รายงานสด EAGLES Live In Bangkok ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ กลับมาอีกครั้งสำหรับวงดนตรีขวัญใจมหาชนชาวไทย ซึ่งยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนเพลงบ้านเรา เพราะถ้าวัดจากยอดจองตั๋วแล้ว รายนี้ Sold out ล่วงหน้าก่อนงานจะเริ่มร่วมๆสองสัปดาห์เลยทีเดียว เป็นการวัดเรตติ้งกันจะๆและชนะอย่างแจ่มแจ้งกับงานใหญ่สาม-สี่งานที่มาชนกันจังๆในช่วงนี้
แม้พญาอินทรีแสดงสดนั้นจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ "Must seen before die" สำหรับผม แต่เอาเข้าจริงๆตัวผมนั้นดันติดลูกประมาทเพราะถือว่าบ้านใกล้ ออกจากบ้านตอนหกโมงนิดๆกว่าแต่กว่าจะเข้าไปถึงอิมแพคได้ปาไปเกือบทุ่มครึ่ง (ปกติแค่ ๑๕ นาทีก็เหลือเฟือ) นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว เลยอดมาเก็บบรรยากาศเลย
สายจากพี่สิทธิ์รายงานมาว่ามีของที่ระลึกขายหลายอย่าง ผมสอยเสื้อทัวร์มา ๑ ตัว หลายคนเดินผ่านไปผ่านมาบ่นว่าแพง แต่ผมว่าราคาคิดแล้วคุ้มเพราะถูกกว่าสั่งเวปนอก (๓๕ เหรียญไม่รวมค่าส่งอีก ๘ เหรียญ) แต่สั่งในเวปสู้อันนี้ไม่ได้ เพราะอยากได้เสื้อทัวร์ที่มีชื่อประเทศตัวเอง แหมใส่ไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนาหรือพบปะชาวต่างประเทศ เท่จะตาย จะได้โม้ว่าอีเกิ้ลส์นี่ก็มาเล่นบ้านเฮาเหมือนกันนา
ได้เสื้อก็เจอเรื่องหงุดหงิดอีกครั้ง เพราะว่าต้องเอาบัตรกระดาษไปแลกบัตรพลาสติกที่เคาน์เตอร์เพื่อเข้าไปในงาน ซึ่งผมไม่ทราบว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงต้องใช้เวลานานมากในการออกตั๋ว ผมยืนรอนานกว่าสิบห้านาที โฆษกก็นับเวลาถอยหลังไปเรื่อยๆว่าคอนเสิร์ตจะเริ่มแล้ว จนในที่สุดทางทีมงานต้องยอมให้ใช้บัตรกระดาษเข้างานไปก่อนแล้วค่อยมาแลกบัตรพลาสติกที่หลัง (ไม่งั้นมีเหตุจลาจลแน่ๆ)
เข้าไปก็เจอพี่สิทธิ์, พี่ชายพี่สิทธิ์และน้องอั้มรออยู่แล้ว เวทีโล่งมาก (จริงๆคือไม่มีอะไรเลย) นั่งรอไม่นานคอนเสิร์ตก็เริ่มบรรเลงด้วย
Seven Bridges Road จากนั้นทางวงก็ออกมาในลุคสบายๆสไตล์ใครสไตล์มัน ลุงดอน (เฮนลีย์) ดูฉุขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลุงเกล็นยังคงคอนเซ็ปท์หนุ่มคันทรีร็อคไว้เหนียวแน่น ป๋าทิมยังแต่งเท่เหมือนเดิมแต่ไม่รู้ลืมเซ็ทผมก่อนขึ้นเวทีหรือเปล่า ส่วนลุงโจมาแบบเฮฟวี่เต็มสูบ มองไกลๆนึกว่า Zakk Wyde เสียอีก
ส่วน Steuart Smith นั้นถูกถีบไปอยู่มุมขวาสุดของเวทีเช่นเคย อย่างว่าแหละครับมือปืนรับจ้างนี่นา แม้จะมีส่วนอยู่บ้างในอัลบั้มใหม่แต่ก็ไม่ได้นับญาติว่าเป็นพญาอินทรีกับเค้าด้วย
ระบบเสียงของอิมแพคยังเป็นแบบ "ได้อย่าง-เสียอย่าง" คือ เสียงร้อง, กีตาร์, คีย์บอร์ด, เครื่องเป่าชัดเจนดี แต่เสียงกลองกับเบสจมจนแทบไม่ได้ยินเลย ซึ่งเป็นอย่างงี้ตั้งแต่วันงานแคลปตันเมื่อสี่วันก่อน
ซิงเกิ้ลจากชุดล่าสุดที่คุ้นหู แต่เป็นเพลงเก่าเก็บไว้ไม่ได้ออกตั้งแต่อัลบั้มแรกอย่าง
