Thai Progressive Rock Community

ถ้าชอบ แล้วท่านชอบผลงานของ Mike Oldfield ยุคใดบ้าง?

- ยุคแรกที่ทำอัลบั้มเพลงยาว ตั้งแต่ Tubular Bells ถึง Incantations รวมทั้งชุดแสดงสด Exposed ด้วย
- ยุค commercial arts ที่ทำเพลงกึ่งสนองตัณหากึ่งเอาใจตลาด (ยุคนี้มีซิงเกิ้ลฮิตออกมามากมาย) หากจะนับไปก็ตั้งแต่อัลบั้ม Platinum ไปเรื่อยจนตลอดยุค 80
- ยุคปัจจุบัน ตั้งแต่หลังจากอัลบั้ม Tubular Bells II และ Amarok เป็นต้นมา

หากแสดงรายละเอียดและเหตุผลของความประทับใจในผลงานช่วงนั้น ๆ ด้วยก็จะดีครับ

ถ้าถามคงจะเป็นTubular Bells ที่ชอบที่สุดอะครับแต่ หรืออะไรก็ชอบเหมือนกันและอัลบั้มอื่นๆก็ชอบครับผม ถึงจะเป็นการนำมารีมิกส์แต่ก็ชอบมากครับ ;)

ก็ชอบทุกยุคแหละครับ แต่ยุคแรกมันเป็นอะไรที่สุดๆแล้ว เพลงบรรเลงยาวหลายนาที แต่ฟังแล้วไม่รู้สึกเบื่อเลย

ไมค์เป็นมือกีตาร์ที่สำเนียงดีมากๆ ฟังแล้วรู้เลยว่าไมค์เล่น

ชอบทุกชุด เริ่มไม่ชอบตั้งแต่ Amarok เป็นต้นมาครับ แต่ก็ยังตามซื้ออยู่นะครับ

ชอบตั้งแต่ชุดแรกจนถึง Discovery ครับ
ส่วนชุดที่ชอบมากที่สุดคือ Ommadawn

แต่ผมกลับชอบอัลบั้ม The Songs of Distant Earth นะครับ สวยงาม เยือกเย็น ฟังแล้วลอยสุดๆ


(http://i179.photobucket.com/albums/w296/Rikatonia/B000026FJ603LZZZZZZZ.jpg)

ไปๆมาๆผมชอบ Amarok ที่สุดครับ รู้สึกดนตรีมันแน่นดีกว่า Tubular Bells ส่วนยุคหลังๆนี่ชอบ The Songs of Distant Earth เหมือนกัน

ยกมือด้วยคนคับ  บ้าฟังแต่ Tubular และก็ฟังหลายแนวจนเกินขอบเขตรายได้ที่จะติดตามงานเค้า
ล่าสุดที่ติดตาม คือ Light & Shade

ชุด Light & Shade โดนด่าเยอะมาก พี่โก๋โรงเรียนเก่าฟังแล้วรู้สึกยังไงครับ ?

ผมยังไม่ได้ฟังเลย

ชุดนี้ก็เจ๋งครับ ลอยเหมือนกัน

Tubular Bells ก็ไม่เบื่อครับผมน่ะ เขาทำออกมา ลอย จริงๆ ครับคนนี้ เจ๋งมากๆ

ผลงานของโอลฟิลด์ในยุคหลังผมว่าเสียงเบสมันตุ่มๆ เหมือนเพลงดิสโก้ไปหน่อยนะ

เค้าคงอยากให้มันออกอีเล็กทรอนิส์น่ะ (รู้สึกว่าชุดหลังๆจะใช้ Bass  Program ด้วยนะ)

.....Light & Shade ผมไม่ได้ฟังนานจนเกือบลืมไปแล้วคับว่าเป็นยังไง ผมจะฟัง Mike เป็นอาหารเสริมนอกจากอาหารหลักอย่างเมทัล จำได้ว่าเที่ยวเดียวก็ไม่อยากฟังแล้วตอนนั้น ประสบการณ์สำคัญในการฟังโปรฯผมว่าไม่มีเที่ยวเดียวแล้วติดหูแน่นอนสำหรับผมนะคับ รอบหลังๆดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้นแล้วทิ้งไปเลยไม่ได้ฟังอีก (เดี๋ยวจะเอามาฟังอีกซะเลย) ตอนนี้นึกเพลงในอัลบั้มนั้นไม่ออกจิงๆคับเลยบอกความเห็นไม่ได้คับ มีที่ติดตรึงใจแค่ Tubular 2  ช่วงที่ชุดTubular 2 ออกกระแสเมทัลแรงมากผมก็ไม่รู้ผ่าไปซื้องานแกได้ยังไง คงเหมือนชาวบ้านทั่วไปเมโลดี้จากเอ็กซ์โซซิสมันเตะหู ....ผมไม่ได้เป็นแฟนตัวยงต้องบรรดาพี่ๆหูกระทิแล้วล่ะคับ

Mike Oldfield

(by Panyarak Poolthup; 1988)

 
 

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/Mikemodel.jpg)

Mike Oldfield เริ่มฉายแววสร้างสรรค์ตั้งแต่ร่วมงานผลิตอัลบั้มชุดแรกกับพี่สาว Sally Oldfield ในนาม Sallyangie โดย Mike เป็นผู้เล่นกีตาร์โปร่ง แต่งเพลงและช่วยร้องนำในบางเพลง ขณะนั้น Mike มีอายุเพียง 14 ปี แต่ผลงาน Children Of The Sun ที่ผลิตขึ้นครั้งนั้น เป็นดนตรี Folk ที่แสนไพเราะ ซึ่งมีน้อยรายที่นักแต่งเพลงอายุเท่า Mike และ Sally จะสามารถแต่งเพลงที่มีเนื้อหาและความไพเราะเช่นนั้นได้



 
(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/childrenofthesun.jpg)

Children Of The Sun  - Sallyangie

พี่น้องทั้ง 2 คนมีผลงานร่วมกันในนาม Sallyangie เพียงชุดเดียว แล้วก็แยกทางกันเดินในถนนสายดนตรีที่ลาดคู่ขนานกันไปตลอด Mike มีความสนใจในดนตรีที่ซับซ้อนมากกว่าดนตรี Folk ที่เขาเริ่มต้นชีวิตในการเป็นนักดนตรี
 
เขาตั้งวง Barefeet ซึ่งก็ต้องล้มเลิกไปในเวลาอันสั้น ในปี 1969 Mike ไปร่วมงานกับ Kevin Ayers and the Whole World ซึ่งรวบรวมนักดนตรีประเภทหัวก้าวหน้าแบบสุดกู่เอาไว้มากมาย อาทิ Robert Wyatt, David Bedford, Lol Coxhill รวมทั้งตัว Kevin Ayers เอง ความสามารถและความสร้างสรรค์ทางดนตรีของศิลปินในกลุ่มนี้ ทั้งด้าน Rock, Jazz และ Minimalism ได้กลายเป็นอิทธิพลสำคัญต่อผลงานดนตรีจนกระทั่งปัจจุบันของ Mike
 
Mike แยกตัวออกจากกลุ่มของ Ayers ในปี 1971 แล้วหันไปเป็นนักดนตรีในสตูดิโออยู่พักหน่ง เพื่อพัฒนารูปแบบความคิดทางดนตรีที่เขาได้วางโครงร่างไว้ ซึ่งเป็นงานดนตรีที่ได้ส่งผลให้เขาเป็นที่โด่งดังไปทันใดในปี 1973




 (http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/Voyager4.jpg)

Mike Oldfield มีผลงานออกมามากมาย ทั้งเป็น LP, ซิงเกิ้ล 12 นิ้ว, 10 นิ้ว และ 7 นิ้ว สำหรับหน้า B ของซิงเกิ้ลทุกชุด จะเป็นการบันทึกเพลงบรรเลงแปลกๆไว้โดยไม่มีการนำมารวบรวมภายหลังในรูป LP เลย ดังนั้นผู้ที่เป็นแฟนเพลงของ Mike จึงต้องตามซื้อทั้ง LP และซิงเกิ้ลขนาดต่างๆ ซึ่งยากที่จะตามเก็บได้หมด

ก็ขอกล่าวถึงผลงานในรูป LP ของ Mike เท่าที่พอจะตามเก็บมาได้ดังนี้ครับ




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/tubularbells.jpg)
 
1. Tubular Bells (1973)

LP ประวัติศาสตร์ชุดนี้วางตลาดเมื่อ Mike อายุเพียง 20 ปี ซึ่งเขาต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการเรียบเรียงความคิดให้ออกมาเป็นดนตรีที่ซับซ้อนและสมบูรณ์ได้สำเร็จ Mike เป็นผู้เล่นดนตรีเองเกือบทุกชิ้นโดยการใช้เทคนิคอัดทับหลายๆ ครั้ง
 
LP ชุดนี้ติดอันดับ Pop LP ในอังกฤษติดต่อกันนานถึง 3 ปี และ Mike ยังได้รับรางวัลแกรมมี่ ในฐานะผู้ผลิต Best Instrumental Pop LP ซึ่งผู้เขียนก็ยังสงสัยอยู่ไม่หายว่า LP นี้ มันเป็น Pop ได้ยังไง นอกจากนี้ Mike ยังได้รับคำชมเชยจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมาก ในด้านความคิดแบบนอกรีดนอกรอย ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่มีอิทธิพลต่อตัว Mike เองในเวลาต่อมา ตลอดจนต่อนักแต่งเพลงคนอื่นๆ




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/theexorcist.jpg)

The Exorcist

ใน LP ชุดนี้มีเพลงอยู่เพลงเดียว ความยาวกว่า 40 นาทีเป็นเพลงบรรเลงหลายลีลาที่มีทั้งช่วงที่เปลี่ยนจังหวะแบบค่อยเป็นค่อยไป และแบบกะทันหัน ซึ่งยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ว่าไพเราะเพียงใด ในชุดนี้ มี Sally Oldfield มาช่วยร้องเป็น Chorus คนหนึ่งซึ่งไม่มีบทบาทมากนัก ท่อนที่เด่นมากของเพลงชุดนี้คือ ท่อนเริ่ม ซึ่งถูกหยิบยืมไปใช้ในหนัง The Exorcist ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยโหมกระพือความโด่งดังของ LP ชุดนี้ สำหรับท่อนท้ายของหน้า A ซึ่งเป็นช่วงแนะนำเครื่องดนตรีหลายชนิด และท่อนท้ายของ หน้า B ซึ่งเป็นการนำเพลงสั้นๆ ชื่อ Sailor's Hornpipe มาเรียบเรียงใหม่ ก็ได้ถูกแยกออกไปรวมไว้ใน LP รวมเพลงเอกของ Mike ในชุดต่างๆ
 
เมื่อติดตามผลงานของ Mike ทุกชุด จะพบว่า Mike ไม่สามารถหลุดพ้นจาก Tubular Bells ซึ่งเปรียบเสมือนมีดปักหลังของ Mike ไปได้ ไม่ว่าเขาจะทำผลงานออกมาในแนวไหน ก็ยังพบว่า ยังมีอิทธิพลของ Tubular Bells แฝงอยู่ไม่มากก็น้อย การจะทำความรู้จักกับผลงานของ Mike ทั้งหมด สามารถทำได้โดยการฟังชุด Tubular Bells เพียงชุดเดียว เพราะ LP. อีกหลายชุดที่ตามมาเป็นการเดินรอยตาม Tubular Bells อย่างออกนอกหน้า ส่วน LP ชุดอื่นๆ ที่ออกตามมาอีกแม้จะเพิ่มเสียงร้องนำ และการทำดนตรีให้ Pop มากขึ้นเพื่อพยายามทำตัวให้หลุดพ้นจากอิทธิพลของ Tubular Bells แต่เสียงกีตาร์ในหลายเพลง มันช่างเหมือนเสียงกีตาร์ในเพลง Tubular Bells เหลือเกิน
 



(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/orchestratubularbells.jpg)

The Orchestral Tubular Bells - David Bedford

เพื่อเป็นการฉวยโอกาสจากความสำเร็จของ Tubular Bells หรือเปล่า ไม่สามารถทราบได้ David Bedford ได้ผลิต LP ชุด The Orchestral Tubular Bells ขึ้นมาซึ่งเป็นการบรรเลงโดยวง Orchestra โดยมี Mike เป็นผู้เล่นกีตาร์ ซ้ำยังทำหน้าปกเลียนแบบ LP ของ Mike อีกด้วย




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/hergestridge.jpg)
 
2. Hergest Ridge (1974)
 
LP ชุดนี้ Mike ยังคงเหมาเล่นเครื่องดนตรีส่วนใหญ่เช่นเคย ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นดนตรีที่ด้อยกว่าแผ่นแรกอย่างน่าเกลียด โดยมีอิทธิพลของดนตรี Minimalism เข้ามาพอสมควร LP ชุดนี้ได้รับการต้อนรับด้วยดี โดยอาศัยบารมีของ Tubular Bells คุ้มหัว
 
ดนตรีในชุดนี้ มีการเปลี่ยนอารมณ์แบบค่อยเป็นค่อยไป แบบ Minimalism ซึ่งผิดกับ LP ชุดแรก ทำให้ฟังดูธรรมดามากและค่อนข้างน่าเบื่อ อาจจะเป็นเพราะมี David Bedford มาช่วยงานด้านเครื่องสายและเสียงประสาน ซึ่งตามความเห็นของผู้เขียน David Bedford ในยุคนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำดนตรีที่แปลกแต่น่าเบื่อ และยืดเยื้อมากๆ เช่นเดียวกับดนตรีแนว Ambient ของ Brian Eno

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/ommadawn-1.jpg)
 
3. Ommadawn (1975)

Mike แก้ตัวด้วย LP ที่ผู้เขียนชื่นชอบมากที่สุด แม้จะมาฟอร์มเดียวกับ LP ชุดแรกแต่ก็ทำได้ยิ่งใหญ่ และฟังดูขลังกว่า ใน LP นี้ นอกจาก Sally แล้วก็มี Terry Oldfield มาร่วมเล่น Pan Pipe ให้ Mike เริ่มใช้นักดนตรีภายนอกมากขึ้น นอกจากนี้เขายังหันไปใช้ African Drums ซึ่งเล่นโดยนักดนตรีแอฟริกัน เนื่องจากเขาเริ่มเบื่อเสียงกลองธรรมชาติที่ฟังดูไม่มีชีวิตชีวา ผลก็คือ ผลงานดนตรีชั้นยอดซึ่งผู้ฟังสามารถจินตนาการไปได้ต่างๆ นานา แล้วแต่พื้นของผู้ฟังแต่ละคน
 
สำหรับผู้เขียนแล้ว ทุกครั้งที่ฟัง LP ชุดนี้ จะมองเห็นภาพนิยายปรัมปราที่มีพิธีบูชายัญในเวลากลางคืน ของพวกที่มีอารยธรรมล้าหลัง โดยเฉพาะท่อนที่มีเสียงร้องเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ (คิดว่า Muke คิดขึ้นเอง) ยิ่งทำให้เห็นภาพแม่มดกำลังทำพิธีไสยศาสตร์ชัดเจนยิ่งขึ้น
 
