ต่อไป »

[เมตัลลิก้าเมก้าเดธ]

ได้มาแล้วครับ แต่ยังไม่ได้แกะเลย แต่ขอยกให้เป็นหนึ่งในอัลบัมยอดเยี่ยมแห่งปี 2013 ไปเรียบร้อยครับ

เห็นด้วยครับ ฟังมาอาทิตย์ นึงยังไม่เบื่อเลย

[JKNoremorse]

ได้มาแล้วครับ แต่ยังไม่ได้แกะเลย แต่ขอยกให้เป็นหนึ่งในอัลบัมยอดเยี่ยมแห่งปี 2013 ไปเรียบร้อยครับ

เห็นด้วยครับ ฟังมาอาทิตย์ นึงยังไม่เบื่อเลย

... in ruin yeah, yeah,,
... in ruin yeah, yeah,,

ยังไม่แกะ ก็ยกให้เป็น best of 2013 ซะแระ_? ฟังแล้วมาเล่าให้ฟังหน่อยนะครับ

[เมตัลลิก้าเมก้าเดธ]

ได้มาแล้วครับ แต่ยังไม่ได้แกะเลย แต่ขอยกให้เป็นหนึ่งในอัลบัมยอดเยี่ยมแห่งปี 2013 ไปเรียบร้อยครับ

เห็นด้วยครับ ฟังมาอาทิตย์ นึงยังไม่เบื่อเลย

... in ruin yeah, yeah,,
... in ruin yeah, yeah,,

ยังไม่แกะ ก็ยกให้เป็น best of 2013 ซะแระ_? ฟังแล้วมาเล่าให้ฟังหน่อยนะครับ

ใช้ วิชา ลาวโดด มาก่อน ครับ หาได้ใน อ่าวโจรสลัด (http://thepiratebay.sx/) มีทุกสิ่งให้เลือกสรรค์
แล้วก็ซื้อแผ่นไทยมานอนกอด 1 แผ่น ไม่แกะ

[Pong-Wanchai]

ไ้อ้โรคติดต่อไม่ยอมแกะนี่มันชักระบาดไปกันใหญ่ซะแล้วสิ !?!?!?!      

[JKNoremorse]

ไ้อ้โรคติดต่อไม่ยอมแกะนี่มันชักระบาดไปกันใหญ่ซะแล้วสิ !?!?!?!      

พี่โป่้งกำลังฟังอยู่ใช่ไหมครับ อากาศดี ๆ ครึ้ม ๆ เลยนะครับเช้านี้

[Pong-Wanchai]

ไ้อ้โรคติดต่อไม่ยอมแกะนี่มันชักระบาดไปกันใหญ่ซะแล้วสิ !?!?!?!      

พี่โป่้งกำลังฟังอยู่ใช่ไหมครับ อากาศดี ๆ ครึ้ม ๆ เลยนะครับเช้านี้

ใช่ครับ กำลังเปิดโบนัสแทร็คทั้งสี่ฟังอยู่ พอได้ฤกษ์ก็จะมา "บรรเลง" วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาให้อ่านกันแน่นอน 

[เมตัลลิก้าเมก้าเดธ]

ไ้อ้โรคติดต่อไม่ยอมแกะนี่มันชักระบาดไปกันใหญ่ซะแล้วสิ !?!?!?!      

พี่โป่้งกำลังฟังอยู่ใช่ไหมครับ อากาศดี ๆ ครึ้ม ๆ เลยนะครับเช้านี้

ใช่ครับ กำลังเปิดโบนัสแทร็คทั้งสี่ฟังอยู่ พอได้ฤกษ์ก็จะมา "บรรเลง" วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาให้อ่านกันแน่นอน 

รอๆๆ ครับ

[PANTERISTA]

ไ้อ้โรคติดต่อไม่ยอมแกะนี่มันชักระบาดไปกันใหญ่ซะแล้วสิ !?!?!?!      

