ช่วงนี้ผมก็ยังเห่อกับสถานี WFMU ที่เพิ่งค้นพบมาได้ไม่นานอยู่ครับ ยังมีรายการดีๆให้ฟังอีกเยอะจริงๆ ที่ชอบก็คือแต่ละรายการมีไฟล์เสียงตอนเก่าๆที่ออกอากาศไปแล้วเก็บเอาไว้ให้ฟังอีกเพียบ บางรายการก็มีให้ย้อนฟังไปได้เป็นปี ที่สำคัญก็คือ แทบทุกรายการที่ได้ฟังมานี่เปิดเพลงเยี่ยมๆทั้งนั้นเลยครับ และช่วงที่ผ่านมาผมก็ลองเริ่มฟังรายการ Choking on Cufflinks ของ Michael Goodstein มาได้สักอาทิตย์กว่าๆนี่เอง ตอนแรกก็แค่จะไล่ฟังรายการที่ออกอากาศในวันเสาร์ที่ผ่านมาเฉยๆ แต่พอฟังรายการนี้ไปได้สักพักก็เริ่มตระหนักได้ว่าเจอของจริงเข้าแล้ว ลองเช็คดูได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างเลยครับ
Choking on Cufflinks
Michael Goodstein's Playlists and Archives !!!!
http://wfmu.org/playlists/VRถ้าต้องการทราบรายชื่อเพลงที่เปิด ก็คลิ๊กไปที่วันที่ๆรายการออกอากาศ (อยู่ด้านหน้าสุดของลิสต์เลยครับ) เพลงที่เปิดในรายการนี้จะเป็นเพลงพวกการาจ พังค์ อิเลคโทรนิคจากยุคแปดสิบที่หาฟังยาก โดยผู้จัดรายการที่น่าจะเรียกว่าเป็นพวกบ้าดนตรีเข้าขั้นโคม่า (ส่วนใหญ่พวกดีเจในสถานีอย่าง WFMU หรือ BBC ก็มักจะเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละครับ) เพลงที่เปิดในรายการส่วนใหญ่จะเล่นจากแผ่นไวนอล 7" ซึ่งโดยมากก็มาจากคอลเล็คชั่นส่วนตัวของผู้จัดรายการเอง มีอยู่หลายเพลงเหมือนกันที่พอผมลองเอาชื่อศิลปินไปกูเกิ้ลหาข้อมูลแล้ว ก็ไม่ค่อยเจอ MySpace หรือคลิพเพลงใน YouTube ให้ได้ลองฟังกันเลย บางแผ่นที่เอามาเปิดก็ out of print ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าท่านใดต้องการลองฟังเพลงเหล่านั้น ก็สามารถเข้าไปฟังในรายการนี้ได้ตลอดครับ ที่เยี่ยมก็คือ ถ้าเจอเพลงที่ชอบ ก็สามารถเลือกฟังเป็นเพลงๆไปเลยได้ โดยเลือกเพลงที่จะฟัง แล้วกดเลือกว่าจะฟังโดย pop-up player หรือ MP3 ที่อยู่ด้านขวาสุดของตารางรายชื่อเพลง
วงที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้ก็เป็นวงที่ผมได้ฟังจากรายการนี้แหละครับ ส่วนใหญ่จะเป็นวงเก่าที่มีผลงานออกมานานแล้ว แต่ซาวด์ดนตรียังให้ความรู้สึกที่สดใหม่ อย่างน้อยเพลงพวกนี้ก็ยังใหม่สำหรับผมในตอนนี้ครับ
Sally Smmit & Her Musicians "Hangahar" (Groovy, STP 3, UK, 1980) LP
http://rapidshare.com/files/17485841/sally_smmit___her_musicians_-_soundtrack_of_the_film_hangahar__lp_.zip.htmlนี่คือหนึ่งในตัวอย่างของเพลงที่เปิดในรายการ แต่ไม่มี MySpace หรือคลิพเพลงใน YouTube ให้ลองฟังกันได้เลย ก็ยังดีนะครับที่พอมีลิ้งค์ให้ดาวน์โหลดมาฟัง เพราะตอนนี้ อัลบั้มนี้ยัง out of print อยู่ครับ ถ้าท่านใดต้องการจะลองฟังแทร็ค hangahar side 1 ก็สามารถเข้าไปฟังได้ในรายการที่ลิ้งค์ข้างล่างเลยครับ