LP ชุดนี้จบลงด้วย เพลงร้องที่น่ารักมากๆ ซึ่งตอนหลัง Mike แยกเพลงนี้ออกไปรวมไว้ใน LP รวมเพลงฮิตโดยตั้งชื่อให้ว่าเพลง On Horseback ซึ่งเพลงนี้ เมื่อได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Legend (ผู้เขียนได้ดู Version ที่ Tangerine Dream เป็นผู้ทำดนตรีประกอบซึ่งช่วยให้หนังน่ารักและเป็น Fantasy มากกว่า Version ที่ใช้ดนตรีประกอบของ Jerry Goldsmith ซี่งค่อนข้างเครียด) ก็ทำให้คิดถึงเพลงนี้ ว่ามันเหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก
 
Ommadawn เป็น LP ที่รวบรวมอิทธิพลเกี่ยวกับอารยธรรมต่างๆ ทั้ง Celtic ยุโรปตะวันออก และแอฟริกา หลังจาก LP ชุดนี้ Mike ได้ปลีกตัวกลับไปนอนเล่นที่บ้านเพื่อทบทวนสิ่งที่เขาต้องประสบโดยไม่คาดฝันจนตั้งตัวไม่ติด นั่นคือการประสบความสำเร็จแบบทันทีทันใด




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/boxed.jpg)
 
4. Boxed (1976)

ในช่วงที่ Mike ไม่ได้ผลิตงานใหม่ออกมา ก็มีการปล่อย LP ใส่กล่องชุดนี้ออกมาซึ่งมี 4 แผ่น โดย 3 แผ่นเป็นการนำเอาผลงาน 3 ชุดแรกมา mix สียงใหม่เพื่อดึงเอาส่วนที่สำคัญซึ่งถูกปิดบังอยู่เมื่อบันทึกเสียงครั้งแรกออกมา อีกแผ่นใช้ชื่อว่า Collaborations เป็นการรวบรวมผลงานปลีกย่อยที่ Mike ร่วมงานกับศิลปินอื่น เช่น David Bedford, Leslie Penninl และ Chris Cutler และเพลง Traditional ต่างๆ ที่ Mike นำมาเรียบเรียงใหม่ ให้ไพเราะและสนุกสนานยิ่งขึ้น
 



(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/incantations.jpg)

5. Incantations (1978)

Mike กลับมาใหม่ด้วย LP. คู่ที่ฟังดูสนุกสนานร่าเริงมากกว่าชุดก่อนๆ หลังจากการวางตลาดของ LP ชุดนี้ Mike สามารถเปิดการแสดง Concert ได้ด้วยความเชื่อมั่นซึ่งเขาเคยเป็นผู้ที่ตื่นเวทีมากๆ โดยเขาได้ใช้เวลาที่หายหน้าไป 2 ปีแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ
 
ใน LP ชุดนี้ Mike ยังเหมาเล่นเครื่องดนตรีหลายชิ้นตามเคย โดยมี David Bedford, Terry Oldfield และอีกหลายคนมาช่วยงาน เสียงร้องนำยังคงเป็น Sally ตามเดิม โดยมี Maddy Prior จากวง Folk ชื่อดัง Steeleye Span มาร่วมสมทบแทนคนเก่าที่เลิกราไป
 



(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/MADDYPRIOR-1.jpg)

Maddy Prior

ใน LP นี้มีท่อนเสียงร้องที่เด่นๆ อยู่ 2 ท่อน ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ แต่อาศัยฝีมือการร้องของนักร้องโดยเฉพาะ Maddy Prior ร้องให้ฟังดูเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ที่คล้ายภาษาอังกฤษ ที่ผู้เขียนเชื่อเช่นนี้เพราะว่ามี LP เดี่ยวของ Maddy Prior อยู่ ซึ่งแถมเนื้อร้องมาให้ด้วย ปรากฏว่ามีหลายเพลงที่ถ้าไม่ดูเนื้อร้องไปด้วย จะไม่รู้เลยว่าเธอร้องว่าอะไร หรือแม้จะดูเนื้อร้องไปด้วย ก็ต้องทึ่งในความสามารถผันเสียงของเธอ เพราะเธอมีความสามารถในการร้องเพลงภาษาอังกฤษให้ฟังดูเป็นภาษาอื่นได้
 
ผู้เขียนเคยนำเพลง Incantations ไปเปิดให้เพื่อนฝรั่งหลายคนฟัง ทุกคนพูดตรงกันว่า "เนื้อร้องมันคล้ายภาษาอังกฤษมาก แต่ฟังไม่ออกว่าร้องว่าอะไร มีบางคำที่พอจะจับได้แต่ก็น้อยมาก" ก็ถือว่าเป็นความสามารถของ  Maddy ละครับรวมทั้ง Mike ด้วย ที่ชอบทำเพลงที่มีท่อนร้องที่เป็นภาษาประหลาด ทั้งในแผ่น Ommadawn และแผ่นที่ตามมา นับว่า Mike หูตาไวที่ไปเลือก Maddy มาร้องเพลงที่มีเนื้อร้องภาษาอังกฤษ ให้เป็นภาษาอื่นที่ฟังไม่ออก
 
ในเรื่องนี้จะปรากฏให้เห็นชัด ในแผ่นแสดงสดชุดที่จะกล่าวถึงต่อไปซึ่งมีเพลง Incantations ที่ Maddy เป็นคนร้องนำ โดยไม่มี Sally ร่วมด้วยซึ่งทำให้เห็นชัดว่า ฝีมือการร้องนำที่แท้จริงในเพลงนี้คือใคร ชุดนี้เป็นชุดสุดท้ายที่ Sally มาช่วยงาน Mike เนื่องจาก Sally หันไปออกผลงานในนามของตนเอง
 
ข้อสังเกตประการหนึ่งของ LP ของ Mike คือจะไม่มีการแถมเนื้อร้องให้ ในบรรดาผลงานทั้งหมดของ Mike มีการแถมเนื้อร้องให้เพียงเพลงเดียว คือเพลง Five Miles Out จาก LP ชุดเดียวกัน

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/exposedmike.jpg)
 
6. Exposed (1979)

Mike นำลูกวงเกือบ 50 คน ออกทัวร์ยุโรปฤดูร้อน ซึ่งเป็นการนำเพลง Tubular Bells และ Incantations มาเล่นใหม่ให้กระชับ และมันแบบ Rock นอกจากนี้ยังมีเพลง Guilty ซึ่งเคยเป็นซิงเกิ้ลฮิตติดอันดับ เพลงนี้ให้บรรยากาศแบบ Disco ตามสมัยนิยม
 
ในเพลง Guilty ซึ่งเล่นขยายเพลงออกไปเล็กน้อย โดยการเพิ่มดนตรีบางท่อน ของ Tubular Bells เข้าไปในเพลงนี้อย่างกลมกลืน ซึ่งฟังเผินๆจะเหมือนกับเพลงใหม่ แต่ฟังดีๆจะพบว่า เพลง Guilty ก็คือการนำดนตรีบางท่อนของ Tubular Bells มาตัดต่อเรียบเรียงใหม่ แล้วเพิ่มเสียงร้องและเปลี่ยนจังหวะใหม่ให้ฟังดูเป็นเพลงใหม่ ผู้เขียนมีความรู้สึกอคติต่อเพลงนี้มากเพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความซ้ำซากจำเจ และการจมปลักอยู่กับ Tubular bells ของ Mike
 
อย่างไรก็ดี อาจถือได้ว่า Exposed เป็นหนึ่งในอัลบั้ม Rock ในรูปบันทึกการแสดงสด ที่ดีที่สุดชุดหนึ่งของโลก




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/platinum.jpg)
 
7. Platinum (1979)

ในชุดนี้เพลงในหน้า A ค่อนข้างไปทาง Rock มากผิดกับชุดก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยมีการนำเพลง North Star ของ Philip Glass ซึ่งแต่งไว้ในแนว Minimalist มาเรียบเรียงใหม่ ให้มีจังหวะชวนเต้นรำ ในหน้า B เป็นเพลงสั้นๆหลายแนวซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Mike เริ่มหันมาทำ LP เพลงสั้นๆ ที่ยาวไม่เกินเพลงละ 5 นาที เนื่องจากปกติ Mike จะทำแต่เพลงที่มีความยาว 40 นาทีขึ้นไป อีกเพลงหนึ่งที่ Mike เอาของคนอื่นมาคือ I Got Rhythm ของ George Gershwin ซึ่งร้องนำโดย Wendy Roberts
 
การที่ Mike นำเพลงของคนอื่นมาเล่น ก็เป็นเพียงการแสดงการคารวะต่อศิลปินที่บ้าพอๆ กัน ในการทำเพลงแปลกๆ ที่สวนทางกับความนิยม และความยึดมั่นในสมัยของตน




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/qe2.jpg)
 
8. Q.E. 2 (1980)

Mike สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนเพลงโดยการเลิกทำเพลงที่มีความยาวอย่างน้อยๆ 1 หน้าแผ่นเสียง ในชุดนี้เพลงที่ยาวที่สุดก็เพียง 10 นาทีคือ Taurus 1 ซึ่งเป็นภาคแรกของไตรภาค




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/riley2.jpg)

Maggie Riley
 
เพลงที่เด่นที่สุดคือเพลง Sheba ซึ่งร้องนำโดย Maggie Riley นักร้องนำคนใหม่ที่ Mike พยายามหามาให้ได้เสียงร้องนำที่พอจะเทียบเคียงกับ Sally ได้ เพลงนี้มีความไพเราะที่ Mike คิดภาษาใหม่ขึ้นมาเอง ซึ่งไปได้ดีกับเสียงดนตรีที่ไม่ซับซ้อนเกินไป
 
เพลงที่มาแปลกมากคือ Arrival ซึ่งเป็นเพลงบรรเลงเพลงเดียวที่ ABBA มีโดย Mike นำมาเรียบเรียงใหม่ ในจังหวะที่น่ารัก และสนุกสนาน
 
เมื่อพูดโดยรวมทั้ง LP พบว่า Mike ยังสับสนว่าจะเอายังไงดี อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก LP ชุด Platinum เพลงใน LP นี้ฟังได้เพลินดี ไม่เครียดและเด่นด้วยเสียงกลองแบบแผ่น Ommadawn




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/airbourn2.jpg)
 
9. Airborn (1980)

LP กึ่งแสดงสด กึ่งรวมเพลงเอก  แผ่นที่เป็นบันทึกการแสดงสด เพลงนึงเป็น Tubular Bells (Part 1) ซึ่งก็เล่นต่างไปจากในชุด Exposed สำหรับเพลงนี้ Mike สามารถ Improvise ไปได้หลายแบบ ใน      วีดีโอชุด The Essential Mike Oldfield ก็มีการเล่นเพลงนี้ไปอีกแบบหนึ่ง ส่วนอีกเพลงเป็น Incantations ที่เอาท่อนที่เล่น Live มาตัดต่อผสมกับท่อนที่เป็น Studio ซึ่งฟังแล้วแยกไม่ออกว่ารอยต่ออยู่ตรงไหน

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/fivemilesout.jpg)
 
10. Five Miles Out (1982)

แผ่นนี้  Maggie Riley มีบทบาทค่อนข้างมาก ในการช่วยให้ Mike บรรลุเป้าหมายในการนำเสนอดนตรีที่มีลักษณะเป็นเพลงมากขึ้น โดยเฉพาะเพลง Family Man ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการทำเพลง Pop ของ Mike
 
ในแผ่นนี้ Mike กลับไปทำเพลงที่มีความยาว 1 หน้าแผ่นเสียงอีกครั้ง คือเพลง Taurus II ซึ่งมีหลายลีลา แต่ท่อนที่เด่นที่สุดหรือ Climax ของเพลงนี้คือ ท่อนที่ Maggie ร้องภาษาประหลาด ในตอนค่อนไปทางท้ายของเพลง ทุกครั้งที่ผู้เขียนฟังเพลงนี้ จะมีความรู้สึกว่า เมื่อไรจึงจะถึงท่อนร้องตอนท้ายนี่ซะที เมื่อดนตรีเริ่มเปลี่ยนจังหวะนำก่อนเข้าท่อนร้อง ก็จะรู้ทันทีว่าสิ่งที่กำลังรอคอยกำลังมาถึงแล้ว ซึ่งก็คุ้มค่าแห่งการรอคอยทุกครั้ง เพลง Taurus II นี้นับได้ว่า เป็นสุดยอดของไตรภาค Taurus ทั้งหมดทีเดียว




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/crises.jpg)
 
11. Crises (1983)

LP ชุดนี้เป็น LP ที่ขายดีที่สุดตั้งแต่ Tubular Bells เป็นต้นมา เพลงฮิตในแผ่นนี้ติดอันดับทั่วโลก แผ่นนี้นอกจากจะมี Maggie ร้องนำแล้ว ยังมีนักร้องมาช่วยสมทบอีกคนละเพลง คือ Roger Chapman อดีตนักร้องนำวง Family ซึ่งแตกแยกกันไปกว่า 10 ปีแล้ว มาแผดเสียง แบบเจ็บปวดในเพลง Shadows on the Wall และ Jon Anderson ในเพลง In High Places
 
นอกจากนี้ยังมีการเล่นกีตาร์มันๆ ในเพลง Taurus 3 ซึ่งเป็นการปิดไตรภาคของเพลงนี้ เพลง Crises ซึ่งเล่นเต็มหน้า A ยังคงลักษณะการเปลี่ยนจังหวะแบบกะทันหันไว้เช่นเดิม เพลงนี้ Mike ร้องนำเอง ซึ่งลักษณะการร้องแบบค่อนข้างซับซ้อน ในเพลงนี้คล้ายกับที่ Mike ร้อง ในเพลง Five Miles Out มาก




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/discovery.jpg)
 
12. Discovery (1984)

LP นี้ Mike ได้นักร้องชาย Barry Palmer (อดีต Triumvirat) มาช่วยสมทบอีกคน พวกเพลงสั้นๆ ก็คล้ายในแผ่น Crises ส่วนเพลงยาวที่สุดก็เพียง 12 นาที ซึ่งเป็นเพลงบรรเลงออกไปทาง New Age สำหรับเพลงสั้นๆ 7 เพลง เป็นการขยายแนว Rock และ Folk ที่ Mike ได้วางพื้นไว้ในแผ่น Crises




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/killingfield.jpg)
 
13. The Killing Fields (1984)

ผู้เขียนซื้อ LP ชุดนี้เพราะติดใจดนตรี หลังจากดูหนังจบแล้ว Mike เพิ่งจะได้แต่งเพลงประกอบหนังสมใจ หลังจากฝันมานานนับตั้งแต่ Tubular Bells ถูกนำไปใช้ใน The Exorcist
 
เพลงในแผ่นนี้มีกลิ่นไอของดนตรีเอเชียตะวันออก ซึ่งแสดงออกมาโดยการใช้ Synthesizer และการเรียบเรียงดนตรีแบบ Orchestra




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/complete.jpg)
 
14. The Complete (1985)

LP คู่รวมเพลงเอก ตั้งแต่สมัยต้นจนปัจจุบัน เพลงที่ยาวก็ถูกตัดมาแต่ตอนที่เด่นจริงๆ  ในหน้าสุดท้ายเป็นการบันทึกการแสดงสด ที่บันทึกเสียงแย่มาก พอๆ กับเพลงอื่นๆ ในแผ่นนี้
 
นอกจากนี้ Mike ยังมี LP รวมเพลงเอกที่ออกในโอกาสต่างๆ หรือออกเฉพาะประเทศเช่น Music Wonderland และ Impression ฯลฯ เป็นที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งของ Mike คือแผ่นแสดงสด และรวมเพลงเอกทุกแผ่นจะมีเพลง Tubular Bells ไม่ยาวก็สั้น
 
นับตั้งแต่ The Killing Fields  Mike ก็ไม่มี LP ใหม่ออกมาอีกเลย มีแต่ Single เพลง Pictures In The Dark ซึ่งมีนักร้องหญิงคนใหม่มาแทน Maggie  แต่ยังไม่แน่ว่าถาวรแค่ไหน และ Single ล่าสุด Shine ซึ่งร้องนำโดย Jon Anderson
 
ก็ขอจบเรื่องของ Mike ด้วยคำจำกัดความสั้นๆ สำหรับ Mike Oldfield ที่ว่า Mike Oldfield กับ Tubular Bells เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออก




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/maestronew3.jpg)




End.