พี่โป่้งกำลังฟังอยู่ใช่ไหมครับ อากาศดี ๆ ครึ้ม ๆ เลยนะครับเช้านี้

ใช่ครับ กำลังเปิดโบนัสแทร็คทั้งสี่ฟังอยู่ พอได้ฤกษ์ก็จะมา "บรรเลง" วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาให้อ่านกันแน่นอน 

รอๆๆ ครับ

ถูกของพี่ๆครับ มีหลายวง หลายแผ่นที่ผมไม่ยอมแกะแผ่นแท้ แล้วก็เก็บไว้เป็นปีๆอยู่ในห้องซะอย่างงั้น

แล้วก็ไปหาโหลดมาฟังเอา เพราะผมเกรงว่า ผมจะไม่ได้ฟังแผ่นนั้นบ่อย ก็เลยเลือกที่จะฟังที่โหลดมา หรือไม่ก็ฟังใน ยูทูบเอาน่ะครับ

ยังฟังไม่จบอัลบัมครับ แต่ฝันไปแล้วว่า พวกเขาน่าจะไม่เล่นตัวเหมือน ไอ้เม็ด ในการมาโชว์ที่บ้านเรา หากว่ามีใครคิดจะจัด อิอิ

[TRON]

แต่ผมว่าฟังจากแผ่นเสียงดีกว่าฟังไฟล์ mp3 เยอะนะครับ (เพราะความละเอียดก็ต่างกันด้วย) เสียดายถ้ามีแผ่นน่าจะฟังจากแผ่นมากกว่า ได้อ่านรายละเีอียดใน booklet เวลาฟังได้อรรถรสมากขึ้นด้วย ความเห็นส่วนตัวนะครับ

[เมตัลลิก้าเมก้าเดธ]

แต่ผมว่าฟังจากแผ่นเสียงดีกว่าฟังไฟล์ mp3 เยอะนะครับ (เพราะความละเอียดก็ต่างกันด้วย) เสียดายถ้ามีแผ่นน่าจะฟังจากแผ่นมากกว่า ได้อ่านรายละเีอียดใน booklet เวลาฟังได้อรรถรสมากขึ้นด้วย ความเห็นส่วนตัวนะครับ

เปิดจากคอม กับลำโพงถูกๆ Flac 16  Bit ก็พอ ไม่มีปัญญาซื้อแผ่นเสียง และัเครื่อง    ซีดียังต้องอุดหนุนเวอร์ชั่น เมดอินไทยเลยเลยฮะ 

[JKNoremorse]

แต่ผมว่าฟังจากแผ่นเสียงดีกว่าฟังไฟล์ mp3 เยอะนะครับ (เพราะความละเอียดก็ต่างกันด้วย) เสียดายถ้ามีแผ่นน่าจะฟังจากแผ่นมากกว่า ได้อ่านรายละเีอียดใน booklet เวลาฟังได้อรรถรสมากขึ้นด้วย ความเห็นส่วนตัวนะครับ

เปิดจากคอม กับลำโพงถูกๆ Flac 16  Bit ก็พอ ไม่มีปัญญาซื้อแผ่นเสียง และัเครื่อง    ซีดียังต้องอุดหนุนเวอร์ชั่น เมดอินไทยเลยเลยฮะ 

อุตส่าห์ซื้อซีดีแล้วก็ฟังจากแผ่นเถอะครับ ถึงแม้ว่าจะฟังแค่ครั้งเดียว แล้วก็อปใส่แผ่นซีดีอาร์
ฟังจากแผ่น ดูปก อ่านรายละเอียดเนื้อเพลง ถึงแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจความหมายอะไรทั้งหมด

แต่เชื่อผมเถอะ ฟีลลิ่ง มันต่างกันเยอะครับ

ถ้าคุณฟัง God is Dead จาก MP3 ว่าเพราะแล้ว
ึุเมื่อคุณฟัง God is Dead จากแผ่นซีดี มันจะไพเราะ และเฮฟวี่กว่าอีกหลายเท่าเลยนะ 

[PANTERISTA]