How Long ที่ทำให้เห็นได้ชัดว่าทางวงยังไม่ฟิตเต็มร้อยเท่าที่ควร ทั้งในแง่ของ performance และการประสานเสียง เพลงต่อมา
I Don't Want to Hear Anymore ยิ่งเห็นได้ชัดกับป๋าทิมที่เสียงร้องยังไม่เข้าที่ดีนัก แต่จบเพลงก็อดอมยิ้มไม่ได้ที่อยู่ๆแกยกมือไหว้เฉยเลย ซึ่งก็เรียกเสียงปรบมือได้ลั่นฮอลล์
เล่นมาได้ 3 เพลง Steuart Smith โซโล่คนเดียวเลยครับ ใช้งานคุ้มจริงๆ
เสียงทรัมเปตลอยมาแผ่วๆ ก่อนค่อยๆดังขึ้นเพื่อกรุยทางเข้าสู่เพลงชาติประจำวงอย่าง
Hotel California น้องอั้มทักว่าทำไมมาเร็วจัง ซึ่งเพลงนี้ไฮไลท์ก็จะไปอยู่ที่ลุงโจประสานกีตาร์กับน้าสมิธที่เรียกเสียงปรบมือจากแฟนเพลงได้อย่างล้นหลามตามธรรมเนียม
Peaceful Easy Feeling เพลงถัดมาที่น้าเกล็นขอขายมุขเก่า โดยท่อนโซโล่กลางเพลงแกพูดประโยค "Who likes country rock in Bangkok Thailand" เลียนแบบ The Millennium Concert (หาฟังได้ในซีดีแผ่นที่ ๔ ในชุดรวมเพลง Selected Works: ๑๙๗๒–๑๙๙๙) ก่อนจะปิดไฟให้เวทีมืดสร้างบรรยากาศให้กับ
I Can't Tell You Why ที่ฟังแล้วคิดถึงกีตาร์โซโล่หวานจับใจใน Hell Freezes Over ขึ้นมาทันที (น้าสมิธแกเล่นได้แข็งมากในความคิดของผม) ก่อนจบเพลงก็เพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าเกล็น เฟรย์แกนั่งเล่น Fender Rhode อยู่ที่ด้านหน้าเวที
Witchy Woman ที่น้าเกล็นอุตสาห์ตั้งใจมาโซโล่กีตาร์กลับงานเข้าเสียงขาดหายไปตอนท่อนกลางที่เป็นพระเอกซะงั้น เห็นแกหันหลังให้เวทีปรับอยู่นานจนจบท่อนโซโล่นั่นแหละครับ กีตาร์แกถึงได้กลับมาปกติอีกครั้ง
จบเพลงน้าเกล็นรีบชวนคุยเรื่องเก่าๆ ว่าเพลงต่อไปผมแต่งไว้นานมากๆ ประมาณจะเรียกบรรยากาศเก่าๆว่างั้นเถอะ ซึ่ง
Lyin' Eyes ก็คือเพลงที่ว่าซึ่งเรียกบรรยากาศแบบคันทรีร็อคกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะต่อด้วยงานเดียวของลุงดอนอย่าง
The Boys of Summer ซึ่งบนเวทีที่ไม่มีอะไรตกแต่งบนฉากหลังนั้น แท้จริงแล้วปล่อยไว้ให้เป็นที่ฉายโปรเจคเตอร์ประกอบเพลงนี่เอง
In The City เป็นเพลงที่ปกติผมไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก แต่วันนี้ประทับใจมาก เพราะว่าลุงโจแกมาแบบ "ท็อปฟอร์ม" กับเสียงร้องที่แข็งแรงและโซโล่แบบปล่อยของชุดใหญ่จนไม่อยากเชื่อว่าผ่านวัยแซยิดไปหลายปีดีดัก ก่อนลุงดอนจะออกมาหน้าเวทีอีกครั้งโดยลักษณะเหมือนคนเมาเพื่อที่จะบอกว่าจะขอเล่นเพลงสุดท้ายในช่วงนี้แล้วจะกลับมาใหม่แบบยาวๆ แล้วก็ปิดครึ่งแรกไปกับ
The Long Run ช่วงพักครึ่งผมก็รีบไปแลกบัตรพลาสติกแล้วก็สอบถามเรื่องคอนเสิร์ตซานตาน่า ปรากฎว่าบัตรเหลือบานตะไทก็เลยว่าจะมาดูอีกสักงาน เพราะอยากดู "เทวทิตย์" เล่นสดสักครั้งในชีวิต
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือแทนที่ผมจะได้เห็นแฟนเพลงแค่รุ่นลุงรุ่นป้า ผมกับเจอสาวๆน่ารักๆวัยรุ่นเยอะมากๆในคอนเสิร์ตนี้ ดีใจครับที่สาวๆในบ้านเรายังฟังเพลงแบบนี้กันอยู่ไม่ได้หลงตามกระแสไปเสียหมด
ครึ่งหลังโชว์เริ่มตรงเวลาแป๊ะ ทางวงเริ่มต้นด้วยลูกเก่งของการประสานเสียงใน