คุณ polotoon เขียนดีมาก ๆ ครับ หนังเรื่อง The Killing Field มาถ่ายทำตรงข้ามบ้านผมด้วย แถวสีลมใกล้ ๆ บางรัก

เท่าที่ทราบนักร้องสาวที่ร้อง Pictures in The Dark ชื่อ Anita Hegerland เป็นแฟนกับ Mike (ปัจจุบันเลิกกันไปนานแล้ว) ซึ่งเป็นคนทีร้องเพลง Innocent (ผมชอบเพลงนี้มาก ๆ) ในอัลบั้ม Earth Moving ซึ่ง Mike แต่งให้ลูกสาวที่เกิดกับนักร้องคนนี้  จะเห็นลูกสาวของ Mike เดินเตาะ แตะใน  MV เพลงนี้ด้วย

พี่ panyarak เขียนต่างหากครับ    :D

สมาชิกที่ไปร่วมงานมีตติ้งคนนึงถามผมว่า ทำไมปกชุด Ommadawn ที่เป็นแผ่น EU ที่เพิ่งซื้อมาถึงสีซีดจัง เป็นของปลอมหรือเปล่า ก็ขอตอบว่า เป็นเรื่องปกติครับ บางทีแผ่นที่ญี่ปุ่นไปทำ remaster หรือ mini lp cd ปกสีซีดกว่าต้นฉบับเดิม หรือสีเพี้ยนไปหลายดีกรี ก็มีบ่อยๆ ครับ ดูที่ตัวแผ่นว่าไม่ใช่ Made in Thailand ก็พอแล้วครับ นอกจากนี้ ปกที่สีซีดต้องลองเทียบกับปกในล็อตเดียวกันด้วย เพราะบางทีร้านวางไว้ในจุดที่ถูกแสงนีออนนานๆ ก็ซีดได้ครับ บางร้านแผ่นโดนแดดส่องเข้ามา แม้ว่า เป็นเวลาไม่นานใน 1 วัน แต่ถ้าโดนทุกวันๆ ละ 10 นาที ก็ซีดแล้วครับ

ใช่ครับ ผมเข้าไปดูใน Amazon ปกชุดนี้มีหลากสีสันมาก แถมมีแบบรีมาสเตอร์ปี 2007 อีก สีสดมาก

พระปฐมเจดีย์ด้วยรึเปล่าครับ

ไม่แน่ใจครับ ต้องหาดีวีดีมาดู รู้แต่ที่ถ่ายแถวบ้านเพราะไปยืนดูด้วยตอนฉากระเบิดมีควันอะไรนี่แหละ มีรถถังมาด้วย

เจอไมค์ปะครับ ฮ่าๆๆ

Mike Oldfield ทำให้ผมได้รู้จักกับ George Gershwin ผ่่านเพลง I Got Rhythm ที่ไมค์นำมา cover ใน Platinum ครับ

George Gershwin ตายเร็วมากเลยครับ  :'(

37 เองมั้ง ถ้าใครไม่เคยฟังงานของท่าน แนะนำสองอัลบั้มนี้

The Gershwin Connection โดย Dave Grusin และเพื่อน
Glory Of Gershwin หลากหลายศิลปิน โปรดิวซ์โดย George Martin

ชุดล่าสุด ผมฟังแล้วถึงขนาดต้องอุทานว่า อะไรวะ !

เป็นดนตรีคลาสสิคก็จริง แต่ทำออกมาฟังดูทื่อๆ ไม่เพราะจับใจครับ

อิทธิพล Tubular Bells เต็มเปี่ยม เพลง On My Heart ให้อารมณ์เหมือนเพลงประกอบหนัง LOTR เลย

ผมว่า Mike Oldfield ทำงานดนตรีคลาสสิคคงไม่น่าที่จะรุ่งนัก ถ้าเทียบกันแล้วผมชอบงานดนตรีคลาสสิคของ Vangelis มากกว่าครับ

ใครเคยฟังเพลง I Got Rhythm ฉบับของ Mike Oldfield (จากอัลบั้ม Platinum) เทียบกับฉบับของ George Gershwin ได้เคยแต่งไว้แต่เดิมแล้วบ้าง? ผมว่ามันคนละเรื่องเลยนะครับ ตอนแรกที่ผมได้ยินเพลง I Got Rhythm ฉบับดั้งเดิมของ Gershwin นั้น ผมคิดว่าเป็นคนละเพลงกับฉบับของ Mike Oldfield เสียอีก แต่พอฟังดูดี ๆ อ้าว... เนื้อร้องมันเหมือนกันนี่นา

Tubular Bells เป็นมาสเตอร์พีซที่สุดยอดครับ บรรยายไม่ถูก
Ommadawn เป็นผลงานที่ผมรู้สึกว่าพ้นจากเงาของ TB ได้มากที่สุด
ที่เหลือก็มี Incantations และ Amarok ที่ชอบมากอยู่ ที่เหลือก็ทรง ๆ ครับ
The Songs Of Distance Earth ผมชอบเพราะผมเป็นแฟนนิยายของ อาร์เธอร์ ซี.คล๊าร์ก

เล็ก ๆ น้อย เกี่ยวกับพี่ไมค์
* ปีนี้พี่แกอายุ 56 ปีแล้ว (15 พ.ค.2496) ไม่ทราบว่าใครในบอร์ดอายุใกล้พี่แกมั่ง ;D
* แกมีพี่ชายอีกคน เทอร์รี่ โอลด์ฟีล
ปัจจุบันก็ยังตามงานแกอยู่ละครับ แต่ยังหาฟัง http://[u]Tubular x [/u] ไม่ได้ ใครมีช่วยแบ่งปันด้วยนะครับ

http://beemp3.com/download.php?file=2419696&song=Tubular+X   :D

+1 ครับ ตอนแรกผมก็นึกว่าคนละเพลงกัน

เพลง I Got Rhythm มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์เพลงแจ๊ซอย่างยิ่งยวดครับ มันไม่ใช่แค่ Jazz Standard แต่มันเป็นหนึ่งใน Standard Of Jazz ว่ากันว่าทางเดินคอร์ดของเพลงนี้เป็นรากฐานให้เพลงแจ๊ซดังๆในยุคต่อมาอีกมากมาย

http://en.wikipedia.org/wiki/Rhythm_changes

แต่ผมก็ได้ฟังเพลงนี้จากครั้งแรกในเวอร์ชั่นของไมค์นี่ล่ะครับ
เนื้อเพลงก็ไพเราะชวนฝันด้วยนะครับ

I got rhythm/ I got music/ I got my guy /who could ask for anything more?

เพราะแบบใสๆดีครับ ถ้าไมค์ไปทำเพลงป๊อปน่าจะรุ่ง เพราะไปทางเพลงบรรเลง ดูท่าจะไม่ก้าวหน้าเท่าไรแล้ว

+1 ครับ

Q.E. 2  เป็นอัลบั้มที่เพราะชุดหนึ่งครับ หลังจากที่มองข้ามมันมาโดยตลอด จนพึ่งมีโอกาสได้ฟัง

ที่มองข้ามเพราะว่า ไม่ค่อยมีคนพูดถึง + ปกไม่ดึงดูด

อัลบั้มยุคก่อน ดีกว่ายุคหลังเสียส่วนใหญ่ครับ ชุดนี้อาจไม่เด่นมากเมื่อเทียบกับรุ่นเดียวกัน แต่ถ้าเทียบกับยุคหลังๆแล้ว ยังไงก็ยังดีกว่า  :D

ชุดนี้ดูสบายๆดีครับ ตอนที่ยังไม่สนใจ เห็นชุดนี้อยู่ยุคหลังๆหน่อย ไม่มีคนพูดถึงเหมือนชุดต่อๆจากนั้นอย่าง Crises ก็พาลไม่อยากหามาฟังครับ แล้วชุด Earth Moving ดีไหมครับ

ไม่ค่อยดีครับ ผมจำอะไรไม่ได้เท่าไรเลย นอกจากปกที่ดูจะสวยก็ไม่สวย  :D

ปก QE 2 กับ Earth Moving ดูแล้วพาลไม่อยากหามาฟังเลยครับ

รัก mike ต้องทำใจหน่อย  :D

ผมกลับมองว่าปก QE2 + Earth Moving สวยนะครับ QE2 ยิ่งถ้าได้ดูภาพภายในที่เป็นแผนผังเรือดำน้ำผมว่าไอเดียดีมาก ถ้าเคยเห็นปก Dazzle Ships ของ OMD ที่เกี่ยวกับเรือดำน้ำเหมือนกันจะรู้เลยว่ามันเป็นธีมเดียวกัน ส่วนปก Earth Moving ออกมาใหม่ๆที่เป็นเทปลิขสิทธิ์ผมก็ว่าสวยดีทีเดียวนะครับ สีสดภาพชัดมากเห็นแล้วชอบเลย พอมาเป็นปกซีดีนี่สีเพี้ยนไปมากภาพก็มัวแถมเป็นภาพคนละช๊อตด้วยไม่สวยเลย ทั้งๆที่ออกใหม่พี่ซัน (มาโนช พุฒตาล) ก็ชมว่าปกสวย จำได้แกบอกว่าปกอัลบั้มของไมค์ โอลด์ฟิลด์สวยทุกชุด ส่วนเพลงอาจไม่เด่นมาก แต่ก็ชอบ Innocent ที่แต่งให้ลูกสาวกับ Blue Light ที่พยายามทำเป็นตอนต่อ Moonlight Shadow ที่ได้ Maggie Reiley มาร้อง

ส่วนงานยุคหลังที่อยู่กับ Warner กับ Mercury ผมก็เห็นด้วยว่ามันสู้ยุคแรกไม่ได้ ซึ่งก็เป็นปัญหากับแทบทุกวงในยุค 70's แหละครับ แต่อัลบั้มอย่าง Tubular Bells II, The Songs From Distant Eart (ที่ผมก็ชอบมาก ฟังทีไรเหมือนได้ท่องจักรวาลจริงๆ เมโลดี้เพราะๆมากมายไม่แพ้ TB II เลย), Voyager ผมว่ามันมีดีในตัวมัน แต่เพราะคนฟังติดภาพยุคแรกไปแล้ว แต่งานอย่าง Light & Shade ผมก็รับไม่ได้จริงๆ ส่วน Amarok ก็เป็นอัลบ้มที่แฟนๆยกย่องมากเหมือนกันแต่มันอาจฟังยากและไร้รูปแบบเกินไป แต่มีอะไรให้น่าค้นหามาก ใครจะไปรู้เสียงตอนไมค์แปรงฟังอยู่ตรงไหนเป็นต้น  ;D

QE 2 คือเรือเดินสมุทร Queen Elizabeth ที่ 2 ปกแผ่นเสียงรุ่นแรกจะเจาะรูสีขาวตรงที่ปล่อยสมอลง ซึ่ง mini lp ที่ญี่ปุ่นทำ ก็เจาะรูด้วย (แต่ปกแผ่นเสียงกับซีดีบางรุ่นไม่มีแม้แต่ภาพรูสีขาวนี้) ผมชอบการออกแบบปกชุดนี้ ที่สอดรับกับซองใน ซึ่งเป็นรูปผังเรือ เพลงก็เพราะดีครับ

(http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/qe1.jpg) (http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/qe2.jpg)

ส่วนชุด Earth Moving ผมว่า ต้นฉบับทั้งแผ่นเสียงและ mini lp มันสีซีดนะครับ

(http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/ea1.jpg) (http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/ea5.jpg)

อยากให้ออกสีสดๆ แบบนี้ครับ

(http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/ea2.jpg) (http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/ea3.jpg) (http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/ea6.jpg)

ส่วนรูปนี้เป็นซิงเกิ้ล

(http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/ea4.jpg)

ถามพี่ panyarak หน่อยครับ  QE2 นี่เป็น gatefold ใช่มั๊ยครับ?

เอาปกแผ่นเสียง OMD ชุด Dazzle Ships มาให้ดูเปรียบเทียบครับ ธีมจะคล้ายๆกันคือเป็นสีๆแบ่งเป็นช่อง แผ่นเสียงชุดนี้เป็น gimmick ด้วยจะมีเจาะรูเล็กๆบนปก ข้างในมีแผนที่ีโลกเหมือนจอเรดาห์เรือดำน้ำ แผ่นเสียงแผ่นนี้ผมยังเก็บไว้ไม่ยอมขายออกไป  ;D

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/OMD-Dazzle-Ships-125863.jpg)

ไม่ได้เป็น gatefold ครับ

แผ่นเสียงและซีดีของผม ก็ไร้รูสีขาวครับ  :'(

เดือนมกราคมปีหน้า ไปรษณีย์อังกฤษจะออกดวงตราไปรษณียากรชุดรวมปกอัลบั้มที่มีความสำคัญของอังกฤษ 10 ดวง
หนึ่งในจำนวนนั้นมี Tubular Bells และ Division Bell ด้วย สาเหตุที่เลือก Division Bell แทน DSOTM ก็เพราะ DSOTM ออกโทนมืดดำเกินไป ทำเป็นแสตมป์แล้วไม่สวยครับ

(http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/stamp.jpg)

ของใคร ชุดไหนบ้างอีกครับ ฯ

ขอเรียนถามคุณ panyarak หน่อยครับว่า ในวีดิโอคอนเสิร์ตชุด Exposed นั้น ระหว่างช่วงพัก ทำไมคนดูกับนักแสดงบนเวทีถึงปาจรวดกระดาษใส่กันเหมือนเด็ก ๆ? หรือว่าเป็นการเล่นสนุกกันระหว่างคนดูกับนักแสดงครับ?

ผมไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดในเรื่องนี้ เลยจับมาโยงเอาเองว่า ปีที่ออกทัวร์จนกลายมาเป็นอัลบั้ม Exposed คือ ปี 1979 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ Mike Oldfield ได้ใบขับขี่เครื่องบินเล็กที่เขาภูมิอกภูมิใจมาครับ

เป็นเรื่องที่เป็นที่มาของอัลบั้ม Five Miles Out หรือเปล่าครับ?

ใช่ครับ เคยอ่านที่ไหนสักแห่งว่า Mike Oldfield ขับเครื่องบินไม่เก่ง น่าหวาดเสียวครับ

ขอเรียนถามคุณ panyarak หน่อยครับว่า ในวีดิโอคอนเสิร์ต The Essential Mike Oldfield นั้น นักร้องหญิงสองคนบนเวทีนั้นคือ Clodagh Simonds และ Maggie Reilly ใช่หรือเปล่าครับ? (เพราะผมเองเห็นแล้วไม่ค่อยแน่ใจครับ)

ใช่สำหรับ Maggie Reilly ครับ ตามข้อมูลบอกว่า เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกของ Maggie Reilly กับ Mike Oldfield และเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะพอ Mike Oldfield เห็นศักยภาพของ Maggie Reilly ก็ชวนออกทัวร์ยุโรปที่จะเริ่มในวันรุ่งขึ้นเลย ตอนนั้น Maggie Reilly ยังมีใบหน้ารูปไข่ ผู้ที่คุ้นกับรูปลักษณ์ในปัจจุบันของเธอ จะจำไม่ได้ครับ
ในการแสดงครั้งนี้ Maggie Reilly ใส่ชุดสีเขียว ส่วนนักร้องหญิงอีกคนคือ Wendy Roberts ใส่ชุดสีแดงครับ

ผมเคยอ่านเจอว่า Mike แต่งจากประสบการณ์จริงที่เขาขับเครื่องบินแล้วมันเกิดเหตุขัดข้องอะไรบ้างอย่างนี่แหละครับ เหมือนเกือบๆไม่รอด ส่วนใน Exposed จำได้ว่าเกิดจากคนดูนั่งรอระหว่างพักครึ่งเกิดคิดสนุกก็พับจรวดแล้วโยนกันไปโยนกันมาครับ

ลองไปฟังเพลงคริสต์มาส อีกหนึ่งผลงานคุณภาพของ Oldfield ที่ไม่ค่อยเห็นใครพูดถึง ฟังแล้วแล้วจะติดใจ  ;D

ไปฟังกันทั้งภาพและเสียงที่นี่ได้เลย
http://onehitwondercenter.com/archive/christmas_25best_songs.htm (http://onehitwondercenter.com/archive/christmas_25best_songs.htm)

We've had word from Universal that the new editions of Hergest Ridge and Ommadawn will be out in April. We ought to have more details shortly.

www.tubular.net

เพิ่งเข้าไปเจอพอดีครับ เหลือเวลาให้ลองฟังอีกห้าวัน


Live at Two - Mike Oldfield and his band perform Tubular Bells at Wembley in 1979.
http://www.bbc.co.uk/programmes/b00qhr9l

Ommadawn น่าเก็บนะ

จะทำมาครบทุก อัลบั้มมั้ยเนี่ย จะตามเก็บพอดี

ผมชอบ Tubular Bell ครับ

คงยากนะครับ เพราะอัลบั้มแกเยอะเหลือเกิน  :D

ได้ิยินมาว่าจะทำนะครับ หมายถึงส่วนที่เป็นของ Virgin เก่าที่ Universal ได้รับสิทธิ์มา ไม่นับส่วนของ Warner ตั้งแต่ Tubular Bells II เพราะซีดีล๊อตเก่าเลิกผลิตไปแล้วครับ คงมีคนรุ่นใหม่คอยรอซื้ออยู่ดี  :D

ดีแล้วที่จะทำใหม่ เผื่อมีของแถมแปลกๆ
เห็นว่าลิขสิทธิ์ที่เคยอยู่กับ virgin แกรับมาหมด ดีแล้วจะได้มีทางหาเงินอีกทาง เฆ้นว่าแกขายบ้าน ยังขายไม่ออกเลยจนป่านนี้

เรียนถามคุณ panyarak หน่อยครับว่า Mike Oldfield มีสายสัมพันธ์อะไรกับสมาชิกวง Gong บางคน (Pierre Moerlen และ Benoit Moerlen) หรือเปล่าครับ? เพราะเห็นมาช่วยงานทั้ง studio albums และงานแสดงสดในยุคปลาย 70 ถึงต้น 80 พอสมควรน่ะครับ

เพราะ Mike Oldfield เคยมีสายสัมพันธ์อยู่กับวงการ Canterbury Scene อยู่พักนึง ซึ่งเป็นแขนงดนตรีที่มีสมาชิกไม่มาก จึงมีความเกี่ยวข้องโยงใยและสนิทนสมกันเป็นครอบครัวหลวมๆ จุดกำเนิดของ Canterbury Scene อยู่ที่วง Wilde Flowers ซึ่งมี Daevid Allen และ Kevin Ayers เป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้ง พอ Kevin Ayers ออกไปตั้งวงของตัวเอง ก็ได้ Mike Oldfield ไปเล่นกีตาร์ให้ด้วย ส่วน Daevid Allen ก็ไปบุกเบิกวง Gong ที่ฝรั่งเศส การที่ Mike Oldfield ได้เฉี่ยวเข้าไปเกี่ยวข้องกับ Kevin Ayers ซึ่งต่อมาได้เข้าร่วมกับ Gong ด้วย ทำให้เขาได้รู้จักกับนักดนตรีสาย Canterbury Scene หลายคนไปโดยปริยาย รวมทั้ง Pierre และ Benoit Moerlen หลังจากนั้นหลายปี Kevin Ayers ก็ได้รับเชิญให้ไปร้องนำเพลง Flying Start ในอัลบั้ม Islands ของ Mike Oldfield ด้วย

ร่วมแจมด้วยนะครับ

รู้จักเฮีย Mike แกจาก อัลบั้มรวมฮิต Element
หลังจากนั้นก็ตามงานแกอยู่พักนึง

อัลบั้มที่มีเพลงร้องผมชอบ Discovery > Crisis
ส่วนอัลบั้มบรรเลงชอบ Song form distance earth
ในแง่เทคนิคการบันทึกและแรงบันดาลใจชอบ Tubular Bell

 :)

ขอถามอีกครั้งครับ เฮีย mike แกโกรธเมียเก่า anita hagerland อะไรนักหนา ไม่ลง credit ลงชื่อใน box set element เลยสักคำ
ลองหาดูทั่วแล้ว ทั้งๆที่มีเพลงร้องโดยเมียแกรวมอยู่ด้วย คนอื่นให้ credit ไว้หมด

ไม่มีข้อมูล แต่ถ้าให้เดา ก็น่าจะเป็นเรื่องแบ่งสมบัติตามกฎหมาย ที่ Anita ได้สมบัติที่ Mike หามาได้หลังสมรสไปครึ่งนึงครับ

เรียนถามคุณ panyarak เกี่ยวกับคอนเสิร์ต Tubular Bells III ซึ่งมีเพลงร้องเพลงหนึ่งที่ร้องโดยนักร้องหญิงผิวสี โดยเพลงนี้ละม้ายคล้ายคลึงกับ Moonlight Shadow เอามาก ๆ ไม่ทราบว่าเพลงนี้คือเพลงอะไรครับ

ขอตอบให้แล้วกันนะครับ ชื่อเพลง Man In The Rain อยู่ในอัลบั้ม TB3 นั่นแหละครับ ถ้าได้ฟังเวอร์ชั่นในอัลบั้มจะเหมือน Moonlight Shadow มากเพราะได้นักร้องที่เสียงคล้าย Maggie Reiley มาร้อง แต่ในเวอร์ชั่นแสดงสดใช้นักร้องแบ๊คอัพผิวสีร้องแทน ผมว่าเพลงนี้เป็นการก๊อปปี้ตัวเองที่ยอดเยี่ยมมากโดยเฉพาะท่อนโซโลที่เด็ดขาดไม่แพ้ Moonlight Shadow จริงๆ

คนที่ร้องในอัลบั้มคือ Cara Dillon (ผิวขาว) แต่ในดีวีดีคือ Pepsi DeMacque (ผิวสี) ครับ

สาเหตุหนึ่งที่ผมชื่นชอบผลงานของ Mike Oldfield ตั้งแต่ Tubular Bells เรื่อยมา ก็เพราะเสียงคีย์บอร์ดอันสวยงามที่มีแทรกอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเฉพาะผลงานในยุคต้น คิดว่า Oldfield คงจะเหมาเล่นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดด้วย จึงคิดว่านอกจากฝีมืออันโดดเด่นในการเล่นกีตาร์ที่ผู้คนทั่วไปมักพบเห็นบนเวทีแล้ว Mike Oldfield ยังเล่นคีย์บอร์ดได้ดีอีกด้วย

ไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ เห็นกันอย่างไรบ้างเกี่ยวกับฝีไม้ลายมือในการเล่นคีย์บอร์ดของ Mike Oldfield ครับ?

คิดว่าไมค์มีความคิดสร้างสรรค์ และดัดแปลงสิ่งใหม่ๆมาใส่ให้คีย์บอร์ดได้ เห็นว่าเพลง Tubulars Bells ช่วงเริ่มก็ดัดแปลงมาจากเพลงคลาสสิค

เห็นด้วยว่าไมค์โดดเด่นที่ความสร้างสรรค์ในการคิดประดิดประดอยตัวโน้ตผ่านลิ่มคีย์บอร์ดเพื่อสร้างอารมณ์ให้กับบทเพลงมากกว่าจะโชว์ทักษะอย่างพวกยอดฝีมือครับ แต่นั่นก็จัดเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของมือคีย์บอร์ดที่ดีและเผลอๆผมจะประทับใจมือคีย์บอร์ดสไตล์นี้มากกว่ากลุ่มที่เน้นเล่นโซโล่แพรวพราวเสียอีกครับ

เรื่องฝีมือกีตาร์น่าจะโดดเด่นกว่าคีย์บอร์ดมากนะครับ ผมมักเห็น Mike ตอนแสดงสดใน TB 2, TB 2 และ Millenium Concert ดู Mike ต้องแสร้งทำเป็นเล่นคีย์บอร์ดในบางช่วงทั้งๆที่พอจะดูออกว่าไม่ได้เล่นเองจริงๆ แต่คงต้องแสร้งทำเป็นเล่นเพื่อให้เหมือนการแสดงดูดีในบางช่วง แต่ถ้าเป็นกีตาร์นี่เล่นสดจริงๆตลอด เฉกเช่นเดียวกับ Jean Micheal Jarre ที่ผมสังเกตุเห็นเขาต้องแสร้งทำเป็นเล่นเองอยู่บ้างในบางช่วงการแสดง

Hergest Ridge & Ommadawn Deluxe Edition 2010

http://www.amazon.co.uk/Hergest-Ridge-Deluxe-Mike-Oldfield/dp/B003DO13O2/mikeoldfitubulwe

http://www.amazon.co.uk/Ommadawn-Deluxe-Mike-Oldfield/dp/B003DO13OC/mikeoldfitubulwe

 2 ชุดนี้ผม pre-order ไปแล้วครับ ไม่รู้ว่าจะออกชุดอื่นมาอีกหรือเปล่า ?
แต่ถ้า Japan ออกมาแบบชุดละ 3 แผ่น ราคาคงซื้อไม่ไหวแน่ครับ  ???

Universal จะไล่ออกทุกชุดแน่ๆครับ อยู่ที่ว่าจะทำชุดไหนเป็น Ultimate Edition, Deluxe Edition บ้างเท่านั้นเอง

ส่วนแผ่นญี่ปุ่น Tubular Bell 2009 3 disc mini lp งวดที่แล้ว pre-order หมดเร็วมากและราคาพุ่งขึ้นเร็วด้วย ต้องรอดูว่า Hergest Ridge, Ommadawn จะแรงขนาดไหน สงสัยต้องซื้อเก็งกำไร  ;D

ของไทยคงปั๊มออกมาเหมือนกัน

มี ultimate edition ด้วย

Hergest Ridge was Mike Oldfield's second album, and it has long been overshadowed by its predecessor, Tubular Bells.

This May, that's all going to change, as we release three brand spanking new editions of Hergest Ridge! Mike Oldfield has remixed the album specially for the occasion, and on the Deluxe and Ultimate Editions, we will be including masses of new demo material.

As well as all the material included in the other editions, the Hergest Ridge Ultimate Edition also includes an LP, a build it yourself model glider, an additional CD of remixes by DJ Dizzy-Heights and a special hardback book.

We will be launching the re-releases with a special event on May 22nd, on Hergest Ridge in Herefordshire. Activities will be going on all day and will include a chance to try model glider flying and a sampling of local beers and cheeses.

เข้าใจว่าข่าว ultimate edtion เป็นข่าวหลอกวัน April Fool's นะครับ คงมีแต่ deluxe edition กับแผ่นธรรมดาที่ทำออกมา

Welcome to Hergest Ridge 2010 - an April Fools' Day joke from tubular.net

This site was just a bit of April Fools' Day fun. Hergest Ridge will be re-released in May, but the rest of the information here - from the Ultimate Edition through to the Hergest Ridge Pizza - is pure fantasy.

http://www.hergestridge2010.com/

ว่าไปการที่ไมค์เอางานเก่ามาค่อยๆไล่ออกใหม่แบบนี้มันดูน่าตื่นเต้นกว่าตอนแกออกอัลบั้มใหม่ๆในยุคหลังๆเสียอีก แฟนๆรอเสียตังค์ซื้องานเก่าออกใหม่แถมต้องจ่ายแพงระดับ deluxe edtion หรือ ultimate edtion อีกต่างหาก การตลาดสุดยอดมาก หากินได้ตลอดชาติจริงๆ

แต่มันก็เป็นโอกาสอันดีกับแฟนเพลงอย่างผมที่ไม่เคยเก็บซีดีงานของแกในยุคแรกๆจริงๆจังๆมาก่อน มีแต่เทปเก่าๆและแผ่นเสียงเก่าๆของพวกพี่ๆเก็บอยู่ที่บ้าน

เพลง title track ในอัลบั้ม Downwind ของ Pierre Moerlen's Gong ฟังยังไงก็เป็นเพลงของ Mike Oldfield มากกว่าเพลงของ Pierre Moerlen's Gong แถมมี Mike Oldfield เล่นกีตาร์และร่วม produce ด้วยครับ

(http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/pm.jpg)

มิน่าครับ เห็น Mike Oldfield มาเล่นกีตาร์ในงานเดี่ยวยุคแรกๆของ Robert Wyatt ด้วย

งานที่เป็นอัลบั้ม ผมแทบไม่ได้เปิดฟังเลยครับ แต่ชอบดูคอนเสิร์ตมาก ชอบที่เล่นที่อังกฤษ TUBULAR BELLS III LIVE FROM HORSE GUARDS PARADE โดยเฉพาะเพลง Far above of the cloud.