แต่ผมว่าฟังจากแผ่นเสียงดีกว่าฟังไฟล์ mp3 เยอะนะครับ (เพราะความละเอียดก็ต่างกันด้วย) เสียดายถ้ามีแผ่นน่าจะฟังจากแผ่นมากกว่า ได้อ่านรายละเีอียดใน booklet เวลาฟังได้อรรถรสมากขึ้นด้วย ความเห็นส่วนตัวนะครับ

เปิดจากคอม กับลำโพงถูกๆ Flac 16  Bit ก็พอ ไม่มีปัญญาซื้อแผ่นเสียง และัเครื่อง    ซีดียังต้องอุดหนุนเวอร์ชั่น เมดอินไทยเลยเลยฮะ 

อุตส่าห์ซื้อซีดีแล้วก็ฟังจากแผ่นเถอะครับ ถึงแม้ว่าจะฟังแค่ครั้งเดียว แล้วก็อปใส่แผ่นซีดีอาร์
ฟังจากแผ่น ดูปก อ่านรายละเอียดเนื้อเพลง ถึงแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจความหมายอะไรทั้งหมด

แต่เชื่อผมเถอะ ฟีลลิ่ง มันต่างกันเยอะครับ

ถ้าคุณฟัง God is Dead จาก MP3 ว่าเพราะแล้ว
ึุเมื่อคุณฟัง God is Dead จากแผ่นซีดี มันจะไพเราะ และเฮฟวี่กว่าอีกหลายเท่าเลยนะ 

เดี๋ยวได้แกะแน่ครับ ปล่อยไว้ไม่ได้แน่นอน

[JKNoremorse]

เอารีวิวจากเว็บผู้จัดการมาฝากครับ

นรกเป็นพยาน ซาตานรับรู้...“แบล็ค ซับบาท”รียูเนียน พลังร็อกมนต์ดำยังขลัง

  35 ปีที่รอคอย...
       
       เปล่านี่ไม่ใช่การรอคอยกลับบ้านของนักโทษชายบางคนที่หนีคดีไปอยู่ต่างแดน แต่นี่เป็นการรอคอยของแฟนเพลงหูเหล็กจำนวนมากที่ถึงกาลสิ้นสุดลง เมื่อ 2 พ่อมดใหญ่ คือ “ออซซี่ ออสบอร์น” (Ozzy Osbourne) กับ “โทนี่ ไอออมมี่”(Tony Iommi) ที่ละวางอีโก้อันล้นทะลักรูกากหันมาจูบปากออกสตูดิโออัลบั้มร่วมกัน
       
       นับเป็นสตูดิโออัลบั้มครั้งแรกของทั้งคู่ในรอบ 35 ปี
       
       “แบล็ก ซับบาธ” (Black Sabbath) เป็นหนึ่งในวงผู้บุกเบิกดนตรีแนวเฮฟวี่ เมทัลตัวพ่อ พวกเขามีอิทธิพลอย่างสูงต่อการแตกแขนงออกไปของดนตรีแนวนี้ ไม่ว่าจะเป็น แทรช เมทัล(Tharsh Metal) เดธ เมทัล(Death Metal) แบล็ก เมทัล(Black Metal) ดูม เมทัล(Doom Metal)
       
       วงๆนี้ ก่อตั้ง โดย 4 หนุ่ม 4 มุม จากถิ่นเบอร์มิ่งแฮม นำโดย “โทนี่ ไอออมมี่”(Tony Iommi) มือกีตาร์สิงห์อีซ้ายรับหน้าที่ขยี้เส้นลวด 6 สาย, “ออซซี่ ออสบอร์น”(Ozzy Osbourne) แหกปากร้องนำ, “กีเซอร์ บัทเลอร์”(Geezer Butler) ตะปบเบส และ “บิลล์ วอร์ด”(Bill Ward) กระหน่ำกลอง

