ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ฟังวงใหม่ๆเลยครับ เพราะเครื่องคอมพ์เจ๊ง (ที่นั่งพิมพ์อยู่นี่ก็พิมพ์จากเครื่องแล็พท็อปของน้อง) ก็เลยไม่ค่อยได้ฟังรายการของบีบีซีเลยครับ แถมร้านเน็ตแถวบ้านก็ไม่ยอมให้ดาวน์โหลด BBC iPlayer อีก ตอนนี้ก็เลยฟังแต่วงเก่าๆวนเวียนไปก่อนครับ พวกวงข้างล่างก็อย่างเคยครับ ผมก็อปจากที่เคยเขียนในบอร์ด TAF แต่ตอนนี้ก็ยังเข้าไปฟังใน MySpace ของพวกเขาอยู่เป็นประจำครับ
Volcano The Bear
http://www.myspace.com/volcanothebearนี่เป็นดนตรีแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ได้ฟังมาในเดือนนี้เลยครับ ดนตรีของพวกเขาฟังดูคล้ายกับดนตรีประกอบพิธีกรรมของชนเผ่าดึกดำบรรพ์ ที่แฝงไว้ด้วยความเร้นลับอันน่าสะพรึงกลัวจากยุคบรรพกาล แทบทุกเพลงเหมาะที่จะฟังตั้งแต่ต้นจนจบครับ เพราะเสียงในแต่ละเพลงอาจจะฟังดูทึบๆ แน่นๆจนเกิดบรรยากาศที่ชวนอึดอัดเมื่อฟังแค่นาทีแรก แต่ถ้าปล่อยให้ดนตรีคลี่คลายตัวมันเองออกมาเรื่อยๆ อารมณ์ดนตรีจะค่อยๆดำดิ่งไปสู่ความน่าหวาดกลัว ตามสัญชาติญานทางธรรมชาติ ความรู้สึกในแบบที่มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์อาจจะคุ้นเคยก่อนที่ความรู้แจ้งอันศิวิไลซ์จะทำลายความเร้นลับเหล่านั้นจนหมด
แม้ว่าแทร็คที่ผมชอบเป็นพิเศษจะเป็น "Before We Came To This Religion" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื้อร้องท่อนสุดท้ายครับ แต่เพลงที่ผมฟังบ่อยที่สุดจะเป็น "She Vang Moon" ด้วยเสียงร้องที่คล้ายกับบทสวดในพิธีบูชายันต์ มันทำให้นึกถึงบรรยากาศที่คล้ายๆกันในเพลง Sysyphus Part 1 จากสติวดิโออัลบั้ม Ummagumma ของ Pink Floyd ในช่วงขึ้นเพลงเลยครับ พอได้ไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับแนวดนตรีของพวกเขาดูแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาช่างถ่ายทอดจินตนาการทางด้านมานุษยวิทยาออกมาเป็นเสียงดนตรีได้เนียนจริงๆครับ
พวกเขาตั้งวงกันใน Leicester เมื่อปี 1995 กระบวนการทำดนตรีของพวกเขาจะเป็นการทดลองทางเสียงไปพร้อมๆกับการด้นสด ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานทั้งทางด้านดนตรีทดลองและดนตรีโฟล์คของท้องถิ่น การแสดงดนตรีสำหรับพวกเขาคือการสร้างพื้นที่ในการประกอบพิธีกรรม โดยที่การแจมกันคือการเดินทางที่ดนตรีจะนำทางให้เข้าสู่กระบวนการสร้างสรรค์โดยตัวมันเอง พวกเขาบันทึกทุกอย่างในขณะที่ตระเวณแสดง และสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นวัตถุดิบในการสร้างอัลบั้ม โดยที่กระบวนการประพันธ์ดนตรีจริงๆนั้นจะเกิดขึ้นในขั้นตอนที่ทำกันในสติวดิโอ จากวัตถุดิบที่พวกเขาได้บันทึกกันเอาไว้แล้ว
อัลบั้มของพวกเขา เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่เกิดจากขั้นตอนอันซับซ้อนในสติวดิโอกับการด้นสดที่ถูกบันทึกเอาไว้ บ่อยครั้งที่ผลลัพธ์ที่ออกมาจะฟังดูแตกต่างจากเสียงจากวงดนตรีวงเดียวกันที่เคยเล่นบนเวทีโดยสิ้นเชิงครับ
Tape
