ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
การค้นหาขั้นสูง

149704 กระทู้ ใน 4435 หัวข้อ- โดย 847 สมาชิก - สมาชิกล่าสุด: axlrose

11 พฤษภาคม 2024 | 08:59:57 PM
หน้า: 1 2 [3] 4 5
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: New Wave Of British Heavy Metal  (อ่าน 35694 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Pong-Wanchai
The Snow Goose
**********
กระทู้: 8464



ดูรายละเอียด
« ตอบ #30 เมื่อ: 11 มีนาคม 2011 | 01:00:41 PM »

ผมมีซีดีชุด The Iron Men ซึ่งลองซื้อมาฟังดูแล้วก็เก็บใส่ตู้ไว้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  ฮืม  ฮืม  ฮืม

อีกชุดนึงชื่อว่า South American Assault ของคณะ Killers ที่ส่วนใหญ่มีเพลงของ Iron Maiden เกือบทั้งหมด แล้วก็ช่วง
encore เล่นเพลง Smoke On The Water ด้วย ก็เลยซื้อมาลองอีกนั่นแหละครับ  ยิ้มกว้างๆ  ยิ้มกว้างๆ  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #31 เมื่อ: 11 มีนาคม 2011 | 02:43:11 PM »


ชุดนี้เล่นตั้งแต่ชื่อบนปกเลยครับ





บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #32 เมื่อ: 11 มีนาคม 2011 | 03:19:31 PM »


Paul Di'anno ยังไปหากินกับการร้องเพลง cover ด้วย เท่าที่ฟังมา เขาร้องเพลงของ UFO ได้มันส์ดีครับ แต่ที่ตลกคือ เขายังอุตส่าห์ไปร้องเพลงที่ตัวเองเคยร้องในอัลบั้ม Tribute to Iron Maiden หลายชุด

พอล ดิอันโนร้องทริบิวต์ให้ตัวเองในสองอัลบั้มนี้ ร่วมกับ Steve Overland, Doogie White, Gary Barden และ Steve Grimmett

Vol. I ร้องสามเพลง Wrathchild, Running Free และ Phantom Of The Opera




 

Vol II ร้องสี่เพลง Murders In The Rue Morgue, Remember Tomorrow, Sanctuary และ Killers






สองชุดนี้มีชื่อและปกหลายแบบ ตามแต่สังกัดในประเทศที่เอาไปปั้มออกมา

ในบ้านเราเคยมี Vol. 1 เป็นปกแบบนี้จากสังกัด Victor ของญี่ปุ่นทำเป็นเทปออกขายด้วย




บันทึกการเข้า
Shaman
Wish You Were Here
*****
กระทู้: 943


ดูรายละเอียด
« ตอบ #33 เมื่อ: 11 มีนาคม 2011 | 06:27:29 PM »

บ้านเรามีเทปออกมาขายเหมือนกันครับ จำไม่ได้ว่าสังกัดไหน น่าจะ S.Stack นะครับ ส่วนตัวเพลงผมว่าค่อนข้างน่าเบื่อและไร้พลัง ไม่มีอะไรสู้ของเดิมได้เลย ฟังไปไม่กี่รอบผมเก็บลืมเลยครับ
บันทึกการเข้า
Shaman
Wish You Were Here
*****
กระทู้: 943


ดูรายละเอียด
« ตอบ #34 เมื่อ: 11 มีนาคม 2011 | 06:34:43 PM »

พี่เบนมอร์เล่าเรื่อง Samson วงเก่าของบรูซ และ White Spirit ของ ยานิก ให้หน่อยสิครับ
บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #35 เมื่อ: 11 มีนาคม 2011 | 10:01:12 PM »

พี่เบนมอร์เล่าเรื่อง Samson วงเก่าของบรูซ และ White Spirit ของ ยานิก ให้หน่อยสิครับ

เปลี่ยนบรรยากาศไปวงอื่นบ้างก็ดี - งั้นเป็น White Spirit ก่อนดีกว่า แต่ขอเวลาทบทวนแป๊บนึง

จะได้รำลึกถึงการจากไปของ Graeme Crallen จากอุบัติเหตุในปี 2008 ด้วย

พี่ครอลเลนเป็นมือกลองและผู้ร่วมก่อตั้ง White Spirit กับ Janick Gers

แล้วยังไปตีกลองให้วง Tank ในอัลบั้ม Honour & Blood...