  เดิมวงนี้ใช่ชื่อว่า “The Earth” ก่อตั้งครั้งแรกในปี ค.ศ.1968 เล่นดนตรีแนว บลูส์ ร็อก แต่ว่าไปไม่รุ่ง จึงเก็บชื่อ The Earth ไปฝังดิน แล้วเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Black Sabbath ในปี 1969 พร้อมกับเปลี่ยนมาเล่นดนตรีหนักกะโหลกสนั่นปฐพี พูดถึงความลึกลับ ปีศาจ ความตาย ก่อนส่งอัลบั้มแรก “Black Sabbath”มาในปี 1970 อัลบั้มนี้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว ด้วยซาวนด์ดนตรีแบบใหม่ในแนวปีศาจลึกลับ จนทะยานพุ่งไปถึงอันดับ 23 ในชาร์ต บิลบอร์ด 200
       
       เมื่อน้ำมันรั่วให้รีบตัก เอ้ยไม่ใช่!!! เมื่อน้ำขึ้นให้รีบตัก แบล็ก ซับบาท อัดอัลบั้มที่สองตามมาทันทีในปีเดียวกันกับ “Paranoid”(1970) ที่ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอัลบั้มของวงนี้ เพลง “Paranoid” ที่ชื่อเดียวกับอัลบั้ม กลายเป็นหนึ่งในเพลงร็อกอมตะแห่งพื้นพิภพ ขณะที่เพลงอย่าง “War Pigs”กับ “Iron Man” ในชุดเดียวกันคือเป็นเพลงร็อกชั้นดีคู่บุญของวงๆนี้
       
       หลังจากนั้นแบล็ก ซับบาธ ส่ง 3 อัลบั้มชั้นดีเรียงหน้าตามๆกันมากับ “Master of Reality”(1971), “Volume 4” (1972) และ “Sabbath Bloody Sabbath” (1973) โดยมีการปรับเปลี่ยนทางดนตรีบ้างด้วยการนำเสียงคีย์บอร์ดเข้ามาเสริม ซึ่งเทพีแห่งความสำเร็จยังอยู่เคียงคู่กับอัลบั้มทั้งสาม

 แต่วิถีของยุทธจักรดนตรีก็เหมือนกับวิถีของคนคือมีขึ้น มีลง หลังจากชุดที่ 5 มนต์ดำของแบล็ก ซับบาธเริ่มเสื่อม ความนิยมถดถอย ดนตรีขาดพลัง นักดนตรีติดยา แถมสมาชิกในวงยังเกิดรอยร้าว จนกระทั่งในชุดที่แปด “Never Say Die!”(1978) ที่ชื่อชุดบอกว่าข้าไม่มีวันตาย แต่ความจริงคือวงแบล็ก ซับบาธเกือบตาย เมื่อพ่อมดโทนี่ไล่พ่อมดออซซี่ออก!!!(บ้างก็ว่าพ่อมดออซซี่ขอลาออกเองเพื่อไปเป็นศิลปินเดี่ยว)
       
       งานนี้นับเป็นแค้นฝังลึกของ 2 พ่อมดทั้งคู่ที่ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันอยู่หลายปี จนใครหลายๆคนคิดว่า Never Say Die! จะเป็นการปิดตำนานการทำสตูดิโออัลบั้มร่วมกันของโทนี่กับออซซี่
       
       อย่างไรก็ดีหลังบักออซซี่ผู้ดีเดือดเดินจากไป โทนี่ได้ดิ้นหานักร้องนำคนใหม่ สุดท้ายก็สามารถร่ายมนต์สะกดให้ยอดนักร้องนำที่เพิ่งเดินออกจากวง “เรนโบว์”(Rainbow)มาหมาดๆ คือ “รอนนี่ เจมส์ ดิโอ”(Ronnie James Dio) มาเป็นนักร้องนำคนใหม่ ปลุกฟื้นแบล็ก ซับบาธ ที่อยู่ในอาการอ่อนล้าให้กลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้งกับผลงานชุด “Heaven and Hell”(1980) ที่ถือเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มชั้นยอดในระดับมาสเตอร์พีชของวงๆนี้
       