http://www.myspace.com/tapesthlmTape เป็นอีกวงหนึ่งที่ผมได้รู้จักผ่านรายการ Freak Zone ครับ พวกเขาประกอบไปด้วยสองพี่น้อง Andreas และ Johan Berthling กับ Tomas Hallonsten จากสวีเดน สำหรับนักฟังที่ชื่นชอบดนตรีนอกกระแสจากสวีเดนแล้ว Milieu อัลบั้มชุดที่สองของพวกเขาที่ออกมาเมื่อปี 2003 และในเวลานี้กำลังได้รับการทำนุบำรุงเพื่อนำมาออกวางจำหน่ายอีกครั้ง ก็ถือได้ว่าเป็น ถ้าไม่ใช่ต้นแบบของดนตรีป๊อปยุคใหม่ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นแนวทางแบบใหม่ในการมุ่งเข้าสู่ยุคใหม่แห่งดนตรีป๊อป
ดนตรีของพวกเขาเมื่อได้ฟังเป็นครั้งแรกจะฟังดูราวกับว่าเล่นกันออกมาสดๆ แต่เสียงทุกเสียงที่สอดแทรกเข้ามาในแบ็คกราวด์บางๆ จะเข้ามาในจังหวะที่สุกงอม จนเหมือนกับว่าเป็นแบ็คกราวด์ที่มีแพทเทิร์นชวนให้เข้าสู่ภวังค์จะมีไว้เพื่อปูพื้นมาสำหรับเนื้อเสียงแบบนั้นโดยเฉพาะ ก่อนที่เสียงที่สอดแทรกเข้ามานั้นจะค่อยๆกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบ็คกราวด์ ความลงตัวที่เหนือความคาดหมายเหล่านี้มันฟังดูพิถีพิถันเกินกว่าจะเป็นการด้นสด โน๊ตแต่ละตัวจะผ่านการกลั่นกรองออกมาเป็นเนื้อเสียงที่งดงาม ชัดเจน โดยเฉพาะเสียงออร์แกนที่ฟังดูเรืองแสงตัดกับแบ็คกราวด์ที่มืดมิด จนเหมือนกับเสียงแต่ละเสียงเป็นแสงหลากสีสันที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางความมืด เพื่อมาแจมกันในแพทเทิร์นอันงดงาม แปลกประหลาด ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆเปลื่ยนรูปอย่างช้าๆอยู่ตลอดเวลา ในบางช่วง
แม้ว่าดนตรีของพวกเขาจะเรียกว่าเป็นดนตรีอิเลคโทรนิคไม่ได้เต็มปากนักก็ตาม และยังมีความเกี่ยวข้องกับแนวทางโดยทั่วไปของพวกดนตรีทดลองน้อยมาก แต่ความพิถีพิถันต่อโน๊ตทุกตัวได้ช่วยเปิดโลกทัศน์ทางดนตรี ที่นักดนตรีในรุ่นเดียวกันได้พยายามมาเป็นเวลานานเพื่อจะเปิดมันออกมา
ดูจากคลิพมิวสิควิดิโอเพลง Sand Dunes (Rideau) ใน MySpace ของพวกเขาแล้ว ชื่อแอนิเมเตอร์ Wisut Ponnimit ฟังดูเหมือนชื่อคนไทยเลยนะครับ ถ้าเป็นคนไทย ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาเป็นที่รู้จักในแวดวงแอนิเมชันที่นี่หรือเปล่า ผมชอบสไตล์การออกแบบภาพของเขามากครับ
wonderful world of CACTAPUSS
http://www.myspace.com/cactapussmusic ผมไปเจอวงนี้เข้าโดยบังเอิญครับ ฟังได้แค่ครั้งเดียวก็มันก็น่าตื่นเต้นเกินกว่าจะเก็บไว้คนเดียวครับเลยครับ ผมเดาว่าดนตรีของ CACTAPUSS ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก เพราะลองกูเกิ้ลหาข้อมูลของพวกเขาดูแล้วก็ไม่ค่อยจะมี ข้อมูลเท่าที่พอหาได้ก็รู้แต่เพียงคร่าวๆว่าพวกเขาประกอบด้วย Mark Silk กับ Mark Whittaker ที่ร่วมกันสร้างสรรค์งานดนตรีด้วยการล็อคตัวเองอยู่ในสติวดิโอที่ Berkshire เป็นเวลาสองปี ใช้เวลาทั้งหมดที่มีอยู่กับพวกเครื่องดนตรีอิเลคโทรนิครุ่นเก่าๆ เพื่อสร้างดนตรีไซคีเดลลิคออกฟังค์ที่แฝงไว้ด้วยความขี้เล่น เนื้อเสียงเต็มไปด้วยความสดกรอบจนเวลาที่ฟังรู้สึกสนุกสนากไปกับรายละเอียดที่ล้นทะลักออกมาให้ได้สัมผัสอย่างเต็มอิ่ม
นอกจากสองแทร็คโปรด "theme from stuart กับ The Ants"and "Wigbar" ที่อยู่ใน mMySpace ของพวกเขาแล้ว ผมยังชอบเสียงออร์แกนเปรี้ยวๆที่เล่นออกมาได้ฟังค์กี้สุดๆในแทร็ค "The Ballad of sir Peter Winchcroft" ที่อยู่ใน Channel4.com ด้วยครับ