MIKE OLDFIELD Hergest Ridge (2010 Japanese exclusive limited 'Deluxe Edition' 3-disc set, comprised of 8-track 2-disc SHM-CD [Super High Material CD - playable on all CD players] album, originally released in 1974, including the original vinyl mix, plus bonus demos and non-LP recordings, plus bonus Region 2 NTSC DVD featuring 5.1 Surround mixes; presented in mini LP-style card picture sleeve + obi strip, more details to follow...).

CD 1
1. Hergest Ridge Part One
2. Hergest Ridge Part Two
Bonus tracks:
3. In Dulce Jubilo (For Maureen)
4. Spanish Tune

CD 2
1. Hergest Ridge Part One [original vinyl mix]
2. Hergest Ridge Part Two [original vinyl mix]
3. Hergest Ridge Demo Part One
4. Hergest Ridge Demo Part Two

DVD
1. Hergest Ridge Part One
2. Hergest Ridge Part Two

ชุด Hergest Ridge ผมฟังจบเมื่อนานมาแล้ว แต่มันไม่มีความรู้สึกให้อยากกลับไปฟังอีกรอบครับ

+1 ขนาดตัวไมค์ยังไม่ชอบอัลบั้มนี้เลย

+1 ครับ

มาดูรูปชำแหละของ Tubular Bells 2009 SHM Mini lp กันครับ ดูน่าเก็บเหมือนกันนะ

http://www.minilps.net/oldfield-mike/tubular-bells-uicy-91479

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าอัลบั้ม Hergest Ridge แบบแ่ผ่นเสียงกับแบบซีดีที่ออกมานั้นเป็นคนละเวอร์ชั่นกันนะครับ เคยอ่านเจอว่า original mix ในแผ่นเสียงดีกว่าเวอร์ชั่นในซีดี (ซึ่งเป็นเวอร์ชั่น Quardphonic ที่มีวางจำหน่ายในบ๊อกแผ่นเสียงชุด Boxed เท่านั้น) และเราจะได้ฟังเวอร์ชั่น original mix ในแบบ Deluxe Edition ที่ำกำลังจะออกมาด้วย คิดว่ายังมีคนอีกมากที่พบความงามในอัลบั้มนี้นะครับ หลายๆคนคงเบื่อที่จะพูดถึง Tubular Bells แล้ว ก็น่าจะลองมาค้นหาความงามของอัลบ้มนี้ดูกัน ลองอ่านรีวิวของแฟนคนที่ชอบอัลบั้มนี้มากดูครับ :D

Overlooked but essential Oldfield album., March 8, 2003
By    Waiman (Hong Kong)

Despite becoming a No.1 album in the UK, Hergest Ridge remains an often overlooked gem. Sandwiched between two more accessible and dynamic albums (Tubular Bells and Ommadawn) Hergest Ridge is, overall, a quiet pastoral affair that beautifully depicts the idyllic region on the border of England and Wales from where it gets its title. It¡¦s not a piece of music that will immediately grab you but those who persevere will be greatly rewarded, though the thunderstorm section on side two may leave opinions divided.

As pointed out by others, this version of the album is the re-mixed version that first appeared on the Boxed set in ¡¦76. As I own the original vinyl versions of both Tubular Bells and Ommadawn, I can compare the difference and it's mainly with improved clarity and better sound quality. After reading the reviews on this page it is interesting to learn that Hergest Ridge - which I have never heard in its original form - was radically altered. Not only that but it appears that orchestral versions of the album also exist. This leaves me both excited (that these versions exist) and frustrated (that they may never see the light of day). So, come on Virgin how about a double special edition featuring the original mix and orchestral version and give Oldfield fans a real treat.

The re-mastering in this series is uniformly excellent but the cheap booklets and banal liner notes spoil things somewhat. The one nice touch is the formation of the Tubular Bells logo on the spine. To get the full image requires buying the full set, however, and as this would require the purchase of some of Oldfield¡¦s poorer efforts (most notably Platinum and the execrable Earth Moving) my logo will never see completion.

Best bit: the gorgeous 4 minute section from around 8'40".

Deluxe Edition ครั้งนี้ไม่ยุติธรรมเลย Hergest Ridge เป็น 2CD+DVD ส่วน Ommadawn เป็น CD+DVD แต่ขายราคาเท่ากัน  ???

เท่าที่ผมลองเช็คดูทั้ง mini lp จาก cdjapan และ set ธรรมดาจาก amazon.uk ชุด Ommadawn มี 3 แผ่นเหมือนกันนี่ครับ

จาก cdjapan : Ommadawn [Cardboard Sleeve (mini LP)] Deluxe Edition [2SHM-CD + DVD] [limited Release]
จาก amazon :
Audio CD (7 Jun 2010)
Number of Discs: 3
Format: Box set
Label: Commercial Marketing
ASIN: B003DO13OC

แต่รายละเอียดเขาคงลงขาด cd 2 ไป ซึ่งน่าจะมี-

Disc: 2
1. Ommadawn Part One
2. Ommadawn Part Two / On Horseback
3. In Dulce Jubilo
4. Portsmouth

 :D

ก็งงๆเหมือนกันครับ ถ้างั้นมันก็จะมี Ommadawn Pt.1 / Pt.2 ใน 2 แผ่นซ้ำกันน่ะสิครับ  ???

According to their track lists, Hergest Ridge includes In Dulci Jubilo (For Maureen), Spanish Tune and demos of Part One and Part Two. Ommadawn includes a 'lost version'.

They also have a single disc edition of Ommadawn, which includes In Dulci Jubilo, First Excursion, Argiers and Portsmouth, plus there's a single disc edition of Hergest Ridge which currently has no track listing.

tubular.net

วันนี้ต้องกลับไปหยิบชุด Boxed (LP) มาฟังเสียแล้ว

เคยเห็นชุด Boxed แบบซีดีวางขายที่ CDWarehouse ด้วยครับ แต่ดันไม่ซื้อมาเพราะนึกว่าไม่มีอะไรพิเศษ 

มาแล้วครับ limited edtion box set (ไม่ใช่ Ultimate Editon เหมือน Tubular Bells 2009 นะครับ) แบบพิเศษได้ทั้งแผ่นเสียงและซีดีพร้อมลายเซ็นต์ใส่กรอบ ราคาโหดตามเคย

Ommadawn

http://store.universal-music.co.uk/restofworld/Mike-Oldfield-Ommadawn-Limited-Signed-Print-Edition/invt/0600753267608

Hergest Ridge (ปกใหม่)

http://store.universal-music.co.uk/invt/0600753267530?_lm_esp=2-32-506

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/hergest.jpg)

สรุปแล้วทั้ง 2 อัลบั้มเป็นการมิกซ์ใหม่เหมือน Tubular Bells 2009 นะครับ เข้าใจว่า original mix ของ Hergest Ridge ไม่ได้รวมมาในเวอร์ชั่นนี้แล้วนะครับ มีแต่ demo มาให้

Hergest Ridge 2010

Tracklistings

Disc 1

 01 Hergest Ridge Part One 2010 Mix Previously Unreleased 19:21
 02 Hergest Ridge Part Two 2010 Mix Previously Unreleased 18:46
 03 In Dulce Jubilo (For Maureen)  02:45
 04 Spanish Tune  03:11

Disc 2

 01 Hergest Ridge Part One 1974 Stereo Mix 21:32
 02 Hergest Ridge Part Two 1974 Stereo Mix 18:40
 03 Hergest Ridge Demo Part One 1974 Demo Previously Unreleased 20:21
 04 Hergest Ridge Demo Part Two 1974 Demo Previously Unreleased 18:13

Disc 3  (DVD)
 01 Hergest Ridge Part One 2010 5.1 Surround Mix 19:20
 02 Hergest Ridge Part Two 2010 5.1 Surround Mix 18:45

Ommadawn 2010

Tracklistings

Disc 1

 01 Ommadawn Part One 2010 Mix Previously Unreleased 19:05
 02 Ommadawn Part One / On Horseback 2010 Mix Previously Unreleased 17:20
 03 In Dulce Jubilo Bonus 02:51
 04 First Excursion Bonus 05:56
 05 Argiers Bonus 03:57
 06 Portsmouth  02:04

Disc 2

 01 Ommadawn Part One 1975 Stereo Mix 19:10
 02 Ommadawn Part One / On Horseback 1975 Stereo Mix 17:11
 03 Ommadawn Lost Version 1975 Demo Previously Unreleased 17:10

Disc 3

 01 Ommadawn Part One 2010 5.1 Surround Mix 19:04
 02 Ommadawn Part Two / On Horseback 2010 5.1 Surround Mix 17:22
 03 In Dulce Jubilo Promo 03:04
 04 Portsmouth Promo 02:03
 
Disc 4

 01 Ommadawn Part One 1975 Stereo Mix 19:10
 01 Ommadawn Part One / On Horseback 1975 Stereo Mix 17:11

เห็นราคาแล้ว ประมาณ 75 ปอนด์นี่ยังไม่รวมค่าส่งใช่ไหมครับ รวมแล้วเป็นเท่าไรหรือครับ แพ็คเกจสุดท้ายเป็นอย่างไร ไม่มีรูปให้ดูเลยครับ ส่วนรูปภาพพร้อมลายเซ็นใส่กรอบ เป็นกรอบกระดาษใช่ไหมครับ  ::)

ราคาไม่น่ารวมค่าส่งครับ ผมจำไม่ได้ว่าค่าส่งเท่าไหร่ ต้องลองกดสั่งดูแล้วจะเห็นครับ ส่วนแพ๊คเกจยังงงๆว่าจะใส่กล่องอะไรมาเพราะไม่มีรูปให้ดูแต่เขียนว่า Limited Box Set ส่วนกรอบนี่ไม่แน่ใจครับว่าเป็นประดาษหรือเปล่า แต่ไม่น่าจะเป็นกระดาษนะครับกับราคานี้ สนใจรีบสั่งนะครับ หมดไวมาก ครั้งที่แล้ว TB 2009 deluxe box 500 copies หมดภายใน 7 ชั่วโมง โชดดีเวลาไทยเร็วกว่าที่ UK ผมเลยได้เปรียบสั่งก่อนคนที่ UK เลยได้มาครับ

คุณ TRON น่าเก็บมากกว่า เพราะมีชุดแรกแล้ว  ;)

ชุดแรกเป็น Tubular Bells ผมจึงยอมตัดใจซื้อ แต่ถ้าพี่แกเล่นออกแบบนี้ทุกชุดก็คงไม่ไหวล่ะครับ ถ้าผมซื้อ Hergest Ridge, Ommadawn อีก ผมคงต้องไล่ซื้อทุกชุดต่อๆไปแน่ ขอเก็บแค่ Tubular Bells ชุดเดียวพอครับ นึกภาพไม่ออกครับถ้าต้องมาเก็บอัลบั้ม Earth Moving, Heaven's Open ในรูปแบบ limited box set แพงๆแบบนี้ หรือแม้แต่ Five Miles Out, Crises, Discovery ก็ตาม ผมว่ามันเกินไปนะ แต่ถ้าเป็นแบบ mini lp รุ่นเก่านี่ยังไม่แน่ สนใจอยู่ครับ เห็นของพี่ Arnold แล้วเกิดกิเลส โชดดีที่ผมไม่เคยมีอแผ่นของไมค์ในยุค Virgin years นี้เลย นอกจาก Elements Box Set

ใครอยากได้แบบประหยัด standard 1 disc ตอนนี้ CDwow ลดราคารายการ pre-order เหลือแผ่นไม่ถึงสามร้อยบาทครับ  :D

Hergest Ridge 2010

 01 Hergest Ridge Part One 2010 Mix Previously Unreleased 19:21
 02 Hergest Ridge Part Two 2010 Mix Previously Unreleased 18:46
 03 In Dulce Jubilo (For Maureen)  02:45
 04 Spanish Tune  03:11

Ommadawn 2010

 01 Ommadawn Part One 2010 Mix Previously Unreleased 19:05
 02 Ommadawn Part One / On Horseback 2010 Mix Previously Unreleased 17:20
 03 In Dulce Jubilo Bonus 02:51
 04 First Excursion Bonus 05:56
 05 Argiers Bonus 03:57
 06 Portsmouth  02:04

มาดูกันเล่นๆว่าใครร้อง Moonlight Shadow แบบแสดงสดได้ดีที่สุดครับ

http://www.youtube.com/watch?v=2p2XM5snTeI&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=2__uEjxCbW4&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=zu8W0Wqfz_0&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=huRvdtTh2bA

Miriam Stockley คนนี้อยู่แล้ว เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมฟังน้อยมาก ส่วนเพลงที่ชอบสุด Tubular Bells, Far Above The Cloudsฯ

(http://www.uppicfree.com/images/766_CIMG4428.jpg) (http://www.uppicfree.com/view-766_CIMG4428.jpg)

ได้แบบ mini lp มาแล้ว เปิดดูข้างในแล้วแต่ยังไม่ได้เปิดฟัง ปรากฎว่า หน้าปกใหม่บรรจุซีดี 2 แผ่น แต่ทำปกแบบ gatefold ที่เปิดออกมาแล้วยังคลี่ได้อีกด้านละ 1 พับ ส่วนแผ่นที่ 3 บรรจุอยู่ในซองหน้าปกแบบดั้งเดิมครับ

(http://www.uppicfree.com/images/551_hrrr.jpg) (http://www.uppicfree.com/view-551_hrrr.jpg)

อัลบั้ม The Complete Mike Oldfield โดยรวมทำไมเสียงห่วยจังครับ โดยเฉพาะภาคแสดงสด เช่นเพลง Sheba, Platinum หรือว่าผมรู้สึกไปเอง? (ฟังจากแผ่นเสียงน่ะครับ)

+100 ครับ ผมก็มีแต่แผ่นเสียง

(http://www.uppicfree.com/images/754_mik.jpg) (http://www.uppicfree.com/view-754_mik.jpg)

The Essential Mike Oldfield, Live at the Knebworth Festival (1980) นอกจากบันทึกไว้ในรูปแบบวิดีโอแล้ว ยังไม่มีบันทึกเสียงไว้เป็น official recordings ใช่ไหมครับ? ผมชอบเพลงที่เล่นในคอนเสิร์ตครั้งนี้ทุกเพลงเลย โดยเฉพาะ Ommadawn

There may be some bootleg releases of the audio. İ agree with you on Ommadawn.