       รอนนี่ยังทำงานร่วมกับแบล็ก ซับบาธ อีกหนึ่งชุดคือ “Mob Rules” (1981) ก่อนจะโบกมือบ๊ายบาย อำลาแบล็ก ซับบาธไปตามเส้นทางของตน ทำให้โทนี่ต้องเหนื่อยควานหานักร้องนำกันอีกครั้ง

 สิ้นจากยุครอนนี่ แบล็ก ซับบาธ ยังคงทำเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง ในลักษณะแบบขึ้นๆลงๆตามวิถีทางจนถึงปี 1995 ก่อนจะหยุดพักการออกสตูดิโออัลบั้มไปยาวนาน
       
       ในช่วงนี้แบล็ก ซับบาธ มีสมาชิกนักร้อง นักดนตรี ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าออกวงกันเป็นจำนวนมาก โดยพ่อมดออซซี่ได้รียูเนี่ยนหวนคืนถิ่นกลับมาเล่นขึ้นเวทีเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันอีกครั้งในช่วงปี 1997-2006 และอีกครั้งในช่วงปี 2010 เรื่อยมา
       
       การกลับมาของออซซี่ในช่วงหลัง มาพร้อมกับข่าวดีว่า แบล็ก ซับบาธ ภายใต้การขับเคลื่อนของ 2 พ่อมดโทนี่กับออซซี่จะมาร่วมกันออกอัลบั้มอีกครั้ง
       
       แล้ววันนั้นก็มาถึงเมื่อแบล็ก ซับบาธ ส่งผลงานสตูดิโออัลบั้มชุด “13” ออกมาในช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

   13 เป็นชื่ออัลบั้ม แต่เป็นสตูดิโอลำดับที่ 19 ของวง เป็นการกลับมารียูเนี่ยนกันของสมาชิกผู้ก่อตั้ง 3 คน คือ โทนี่,ออซซี่ และกีเซอร์ มือเบส ส่วนบิล วอร์ดมือกลองนั้นเป็นที่น่าเสียดายว่าน้าแกดันมามีปัญหากันก่อนหน้า ทำให้ถูกอัปเปหิไปนั่งตบยุงแทนตีกลอง ก่อนที่ทางวงจะเลือก “แบรด วิลค์” (Brad Wilk) จาก “Rage Against the Machine” มากระหน่ำกลองแทน
       
       อัลบั้ม 13 ได้พ่อมด “ริค รูบิน”(Rick Rubin) มาเป็นโปรดิวเซอร์ มีบทเพลงไม่มากไม่มายแค่ 8 เพลงตามสไตล์ของวงๆนี้ที่อัลบั้มส่วนใหญ่ของพวกเขาจะมีเพลงกันแค่ 8 เพลงเท่านั้น
       
       อัลบั้มชุดนี้ร่ายมนต์ดำเปิดตัวกันด้วย “End of the Beginning” ที่ถูกใช้เป็นเพลงประกอบในซีรีย์ สืบสวนสอบสวนยอดฮิต CSI เพลงนี้ขึ้นต้นพาร์ทแรกมาในซาวนด์และท่วงทำนองของความชั่วร้ายคล้ายเพลง Black Sabbath ในอัลบั้มแรก กีตาร์ เบส เดินย้ำตัวโน้ตเสียงต่ำๆยานๆสลับไปมาชวนขนหัวลุก จากนั้นทางวงเปลี่ยนเทมโป(Tempo)มาเป็นสปีดเร่งเร้า โทนี่กระแทกริฟฟ์นำมา ก่อนทางวงจะพร้อมใจกันควบกระหน่ำอย่างสะใจ นี่แหละใช่เลย แบล็ก ซับบาธ
       
       ต่อกันด้วย “God is Dead?” ซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยออกมามีความยาวถึง 8 นาที เป็นดูมหลอนๆ จังหวะหน่วงๆ กีตาร์เล่นโน้ตวนซ้ำย้ำความหลอน เปิดพื้นที่ให้ออซซี่โชว์เสียงร้องเปี่ยมพลัง ช่วง 2 นาทีท้าย เพลงเปลี่ยนพาร์ทมาอัดใส่ความมัน มีริฟฟ์กีตาร์ยืนพื้นเป็นทำนองหลัก
       