http://www.channel4.com/music/myband/cactapussoOmiaq
http://www.myspace.com/oomiaqครั้งแรกที่ได้ฟัง งานของ oOmiaq อย่างเพลง "atta atta remix" กับ "yogUrti" ฟังดูเหมือนกับว่าดนตรีที่แต่งและเล่นโดยเด็ก แต่เสียงที่ดูเหมือนเรียบเรียงมาอย่างซับซ้อนชวนให้คิดไปว่าเด็กที่สร้างงานออกมาได้อย่างนี้น่าจะเป็นเด็กอัจฉริยะที่คุ้นเคยกับพวกเครื่องไม้เครื่องมือในสติวดิโอเป็นอย่างดี แต่พอไปอ่านบทสัมภาษณ์ของ oOmiaq แล้ว ถึงได้ทราบว่า เจ้าของผลงานเป็นผู้ที่อยู่ในวงการดนตรีมานานพอสมควร เคยอัดงานดนตรีกับ Jean-Benoit หนึ่งในสมาชิกวง Air เมื่อครั้งที่ Jean แวะเข้ามาในหมู่บ้านเล็กๆที่เขาอยู่
หลังจากได้ฟังทุกเพลงรวมทั้งพวก artwork ใน Myspace ของเขาดูแล้ว ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยสูญเสียอารมณ์ไร้เดียงสาจากวัยเด็กเลยครับ ในช่วงวัยเด็ก เขาเติบโตขึ้นในตอนใต้ของฝรั่งเศส บรรยากาศในแบบเมดิเตอร์เรเนียนในพื้นที่แถบนั้นได้ส่งอิทธิพลต่อโทนอารมณ์ในงานศิลป์ของเขา ทั้งงานดนตรีและงานภาพ กลิ่นอายของบรรยากาศในวัยเด็กคือสิ่งที่เขาต้องการจะถ่ายทอดไว้ในงานดนตรีและภาพวาดของเขาอยู่เสมอ
ขั้นตอนในการสร้างงานดนตรีของเขาจะเป็นว่า เขาจะเริ่มต้นวาดรูปจากภาพที่เขาคิดเกี่ยวกับเพลงๆนั้น คล้ายกับการสร้างแผนที่ของพื้นที่ในจักรวาลแห่งบทกวีของเขา องค์ประกอบทุกอย่างในภาพ อย่างโทนสี จะถูกถ่ายทอดออกมาในรูปของเสียง อย่างในเพลง ultramarine song เขาใช้คอรด์ที่เล่นจาก liquid synthesizer แทนโทนสีฟ้า และใช้ warm organ แทนบรรยากาศในโทนสีส้ม
งานดนตรีของเขาจะเป็นการเล่าเรื่องคล้ายๆกับการเล่านิทาน ให้เสียงร้องโดยพวกเด็กๆในหมู่บ้านเล็กๆในแถบ Alpine ที่เขาอาศัยอยู่ในเวลานี้ และเขายังให้พวกเด็กๆมาเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างงานอีกด้วย จนเหมือนกับว่าตัวเขาและเพื่อนที่ทำงานด้วยกันคือหนึ่งในกลุ่มของพวกเด็กๆที่คิดค้นการใช้ภาษาและท่วงทำนองเพื่อมาใช้ในเพลงเหล่านั้น อย่างเพลง "onaKa" ร้องโดย Camille เด็กสาวจากในหมู่บ้าน นอกจากร้องนำแล้ว เธอยังเป็นคนเขียนเนื้อภาษาอังกฤษทุกๆคำในเพลงนั้นอีกด้วยครับ
เครื่องดนตรีที่ใช้ก็จะเป็นเครื่องดนตรีแบบง่ายๆ อย่างพวกเครื่องดนตรีอิเลคโทรนิคยุคแรกๆ ร่วมไปกับเสียงธรรมชาติจากแบนโจ ขลุ่ย ฮาร์พ มีการวางโครงสร้างทางดนตรีอย่างหลวมๆ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการด้นสดเพื่อรักษาความสดใหม่ของเสียงดนตรี เขาต้องการให้งานดนตรีออกมาเหมือนกับภาพคอลลาจที่บอกเล่าเรื่องราวแบบเบาๆ แต่เข้มข้นไปด้วยอารมณ์แห่งความไร้เดียงสา เขาย้ำไว้ในบทสัมภาษณ์เช่นเดียวกันว่า งานดนตรีของเขาไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกถวิลหาอดีต แต่ต้องการให้ผู้ที่ได้ฟังค้นพบความเป็นเด็กในตัวของพวกเขาอีกครั้ง ดื่มด่ำไปกับชั่วขณะปัจจุบัน เหมือนกับที่พวกเด็กๆรู้สึก หรือที่เราทุกๆคนเคยได้รู้สึกเมื่อนานมาแล้ว เพราะเด็กๆมักจะไม่ค่อยมีอดีตให้รู้สึกถวิลหามากนัก