คอนเสิร์ตครั้งนี้เหมือนยกทีมงานทำอัลบั้มชุด Platinum มาทั้งทีมเลยนะครับ (มี Maggie Reilly เพิ่มเข้ามาด้วยอีกคน) ส่วนมือเบสส์ที่ช่วยสร้างสีสันแปลก ๆ ในสไตล์ fusion บนเวทีครั้งนี้ใช่ Hansford Rowe หรือเปล่าครับ?

(http://laesferamusical.files.wordpress.com/2009/08/mike1980.jpg)

ลืมไปแล้วว่าชอบ Mike Oldfield เพราะฟังเพลงอะไร และฟังที่ไหน อาจจะเป็นที่ยูทูปหรือไงไม่แน่ใจ แต่ถ้าลางๆ เหมือนจะเป็นเพลง
Platinum 1 and 2 ที่ Montreux 1981 ทำให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้อยากฟังงานของเค้า ฯ

อ่านเจอทำให้อยากไปหามาฟังดู แต่ไปเสิร์ชดูแล้วทำไมภาพมันเก่าจังครับ ฯ  :'( :'( :'(

เพราะเป็นภาพที่แปลงมาจากวีดีโอครับ ยังไม่มีใครทำออกมาเป็นดีวีดีอย่าเป็นทางการ

ดีวีดี Exposed ภาพยังดีกว่ามาก เสียงรีมาสเตอร์ใหม่ด้วย

สภาพแบบนี้เลยป่าวคับ

(http://www.uppicfree.com/images/905_00.jpg) (http://www.uppicfree.com/view-905_00.jpg)

^^ ใช่แล้วครับ

สำหรับผมภาพนี้ดูได้ครับ เพราะมันหาดูยาก โชว์นี้ผมชอบเพลง Guilty มาก ไมค์เล่นกีตาร์ได้มันกว่าเวอร์ชั่นในสตูดิโอเสียอีก

เท่าที่ดูคนเล่นกีตาร์มา ผมเห็นแต่ไมค์ โอลด์ฟิวล์ ที่เล่นแบบใช้เล็บนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ตวัดสายกีตาร์ ซึ่งผมว่าแปลกกว่าคนอื่นๆ หรือมีใครเห็นต่างจากนี้บ้างป่าวครับ ฯ

ผมเองก็ชอบการดีดกีตาร์ของไมค์มากๆ

Mark Knopfler (Dire Straits) ก็ได้สไตล์การดีดกีตาร์มาจาก Mike Oldfield ครับ แต่อาจใช้ไม่ครบ 5 นิ้วเหมือนไมค์

เคยมีเป็น video ตอนนี้ยังเก็บไว้ แต่คงดูไม่ได้ ชอบการแสดงครั้งนี้ สมัยอยู่หอ20 กว่าปีก่อน เอาไปเปิดที่ห้องดูทีวีบ่อยๆ จนเพื่อนที่ไม่เคยฟัง ยังชอบมาขอดูซ้ำ
(http://www.uppicfree.com/images/761_The_Essential_Mike_Old.jpg) (http://www.uppicfree.com/view-761_The_Essential_Mike_Old.jpg)

จำได้ว่าพี่สาวผมไปซื้อวีดีโอชุดนี้จากร้านเปียสมัยก่อน แล้วเทปมันหายไป ผมเลยไปหาซื้อมาได้ตัว transfer ลงดีวีดีจากอีเบย์นี่แหละ นอกจากไมค์ที่โดดเด่นแล้ว ยังมีนายคนที่เล่น Marimba หน้าหล่ออีกคน ที่ลีลาการเล่น Marimba ได้เร้าใจมาก

Vdo ผมยังอยู่ และเล่นได้ครับ เคยอัดแต่เสียงลง Cassette ไว้ฟังด้วยครับ :D

ใช่ครับ

น่าจะเป็น Pierre Moerlen (RIP) ครับ

ไปดูรูปมาไม่น่าใช่นะครับ Pierre Moerlen นี่น่าจะเป็นมือกลองหรือเปล่า? (แต่แกก็ตีมันดีนะครับ) ผมหมายถึงคนที่ใส่ชุดสีม่วงอ่อนๆโพกหัวด้วยน่ะครับ มีรูปอยู่ข้างบนนี้ด้วย :D

ถ้าเป็นคนที่ใส่หมวกสวมชุดม่วงเล่น Marimba และ percussions เสริมอื่น ๆ แล้วล่ะก็ คนนั้นคือ Benoit Moerlen ส่วน Pierre Moerlen สวมชุดสีเหลืองเล่นกลองครับ

(http://www.mikeoldfieldblog.com/wp-content/uploads/2008/07/05_benoit_moerlen.jpg)

(http://gongzillafan.gozaru.jp/IMG_0934.JPG)

คุณโปโลตูนยังเคยอัดเสียงชุดนี้ลงเทปให้ผมฟังด้วยครับ ตอนนั้นเรายังนุ่งขาสั้นเรียนหนังสือกันอยู่เลย :D

ผมไม่แน่ใจว่าปัจจุบันคุณคนนี้ที่คุณ TRON พูดถึงข้างต้นนี้ยังจะหน้าหล่ออยู่หรือเปล่า

(http://gongzillafan.gozaru.jp/IMG_0934.JPG)

ภาพจากปี 2002 ครับ (http://www.uppicfree.com/images/810_be.jpg) (http://www.uppicfree.com/view-810_be.jpg)

ยกเว้นเสียงร้องคำว่า Guilty ของ Oldfield ซึ่งผมเห็นว่าไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรครับ

+1 ครับ ยิ้งน้าไมค์มาร้องประสานด้วยยิ่งไปกันใหญ่

ช่วงท้ายเพลง Tubular Bells Part I Mike Oldfield ได้เล่นมุขโดยให้ Nico Ramsden มือกีตาร์อีกคนหนึ่งยกคนเล่นเครื่องเป่า (Acock Bimbo) คนนี้ลงจากเวที ฐานเป่าฟลุทไม่ยอมเลิกเสียทีครับ

(http://www.mikeoldfieldblog.com/wp-content/uploads/2008/08/03_pete_acock_peque.jpg)

ผมติดใจนามสกุล Bimbo ซึ่งแปลว่า ผู้หญิงสวยแต่โง่ครับ

ในคอนเสริ์ต Tubular Bells II ไมค์ก็ใส่มุกตลกๆไว้เหมือนกันครับ ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี

Bimbo น่าจะเป็นนิคเนมของเขาครับ เห็นชื่อจริงว่า Peter Acock

In Bergerac, we are lucky enough to have a musician of outstanding talent. Known locally as 'Bimbo', Peter Acock plays the sax (soprano & alto), the clarinette & here his third instrument, the piano & voice... Jazz bébé jazz
he was a well known session musician in London in the seventies & now plays marriages, bars & concerts all over the south west. I like what he does & he's a big buddy of mine. Great talent.

http://adamcope.blogspot.com/2008/08/peter-bimbo-acock.html

ถ้าผมจำไม่ผิด Mike Oldfield เคยผ่านการบำบัดและฟื้นฟูสภาพจิตใจเนื่องจากการขาดความเชื่อมั่นในช่วงที่ออกอัลบั้มสองสามชุดแรก และเขาได้กลับมาในสภาพที่ร่าเริงแจ่มใสและเชื่อมั่นมากขึ้นด้วยอัลบั้มชุด Incantations และการแสดงสดที่ถูกบันทึกไว้ในชุด Exposed
แต่ดูจากสีหน้าและแววตาของ Mike Oldfield แล้ว ผมว่าลึก ๆ เขาเป็นคนที่เก็บกด ซีเรียส มุ่งมั่น และจริงจังกับชีวิตนะครับ โดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ ที่เริ่มระหองระแหงในเรื่องผลประโยชน์กับ Richard Branson เพื่อนซี้ของเขาและประธานกลุ่มบริษัท Virgin ครับ

เรื่องระหองระแหงกับ Richard Branson จบไปนานแล้ว ตอนนี้ก็คุยกันตามปกติแล้ว เพียงแต่ไม่น่าจะสนิทเหมือนสมัยก่อน ปัจจุบันไมค์ดู relax ไปมากครับเพราะอายุปูนนี้แล้ว ผ่านการอะไรมาเยอะ งานอดิเรกที่ชอบมากๆก็คือการขับเครื่องบินส่วนตัวหรือล่องเรือ ดังที่เราจะได้เห็นไมค์ชอบเรื่องการขับเครื่องบินมากตั้งแต่ปก Five Miles Out ถึงปก Hergest Ridge เวอร์ชั่นใหม่

ขอเรียนถามคุณ panyarak หรือใครที่ทราบว่า ภาพเด็กชายและเด็กหญิงบนปกอัลบั้ม Children of the Sun ของ The Sallyangie นั้นคือรูปของ Mike และ Sally Oldfield ตอนเป็นเด็กใช่ไหมครับ?

ไม่มีข้อมูลเลยครับ ลองดูภาพสมัย The Sallyangie เปรียบเทียบนะครับ

(http://www.uppicfree.com/images/520_sal2.jpg) (http://www.uppicfree.com/view-520_sal2.jpg) (http://www.uppicfree.com/images/636_sal3.jpg) (http://www.uppicfree.com/view-636_sal3.jpg)

ผมฟังงานที่เป็นสตูดิโออัลบั๊ม ของไมค์ โอลด์ฟิลด์ มันรู้สึกเหมือนมันไม่อิ่ม เหมือนกินข้าวแล้วขาดอะไรไปสักอย่าง อีกนิดเดียวมันก็จะสุดยอดแล้ว แต่เหมือนขาดอะไรไป การบันทึกเหมือนไม่สุดติ่ง ไม่รู้มีใครรู้สึกเหมือนผมบ้าง ? แต่ผมก็ยังไม่ได้ฟังหมดทุกชุด อันนี้พูดถึงแค่ Tubular Bells 1 2 3 แต่ในคอนเสิร์ต สุดติ่งจริงๆ ฯ
 

ยังจำได้มั้ยครับว่าคุณรู้จัก Mike Oldfield จากอัลบั้ม อะไรกันแน่ ?????????

คิดว่าหลายคนคงไม่ได้เรื่มจาก Tubular Bells เป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่ 1973 เป็นแน่ (แต่น้องรุ่นหลังโชคดีที่มีเทป/Cd ออกมาทุกชุดแล้ว ช่วงครึ่งหลังของยุค 80-90 คงเริ่มที่ Tubular Bells เป็นส่วนใหญ่)
สมัยต้นๆ 1980 Crises ,Discovery,The Complete,OST Killing Field น่าจะเป็นอัลบั้มแรกๆ ที่คนไทยแบบชาวบ้าน รอร้านเทป จะได้ฟัง
เชื่อว่าหลายคน เช่นกัน ที่เห็นหน้า Mike Oldfield ครั้งแรก จาก music video Moonlight Shadow ในรายการของพี่มาโนชญ์ด้วย

และคุ้นๆว่า แทบไม่มี หนังสือดนตรีหัวไทย เขียนถึงเค้ามาก่อนหน้านี้เลย
แต่ไม่นาน จึงพรั่งพรู กันย้อนเอา อัลบั้มแรกๆ ออกกันมาทั้ง 4 track,peacock,501 และยี่ห้อที่เป็นกระดาษ แปะรูปถ่ายจาก LP และรวมถึงเทปลิขสิทธิ์ virgin,EMI  ที่คุณภาพห่วยมาก ฟังไม่นานก็มีเสียงเอี๊ยดๆจนต้องไปซื้อเทปผี จนได้ยินเพลงชัดๆ

เราชาวไทยจึงได้ดื่มด่ำ เพลงเด็ด ที่ชาวโลกเค้าฟังกันมาช่วง 10 ปีก่อน คงมีคนที่มีแผ่นเอง ได้ฟังกันบ้าง แต่ไม่มาก
แต่คนไทยคงเคยได้ยิน Blue Peter,Portsmouth ตามเพลงประกอบในTV แบบคุ้นๆ

สงสัยผมไปอยู่หลังเขา คนเดียว หรือเปล่า

ผมรู้จักจากพี่สาวครับ เพราะพี่สาวอัดเอ็มวีเพลง Moonlight Shadow มาเปิดดูกันแทบทุกวัน และพี่สาวผมมีเทปพีค๊อกอัลบั้ม Crises ด้วย หลังจากนั้นพี่สาวผมก็ซื้อแผ่นเสียง Tubular Bells มาฟัง เพราะตอนนั้นเทปผีหรือลิขสิทธิ์ยังไม่มีเจ้าไหนออก Tubular Bells มาขายเลย ทุกวันนี้แผ่นเสียงแผ่นนี้ก็ยังอยู่ครับ จำได้พี่สาวผมบอก Tubular Bells เพราะมากๆ แต่ผมเปิดฟังทีไรก็ไม่เข้าใจว่ามันเพราะตรงไหนสมัยนั้น แต่หลังจากเวลาผ่านมาผมก็เข้าใจแล้ว ต้องขอบคุณ Tubular Bells II ด้วยที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมย้อนกลับมาฟัง Tubular Bells อย่างตั้งใจอีกครั้ง

moonlight shadow  คือหนึ่งในหลายๆเพลงที่เปรียบเหมือนประตูบานแรกที่ทำให้ผมก้าวเข้าไปทำความรู้จักกับโลกของดนตรี prog อันกว้างใหญ่ไพศาล

ได้ฟัง Mike Oldfield ครั้งแรกจากเทปที่ร้าน Rex เขาอัดเองไว้ขาย จำได้ว่าเป็นชุดรวมเพลงยุคแรก Airborn ซึ่งมี Tubular Bells ด้วย แต่ฟังไปหลายสิบรอบ ก็ไม่ชอบ ต่อมาได้เทปจากร้านเดียวกันชุดแสดงสด Exposed ซึ่งมี Tubular Bells อีก ก็ยังไม่ชอบ แต่กลับไปติดใจเพลง Incantations มากกว่า โดยเฉพาะท่อนที่ Maddy Prior ร้องเพลง Hiawatha  ชุดต่อมาน่าจะเป็น Platinum ซึ่งก็ยังไม่ติดหูเท่าไหร่ กว่าจะเริ่มชอบก็เมื่อมีชุด Crises ออกมา แล้วก็ย้อนไปหาซื้อ Five Miles out, Ommadawn กับ QE 2 พอฟังติดหูดีแล้ว กลับไปฟัง Tubular Bells ถึงได้เริ่มซึมซับความงดงามครับ

รู้จักครั้งแรกจากหนังสือสตาร์พิคส์จำไม่ได้ว่าคอลัมน์อะไร แต่เค้าเปรียบเทียบระหว่าง Mike Oldfield กับ Roger Waters
ได้ฟังTubular bells ครั้งแรกก็คือเทปมือสองที่ซื้อมาจากจตุจักรเมื่อหลายปีมาแล้วฟังในช่วงนั้นก็ยอมรับว่าเข้าไม่ถึงดนตรีของเค้าเลย
(แต่เทปม้วนนั้นก็ยังเก็บเอาไว้)จนปัจจุบันได้ฟังอัลบั้มOmmadawnแล้วรู้สึกว่าซาบซึ้งในดนตรีของเค้ามาก พอกลับไปค้นเทปมาฟังก็ยืดไปซะแล้ว ;D