       “Loner” ริฟฟ์กีตาร์หนักแน่นหวดกระหน่ำนำมา ควบไปกลับ เบส กลอน ที่กระหน่ำทำหน้าที่ริทึ่มได้อย่างหนักแน่น เพลงนี้เป็นเฮฟวี่แบบยุค 70s -80s ไม่เน้นเร็วแต่ดุดัน มันเร้าใจ
       
       เบรกอารมณ์มาฟัง “Zeitgeist" บัลลาดช้าๆ มาในซุ่มเสียงแบบอะคูสติก กีตาร์ตีคอร์ดคลอไป ท่อนกลางโทนี่โซโลติดกลิ่นบลูส์นิดๆเน้นเมโลดี้กันแบบเก๋าพองาม ส่วนเบสเล่นโน้ตคุมจังหวะฟังเด่น ด้านแบรด วิลค์ เปลี่ยนจากฟาดกลองชุดมาเคาะคองก้าบางๆ เปิดพื้นที่ให้ออซซี่เปล่งน้ำเสียงแฝงความชั่วร้ายอย่างเต็มที่ ฟังไม่ดุแต่ได้อารมณ์เหงาๆปนลึกลับ

 กระชากอารมณ์กลับมาดุโหดอีกครั้งกับ “Age of Reason” กลองเพลงนี้โชว์ ทั้งลูกขัด ลูกส่ง ลูกสอด ลูกละเอียด ฟังเด่นมาก ส่วนกีตาร์ เบส เล่นริฟฟ์โน้ตทางเดียวกันคุมเพลงไปตลอด ก่อนที่โทนี่จะปล่อยของโซโลแบบมีเมโลดี้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างเต็มแม็กในช่วงท้าย
       
       “Live Forever” นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงมันๆในแบบดูมเมทัลที่ทางวงจัดเต็มใส่กันมา แล้วต่อด้วย “Damaged Soul” ฮาร์ด ร็อกหนักๆติดกลิ่นบลูส์ ฟังแล้วชวนย้อนอารมณ์กลับไปในยุค 70s ไม่น้อย ออซซี่นอกจากจะแหกปากร้องแล้วยังงัดเอาฮาร์โมนิก้ามาเป่าพอเป็นกระศัย ก่อนส่งต่อให้โทนี่โซโลในทางบลูส์อย่างบาดลึกและมันสะใจกับเทมโปที่เร่งสปีดขึ้นมา
       
       ส่วน “Dear Father”ออกไปทางแทรชเมทัล ที่แบล็ก ซับบาธเลือกมาปิดท้ายอัลบั้มได้อย่างสุดมัน
       
       และนั่นก็เป็น 8 เพลงจากซีดีปกติของอัลบั้มชุด 13 ส่วนในซีดีฉบับ Deluxe Edition นี่มีเพิ่มไปอีก 3 เพลง คือ “Methademic”, “Peace of Mind” และ “Pariah”
       
       สำหรับอัลบั้ม 13 ถือเป็นการต้อนรับการกลับมาออกอัลบั้มใหม่อีกครั้งของแบล็ก ซับบาธ หลังจากส่งอัลบั้มที่แล้ว “Forbidden”ออกมาตั้งแต่ปี 1995 แล้วหายหน้าหายตาจากการทำสตูดิโออัลบั้มไปร่วม 8 ปี (ขณะที่พวกแฟนเพลงรุ่นใหญ่ที่รอโทนี่กับออซซี่รียูเนี่ยนกลับมาร่วมงานกันอีกในรอบ 35 ปี)
       
