1.Radiohead - The Bends (1995)
ผมว่านี่เป็นงานที่ใครอยากเริ่มฟัง Radiohead เพลงไม่ต้องปีนบันไดฟังยากจนเกินไปอย่าง ok computer หรือช่วงหลังจากนั้น คุณต้องการเพลงมันส์ๆ เพลงซึ้งๆ ร๊อคตลาดแตก หรือ เพลงช่างคิดที่เริ่มต้นในชุดนี้ แล้วคำพูดที่เคยมีคนดูถูกพวกเค้าว่า "พวกมันดับแน่ เพราะไม่มีเพลงอย่าง creep" นั้นจะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะทันที
street spirit (fade out) คือเพลงที่แสดงอารมณ์ล่องลอยของคุณพี่เท่ง เถิดเทิง thom yorke ได้ถึงพริกถึงขิงที่สุดจากชุดนั้น
2.Small Faces - Ogden's Nut Gone Flakes (1968)
concept อัลบั้มงานชิ้นสุดท้ายของทางวงโดยไม่ตั้งใจ เมื่อพบว่าเวลาเล่นในแผ่นเจ๋งมาก อัลบั้มก็ขึ้นอันดับ 1 uk charts ทั้งเงินทั้งกล่องประเคนมาให้ถึงสี่หนุ่มวง"หน้าเล็ก"
แต่พอนำเพลงเหล่านั้นไปเล่นสดกับเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะเล่นออกมามันช่างซับซ้อนสับสน จนทำให้ steve marriott นักร้องนำ-มือกีต้าร์ ลาออกจากวงไปในที่สุด พวกเค้าเปิดอัลบั้มด้วยเพลง power ballad ยุคแรกๆของโลกดนตรีร๊อค อย่าง "afterglow (of your love)" แค่เสียงท่อนร้องว่า Love Love is all around me Everywhere Love has come to touch my soul With someone who really cares ก็ละลายใจแล้ว
หรือเพลงอย่าง lazy sunday afternoon ในแนว psychedelic pop ด้วยเสียงร้องสำเนียง cockney เชิงเล่าเรื่อง และหน้า side b ที่เป็นงาน concept psychedelic rock เพลงกึ่งนิทานกับการผจญภัยของ happiness stan ให้เสียงบรรยายโดย stanley unwin ดาราตลกอังกฤษชื่อดัง happiness stan ผู้กำลังหาคำตอบว่าทำไมดวงจันทร์เหลือครึ่งเดียว แล้วถ้ามันเหลือครึ่งเดียวความสุขจะหายไปด้วยมั้ย
3.Badfinger - Wish You Were Here (1974)
อัลบั้มที่กลับมาท๊อปฟอร์มอีกครั้งของ badfinger และชุดสุดท้ายที่วางแผงขณะ pete ham ยังมีชีวิตอยู่
ช็อตเด็ด อยู่ที่ in the meantime, some other time ที่โชว์ลีลา symphonic rock ย่อยๆ น้องๆ elo อย่างไรอย่างนั้น และบทเพลงที่ฟังแล้วฮุกโดนคุณแน่ๆ อย่าง know one knows
น่าเสียดายอัลบั้มชุดนี้นำพาไปสู่โศกนาฏกรรมเสียแทนที่จะเป็นความสำเร็จอย่างที่วงที่ทุ่มเท่ควรจะได้
4.Primal Scream - XTRMNTR (2000)
หากมีคนถามว่า เพลงเต้นรำ สังวาสกับ ร๊อคแอนด์โรลล์ ดิบๆ จะเกิดลูกออกมาเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้คือ primal scream
แม้ทางวงจะมาถูกหวยกับเพลงแนวเต้นรำก็ปาเข้าไปชุดที่ 3 อย่าง screamadelica เข้าไปแล้ว แต่ชุดที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขานำดนตรี electronica รากแตก ผสมกับ ดนตรี hard rock ดิบๆ แรงๆ ผลที่ได้คือ อัลบั้มชุดนี้ของทางวง
ด้วย content เนื้อหาที่เอียงไปทางการเมืองสุดกู่ยิ่งกว่าชุดไหน ว่าด้วยคอนเสร็ปของการ เอารัดเอาเปรียบและกดขึี่ของ ผู้มีอำนาจทางการเมือง และ ทรราชย์ ด้วยเนื้อหาเคร่งเครียดผิดวิสัยขี้เหล้า เมายา ไม่สนโลก อันเป็นภาพลักษณ์ของทางวง แต่นี่ล่ะคืองานเข้มๆ โดนๆ ยิ่งกว่างานชุดไหนจะให้ได้จาก primal scream อีกสองปีถัดมาทางวงกลับมาอีกครั้งว่า ด้วยเรื่องการก่อการร้าย และความหวาดกลัวของโลกหลังเหตุการณ์ 11 กันยา ใน evil heat
ว่ากันว่า ถ้า john cale ได้ฟังงานชุดนี้เขาคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ปนเหน็บ ว่า "ไอ้พวกเวรตอนกูทำแบบนี้เสือกมาด่ากูดีนัก แหมต้องรอให้ถึง primal scream มาทำพวกมึงถึงจะ get สาดดด...."