ภาพนี้สมัยขึ้นเวที Reading Festival กับพี่ยานิกและวง White Spirit เมื่อปี 1980





บันทึกการเข้า
จ่าวิส
Fragile
***
กระทู้: 323



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #36 เมื่อ: 12 มีนาคม 2011 | 12:01:43 PM »

พูดถึงลุงพอล ลุงพอลก็พึ่งโดนคุกไปเมื่อวันนี้เอง
http://www.dailymail.co.uk/news/article-1365334/Ex-Iron-Maiden-singer-Paul-DiAnno-52-jailed-45k-benefits-swindle.html
บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #37 เมื่อ: 14 มีนาคม 2011 | 03:57:05 PM »


ตอนที่เห็นแอดโฆษณาอัลบั้ม Circus Bar ของ Brian Howe เมื่อปลายปี 2010 โดยระบุเครดิตวงดนตรีที่พี่ไบรอันเคยผ่านมาทั้ง Ted Nugent และ Bad Company ซึ่งแฟนเพลงน่าจะทราบดีอยู่แล้ว แต่มาสะดุดตาและแปลกใจก็ตรงวง White Spirit – เพิ่งรู้ตอนนั้นว่า พี่ไบรอันมีส่วนร่วมกับ NWOBHM กับเค้าด้วย!

White Spirit ก็เป็นวงดนตรีที่โผล่ขึ้นมาพร้อมกับกระแส NWOBHM อีกวงนึง และมีอายุไม่ยืนยาวนักกับอัลบั้มชื่อเดียวกับวงเพียงชุดเดียว ก่อนแยกทางกันไปเหมือนกับวง NWOBHM รุ่นบุกเบิกอีกดาษดื่น หลังจากนั้นชื่อของวงนี้ก็น่าจะเลือนหายไปตามกาลเวลาที่ผ่านมาแล้วสามสิบปี - หากไม่ใช่วงที่ Janick Gers เคยร่วมงานอยู่ด้วย






แยนิก เกอร์สก่อตั้ง White Spirit ขึ้นมาร่วมกับ Graeme Crallen มือกลอง ในช่วงกลางยุค 70 ตอนที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ที่เมืองฮาร์ทเทิลพูลบ้านเกิด – White Spirit จึงเป็นวงดนตรีที่มาจากเมืองฮาร์ทเทิลพูล ไม่ใช่นิวคาสเซิลอย่างที่หนังสือหลายเล่มเคยบอกไว้ แต่ก็ตั้งอยู่ในละแวก North Eest เหมือนกัน ต่อมาก็ได้ Bruce Ruff มาเป็นนักร้อง Pail Brady มือเบส และ Malcolm Pearson เล่นคีย์บอร์ด ซึ่งนอกจากเสียงกีต้าร์อันโดดเด่นของแยนิกที่มี Ritchie Blackmore เป็นฮีโร่แล้ว ก็มีเสียงคีย์บอร์ดของมัลคอมนี่แหละที่ทำให้ซาวด์ของ White Spirit แตกต่างจากวงร่วมรุ่น NWOBHM ส่วนใหญ่ เพราะเต็มไปด้วยกลิ่นไอที่ชวนให้นึกถึง Deep Purple หรือหวือหวาจนเข้าใกล้พร๊อกแบบ Uriah Heep ปานนั้น 






