อัลบั้ม White Spirit เปิดตัวด้วย Midnight Chaser ที่ตัดเป็นซิงเกิ้ล เพลงนี้ยังคงโดดเด่นด้วยซาวด์แบบ Deep Purple ผสมผสานกับกีต้าร์อันร้อนแรงของแยนิกที่โดดเด่นรอบจัดเกินวัย มันส์กันตั้งแต่ริฟฟ์เร้าใจ สลับกันโชว์กับคีย์บอร์ดของมัลคอมอย่างยอดเยี่ยม ขณะที่เพลงอื่นๆ กลับคละเคล้าไปด้วยสำเนียงที่หลากหลายรสชาติ โดยที่ซาวด์แบบ Deep Purple กลับหดหายไปหลายเปอร์เซ็นต์ และมีเพลงท่วงทำนองฟังง่ายเข้ามาทนแทนกว่าครึ่งหนึ่ง เพลง Red Skies ก็ยังมันส์ แต่เสียงร้องดันแปร่งไปเหมือนพวกอัลเตอร์ (ล้ำสมัยจัง) High Upon High, No Reprieve และ Way of the King สามเพลงที่ทำนองดีติดหูง่ายเป็นเมโลดิกร็อคได้เลย โดยเฉพาะ Way of the King กีต้าร์โดดเด่นเป็นพระเอกมาก
สำหรับเพลงที่แหวกแนวที่สุดต้องยกให้ Fool For The Gods มหากาพย์ความยาวกว่าเก้านาที บรรยากาศแบบพร๊อกอบอวลไปหมด อินโทรคีย์บอร์ดอลังการณ์ ตามด้วยดนตรีช้าหนัก ก่อนจะเปลี่ยนทำนองหลายลีลา ชวนให้นึกถึงเพลงของวงรุ่นพี่อย่าง Magnum – เพลง Suffragettes ด้านบีของซิงเกิ้ล Midnight Chaser ที่ไม่อยู่ในอัลบั้มก็มาแนวนี้เหมือนกัน - น่าสนใจว่า ถ้า White Spirit เลือกเล่นแนวนี้อย่างจริงจัง คงน่าสนใจไม่น้อย
แม้ดนตรีในอัลบั้ม White Spirit จะดูจับฉ่ายหลายลีลา แต่ก็สร้างความนิยมให้กับแยนิกและพรรคพวกอยู่ไม่น้อย เรียกว่าพอมองเห็นแววรุ่งอยู่รำไร
ทว่า White Spirit ก็เหมือนกับบรรดาวง NWOBHM ส่วนใหญ่ - เมื่อยังไม่ทันได้ประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่ก็ต้องมาเจอปัญหาเรื่องสมาชิกจนซวนเซไป เริ่มจากการลาออกของฟิล แบรดดี้มือเบสเป็นคนแรก แล้วก็มาสูญเสียนักร้องนำบรู๊ซ รัฟฟ์ไป และไปได้ Brian Howe มาแทน
ทว่าเส้นทางของ White Spirit ก็มาถึงทางตัน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการที่ Bernie Torme แยกทางกับ Gillan หลังออกอัลบั้ม Future Shock อีกทอดหนึ่ง เลยทำให้เอียน กิลแลนที่ชื่นชอบฝีมือของแจนิกอยู่แล้ว จึงได้ทาบทามให้เข้าร่วมวง – แน่นอน! ใครจะยอมเสียโอกาสทองไปรุ่งโรจน์กับวงรุ่นใหญ่ที่แนวทางใกล้เคียงกันอย่าง Gillan โดยแจนิกเข้าไปโชว์ฝีมือในอัลบั้มคู่กึ่งแสดงสด Double Troble เมื่อปี 1982
คงยังจำกันได้ ช่วงนี้เองทำให้แจนิกได้ติดตาม Gillan มาโชว์ฝีมือให้ดูกันที่กรุงเทพฯ ด้วย ตอนนั้นถือว่าเขายังโนเนมมาก แถมโดนค่อนขอดว่า พยายามเป็นริชชี่ แบล็คมอร์คนใหม่ให้กับเอียน กิลแลน – ไม่ใช่วันที่เป็นบิ๊กเนมกับ Iron Maiden เหมือนเดี๋ยวนี้
พอคีย์แมนคนสำคัญที่เป็นเสมือนหัวหน้าวงตัดช่องน้อยโบกมือไปแสวงหาหนทางดีกว่า แกรม คราลเลนและสมาชิกที่เหลือของ White Spirit ถึงกับไปไม่เป็น จนต้องยุบวงในปี 1981 จากนั้นแกรมไปตีกลองให้กับวง Tank แต่ก็ร่วมงานในอัลบั้ม Honour and Blood เพียงแค่ชุดเดียว ส่วนไบรอัน ฮาวน์มีโอกาสไปร้องให้กับ Ted Nugent ในอัลบั้ม Penetrator เมื่อปี 1984 ก่อนที่เสียงร้องในสำเนียงบลูส์แบบ Paul Rodgers จะช่วยให้ไปได้ดีกับ Bad Company อยู่หลายปี
ถึงไบรอันจะร่วมงานกับ White Spirit เพียงช่วงสั้นๆ เขาก็ได้บันทึกเสียงกับวงในเพลง Watch Out แล้วเพลงนี้ก็ถูกนำไปใส่ในอัลบั้มรวมเพลงหลายชุด หลังจากที่ White Spirit แยกทางกันไปแล้ว –สิ่งที่ทำให้เพลงมันส์ๆ เพลงนี้น่าสนใจเพราะฟังคล้ายกับเพลง Can’t Happen Here ของ Rainbow มากทีเดียว โดยเฉพาะริฟฟ์ของแยนิก
ฟังเพลง Watch Out ทีไรก็ชวนให้นึกเสียดายว่า ถ้าเอียน กิลแลนไม่มาดึงตัวแยนิก เกอร์สไปซะก่อน White Spirit ก็คงมีอัลบั้มชุดที่ 2 ออกมาแน่ๆ ซึ่งก็พอจะมองเห็นลางๆ ว่าซาวด์น่าจะออกมาแบบไหน!