Michael Goodstein's Playlist for August 29, 2009
http://wfmu.org/playlists/shows/32749เมื่อคลิ๊กเข้าไปแล้ว เลื่อนหน้าจอลงไปข้างล่าง ก็จะเห็นตารางรายชื่อเพลง บังเอิญว่าเพลงนี้เปิดช่วงท้ายรายการ ถ้าเลื่อนหน้าจอลงไปเรื่อยๆ เพลงนี้จะเป็นเพลงที่แปดถ้านับจากเพลงสุดท้าย เป็น excerpt จากแทร็ค hangahar side 1 ของ Sally Smmit & Her Musicians ครับ เมื่อเจอเพลงนี้แล้ว ก็มองไปที่ด้านขวาสุดของตาราง ก็จะเห็นปุ่มให้เลือกว่าจะเล่นกับ pop-up player หรือ MP3 ซึ่งสามารถฟังเพลงนี้ได้เลยโดยไม่ต้องรอฟังตั้งแต่ต้นรายการครับ
ตอนที่ผมฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรก (เมื่อวานนี้เอง) ก็ตืนตะลึงไปกับเสียงร้องหลอนๆ คลอไปกับเสียงสังเคราะห์ที่ทั้งล้ำทั้งรีโทรได้ในเวลาเดียวกัน พอไปค้นข้อมูล ก็ปรากฏว่าอัลบั้มนี้ออกในปี 1980 โดยค่าย Groovy Records ของ Pete Shelley (หัวหน้าวง Buzzcocks) และอัลบัมนี้คือหนึ่งในสามอัลบั้มที่ออกโดย Groovy Records อีกสองอัลบั้มที่เหลือคือ Sky Yen ของ Pete Shelley เจ้าของค่ายเพลง กับอัลบั้ม Free Agents' £3. 33 ที่ตอนนี้ทั้งสามอัลบั้มกลายเป็นของหายากสุดๆไปแล้ว
Sally Smmit & Her Musicians ประกอบไปด้วย Sally Timms จากวง Mekons (นามสกุลของเธอบนปกอัลบั้มจะเขียนย้อนกลับ), Pete Shelley, Gerard Cookson และ Lindsey Lee โดยที่ชื่ออัลบั้ม HANGAHAR บางทีก็เขียนเป็น SOUNDTRACK TO HANGAHAR แม้ว่า Shally จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานดนตรีของอัลบั้มนี้ แต่ก็อาจจะเป็นความตั้งใจของเขาก็ได้ที่จะให้ซาวด์ดนตรีในอัลบั้มปราศจากกลิ่นอายพังค์ๆในแบบดนตรีของ Buzzcocks โดยสิ้นเชิง เพราะบรรยากาศในงานชุดนี้เรียกได้ว่าเป็น avant-underground ที่ทำออกมาแบบ DIY ด้วยกระบวนการทำ sound collages โดยใช้เครื่องดนตรีอิเลคโทรนิคยุคดึกดำบรรพ์ ประกอบเข้ากับเสียงเอ็ฟเฟ็คสไตล์ dada ในแบ็คกราวด์ และเสียงร้องหลอนๆของ Timms ที่แสดงการคารวะต่อดนตรี krautrock/kosmische ของเยอรมันด้วยการนำเอาสไตล์การร้องแบบมนุษย์ในยุคหินของ Damo Suzuki (นักร้องชาวญี่ปุ่นที่ร้องนำให้กับวง CAN ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่เจ็ดสิบ) ผ่านการเปล่งเสียงของ Yoko Ono ทุกสรรพเสียงประกอบกันเข้าจนเป็นงานดนตรีที่นำเอาจิตวิญญานแห่ง krautrock มาต่อยอดในโลกแห่งเสียงสังเคราะห์
Bubblegum Splash!