สำเนียงแบบ Deep Purple ชัดเจนมากในซิงเกิ้ลเปิดตัว Backs to the Grind ขณะที่เพลงหน้าบี Cheetah ก็เหมือนเป็นภาคต่อของ Fireball แถมเสียงกีต้าร์ยังเหมือนราวกับบุรุษชุดดำมาเล่นให้เอง นับเป็นรสชาติที่แหวกแนวกว่าวง NWOHBHM อื่นๆ ที่มักเน้นความว่องไวของกีต้าร์คู่เป็นหลัก เสียงร้องของบรู๊ซก็มาโทนเดียวกับ Ian Gillan ด้วยซิงเกิ้ลแรกนี้เองสร้างชื่อเสียงให้กับ White Spirit อยากมากและสามารถขึ้นถึงอันดับที่ 3 ในชาร์ตเพลงอินดี้ของอังกฤษในปี 1980 โดยเฉพาะเพลง Cheetah ที่ได้รับความนิยมแซงเพลงหน้าเอ จนถูกนำไปบรรจุในอัลบั้มรวมเพลงเอก NWOBHM หลายชุด - เช่นเดียวกับเพลง High Upon High ก็ถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงเฮฟวี่แห่งยุค Metal for Muthas  Vol. II แต่ดนตรีในเพลงนี้มีทำนองติดหูมาก จนเกือบจะเป็นฮาร์ดป๊อบไปโน้นเลย






ขณะที่มีซิงเกิ้ลได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง White Spirit ยังได้โอกาสไปสร้างชื่อบนเวที Reading Festival ครั้งที่ 20 ด้วย โดยขึ้นแสดงในวันสุดท้าย 24 สิงหาคม 1980ร่วมกับ Magnum, Def Lappard, Tygers of Pantang, Praying Mantis, Girl ฯลฯ ก่อนจะมีอัลบั้มแรกตามออกมาในเดือนกันยายน






White Spirit ถือเป็นหนึ่งในหัวขบวนของ NWOBHM ที่มีโอกาสออกอัลบั้มแรกตั้งแต่ปี 1980 และยังได้ John McCoy มือเบสของ Gillan มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ กรณีนี้นับว่าแยนิกกับพวกได้รับการอุปถัมภ์คำชูจากอดีตฟรอนแมนต์ของ Deep Purple อย่างมาก นับตั้งแต่สนับสนุนให้ไปเล่นเป็นวงเปิด แม้กระทั่งหน้าปกอัลบั้มสุดคลาสสิครูปอินทรีเหล็กพร้อมกับภาพสมาชิก ยังได้ทีมงานดีไซต์เวทีคอนเสิร์ตของ Gillan มาช่วยออกแบบให้






บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #38 เมื่อ: 14 มีนาคม 2011 | 04:01:36 PM »


อัลบั้ม White Spirit เปิดตัวด้วย Midnight Chaser ที่ตัดเป็นซิงเกิ้ล เพลงนี้ยังคงโดดเด่นด้วยซาวด์แบบ Deep Purple  ผสมผสานกับกีต้าร์อันร้อนแรงของแยนิกที่โดดเด่นรอบจัดเกินวัย มันส์กันตั้งแต่ริฟฟ์เร้าใจ สลับกันโชว์กับคีย์บอร์ดของมัลคอมอย่างยอดเยี่ยม ขณะที่เพลงอื่นๆ กลับคละเคล้าไปด้วยสำเนียงที่หลากหลายรสชาติ โดยที่ซาวด์แบบ Deep Purple กลับหดหายไปหลายเปอร์เซ็นต์ และมีเพลงท่วงทำนองฟังง่ายเข้ามาทนแทนกว่าครึ่งหนึ่ง เพลง Red Skies ก็ยังมันส์ แต่เสียงร้องดันแปร่งไปเหมือนพวกอัลเตอร์ (ล้ำสมัยจัง)  High Upon High, No Reprieve และ Way of the King สามเพลงที่ทำนองดีติดหูง่ายเป็นเมโลดิกร็อคได้เลย โดยเฉพาะ Way of the King กีต้าร์โดดเด่นเป็นพระเอกมาก