ผมว่าเทคนิคการฟัง Tubular Bells ให้เข้าถึงนั้ันง่ายมากครับ คือเราต้องคาดหวังในสิ่งที่ไม่คาดหวัง เหมือนสมัยอัลบั้มนี้วางขายในอังกฤษใหม่ๆถึือเป็นปรากฏการณ์เลยก็ว่าได้ เพราะไม่มีคนเคยได้ฟังอะไรแบบนี้มาก่อน มันถึงดังและขายดีและกลายเป็นอัลบั้มคลาสสิคจนถึงทุกวันนี้ มันไม่โครงสร้างดนตรีที่ตายตัวเหมือนเพลงร๊อคทั่วไป เวลาฟังเราก็แค่ปล่อยให้ดนตรีมันไหลและเติบโตไปเรื่อยๆเหมือนสายน้ำ และคอยฟังจังหวะการเปลี่ยนรูปแบบในแต่ละช่วงและจับอารมณ์ในแต่ละช่วงให้ได้ แค่นี้ผมว่าคนที่ฟังใหม่ๆก็น่าจะได้ความเพลิดเพลินแล้วครับ

หรือจะลองแบบที่ผมมีประสบการณ์มาก็ได้นั่นก็คือหา Tubular Bells II มาฟังก่อน ซึ่งโครงสร้างเหมือน Tubular Bell แบบถอดแบบกันมาเป๊ะๆ แต่ปรับเปลี่ยนเมโลดี้ให้สวยงามติดหูง่าย หลายๆช่วงเวลาฟังแล้วเหมือนอยู่ในความฝันที่มีความสุขมากๆ พอเราชอบ Tubular Bells II มากๆ ก็จะเข้าใจ Tubular Bellsไ้ด้ง่ายขึ้นเยอะครับ

เช่นกันครับ เพลงแรกที่ทำให้ผมรู้จัก Mike Oldfield คือ Moonlight Shadow จากนั้นก็ไปหาเทปชุด Crises มาฟัง แล้วต่อด้วย Discovery (เทปยี่ห้อพีค็อก) และในยุคนั้นเองที่มีเทปคู่ The Complete Mike Oldfield ออกมา ทำให้ผมมีโอกาสได้ฟัง excerpts ของ Tubular Bells, Hergest Ridge, Ommadawn และ Incantations แล้วก็ชอบใจ แต่ยังหาอัลบั้มเต็มมาฟังไม่ได้ ต่อมาอีกไม่นาน คุณโปโลตูนก็ได้อัดเทปชุด Tubular Bells ซึ่งถ่ายมาจากแผ่นเสียงของเพื่อนอีกทีหนึ่งมาให้ผมฟัง แรก ๆ ก็รู้สึกว่าฟังยาก เพราะจังหวะมันออกช้า ๆ เนิบ ๆ ค่อย ๆ คืบคลาน และเปลี่ยนจังหวะอารมณ์ไปเรื่อย ไม่เหมือนเพลงร็อคอื่นที่เน้นจังหวะจะโคนประเภทริธึ่มเซ็คชั่น แต่พอได้ฟังหลายเที่ยวเข้าก็รู้สึกซาบซึ้งในความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ในเพลงทั้งสองภาค ผมจำได้ว่าเทปชุด Tubular Bells ที่ซื้อครั้งแรกเป็นเทปลิขสิทธิ์ของ EMI ซึ่งราคาซื้อตอนนั้นประมาณ 60 บาท แพงกว่าเทปผีประมาณหนึ่งเท่าตัวครับ

ตอนเรียนอยู่อเมริกา ผมซื้อเทปลิขสิทธิ์ชุด Incantations กับ The Killing Fields มาฟัง เสียงห่วยพอๆ กับเทปของ EMI Thailand เลยครับ

ทราบมาว่าเพลง Mount Teidi จากชุด Five Miles Out มี Carl Palmer เป็นผู้เล่นกลองและเพอร์คัสชั่น มีใครทราบบ้างว่าเพลง Mount Teidi ในภาคแสดงสดจากชุด The Complete Mike Oldifield นั้น ใครเป็นคนเล่นกลองครับ? (คิดว่าไม่น่าจะเป็น Carl Palmer)

ดูเหมือนความขัดแย้งระหว่าง Mike Oldfield กับ Richard Branson ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป....

Virgin
Press Release
Embargoed for 1 April 2011

Richard Branson and the Tubular Belle Aid Irate Mike Oldfield Fans

“Days in the Bahamas are generally clear, calm, and downright heavenly,” said Mike Oldfield, describing what it is like to wake up every day in an island paradise. “Walks on the beach, a swim in the sea, picking up a guitar, playing catch with my sons. Downright idyllic. ” On 30 March, however, his perfect day was rudely interrupted. “It was just horrible! Just horrible! Frightening!” exclaimed Oldfield, describing the day’s events. Not a hurricane nor earthquake, but a plane-load of irritated fans, who two years later still fuming over Tubular Bells the Ultimate Edition, descended upon the sleepy island like a Klingon Bird of Prey.  Richard Branson, founder and CEO of the Virgin Group, was in the lead. But why?

Back up two years. In June 2009, Tubular Bells, a record that launched the career of young Mike Oldfield as a musician and Richard Branson as an entrepreneur (today the Virgin Group boasts 300 companies), was released as box set called Tubular Bells Ultimate Edition.  There was a limited version of the Ultimate Edition comprising 300 copies, which included a certificate signed by Oldfield. The limited version was available by special order through an online store for an increased price.  So far, so good. Except there was a mix-up with the distributors, which resulted in several copies going to the Amazon.com store rather than to the proper one. To complicate matters, the vinyl records themselves looked to be on the losing side of a game of Frisbee. Many fans were upset—they had paid extra to have a signed certificate. Other fans were quite happy, i.e., those ordering regular Ultimate Editions only to end up with a signed certificate.

Universal Music, Mike’s record company, did the best they could to make up for the mayhap. At no time was Oldfield ever implicated in the mix-up—according to all sources he had promptly signed and returned the certificates as specified.

“Imagine my mortification when here we are—my wife snapping pictures of jellyfish, the kids building a tubular bell sand castle, and me throwing a Jarre vinyl to the dog (he is great at catching those things! ) —when a plane cruises over our heads so close that you could see the spinach in the teeth of the Tubular Belle girl! [Editor’s Note: The “spinach” was probably a product of seagulls.] When I saw that bucket of bolts Tubular Belle aircraft, I knew immediately who it was. Branson just doesn’t know when to quit!”

“For the last two years, every facet of the Virgin Group has received massive complaints," according to Branson. "All companies within the Virgin Group have had their products boycotted—everyone from the airlines to mobile phones to Mates. One irate Mike Oldfield fan threw her mobile at a customer service person and landed him in hospital,” said Branson.  “This thing went viral! They seem to have no idea that the Virgin Group no longer has any association with Mike Oldfield. In fact, I blame him for the plummeting of Virgin stock nearly a year and a half ago—our Group has always done well in any global recession, so that [the recession] was just not to blame. It was that Mike Oldfield.”

Having had enough, Branson decided to take matters into his own hands—or plane, as the case may be. Tubular Belle emerged from retirement to spirit a fleet of invading fans to tell Oldfield how they felt. After getting an apology from Oldfield and a signed starfish, the group continued on to Branson’s private island—indeed, 40 lucky Mike Oldfield fans will spend the next week in their own paradise.  “It is much cheaper to fly 40 fans to the Islands than it is to have them and their friends boycotting Virgin.”  Did this appease the fans?  Not all of them.  “Oldfield’s dog chased me into the water and I got sand in my eyes,” said one. Another one was disappointed not to get a vinyl. There just isn’t pleasing some folks.  Oldfield declined further comment, except to say that he wishes he were still with Virgin so he could leave them all over again.  He then seemed to tap a message in Morse Code on a piece of driftwood.

เพลง To France โดยวง goth metal ชื่อ Leave's Eyes ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=i-lyEEa3_08

ใครมีแผ่นเสียง Tubular Bells II ของ Mike Oldfield กันบ้าง ยกมือขึ้นนนน................. ;D

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/TBII01.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/TBII02.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/TBII03.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/TBII04.jpg)

โอว .. สวยงามมาก เพิ่งเห็นนะเนี่ย :D

ตอนแรกผมก็ไม่อยากเชื่อว่ายุค 90's ซึ่งเป็นยุคที่คนทั่วไปเชื่อว่าแผ่นเสียงตาย (เกือบ) สนิทแล้ว จะมีแผ่นเสียงชุดนี้ออกมา เพราะโดยทั่วไปก็เห็นแต่อัลบั้มชุดนี้ที่เป็นซีดี แถมความยาวของอัลบั้มก็เกือบ 62 นาที โดยหลักแล้ว ความยาวอัลบั้มขนาดนี้ไม่เหมาะที่จะยัดลงร่องแผ่นเสียง เพราะแผ่นเสียงทั่วไปก็มีความยาวเพลงรวมเพียง 30 กว่า ถึง 50 กว่านาทีเท่านั้น แต่แผ่นเสียงชุดนี้เป็น full-length album ซึ่งมีความยาวเท่ากับซีดี ไม่มีขาดตกไปแม้แต่แทร็คเดียวครับ ;D

แล้วความยาวขนาดนี้ทำให้คุณภาพเสียงลดลงหรือเปล่าครับ?

ซีดีและแผ่นเสียงที่ผมมีอยู่ทำในเยอรมนีทั้งคู่ -- ฟังเทียบกันได้ -- และผมชอบแผ่นเสียงมากกว่า เพราะเสียงมันออกแนวอะนาล็อกดีครับ (มีเสียงก๊อบแก๊บปนเปื้อนมาเล็กน้อย)

จะว่าไปแล้ว คุณภาพเสียงของ TB II นั้นแย่กว่าบางอัลบั้มของ Oldfield ที่ออกในยุค 80's เสียอีกครับ

ผมกลับมองว่าเสียงอัลบั้ม TB II ดีครับ (ผมฟังจากซีีดีผลิตในอเมริกา) ที่แน่ๆดีกว่าอัลบั้มหลังๆของไมค์อย่างเช่น TB III ที่ผมว่าเสียงไม่ดีเลย แต่เหมือนเป็นเทรนด์ของการมิกซืเสียงยุค 00's ที่ชอบทำเสียงออกมาแบบนั้นครับ แต่งานอย่าง TB 2003 เสียงดีมากๆครับ ยิ่งถ้าฟังจาก dvd-audio 24 bit/96 khz สุดยอดมาก

เมื่อเทียบกับ Crises และ Platinum แล้ว ผมว่าคุณภาพเสียงของ TB II สู้เสียงจากสองอัลบั้มแรกที่กล่าวมาไม่ได้ แต่ผมก็รักที่จะฟังเสียง TB II จากแผ่นไวนิลมากกว่าซีดีครับ

ตอนแรกนึกว่าจะแตกต่างกับเวอร์ชั่นของ Mike Oldfield โดนสิ้นเชิง แต่ช่วงหลังๆใส่ซะเสียอารมณ์เคลิ้มไหวมากไปหน่อย

อั้มเคยดูหนังเรื่องหมอผีเอ็กซอซิท ภาคแรกหรือยังครับ (ไม่ใช่รีเม็คนะ)

The Exorcist เป็นหนังที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตผมครับ หมอผีเอ็กซอร์ซิสยังไม่มีทำรีเมคนะครับ มีแต่ภาคต่อกับ prequel :D

Beyond the Door, a 1974 Italian film with Juliet Mills as a woman possessed by the devil. It appeared in the U.S. one year later. Also in 1974, a Turkish film, Şeytan (Turkish for Satan; the original film was also shown with the same name), is almost a scene-by-scene remake of the original. It has gained a reputation among cult movie enthusiasts as the "Turkish Exorcist". That same year, the German film Magdalena, vom Teufel besessen was also released with an Exorcist plot. In 1976, the British released The Devil Within Her with Joan Collins as an exotic dancer who gives birth to a demon-possessed child.
Similarly, a blacksploitation film was also released in 1974 titled Abby. While the films Şeytan and Magdalena, vom Teufel besessen were more legally free to be made due to being filmed in other countries, the makers of Abby (filmed in Louisiana) were sued by Warner. The film was pulled from theaters, but not before making $4 million at the box office.
A parody, Repossessed, was released the same year as The Exorcist III, with Blair lampooning the role she played in the original.

ref : wikipedia

โดนดักคออีกแล้ว ไม่นึกว่าจะมีรีเมคแบบนี้ด้วย :D

ฮาๆ พี่ก็ไม่รู้หรอกว่ามี
แค่อยากให้ขงปี่ ดูหนังเรื่องนี้จริงๆ
เพราะดนตรีของ โอลด์ฟีลด์ มันสร้างบรรยากาศ ของหนังให้น่ากลัวขึ้นมากเลย
เรียกว่า แทบจะเป็นต้นแบบของพวก แบล็ค-แอมเบียนท์ สายนอร์ดิก กันเลยทีเดียว

ฟังคนเดียว แล้วหลอดไฟดับ ถึงกับสะดุ้งเฮือกกันเลยหละ  :o

ต่อไปนี้ผมจะตอบกระทู้ต้องระวังเสียแล้ว เพราะมีคนจ้องจับผิดผมอยู่ แต่ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจดี ;D

ไม่กล้าซื้อมาดูคนเดียวครับ อยากไปนั่งดูกับพี่สิทธิ์แล้วสังเกตอาการผวาไปพร้อมๆกัน

อ่านแล้วรู้สึกแย่จังครับ ต่อไปผมไม่ตอบกระทู้คุณสิทธิ์ก็แล้วกันครับ

ขอบคุณครับ รอคำนี้มานาน

คุณเขียนได้ไม่น่าฟังเลยครับ ไม่ค่อยให้เกียรติคนอื่นเลย หลายครั้งผมออกมาตอบก็เพราะรักเคารพพี่ๆเขา นี่่ก็ไม่ได้คุยกันตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่วายมีคำพูดแบบนี้ออกมาจนได้

ถ้าติดใจจริงๆ pm มาคุยกับผมได้ ผมมีอะไรหลายอย่างที่ผมพยายามเก็ยไว้คนเดียวนะครับ (พยายามแล้วพยายามเล่า) โดยเฉพาะเรื่องที่คุณเอ่ยเรื่องการให้เกียรติกัน ฉะนั้นอย่าโพสต์เรื่องนี้ในกระทู้เลย

+100 ครับ  ;D

เอ้า มาอีกคนแล้ว ตอบ pm ผมหน่อยสิครับ มีคนรอฟังอยู่เยอะ

ผมไม่ติดใจอะไรครับ คุณสิทธิ์โพสต์ว่าผม ผมจึงตอบ หากอยากคุยรายละเอียดอะไร เมล์มาได้เลยครับ polotoon@gmail.com ขอบคุณครับ

รอฟังเรื่องอะไรครับ ?