http://www.myspace.com/bubblegumsplashเคยมีสักครั้งไหมครับที่ได้ฟังเพลงบางเพลงที่แต่งออกมาง่ายๆ ดนตรีก็เรียบเรียงอย่างหลวมๆไม่ซับซ้อน ผู้เล่นก็ฝีมือธรรมดาจนบางครั้งดูเหมือนจะมีทักษะการเล่นดนตรีที่ไม่ต่างจากคนที่เพิ่งหัดเล่นดนตรีสักเท่าไร ทั้งการบันทึกเสียงก็ฟังดูรกหูจนเรียกได้ว่า ซาวด์ดนตรีถ้าไม่พังค์ก็ noise pop (และผมก็ไม่ใช่แฟนดนตรีแนวนี้เสียด้วย) แต่พอฟังแล้วเหมือนกับว่ามันทำให้คุณสดชื่นเหมือนได้กลับไปอยู่ในวัยแรกรุ่นอีกครั้ง มันเพิ่งเกิดกับผมเมื่อสองสามวันนี้เองครับตอนที่ได้ฟัง The18:10 Train to Yellovil Junction ของ Bubblegum Splash! เป็นครั้งแรก
พวกเขาประกอบไปด้วย Nikki Barr (ร้องนำ); Dave Todd (เบส); Jim Harrison (กีตาร์); Marty Cummins (แทมโบรีนและร้องประสาน) และ "Alan" (กลอง) ทั้งๆที่พวกเเขาออกผลงานเพลงกับค่าย The Subway Organisation มาแค่เจ็ดเพลงเท่านั้นในช่วงปลายทศวรรษที่แปดสิบ แต่สถานะของทางวงในตอนนี้ก็ได้กลายเป็นตำนานอันลึกลับในหมู่แฟนเดนตายไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ John Peel แห่ง BBC Radio 1 เปิดเพลง Fast of Friends ในรายการของเขา ที่เป็นเช่นนี้ก็อาจจะเป็นเพราะความเป็นไปของสมาชิกแต่ละคนในวงเป็นที่รับรู้ในหมู่แฟนเพลงน้อยมาก ในอินเทอร์เน็ตก็แทบจะไม่มีข้อมูลของพวกเขาให้ค้นกันเลย
เสน่ห์อย่างหนึ่งในดนตรีของพวกเขาที่สร้างกลุ่มแฟนเดนตายที่ยังคงเหนียวแน่นมาจนถึงปัจจุบัน น่าจะเป็นความไร้เดียงสาอันทรงพลังที่สื่อสารได้โดยตรงกับเด็กวัยรุ่นที่มีชีวิตอันแสนธรรมดาในยุคนั้น จนเด็กเหล่านี้บางคนก็กลายมาเป็นเครือข่ายแฟนเพลงที่พยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่มีของทางวง และสืบเสาะความเป็นไปของสมาชิกในวง ข้อมูลที่พวกเขารวบรวมกันมาได้ บ้างก็ว่าสมาชิกบางคนปักหลักอยู่ที่ Salisbury กับ Bristol ในเวลานี้ บ้างก็ว่าพวกเขาในตอนนี้ได้ออกจากวงการดนตรีไปเป็นครูพละบ้าง ครูสอนดนตรีบ้าง ส่วนนักร้องนำก็แต่งงาน มีครอบครัวเป็นคุณแม่ไปแล้ว มีเพียงสองคนคือ Jim กับ Dave ที่ไปอยู่วง Jane From Occupied Europe เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เหลือเพียงแค่บทเพลงไว้ให้เด็กในรุ่นต่อๆไปได้รับรู้ว่า วงอินดี้ที่มาก่อนเวลามีซาวด์ดนตรีเป็นยังไง
หลังจากนั้นไม่นาน ผมไปเจอบล็อกของ Jane From Occupied Europe ที่มีเพลงของ Bubblegum Splash! ให้ดาวน์โหลดกันยกชุด คาดว่าบล็อกนี้คงเป็นที่รับรู้ในหมู่แฟนๆของ Bubblegum Splash! ไปเรียบร้อยแล้ว ลองคลิ๊กเข้าไปดูกันได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างเลยครับ
Jane From Occupied Europe
http://janefromoccupiedeurope.blogspot.com/2009/01/bubblegum-splash-splashdown-ep.htmlถ้าเลื่อนหน้าจอลงไปที่ท้ายบทความ ก็จะเห็นลิ้งค์ให้ดาวน์โหลดนะครับ
Morgan Fisher
http://www.myspace.com/morgansorganmusicเดิมทีผมไม่ได้ตั้งใจจะฟังผลงานของเขาหรอกครับ แต่บังเอิญได้ไปฟังแทร็คของวง Hybrid Kids ที่นำเอาเพลง D'Ya Think I'm Sexy มาทำดนตรีใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิม มันโดนยำออกมาเป็นยัง ไง ก็ลองฟังดูได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างครับ