สำหรับเพลงที่แหวกแนวที่สุดต้องยกให้ Fool For The Gods มหากาพย์ความยาวกว่าเก้านาที บรรยากาศแบบพร๊อกอบอวลไปหมด อินโทรคีย์บอร์ดอลังการณ์ ตามด้วยดนตรีช้าหนัก ก่อนจะเปลี่ยนทำนองหลายลีลา ชวนให้นึกถึงเพลงของวงรุ่นพี่อย่าง Magnum – เพลง Suffragettes ด้านบีของซิงเกิ้ล Midnight Chaser ที่ไม่อยู่ในอัลบั้มก็มาแนวนี้เหมือนกัน - น่าสนใจว่า ถ้า White Spirit เลือกเล่นแนวนี้อย่างจริงจัง คงน่าสนใจไม่น้อย

แม้ดนตรีในอัลบั้ม White Spirit จะดูจับฉ่ายหลายลีลา แต่ก็สร้างความนิยมให้กับแยนิกและพรรคพวกอยู่ไม่น้อย เรียกว่าพอมองเห็นแววรุ่งอยู่รำไร






ทว่า White Spirit ก็เหมือนกับบรรดาวง NWOBHM ส่วนใหญ่ - เมื่อยังไม่ทันได้ประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่ก็ต้องมาเจอปัญหาเรื่องสมาชิกจนซวนเซไป เริ่มจากการลาออกของฟิล แบรดดี้มือเบสเป็นคนแรก แล้วก็มาสูญเสียนักร้องนำบรู๊ซ รัฟฟ์ไป และไปได้ Brian Howe มาแทน

ทว่าเส้นทางของ White Spirit ก็มาถึงทางตัน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการที่ Bernie Torme แยกทางกับ Gillan หลังออกอัลบั้ม Future Shock อีกทอดหนึ่ง เลยทำให้เอียน กิลแลนที่ชื่นชอบฝีมือของแจนิกอยู่แล้ว จึงได้ทาบทามให้เข้าร่วมวง – แน่นอน! ใครจะยอมเสียโอกาสทองไปรุ่งโรจน์กับวงรุ่นใหญ่ที่แนวทางใกล้เคียงกันอย่าง Gillan โดยแจนิกเข้าไปโชว์ฝีมือในอัลบั้มคู่กึ่งแสดงสด Double Troble เมื่อปี 1982






คงยังจำกันได้ ช่วงนี้เองทำให้แจนิกได้ติดตาม Gillan มาโชว์ฝีมือให้ดูกันที่กรุงเทพฯ ด้วย ตอนนั้นถือว่าเขายังโนเนมมาก แถมโดนค่อนขอดว่า พยายามเป็นริชชี่ แบล็คมอร์คนใหม่ให้กับเอียน กิลแลน – ไม่ใช่วันที่เป็นบิ๊กเนมกับ Iron Maiden เหมือนเดี๋ยวนี้

พอคีย์แมนคนสำคัญที่เป็นเสมือนหัวหน้าวงตัดช่องน้อยโบกมือไปแสวงหาหนทางดีกว่า แกรม คราลเลนและสมาชิกที่เหลือของ White Spirit ถึงกับไปไม่เป็น จนต้องยุบวงในปี 1981 จากนั้นแกรมไปตีกลองให้กับวง Tank แต่ก็ร่วมงานในอัลบั้ม Honour and Blood เพียงแค่ชุดเดียว ส่วนไบรอัน ฮาวน์มีโอกาสไปร้องให้กับ Ted Nugent  ในอัลบั้ม Penetrator เมื่อปี 1984  ก่อนที่เสียงร้องในสำเนียงบลูส์แบบ Paul Rodgers จะช่วยให้ไปได้ดีกับ Bad Company อยู่หลายปี

ถึงไบรอันจะร่วมงานกับ White Spirit เพียงช่วงสั้นๆ เขาก็ได้บันทึกเสียงกับวงในเพลง Watch Out แล้วเพลงนี้ก็ถูกนำไปใส่ในอัลบั้มรวมเพลงหลายชุด หลังจากที่ White Spirit แยกทางกันไปแล้ว –สิ่งที่ทำให้เพลงมันส์ๆ เพลงนี้น่าสนใจเพราะฟังคล้ายกับเพลง Can’t Happen Here ของ Rainbow มากทีเดียว โดยเฉพาะริฟฟ์ของแยนิก


