนเพลงนี้ให้กับภรรยาของเขา Johanna Iggsten) ส่วนงานที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อยน่าจะเป็น Fandango ที่มีดูจะเน้นที่ทำนองขัดๆเป็นพิเศษ แต่เนื้อหาค่อนข้างมีพลัง โดยเฉพาะตรงช่วงท่อนสร้อย "Live that you might find the answer, you can't know before you live..." ท่อนนี้เป็นท่อนที่เน้นโดยการเหยียบกระเดื่องไปพร้อมกับเสียงร้องด้วย ซึ่งเป็นสีสันอีกอย่างหนึ่งของเพลง และ Waking Every God ที่มีจุดเด่นตรงการโหนเสียงที่ได้อารมณ์ของแดเนียลซึ่งสูงมาก(กว่าคนปกติ) และงานดนตรีก็ทำได้ไพเราะสวยงามแม้จังหวะจะซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม เนื้อหาของเพลงเปรียบได้กับการถามว่า "อิสระอยู่ตรงไหน"

มนุษย์ทุกคนย่อมมีคำตอบในชีวิตของตัวเอง อยู่ที่ตัวเราเองแล้วว่าจะหา "คำตอบ" เหล่านั้นเจอหรือไม่ ว่า "เกิดมาเพื่ออะไร" และอัลบั้มนี้ก็น่าจะเป็นตัวแทนของความรู้สึกของชายที่ชื่อ แดเนียล กิลเดนโลว์ ได้อย่างดี แล้วทุกคน แม้แต่ผู้เขียนเอง รู้หรือไม่ว่าคำตอบของชีวิตแต่ละคนอยู่ที่ไหน ทุกอย่าง อยู่ที่จิตใจเราเป็นตัวกำหนด...
Last Updated ( Saturday, 09 August 2008 )
spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
spacer.png, 0 kB
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Sellers in Clothing