อย่าปล่อยให้หน้ากากและชุด jumpsuit ที่ผู้ชายเก้าคนเหล่านี้สวมใส่ทำให้คุณไขว้เขวว่า Slipknot เป็นแค่พวกขาย image ไปวันๆ นับจากอัลบั้มแรกอย่างเป็นทางการในชื่อเดียวกับวงในปี 1999 เผลอแว่บเดียว พวกเขากลายเป็นวง metal รุ่นใหญ่ไปแล้ว All Hope Is Gone คืองานชุดที่สี่ของพวกเขา และนี่เป็นงานชุดแรกของ Slipknot ที่ขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ด
Vol.3 (The Subliminal Verses) อัลบั้มก่อนหน้านี้ในปี 2004 ที่ได้ Rick Rubin มาเป็นโปรดิวเซอร์เป็นงานที่ได้รับทั้งคำชมเชยและเสียงบ่น พวกเขาทำเพลงที่มีท่วงทำนองมากขึ้นและใส่ใจในรายละเอียดของดนตรีมากกว่าพลังและความรุนแรงในสองอัลบั้มแรก All Hope Is Gone แม้จะทิ้งช่วงจาก Vol.3 เกือบ 4 ปี แต่ก็เหมือนเป็นการเดินทางที่ต่อเนื่อง พวกเขาไม่ใช้บริการของ Rick Rubin อีกต่อไป แต่เปลี่ยนโปรดิวเซอร์เป็น Dave Fortman ผู้เคยทำงานให้กับ Mudvayne และ Evanescene มาก่อน
แม้จะมีการปล่อยข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า All Hope Is Gone จะเป็นงานที่หนักหน่วงและมืดหม่นที่สุดเท่าที่ Slipknot เคยทำมา แต่เนื้องานจริงๆกลับเป็นการผสมผสานความก้าวร้าวและอลหม่านในงานยุคแรกกับความเข้าถึงตลาดในวงกว้างของ Vol.3
ผลที่ได้คือ All Hope Is Gone คือความลงตัวครั้งสำคัญของงานของหัวหอก metal อดไม่ได้ที่จะนำไปเปรียบเทียบกับ อัลบั้ม ‘Black Album’ งูสปริงของ Metallica (ที่เพิ่งออกอัลบั้มใหม่ตามมาติดๆและกลับมาคืนฟอร์มอย่างน่าชื่นใจ) แฟนๆที่ยังชื่นชมกับอัลบั้มแรกและ Iowa อัลบั้มที่สองโดยไม่อยากให้พวกเขาเปลี่ยนแนวคงจะรับไม่ได้กับ All Hope Is Gone แต่ถ้าทำใจยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงและประเด็นที่ว่าการทำอะไรในเชิงพาณิชย์ไม่ใช่เรื่องเสียหาย คุณจะเห็นว่า All Hope Is Gone คือหลักชัยครั้งสำคัญของดนตรีหนักกะโหลกบนถนน mainstream
อ่านฉบับเต็มได้ที่....
http://kongtoon.blogspot.com/2008/09/slipknot-all-hope-is-gone.html