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=_QL4b6l8PGQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=_QL4b6l8PGQ</a>


ฟังเพลง Watch Out ทีไรก็ชวนให้นึกเสียดายว่า ถ้าเอียน กิลแลนไม่มาดึงตัวแยนิก เกอร์สไปซะก่อน White Spirit ก็คงมีอัลบั้มชุดที่ 2 ออกมาแน่ๆ ซึ่งก็พอจะมองเห็นลางๆ ว่าซาวด์น่าจะออกมาแบบไหน!


บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #39 เมื่อ: 17 มีนาคม 2011 | 02:00:00 PM »


พลาดหวังจากการมาเยือนเมืองไทยของ Saxon ไปเมื่อต้นเดือน  เศร้า

ตอนนี้ตำนานของ NWOHWM ที่ยังคึกคักแอคทีฟมีพลังวงนี้ก็เตรียมปล่อยอัลบั้มล่าสุด Call To Arms ออกมาให้แฟนเพลงสัมผัสความมันส์ที่ไม่เคยถดถอย – ปกอัลบั้มชุดนี้มาแปลกแหวกแนวจากชุดอื่นๆ แต่ก็ดูเก๋าดี  เจ๋ง

Call To Arms เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 19 ของ Biff Byford และพลพรรคนักรบแดนเถื่อน – กะจะไม่ให้ใครมาลบสถิติเป็นวง NWOBHM ที่มีอัลบั้มมากที่สุดหรือไงลุงบีฟ!  ยิ้มเท่ห์ ยิ้มกว้างๆ





บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #40 เมื่อ: 29 มีนาคม 2011 | 08:57:22 PM »


ดูดีวีดี Sweden Rock Festival แผ่นสองที่มีวงร็อคเก่าๆ กลับมาขึ้นเวทีอยู่หลายวง – แล้วก็ต้องสะดุดตาตั้งแต่วงแรก From Behind เล่นเพลง Queen Bitch ในซาวด์ย้อนยุคฮาร์ดร็อค ’70 ได้มันส์ดี






นักร้องนำของ From Behind เป็นลุงอ้วนศีรษะล้าน แถมยังใส่แว่นสายตาอีกด้วย (ตามสังขารแล้วจะเรียกคุณตาก็ได้) แต่ก็ร้องเพลงได้ดุดันและแฝงสำเนียงบลูส์อย่างยอดเยี่ยมมาก – ชวนให้ฉงนสงสัยว่า ลุงเป็นใครมาจากไหน ดูแล้วน่าจะคร่ำหวดมานาน อายุปูนนี้แล้ว คงไม่ใช่พวกโนเนม เพิ่งหอบสังขารมาขึ้นเวทีตอนแก่แบบนี้ – พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก

พอค้นดู – ที่ไหนได้เป็น Nicky Moore อดีตนักร้องนำของ Samson วง NWOBHM ตัวพ่ออีกวงนึง – ก็เล่นชราจนไม่เหลือแววดาราร็อคที่เคยนุ่งกางเกงยืดฟิตเปี๊ยะขึ้นเวทีคอนเสิร์ตเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแบบนี้ ใครจะไปนึกออก






พอรู้แล้วก็เลยดีใจที่ได้เห็นนักร้องจากยุค NWOBHM อยู่บนเวทีอีกครั้งหนึ่ง แม้สังขารจะร่วงโรยไปโข แต่เสียงร้องยังรับประกันได้

นอกจากลุงนิกกี้แล้ว From Behind ยังมี Manny Chalton อดีตมือกีต้าร์ของ Nazareth อีกคนนึง ทั้งสองลุงร่วมกันตั้งวงนี้ สมทบด้วยนักดนตรีสวีเดนรุ่นลูก แล้วก็มีอัลบั้ม Game Over ออกมาในปี 2006 เพียงชุดเดียว – ตามประสาวงเฉพาะกิจของนักดนตรีเก่า






