1. Molotov 1502
2. Glacial 1602
3. Corrosive 1702
4. Haze 1402
อัลบั้มนี้เป็นงานที่ผมคิดจะนำมาเขียนตั้งแต่ประมาณสองสามเดือนที่แล้วซึ่งเป็นช่วงที่ได้ตัวอัลบั้มมาใหม่ๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้นำมาเขียนอย่างจริงจังเสียที เนื่องจากมีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้ผมไม่มีเวลาจะมาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพี่สตีแว่น วิลสัน อีกเลย สำหรับ Bass Communion นี้ ดนตรีของพี่แว่นจะมาเน้นทางอิเลกโทรนิก (แอมเบียนท์) เป็นหลัก พร้อมกันนั้นพี่ท่านยังจะทำเป็นดนตรีแบบ ‘โดรน’ แบบลากยาวที่หลายๆท่านคงจะขยาดไปอีกนาน ถ้าจะให้ผมบอกว่าโปรเจ็คชิ้นนี้เป็นงานที่หลอนที่สุดของพี่แว่นก็ไม่น่าจะผิดอะไร เพราะดนตรีมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเสียง Distortion ที่แตกราวกับระเบิดลง สลับกับ Dronescapes ที่สร้างขึ้นมาเพื่อผ่อนคลาย ทั้งหมดนนี้ล้วนมาจากกีต้าร์ของพี่แกเองทั้งนั้น
โปรเจ็คชุดนี้ของพี่แว่นมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งในเรื่องการสั่งซื้อ เพราะว่าค่ายเพลงก็อยู่ที่อังกฤษ และงานแต่ละชุดของแกก็ออกกับต่างค่ายเสียด้วย (เป็นความรู้สึกเดียวกับวง Nadja ของแคนาดาที่ออกงานกับหลายๆค่าย) ส่วนชุดล่าสุดนี้ก็ไปออกกับค่าย Important Records ที่ชอบหาวงทดลองแปลกๆมาให้ลองฟังกันอยู่เรื่อย แต่นั่นก็ทำให้ผมมีช่องทางสั่งซื้อที่ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน (แต่กว่าจะได้นี่ก็ต้องรอกันน้ำตาเล็ดเลยละ) ส่วนปกอัลบั้มนั้นดูจะมีคอนเซ็ปต์ออกไปทางยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งดูจะตรงกับชื่ออัลบั้มดี (คาดว่าระเบิดขวดคงจะมีใช้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว) และแต่ละเพลงในอัลบั้มก็ล้วนมีความรู้สึกเช่นเดียวกับภาคบนปกอัลบั้ม (คงจะหม่นพอสมควรเลยละ) ส่วนโปรดักชั่นนั้นเรียบง่ายมาก แพ็คเกจเป็นแบบซองพับกระดาษการ์ดบอร์ดเอาไว้รับโลกร้อน (ฮา)
ดนตรีของ Bass Communion โดยองค์รวมคือ แอมเบียนท์จัด สลับเสียงนอยส์ที่เกิดจากกีต้าร์ที่ใช้ Distortion ที่แตกกระจายไปยาวตลอดเพลง (แต่จะเอาเพลงนอยส์ขึ้นก่อน) และทั้งหมดนี้ก็มีความเป็นโดรนที่ลากยาวไปจนจบอัลบั้ม และทั้งสี่เพลงจะเป็นแบบนี้หมดเลย แต่ก็ยังดีที่พี่แว่นยังเอาใจคนฟังหน่อยโดยที่เอาเพลงนอยส์ขึ้นแล้วต่อด้วยเพลงที่เป็น Dronescapes สลับกัน ถ้าไม่สลับกันแบบนี้ก็เราเหล่าผู้ฟัง (รวมตัวผมด้วย) ก็คงจะตกม้าตายไปตั้งแต่สองเพลงแล้วกระมัง แล้วเราคงจะไม่มีวันฟังอัลบั้มนี้จบไปอีกนานแสนนาน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
เปิดมาเพลงก็ระเบิดลงทันทีโดยพี่แว่นบรรเลงนอยส์ที่แตกกระจายลากยาวไปเป็นเวลา 15 นาทีคครึ่ง ซึ่งความยาวขนาดนั้นใครจะฟังไหวล่ะ แต่ก็ยังดี ที่ท้ายเพลงยังมีผ่อนๆลงมาบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความต่อเนื่องให้กับเพลงถัดไปที่เป็น Dronescapes ได้อย่างแนบเนียน ในเพลงที่สองนี้เราจะได้ยินเสียงกีต้าร์บรรเลงไปเบาๆพลิ้วๆแต่ซ้ำไปมาเฉกเช่น ‘ความเงียบที่เอะอะ’ ซึ่ง จะทำให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียดขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังแอบแฝงไปด้วยความอ้างว้าง ส่วนคู่หลังนั้นจะให้บรรยากาศที่น่ากลัวกว่าคู่แรกเล็กน้อย เพลงที่สามเราจะได้ยินเสียงคล้ายๆฝูงบินของแต่ละฝ่ายกำลังรบพุ่งกันอยู่ เหนือน่านน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ส่วนเพลงสุดท้ายที่ยาวถึง 23 นาทีนั้นจะเป็นโดรนเบียนท์ยาวๆที่สื่อถึงความสูญเสียหลังจากสิ้นสุดสงครามลง แล้ว และการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามด้วย
งานชุดนี้ต้องใช้เวลาฟังมากถึงมากที่สุด เพราะว่ามันเป็นงานทดลองที่ยากจะเข้าถึง แต่ถ้าใครชอบอะไรที่ท้าทายก็ลองเอาชุดนี้มาฟังได้ แต่ผมขอแนะนำให้ฟังคนเดียวนะครับ เพราะว่าถ้าผู้ใหญ่ได้ยินคงจะต้องขอให้ปิดเพลงไปเสียแน่ๆ ปีนี้ก็เป็นปีที่พี่แว่นมีงานชุกพอสมควร ก่อนหน้านี้แกก็ทำเพลงกับ No-Man ไปแล้ว จึงมาทำงานชุดนี้ต่อ ระหว่างนั้นยังจะไปมิกซ์เพลงให้กับวงโปรเกรสสีฟหน้าใหม่จากอิสราเอลที่ชื่อ Ephrat ในอัลบั้มชุดแรกของวงซึ่งมีแดเนียล กิลเดนโลว์ จาก Pain of Salvation ร่วมร้องอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีงานโปรดิซ์ให้กับงานชุดใหม่ของวงรุ่นเก๋าอีกสองวงคือ Anathema กับ Orphaned Land อีกด้วย แต่ในตอนนี้ ถ้าใครเป็นแฟนของพี่แว่นละก็ อย่าลืมติดตามงานเดียวในนามของแกเองที่ชื่อ Insurgentes ในเดือนหน้านะครับ