       งานนี้ไม่น่าเชื่อว่าแม้วันนี้อายุอานามของสมาชิกวงทั้งสามจะอยู่ในวัยคุณลุงคุณปู่กันแล้ว แต่พลังขับเคลื่อนของพวกเขาในชุดนี้ยังมีไฟเหลือเฟือ ฟังมีความสดกว่าหลายๆชุดที่ผ่านมาเสียอีก
       
       กีเซอร์ ตะปบเบสคุมภาคริทึ่มได้อย่างหนักแน่นแม่นยำ ช่วยโอบอุ้มหนุนส่งให้เพลงทรงพลัง
       
       โทนี่พ่อมดหนวดมือกีตาร์สิงห์อีซ้าย ยังคงวาดลวดลายบนลดหกสายได้อย่างยอดเยี่ยม มนต์กีตาร์ของเขายังขลัง เปี่ยมพลัง มีลูกโซโลที่หลากหลายทั้งดุดัน พลิ้วไหว เน้นเมโลดี้ และบาดลึก อีกทั้งยังมีไอเดียในการคิดลูกริฟฟ์ต่างๆออกมาอย่างเหลือเฟือ ซึ่งมือกีตาร์ร็อกยุคหลังๆหลายๆวงมักละเลย(หรือละทิ้ง)การเล่นริฟฟ์กันไปแล้ว นอกจากนี้โทนี่ยังมีทางกีตาร์ที่เป็นลายเซ็นอันโดดเด่นของเขากับซุ่มเสียงอันลี้ลับ กระตุกขวัญ แฝงกลิ่นอายปีศาจอยู่เต็มเปี่ยม
       
       ส่วนด้านพ่อมดใหญ่ออซซี่เสียงแหกปากของเขายังคงเจ๋ง ทรงพลัง ไม่รู้ว่าลุงแกรักษาเสียงด้วยการดื่มเลือดค้างคาวตามที่ปรากฏเป็นภาพชั่วร้ายประจำตัวหรือเปล่า(ฮา) แต่ก็อย่านำพลังเสียงช่วงนี้ไปเปรียบเทียบกับมัยหนุ่มๆล่ะ
       
       ด้านแบรดมือกลอง งานนี้แม้จะมาเพิ่งมาใหม่เป็นมวยแทน แต่ก็ทำหน้าที่รักษาภาคริทึ่มได้เป็นอย่างดี เสียงกลองของแบรดแม้จะฟังไม่หนักกะโหลกและโฉ่งฉ่างเท่าบิล แต่ว่าแบรดมีเรื่องของลูกละเอียดที่ถือว่าทำได้ดีทีเดียว
       
       สำหรับ 13 แม้จะไม่ใช่อัลบั้มที่สุดยอดเพอร์เฟค เนื้องานไม่มีอะไรแปลกใหม่สำหรับแบล็ก ซับบาธ (จะมีใหม่ก็ตรงซาวนด์บันทึกเสียงที่มีความร่วมสมัย) แต่นี่ถือเป็นอัลบั้มที่คุ้มค่าการรอคอย บทเพลงในชุดนี้ฟังโดดเด่นไปด้วยทางดนตรีที่เป็นลายเซ็นเฉพาะตัวของแบล็ก ซับบาธ ทั้งหนักแน่น ดุดัน แฝงไปด้วยซาวนด์ลี้ลับกลิ่นอายปีศาจ นับเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มยอดเยี่ยมของทางวงที่พวกเขาโหยหาบรรยากาศแบบนี้มานานมากแล้ว(นับจาก Heaven and Hell)
       
       ที่สำคัญคืองานเพลงชุดนี้ได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงอย่างสูงล้น สามารถทะยานขึ้นไปครองอันดับหนึ่งทั้งในบิลบอร์ด 200 และใน UK ชาร์ต รวมถึงขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ ที่แม้แต่ทางวงเองก็คาดไม่ถึง ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 43 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งวงมาเลยทีเดียว

[axlrose]

อ่านไปฟังไป ได้อารมณ์ เพลิดเพลินดีครับ

[Pong-Wanchai]

แผ่นบู้ทเล็คชุดใหม่ล่าสุดของคณะ Black Sabbath...