บนเวที Sweden Rock ลุงแมนนี่ก็มาเล่นอยู่ด้วย แต่ไม่ได้มีบทบาทเด่นเหมือนลุงนิกกี้ - ตอนดูครั้งแรกก็จำไม่ได้เหมือนกัน เพิ่งมาสังเกตตอนหลังนี่เอง - ทำไมถึงได้ไร้ราศรีร็อคเกอร์รุ่นใหญ่เช่นนี้ ฮืม

บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #41 เมื่อ: 29 มีนาคม 2011 | 08:59:41 PM »


ลุงนิกกี้เป็นนักร้องนำคนที่สองของ Samson โดยรับช่วงต่อจาก Bruce Bruce หรือ Bruce Dickinson ที่ออกไปอยู่กับ Iron Maiden นั่นเอง






ลุงนิกกี้มีสตูดิโออัลบั้มกับ Samson สองชุดในช่วงปี 1982-1984 ก่อนออกจากวงไป แล้วก็คัมแบ็คอีกครั้งในปี 2002 แต่ยังไม่ทันได้มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันอีกครั้ง  Paul Samson มือกีต้าร์และหัวหน้าวงก็จบชีวิตลงไปเสียก่อนด้วยโรคมะเร็ง ส่งผลให้วง Samson ต้องปิดฉากไปโดยปริยาย


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=efFAkBGwfug" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=efFAkBGwfug</a>



บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #42 เมื่อ: 29 มีนาคม 2011 | 09:10:12 PM »


น่าเห็นใจลุงนิกกี้อยู่เหมือนกันที่ Samson ในยุคที่เขาร้องนำไปค่อยเป็นที่จดจำเท่ากับตอนที่บรู๊ซ ดิกกินสันยังอยู่กับวง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ NWOBHM กำลังเบ่งบานเต็มที่ โดยถือว่าพอล แซมซั่นได้ร่วมบุกเบิกด้วยสามอัลบั้มแรกกับสมาชิกคลาสสิคไลน์อัฟที่เสริมด้วยมือเบส Chris Aylmer และมือกลองสวมหน้ากากกับฉายากลองสายฟ้าฟาด Thunderstick






Samson นับว่าเป็นอีกวงนึงที่มีผลงานมาก่อนบรรดา NWOBHM อื่นๆ พวกเขามีอัลบั้มแรกตั้งแต่ปี 1979 (Saxon เป็นอีกวงที่มีผลงานชุดแรกในปีเดียวกัน) พี่พอลได้ก่อตั้งวงดนตรีในนามของเขามาก่อนหน้านั้นสองปี ในช่วงแรกก็มีสมาชิกเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ ตามประสาวงร็อคยุคตั้งไข่ Clive Burr ก็เคยตีกลองให้ Samson ในซิงเกิ้ลเปิดตัว Telephone เมื่อปี 1978 ก่อนไปอยู่กับ Iron Maiden หรือ John McCoy มือเบสร่างอ้วนของ Gillan ก็มีส่วนสนับสนุนอย่างมาก ทั้งชักชวนไปออกทัวร์กับ Gillan ช่วยเล่นเบสและผันตัวไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้ด้วยในอัลบั้มแรก Survivors

ถึงจะเป็นหัวหอกของ NWOBHM แต่ดนตรีของ Samson กลับมีซาวด์ที่เด่นเป็นเอกลักษณ์ในสไตล์บริติชฮาร์ดร็อคขนานแท้ ด้วยดนตรีดุดันที่แฝงสำเนียงบลูส์ไว้เหมือนวงฮาร์ดร็อครุ่นบุกเบิก โดยเฉพาะเสียงกีต้าร์ – เป็นตัวอย่างของวงดนตรีที่ไม่ได้เล่นเพลงเมทัลในรูปแบบใหม่แต่อย่างใด เพียงแต่ก้าวขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะกับซาวด์แบบดั้งเดิม เลยถูกพะยี่ห้อและเกาะกลุ่มไปกับกระแส NWOBHM กับเขาด้วย