D'Ya Think I'm Sexy - Hybrid Kids
http://beemp3.com/download.php?file=5508360&song=D%26%23039%3BYa+Think+I%26%23039%3Bm+Sexyเพลงนี้ออกในปี 1979 ในอัลบั้มที่ชื่อ Hybrid Kids (และนำมาออกใหม่เป็นดับเบิ้ลซีดีในปี 2008) แต่ในลิสต์รายชื่อเพลงของรายการที่ผมฟัง ชื่อ Hybrid Kids เขียนไว้ในช่องศิลปิน และในเว็บที่มีไฟล์เสียงเพลงนี้ให้ฟัง ก็ใส่ชื่อ Hybrid Kids เป็นชื่อศิลปิน แต่ถ้าไปดูรายชื่อเพลงที่ลิ้สต์บนปกอัลบั้ม เพลงนี้จะเป็นของ British Standard Unit นอกจากวงนี้แล้ว ทุกเพลงในอัลบั้มนี้จะเล่นด้วยวงชื่อแปลกๆ เพราะช่วงที่อัลบั้มนี้ออกวางตลาด ค่ายเพลงได้ออกข่าวไปว่านี่คืออัลบั้มรวมเพลงของพวกวงเล็กๆจากเมือง Peabody ในแคนซัส เป็นเรื่องโกหกที่ทั้งสื่อมวลชนและแฟนเพลงหลายคนในเวลานั้นคิดว่าเป็นเรื่องจริง ทั้งๆที่ทุกเพลงเป็นผลงานของ Morgan Fisher มือคีย์บอร์ดจากวง Mott the Hoople ที่นำเอาเพลงฮิตในยุคนั้น (หรือก่อนหน้านั้น) มาเรียบเรียงใหม่ โดยวางจุดประสงค์ของโปรเจ็คไว้ว่า ต้องยำเพลงพวกนั้นให้ต่างจากเวอร์ชั่นต้นฉบับชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือให้ได้มากที่สุด เข้าไปดูข้อมูลของอัลบั้มชุดนี้ได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างเลยครับ
Hybrid Kids
http://www.morgan-fisher.com/discography.htmlถ้าลองย้อนดูประวัติของมือคีย์บอร์ดคนนี้ จะเห็นว่าเขามีประวัติการทำงานมานานก่อนหน้านั้น เริ่มตั้งแต่ปี 1968 ที่เขายังเล่นให้วง The Love Affair (ที่มีเพลง "Everlasting Love" เป็นเพลงฮิต) ตามด้วยวง Third Ear Band ที่เคยทำดนตรีประกอบภาพยนตร์ให้กับผู้กำกับ โรมัน โปลานสกี้ ใน "Macbeth" แต่ชื่อของเขามาเป็นที่รู้จักกันจริงๆก็ตอนเข้าร่วมวง Mott the Hoople ในช่วงปลายทศวรรษที่เจ็ดสิบ เข้าได้ก่อตั้งค่ายเพลงพร้อมห้องบันทึกเสียง Pipe Music ซึ่งอัลบั้มชุด Hybrid Kids ก็ออกโดยค่ายนี้ .ในปี 1982 เขาก็ออกทัวร์คอนเสิร์ทกับวง Queen ในฐานะมือคีย์บอร์ด
หลังจากนั้น ช่วงกลางทศวรรษที่แปดสิบ เขาก็ย้ายฐานไปญี่ปุ่นเพื่อตั้งบริษัท The Handmade Studio และสร้างผลงานจากที่นั่นอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ เพลงที่ลิสต์ใน MySpace Player ของเขาจะเป็นโปรเจ็คที่เขาเปิดการแสดงในชื่อ Morgan's Organ ที่คลับ Superdeluxe ในโตเกียวทุกเดือน หลังจากได้มาฟังเพลงพวกนี้แล้ว ทำเอาผมเกือบลืม D'Ya Think I'm Sexy ที่ได้ฟังก่อนหน้านั้นไปเลยครับ เพราะซาวด์ดนตรีของเขาในโปรเจ็คนี้มันผสานความประณีตในเนื้อเสียงเข้ากับความลื่นไหลแห่งการแสดงสดได้อย่างไม่ตกหล่น ทั้งๆที่โดยปรกติแล้วอารมณ์ที่ไหลทะลักได้อย่างอิสระจากการเล่นสด กับซาวด์ที่ละเมียดราวกับผ่านกระบวนการอันซับซ้อนในสติวดิโอแห่งโลกอนาคตมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นพร้อมๆกันบ่อยนัก ที่เด่นคือแทร็คแรก MO6 1 Clip กับเสียงออร์แกนในแทร็คที่แปด MO3 1 Clip ที่คมใสในขณะเดียวกับที่ให้ความรู้สึกอันสดฉ่ำเหมือนผลึกวุ้น จนไม่น่าเชื่อว่าเสียงบางตัว เล่นโดยเครื่องดนตรีอนาล็อกที่มีอายุถึงห้าสิบปี