5.Smashing Pumpkins - Siamese Dream (1993)
อัลบั้มชุดนี้เกิดขึ้นในภาวะความวุ่นวายของทางวง บิลลี่ คอร์แกนรับหน้าที่เล่นกีต้าร์เกือบทั้งหมดในชุดนี้ จึงเต็มไปด้วยเสียง noise reverb effect delay ของกีต้าร์จากฝีมือบิลลี่เกือบทั้งหมด เพราะ เจมส์ เกิดอาการติสต์แตก งอน ดีอาร์ซี่ มือเบสและแฟนสาวของวงในช่วงนั้นด้วย และ จิมมี่ แชมเบอร์ลิน เริ่มออกอาการจั่งซี้มันต้องฉีดเข้าเส้น
ทำให้งานโดยรวมดูรุนแรงเกรี้ยวกราดและบ้าคลั่ง ใส่ไม่ยั้งเหมือนคนระบายความอึดอัดในจิตใจ แม้แต่เพลงช้าอย่าง disarm หรือ soma ก็รู้สึกได้ตรงนั้น
แน่นอนไม่มีใครไม่พูดถึง single ฮิตจากชุดนั้นอย่าง cherub rock และ ที่ว่าการอำเภอ เอ๊ย! today ที่ทำให้คณะ ฟักทองเละ รู้จักไปทั่วโลก ความเกรี้ยวกราดใน silverfxxx / geek usa/ mayonaise (หนึ่งในไม่กี่เพลงที่ james ยอมเลิกงอแงลงมาช่วยขย่มขยี้ จับขึ้นค่อม guitar กับ billy)
นั้นคงสามารถระบายความรู้สึกของตัวบิลลี่ ในช่วงนั้นได้ แต่ใครจะปฏิเสธว่านี่เป็นงานที่กลมกล่อม มันส์ๆ แรงๆ ที่ทางวงมอบให้ แม้จะไม่อลังการหรือเหมือนนี่มันพลังจักรวาลแล้ว อย่าง mellon collie...
6.The Innocent - ครั้งนี้ของพี่กับน้อง (1986)
หลายคนคงชอบงานที่ทางวงโชว์ฝีไม้ลายมือทางดนตรี ของ พี่ๆวง ดิ อินโนเซ้นท์ อย่าง "โลกใบเก่า" หรือ "10 นาฬิกา" มากกว่า แต่ผมคิดว่างานชุดนี้ดูละมุลและพอดีสำหรับทางวงที่สุด
ด้วยท่วงทำนองเพลงป๊อปยุค 80's ที่คาดว่าทั้งพี่สันและพี่โอม สองแกนหลักในการแต่งเพลงได้รับอิทธิพลมาไม่น้อยในงานชุดนี้ โดยเฉพาะจากฝั่งอังกฤษและในเครือจักรภพ อย่าง housemartins, aztec camera, the pastels, colour field, air supply หรือแม้กระทั่งงานเพลงไทยของ พี่เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ ที่พี่โอมเคยไปทำงานร่วมด้วย
ทำให้งานชุดนี้ อบอวลไปด้วยเสียงซินธ์และคีย์บอร์ด พาร์ทกีต้าร์ของพี่โอมในชุดนี้ไม่โชว์โซโล่หวือหวาเหมือนชุดก่อนหน้า (โลกใบเก่า)
กลับกลายเป็นว่าเป็นงานที่แฟนเพลงมหาภาคให้การต้อนรับดีที่สุดของทางวง เพลงทำนองไม่โชว์มากมายจนล้น แต่สัมผัสคล้องจองด้วยเนื้อร้องของพี่สัน และบทบาทการทำหน้าที่ร้องเพลงเยอะกว่าชุดใดของ พี่สายชล ระดมกิจ และชุดนี้นี่เองที่เป็นชุดแรกที่ทางวงไม่นำเพลงเก่าลูกกรุง ลูกทุ่ง มาร้องคัฟเวอร์ใส่เลย แสดงให้เห็นถึงการมองพิถีพิถันรักษาภาพรวมของอัลบั้ม
เพลง มือที่สาม น่าจะเพลงที่ได้เห็นการเล่น jam ระหว่างกันของสมาชิกวงว่าฝีมือแต่ละคนเป็นอย่างไร
ป.ล. มีใครไม่ใจละลายบ้าง เมื่อเพลง "ฝากรัก" ถูกเปิดขึ้น
7.Soulwax: Any Minute Now (2004)