ซาวด์บริติชฮาร์ดร็อคของ Samson ชัดเจนมากกับอัลบั้ม Survivors - เปิดตัวด้วยริฟฟ์และดนตรีเร้าใจในเพลง It's Not As Easy As It Seems เสียงกีต้าร์ในเพลง Big Brother ก็เด่นมากหรืออย่างเพลง Six Foot Under สุดมันส์ I Wish I Was The Saddle Of A Schoolgirls Bike ก็เป็นมิดเทมโป้ที่หนักขึ้นมาหน่อย และพักหูด้วยบัลลาดสโลว์บลูส์ที่เติมเสียงเปียโนของ Colin Town จาก Gillan เข้ามาในเพลง Tomorrow or Yesterday ก่อนจะเร่งจังหวะเร็วขึ้นตามพิมพ์นิยม

ตอนที่บันทึกเสียงอัลบั้ม Survivors ครั้งแรกนั้น พี่พอลต้องร้องนำเองคู่ไปกับเล่นกีต้าร์ เพราะพี่บรู๊ซยังไม่ได้ร่วมวง – หลังจากพี่พอลไปชวนนักร้องหนุ่มจากวง Shots เข้ามาสมทบในชื่อ Bruce Bruce Samson จึงกลายเป็นวงสี่คนและเริ่มต้นยุคคลาสสิคไลน์อัฟ และภายหลังพวกเขาได้บันทึกเสียง 5 เพลงจากอัลบั้มแรกกับนักร้องคนใหม่ แล้วออกวางจำหน่ายใหม่อีกครั้ง


http://www.youtube.com/watch?v=wWAPot8G7J8


บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #43 เมื่อ: 31 มีนาคม 2011 | 06:06:51 PM »


ภายหลังออกอัลบั้ม Survivors เฮฟวี่จอมพลัง Samson ก็ออกตระเวนเปิดคอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงท้ายของปี 1979 ซึ่งก็สร้างชื่อเสียงให้กับวงอย่างมาก (โดยมี The Nicky Moore Band เป็นวงเปิดให้ด้วย) ด้วยความโดดเด่นในพลังเสียงของนักร้องนำคนใหม่ที่ช่วยเติมจิ๊กซอร์สุดท้ายให้กับ Samson






นอกจากเสริมจุดเด่นด้วยพลังเสียงของบรู๊ซ บรู๊ซ- การแต่งตัวของ Thunderstick (หรือชื่อจริง Barry Graham) ก็ได้พัฒนาอัตลักษณ์จนกลายมาเป็นลายเซ็นต์ที่ทำให้แฟนเพลงจดจำวง Samson กับมือกลองสายฟ้าฟาดที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าแท้จริงได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะยามอยู่บนเวที Thunderstick จะกระหน่ำกลองอยู่ภายในกรงเหล็กใบโต ซึ่งช่วยสื่อถึงความบ้าคลั่งของมือกลองสายฟ้าฟาดคนนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง






ไม่ใช่เพียงกับวง Samson – รูปลักษณ์ของ Thunderstick ยังกลายเป็นอีกหนึ่งภาพจำอันติดตาจากยุครุ่งเรืองของ NWOBHM มาจนถึงทุกวันนี้






บันทึกการเข้า
Ritchie Benmore
Selling England By The Pound
**
กระทู้: 261


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #44 เมื่อ: 31 มีนาคม 2011 | 06:13:32 PM »


เมื่อ Thunderstick กลายเป็นขวัญใจของแฟนเพลงหรือมัสคอร์ตของวงเช่นนั้น พี่พอลก็เลยถือโอกาสนำมือกลองสายฟ้าฟาดมาขึ้นปกอัลบั้มชุดที่ 2 ซะเลย แถมยังให้ถือขวานง้าวอันใหญ่ ดูโหดร้ายราวกับฆาตกรโรคจิต ซึ่งก็นับว่าเหมาะเจาะกับดนตรีในอัลบั้ม Head On ที่รุกเร้าและหนักหน่วงกว่าอัลบั้มชุดแรกอย่างมาก