No More Walks in the Wood ซึ่งคิดว่าทางวงคงจะเครื่องร้อนแล้ว เพราะประสานเสียงกันแต่ละทีเล่นเอาขนลุกเลยทีเดียว ก่อนที่จะยิงยาวกับเพลงอัลบั้มใหม่อย่าง
Waiting in the Weed, No More Cloudy Days หลังจบเพลงน้าทิมจะด้วยการอ้อนแฟนเพลงบ้านเราด้วยประโยคภาษาไทยน่ารักๆอย่าง
"สนุกไหมครับ" และประโยคที่ทำเอาอิมแพคแทบแตกอย่าง
"ผมรักคนไทย" ก่อนจะเข้าสู่เพลงที่แฟนเพลงในฮอลล์วันนั้นชื่นชอบกันมากที่สุดอย่าง
Love Will Keep Us Alive เพราะทั้งเสียงปรบมือ เสียงกรี๊ดสนั่นลั่นฮอลล์ ยิ่งสาวๆที่นั่งด้านหลังวี๊ดว๊ายกันใหญ่ว่าชั๊นชอบเพลงนี้อย่างโน้นอย่างนั้น
และร่วมร้องเพลงนี้ไปกับน้าทิมจนกระหึ่มฮอลล์ เสียงกีตาร์โซโล่แข็งๆจากน้าสมิธทำเอาผมนึกถึงดอน เฟลเดอร์อีกครั้ง และคืนนี้น้าทิมคงเป็นพระเอกในใจแฟนเพลงชาวไทยอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ลุงดอนกลับมาเรียกเรตติ้งกับเพลงคีย์ C อย่าง
Best of My Love ลุงเกล็นไม่ยอมให้แฟนๆหยุดเคลิ้มด้วย
Take it to the Limit ก่อนที่ทางวงจะทิ้งเวทีให้เงียบสักอึดใจก่อนที่จะปล่อยเพลงที่ผมคิดว่าเล่นได้ดีที่สุดในค่ำคืนนี้และเป็น Title track ของอัลบั้มล่าสุดอย่าง
Long Road Out Of Eden ซึ่งเป็นสิบกว่านาทีที่งดงามมากๆสำหรับผม เพราะไม่เคยเห็นพญาอินทรีเล่นสดในรูปแบบที่ไหลลื่นโชว์ชั้นเชิงการเรียบเรียงและฝีมือดนตรีแบบนี้มาก่อนเลย
จบจากเพลงนี้ก็กลายเป็น "Joe Walsh show" ขนานแท้ เพราะไล่ตั้งแต่
Walk Away (James Gang cover), One of These Nights, Life's Been Good (Joe Walsh cover), Dirty Laundry (Don Henley cover), Funk #49 (James Gang cover) ลุงโจแกเหมาทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งเล่นกีตาร์ เพลงไหนที่ไม่ได้ร้องก็ป่วนเวทีซ้ายทีขวาที ฉากหลังของเวทีนอกจากภาพประกอบสวยๆแล้วยังมีการฉายฟุตเตจของวงสมัยยุค ๗๐ ให้ได้รำลึกความหลังกันอีกด้วย
เสียงบ่นอุบจากด้านหลัง ทำไมไม่เคยได้ยินเพลงพวกนี้เลยว้า...
Heartache Tonight และ
Life in the Fast Lane เป็นสองเพลงปิดท้าย พญาอินทรีหันหลังเดินเข้าเวที ไฟบนเวทีดับลงเป็นสัญญาณว่าต้อง "อังกอร์" กันแล้ว
เสียงปรบมือ โห่ร้องดังอยู่ไม่นาน ไฟก็สว่างขึ้นอีกครั้ง พญาอินทรีค่อยๆเดินเข้าประจำที่ น้าเกล็นกล่าวขอบคุณแฟนเเพลงที่ออกมาร่วมสนุกและมีช่วงเวลาที่ดีๆร่วมกันในค่ำคืนนี้ ก่อนปล่อยเพลงฮิตยุคแรกอย่าง
Take It Easy และเพลงปิดที่เป็นขาประจำไปแล้วอย่าง
Desperado จบเพลงนี้พญาอินทรีทิ้งเวทีแล้วเดินขอบคุณแฟนๆกันคนละมุมสองมุม ก่อนมารวมกันหน้าเวทีโค้งคำนับให้แฟนๆอีกครั้ง ก่อนจะเดินลับไปหลังเวที ทิ้งให้แฟนเพลงเอมอิ่มกับมวลความสุขที่พวกเขาได้ทิ้งไว้ให้ แฟนเพลงเพลงหลายคนยังนั่งอยู่กับที่คล้ายจะตักตวงบรรยากาศแบบนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด
จนกว่าจะพบกันใหม่...พญาอินทรี
--------------------
ขอบคุณภาพประกอบจากไทยรัฐและกรุงเทพนิวส์