Soulwax คือวงดนตรี alternative rock จาก เบลเยี่ยม นำโดยสองพี่น้องอาร์ทตัวพ่อ อย่าง stephen และ david dawaele หรือที่คอเพลงเต้นรำรู้จักพวกเขาในงาน side project ในชื่อ 2 many dj's ที่เปิดคอนเสิร์ตไปทั่วโลก ยกเว้นประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ไม่นับ สิงคโปร์
งานลำดับที่ 3 ที่ทิ้งห่างจากงานอัลบั้ม much against everyone's advices ถึง 5 ปี พวกเขากลับมาดนตรีในรูปแบบ electro rock ที่เต็มไปด้วยบีทเร้าใจอย่าง e-talking /any minute now/ miserable girl และเพลง dance punk ที่ร้องแจมกับ nancy whang จากวง lcd soundsystem ใน ny excuse
พวกเขาออกอัลบั้มกันน้อยมาก 3 ชุดในรอบ 14 ปี ที่ออกผลงานกันมา เปลี่ยนสมาชิกวงกันทุกชุด มีเพียงสองพี่น้อง และ มือเบส stefaan van leuwen ที่เป็นแกนหลัก
เน้นไปที่แสดงสดมากกว่าและงาน remix ให้คนอื่น ถ้าเรียกพวกเขาว่าเป็น modern dog ของเบลเยี่ยมคงทำให้พวกคุณเห็นภาพชัดเจน การออกงานแล้วแต่อารมณ์ อ่องานทุกชิ้นของพวกเขาแนวเพลงเปลี่ยนทุกชุด ใครจะรู้เลยว่าชุดแรกของพวกเขา leave the story untold เป็นแนว grunge! และ produced โดย chris goss ผู้ปลุกปั้น queen of the stone age และ kyuss
8.ฤทธิพร อินสว่าง: ก้าวที่สอง (1989)
ก้าวที่สองของนักร้องนักแต่งเพลง ฝีมือดี หลังจากประสบความสำเร็จมากมาย จนเจ้าตัวถึงกับอึ้ง ในชุดก้าวแรก ที่มีเพลงอย่าง ใบไผ่ / เธอผู้ห่างไกล / เรือ ด้วยท่วงทำนองดนตรี hard rock และ folk rock
มาในงานชุดที่สอง ฤทธิพรกระโจนเข้าหาดนตรีร๊อคที่ตลบอบอวลด้วย synth และ progressive rock ในหลายๆเพลง จากฝีมือของกลุ่ม บัตเตอร์ฟลาย ในการเรียบเรียงดนตรี ทำให้ชุดนี้ถือเป็นก้าวใหม่ของพี่บ๊อบเลยก็ว่าได้
power ballad ในคราบ synth rock อย่าง เพียงความหลัง/ ธุลี/ ด้วยรักและศรัทธา synth pop สนุกๆ ใน อกหักอีกต่างหาก/ เตลิด/ บางที บางครั้ง ไปถึง progressive rock ที่ปุ้ม วงตาวัน โชว์ฝีมือการพรมนิ้วบน keyboard จนคุณต้องร้องสุโค่ย ใน เรือ ภาค 3
ใครบอกว่าพี่บ๊อบเป็นศิลปินแนวเพื่อชีวิต ผมขอเถียงเลย พี่เขาน่ะป๊อปร็อคเต็มสตรีมเลย และมาก่อนยุค เสก โลโซ
9.Sleeper 1: Difference Part 1 / Difference Part 2 (2005-2006)
นับตั้งแต่วงตาวัน กับ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่เคยสร้างงาน concept อัลบั้มออกมาเป็นรูปธรรมเราก็ไม่ค่อยเห็นใครสร้างงานลักษณะนั้นอีก จนการมาถึงของ เกรียงไกร วงษ์วานิช มือกีต้าร์วง friday กับงานเดี่ยวของเขาในนาม sleeper 1 ผลงานอัลบั้มเต็ม ลำดับ 2-3 ในเวลาไล่เลี่ยกัน
ใช่แล้วมันเป็นอัลบั้มคู่ ที่ว่าด้วยความแตกต่าง เน้นไปที่ความสัมพันธ์ของหนุ่ม สาว แปลกหน้าคู่หนึ่ง ที่บังเอิญมาพบกันในลิฟท์ และมีภูมิหลังของความต่างทางด้านกายภาค (ฝ่ายชายมีหัวใจทั้งสองข้าง!)