การเข้าร่วมวงของพี่บรู๊ซเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญช่วยเพิ่มสีสันให้กับดนตรีและเติมซาวด์ดุดันให้ Samson มากยิ่งขึ้น คราวนี้ค่อยสมกับเป็นหนึ่งในหัวหอกของกระแส NWOBHM - ขณะเดียวกันพี่พอลก็ยังรักษาท่วงทำนองของบริติช ฮาร์ดร็อคไว้ได้อย่างมั่นคง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของวงไป

Head On มีเพลง Hard Times เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวด้วยดนตรีฮาร์ดร็อคสนุกๆ รื่นหูด้วยเสียงประสาน เป็นสูตรสำเร็จที่เหมาะสำหรับโปรโมทวง แถมยังทำเอ็มวีออกมาด้วย โดยเน้นภาพลักษณ์ของวงมาเป็นจุดขายทุกอย่าง ทั้งหนุ่มนักกล้ามจอมพลังและลีลาหวดกลองหลังกรงเหล็กของ Thunderstick – พี่บรู๊ซก็ฉายแววฟรอนแมนด์ให้เห็นตั้งแต่เพลงนี้แล้ว



<a href="http://www.youtube.com/watch?v=LIzLacNnV3M" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=LIzLacNnV3M</a>


Take It Like A Man, Hammerhead และ Take Me To Your Leader เป็นชุดของเพลงมันส์สะใจในอัลบั้ม Head On ริฟฟ์กีต้าร์พี่พอลดุเดือดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดสอดรับไปกับเสียงของพี่บรู๊ซ ขณะที่เพลงช้า Vice Versa กลองเด่นมาก เสียงร้องยังกับ Ian Gillan มาร้องเอง – เป็นอิทธิพลที่ชัดเจนมาก ทั้งของวง Samson และนักร้องนำ รวมทั้ง Hunted อีกเพลง Too Close To Rock เป็นเพลงที่ยืนยันถึงความมั่นคงต่อบริติช ฮาร์ดร็อค ส่วน Walk Out On You เพลงปิดท้ายก็ยังยึดแนวหลายลีลาเหมือนเดิม เป็นสไตล์พวก NWOBHM ชอบใช้ปิดอัลบั้ม ดนตรีซับซ้อน อินโทรยังกับพร็อก เปิดโอกาสให้พี่บรู๊ซโชว์พลังเสียงเต็มที่

ชุดนี้ยังมีเพลงน่าสนใจมากอีกเพลงหนึ่ง Thunderburst เพลงบรรเลงเบิกร่องให้กับ Hammerhead – อย่าได้แปลกใจที่เหมือนกับ The Ides Of March ของปีศาจเหล็กกล้า เพราะ Steve Harris ร่วมแต่งเพลงนี้ด้วย ก่อนจะไปคลี่คลายในอัลบั้ม Killers ปีต่อมา



<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Rjbej0B9KDY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Rjbej0B9KDY</a>


Head On ถือเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Samson เมื่อขึ้นไปถึงอันดับ 13 ในชาร์ทเพลงของอังกฤษ ส่งผลให้เฮฟวี่จอมพลังก้าวขึ้นไปยืนอยู่แถวหน้าของ NWOBHM ในปี 1980 - ตามมาด้วยการได้ขึ้นเวที Reading Festival ครั้งที่ 20 ในวันที่ 23 สิงหาคม วันเดียวกับ Iron Maiden และ UFO








บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5
พิมพ์
กระโดดไป:  

ThaiProg.net Ver 4.0 by tisanai,Shineon,kongbei
Top 10 Best Sellers in Kindle eBooks Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers In Automotive Parts And Accessories Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers in Tools and Home Improvement Under $10, Reviewer 2016
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Best Sellers in Clothing
Top 10 Best Sellers in Books reviewer 2017 Top 10 Best Sellers in Books Best Sellers in Books
Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Reviewer 2017 Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Best Sellers In Grocery