ฝ่ายหญิงเธอเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึก และ ไม่มีหัวใจ (ในด้านกายวิภาค) อยู่ในตัวเธอเลย อันส่งผลต่อความรู้สึกของเธอด้วยที่เคว้งคว้าง ตามแบบฉบับคนในเมืองหลวง
เพลงโดยรวมอยู่ในโทน alternative rock และ indie pop แต่ผูกเรื่องราวในแบบดนตรี progressive rock
ผมว่านี่เป็นงานอาจจะฟังยากกว่าชุดที่แล้วของเขาใน sleeping letter แต่ด้านเนื้อหากลับมองเห็นและดูเป็นรูปธรรมกว่าเข้มข้นกว่า งานชุดแรก
จะผิดอะไรมั้ย ผมว่า ถ้า roger waters (พ.ศ.นี้ ที่แอ้บแบ้วเหลือเกิน) ทำงานอัลบั้มกับ cornelius โดยเขียนเพลงออกมาจากแรงบันดาลใจนิยายรัก ของ haruki murakami ผลที่ได้ออกมาก็เหมือนงานชุดนี้นี่เอง....(กรุณาทำเสียงแบบรายการ tv champion)
10.Cornelius: 69/96 (1995)
cornelius หรือ keigo oyamada กับผลงานชุดที่สองของเขา ที่ออกมาในปลายปี 1995 โดยได้แรงบันดาลใจจากบรรยากาศในหนัง cults ตระกูล roger corman และค่าย toho บวกกับเพลง hard rock กระแทกใจในวัยเด็กของเค้าที่ได้อิทธิพลมาจาก led zeppelin, black sabbath, bloodrock, ac/dc ทำให้เกิดงานชุดนี้ขึ้นมา
เสียง sampling จากหนังยุค 70's แขกรับเชิญชั้นอ๋องอย่าง jimmy pages ในเพลง 69 girl meets cassette หรือ hide แห่ง x-japan ที่มาโชว์ลีดกีต้าร์แจมร่วมกับ cornelius ในเพลง heavy metal thunder ก็แทบจะร้องว่าสุโค่ย แล้ว และแสดงให้เห็นว่า cornelius สนใจ sound noise sampling และดนตรีที่ไม่จำกัดขอบเขตในความสนใจเขา ก็มาจากชุดนี้
อ่อ cornelius มีชื่อเสียงก่อน ตา beck hensen จะออกอัลบั้มเสียอีก ตั้งแต่สมัย flipper's guitar ดังนั้นใครบอกว่า cornelius รับอิทธิพลมาจาก beck นั้น ผิดอย่างแรง!!!!!!!
ตัดใจ:
อัสนี-วสันต์: บ้าหอบฟาง (1986)
งานที่แฟนเพลงของสองพี่น้องที่ราบสูงถวิลหา ในวันที่อัสนี เสียงยังไม่ร้องยานคางมาก และไม่ค่อยเน้นเนื้อหาจิ๊กโก๋ อกหัก ยกเว้นเพลง บอกแล้ว
แต่งานในชุดนี้เต็มไปด้วยการตั้งกระทู้ถามสังคม และ วิพากษ์มากกว่า
เช่น พฤติกรรมคนอวดรำ่อวดรวย ใน บ้าหอบฟาง
การสู้ชีวิตของคนต่างจังหวัดใน เพลงของเขา
เพลงไทยสากลเก่าๆ ฝีมือการเขียนของ ครูผี-อัสนี พลจันทร์ ใน "เดือนเพ็ญ" ที่พี่ป้อมเรียบเรียงเพลงไทยสากลเนิบๆ เพลงนี้ ให้กลายเป็นเพลง power ballad ทรงพลัง ประสานกับ chorus หญิง คู่บุญ อย่าง สีส้ม-สีฟ้า ที่ฟังแล้วทำเอาขนลุกกว่าเวอร์ชั่นไหนๆ
หรือ เพลงที่กำลังบอกว่าอย่าลืมสิ่งดีๆ ที่เราหลงลืมไปแล้ว อย่าง น้ำเอยน้ำใจ แต่ผมขี้เกียจมาถูกเยาะเย้ยถากถางว่า เพลงไตเติ้ลแทร็คทำนองไปพ้องกับเพลงของวง yes เหมือนแฟนเพลงของ สองพี่น้องที่ราบสูง นี่ มีกรรมไปหมด เขียนชมก็ว่า...ว่าฟังเพลงไม่มีการพัฒนา เฮ้อ
ทั้งหมดนี้มันมีสรรพคุณเป็นเช่นนั้นผมถึงหลงรักมัน และ เหมือนมันมีเรื่องราวและชีวิตอยู่ในอัลบั้มนั้นๆ ด้วย
ป.ล. ว่าจะเขียนใหม่ดีกว่า