ผมไม่คุยแล้วครับ ผมว่าเราคุยกันมามากพอแล้ว เอาเป็นว่าจบกันเท่านี้นะครับ ผมไม่ติดใจอะไรเลยจริงๆ :)

โปรดอย่าคิดว่าผมคอยจับผิดเลยนะครับ ผมแย้งทุกคนเหมือนกันครับ แม้แต่พี่ๆ ด้วยความรักและเคารพครับ หากทำให้รู้สึกไม่ชอบใจ ผมขอโทษด้วยครับ

พวกเราคุยเรื่องMike Oldfield หรือเปล่าจะได้คุยด้วยคน

คนที่เข้ามา +100 ตามน้ำแบบนี้ในขณะที่สมาชิกสองคนกำลังมีเรื่องกันอยู่ ผมถือว่าไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชายครับ ;)

ไมค์ เมื่อไหร่จะออกชุดใหม่ครับ ผมเดาว่าชุดต่อไปต้องทำเป็นแผ่นเสียง และขายไฟล์ Hi Res ด้วยแน่เลย :D

อยากทราบว่า Pete (Peter) Lemer ที่เคยเป็นมือคีย์บอร์ดให้ Oldfield (อัลบั้ม Platinum) และเคยออกทัวร์ร่วมกับ Oldfield หลายครั้งในต้นยุค 80's นั้น เขามีผลงานเด่น ๆ ร่วมกับวง prog อื่น ๆ อีกบ้างมั้ยครับ? ผมทราบมาว่า Lemer ถนัดด้านดนตรีแจ๊สส์มากกว่าครับ

(http://www.thevocalworkshop.com/about-dani_files/pete-graphic.jpg)

หลังออกทัวร์กับ Mike ก็ได้ร่วมงานใน Pierre Moerlen's Gong - Time is the Key

และมือคีย์บอร์ดอีกคนหนึ่งคือ Tim Cross เขามีผลงานเด่น ๆ ร่วมกับศิลปิน prog อื่น ๆ อีกหรือไม่ครับ?

(http://www.mikeoldfieldblog.com/wp-content/uploads/2008/07/05_tim_cross.jpg)

หลังจากร่วมงานกับ Mike Oldfield แล้ว เขาไปเป็นสมาชิกวงพังค์ชื่อ The Adverts แล้วก็หันเหไปทำพวก jingles สำหรับรายการโทรทัศน์ครับ ผมมีผลงานเดี่ยวชุด Classic Landscape เป็นแผ่นเสียง นับเป็นผลงานแนว New Age ที่น่าฟังชุดหนึ่งครับ (เท่าที่เคยเห็น มีปกคล้ายๆ กัน 3 แบบ)

(http://i236.photobucket.com/albums/ff271/panyarak/tc3.jpg) (http://i236.photobucket.com/albums/ff271/panyarak/tc2.jpg) (http://i236.photobucket.com/albums/ff271/panyarak/tc1.jpg)

ความที่เขาถนัดสายแจ๊ส เขาได้ร่วมงานกับ prog แนว progressive jazz และ Canterbury อย่าง In Cahoots, Barbara Thompson, Pierre Moerlen's Gong, Gilgamesh, Seventh Wave และ Annette Peacock ครับ

Rick Fenn มือกีตาร์ที่เข้าร่วมกับ Mike Oldfield's Group ในผลงานชุด Five Miles Out เคยมีผลงานเด่น ๆ ร่วมกับใครหรือวงใดอีกบ้างครับ?

(http://www.tcelectronic.com/media/RickFennMain.jpg)

เห็นชื่อเขาแล้วต้องนึกถึง Nick Mason เป็นคนแรกเลยครับ เขามีผลงานร่วมกันชื่อ Mason & Fenn ฟังเท่าไหร่ก็ไม่ติดหูเสียทีครับ

นอกจาก 10 CC แล้ว Rick Fenn เป็นนักดนตรีรับจ้างเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น Rick Wakeman, Agnetha Faltskog (ABBA), Jack Bruce, Cliff Richard, Peter Green, John Wetton, Justin Hayward, Tears for Fears, Robin Gibb, Kim Wilde ฯลฯ

Mason & Fenn ไงครับ กับ Nick Mason คนเก่งของพวกเรา

Alan Schwartzberg ที่เคยเล่นกลองในอัลบั้ม Platinum ของ Oldfield เคยตีกลองให้วง Mountain จอมภูผา และวง Kiss ด้วยหรือครับ?

(http://www.stereosociety.com/jpg/SchCoMuc.jpg)

ทราบแต่ตีกลองให้ Mountain ชุด Twin Peaks ครับ ส่วน KISS เป็นมือกลองเงา เป็นตัวเสริมในการบันทึกเสียง ไม่ได้เป็นสมาชิก เพราะเขารู้จักกับ Gene Simmons มาก่อนที่จะตั้งวง KISS ครับ

เพลง Sally ในอัลบั้ม Platinum ร้องโดย Wendy Roberts ใช่หรือไม่? และผู้หญิงที่ชื่อ Sally ในเพลงนี้ไม่ใช่พี่สาวของ Oldfield หากแต่เป็นแฟนเก่าของเขาใช่รึเปล่าครับ?

ใช่ครับ

อยากเห็นรูป Anita Hegerland ผู้ซึ่ง (เคย) เป็นภริยาของ Oldfield ไม่ทราบว่าใครมีรูปของเธอบ้างครับ?

(http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcToHTLLif_Ww_0ZFPUtsmhwpn2ARDGCa8qod83mxozZY6avGcuDEg)

(http://www.mikeoldfield.no/oldfield/anita_hegerland.jpg)

(http://frikk.no/gallery/d/265-2/Anita_sing.jpg)

เดือนกรกฎานี้ deluxe edition จะออกอีกน่าจะเรียงลำดับ studio album ออกมาเรื่อยๆมั้ง

คุณหมอตามซื้อทุกชุดเลยหรือครับ

ซื้อเท่าที่หาได้ครับ ช่วงแรกเป็น เทป ส่วน CD ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้าง ตอนออก HDCD ช่วงปี 2000 ไม่ได้ซื้อทุกชุด
รอบนี้ตั้งใจจะเก็บทุกชุดที่ออกใหม่

Anita Hegerland ชาวนอรเวย์ เป็นศิลปินเดี่ยวมาก่อนตั้งแต่อายุ 8 ขวบ หลังจากแต่งงานกับ Mike Oldfield แล้วหย่ากัน เธอก็กลับไปเป็นศิลปินเดี่ยว ไม่กี่ปีมานี้ เธอได้มือกีตาร์คนใหม่อายุ 21 ปี ชื่อ Noah Oldfield ซึ่งก็คือทายาทของ Mike Oldfield นั่นเองครับ

http://www.youtube.com/watch?v=cwknyFzBfdg
http://www.youtube.com/watch?v=otQWDU27t4o

(http://www.singerpictures.com/images/pic/a/anita-hegerland/128341.jpg) (http://www.singerpictures.com/images/pic/a/anita-hegerland/128340.jpg)

ผลงานเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

เห็นท่าทางขรึม ๆ อย่างนี้ Oldfield มีลูกตั้งเจ็ดคน (ซึ่งเกิดจากภรรยาสามคน) เชียวนะครับ ขนาดแกอายุมากแล้วก็ยังอุตส่าห์มีลูกกับภรรยาคนล่าสุดได้
ร้ายจริง ๆ :D

ผู้ชายน่าเป็นห่วงน้อยกว่าผู้หญิงเยอะครับ สำหรับการมีลูก :D

ให้กำลังใจดีจังเลย สงสัยผมคงต้องเปลี่ยนคนที่จะผลิตลูกให้ซะแล้ว (ฮา) :D ;D :D

มาแล้วครับ อัลบั้มโปรดพี่ panyarak แบบทั้ง 2011 stereo mix และ 5.1 surround พร้อมปกใหม่สวยดีครับ

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/0600753346365_medium.jpg)

The fourth instalment in Mike Oldfield's catalogue reissues, Incantations, is released on July 25th.

Incantations, originally released in November 1978 was Oldfield's first and only studio double album. Comprising of four parts of the title track, it was a masterpiece of minimalism, with Oldfield again playing many of the instruments, with old friends including David Bedford conducting the choir and orchestra, Pierre Moerlen on drums and Mike's sister Sally on vocals.

With the remaster overseen by Oldfield himself, the packages contain a variety of rare material; and again, as with Tubular Bells, Hergest Ridge and Ommadawn, contain a brand new 5.1 mix by Oldfield on DVD, as well as footage from his 1979 concert tour that supported the album. Both CD formats also include 'Guilty', Oldfield's legendary 1979 single recorded in New York City at the height of the disco movement. Few expected the man who crafted 25 minute sides of symphonic rock to hit the dancefloor with such élan.

500 copies of the vinyl version of Incantations have been signed by Mike Oldfield and are available, as is the standard vinyl exclusively through the official website.

With artwork overseen by Oldfield and extensive notes, Incantations is the marvellous next instalment of Mike Oldfield's compelling catalogue.

ปกดูดีกว่าแบบเดิม แม้ยังไม่สื่อความหมายของชื่ออัลบั้มที่แปลว่า การร่ายเวทย์มนต์คาถา แต่ก็เตรียมเสียเงินอีกแล้วครับ

ไม่ทราบพี่ panyarak คิดจะซื้อฟอร์แมทไหนครับ Vinyl, CD, Mini lp ?

vinyl + mini lp ครับ

พี่ตั๊มเก็บ alternated cover ด้วยหรือครับ ส่วนใหญ่ของผลงานที่ออก cover ไม่ซ้ำกันเลยหรือเปล่าครับ

ก็เก็บบ้างครับ ขึ้นอยู่กับว่าออกแบบได้สวยงามรึเปล่า

กรณีนี้น่าจะเรียก Alternate Edition เลยก็ได้ครับ เพราะใหม่ทั้งภายนอก (ปกใหม่) และภายใน (มิกซ์ใหม่) คือเราได้สองทางเลย

เห็นแบบนี้แล้วอยากให้ถึงตาของ Crises ออกใหม่เร็วๆ ไม่รู้ว่าจะหาปกใหม่มาทาบรัศมีปกเก่าได้หรือเปล่า?

ปกเดิมสวยอยู่แล้วนะครับ โดยเฉพาะภาพใหญ่ๆ อย่างแผ่นเสียง

นั่นสิครับ อาจคงปกเดิมเหมือน TB, Ommadawn คงเปลี่ยนเฉพาะปกที่คิดว่าไม่สวย (แต่ถ้าไม่เปลี่ยนปกก็อาจไม่มีจุดขายก็ได้)

ปก Incantations เป็นปกที่ไม่สวยเลย สวนทางกับดนตรีที่บรรจุอยู่ภายในอย่างมาก

ครับ ไม่ชอบปกเดิม ปกใหม่สวยมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะ ไม่มีหน้า Mike อยู่ด้วย :D

Incantations แบบแผ่นเสียงพร้อมลายเซ็นต์ในโปสเตอร์ปกเก่าที่แถมมา sold out แล้วนะครับ

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/0600753346365_medium.jpg)

Tracklist of the deluxe edition:

Disc 1
1. Incantations Part One Remastered Stereo Mix
2. Incantations Part Two Remastered Stereo Mix
3. Incantations Part Three Remastered Stereo Mix
4. Incantations Part Four Remastered Stereo Mix
5. Guilty 7" Single Version

Disc 2
1. Diana 2011 Stereo Mix
2. Northumbrian 2011 Stereo Mix
3. Piano Improvisation 2011 Stereo Mix
4. Hiawatha 2011 Stereo Mix
5. Canon For Two Vibraphones 2011 Stereo Mix
6. William Tell Overture
7. Cuckoo Song
8. Pipe Tune
9. Wrekorder Wrondo
10. Guilty 2011 Stereo Mix
11. Diana - Desiderata 2011 Stereo Mix

Disc 3 (DVD)
1. Diana 5.1 Surround Sound Version
2. Northumbrian 5.1 Surround Sound Version
3. Piano Improvisation 5.1 Surround Sound Version
4. Hiawatha 5.1 Surround Sound Version
5. Canon For Two Vibraphones 5.1 Surround Sound Version
6. Guilty 5.1 Surround Sound Version
7. William Tell Overture Promotional Video, 1977
8. Incantations Parts One & Two Live At Wembley Conference Centre, 1979
9. Incantations Parts Three & Four Live At Wembley Conference Centre, 1979
10. Guilty Promotional Video, 1979

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/polotoon%202/Capture-2.jpg)

แผ่นคู่นี้ เพลงซ้ำกับชุดใดชุดหนึ่งใช่ไหมครับ

เคยหยิบแผ่นนี้มาดูที่ร้านแผ่นเสียงในอเมริกา เห็นมีรายชื่อเพลงต่อไปนี้

"Tubular Bells (Part one)" (Live) - 28:42
"Ommadawn (Part one)" - 19:14
"Platinum Part one: Airborne" - 5:06
"Platinum Part two: Platinum" - 6:03
"Platinum Part three: Charleston" - 3:17
"Punkadiddle" - 4:56
"I Got Rhythm" - 4:43
"Guilty" - 4:00
"Pipe Tune" - 2:31
"In Dulci Jubilo" - 2:50
"Wreckorder Wrondo" - 2:31
"Cuckoo Song" - 3:15
"On Horseback" - 3:25
"Portsmouth" - 2:00
"Sailor's Hornpipe" - 1:32

มีเพียง Wreckorder Wrondo เท่านั้นที่ไม่เคยฟัง และไม่ได้ซื้อมา เข้าใจว่า เป็นแผ่นที่ออกสำหรับ
สมาชิกคลับแผ่นเสียงที่ส่งทางไปรษณีย์ในอังกฤษครับ

ขอบคุณครับ ผมรอแผ่นนี้เดินทางมาอยู่ครับ

ฟังกันรึยังครับ
ตอนนี้กำลังดู DVD ของ ชุดนี้อยู่ Maddy Prior กำลังร่ายมนต์อยู่

ยังไม่ได้สั่งมาเลยครับ ไปเปิดดูรีวิวใน amazon.uk มีแต่คนด่ามากกว่าชม

บางที ถ้าได้ฟังเอง อาจเห็นไม่เหมือนคนหมู่มากก็ได้นะครับ แต่พักหลังผมก็ไม่ค่อยไว้ใจผลงานของน้าไมกี้แล้วครับ :D

ที่โดนด่าขรมล่าสุดนี้คือ Incantations Parts 3 กับ 4 อยู่ในซีดีแผ่นเดียวกัน แต่เสียงสะดุด ต่อกันไม่สนิทครับ

อันนี้เป็นงานเก่ามาออกใหม่นี่ครับ? ลองเอารีวิวนายคนนี้มาให้อ่าน ใครซื้อไปคงเซ็งแย่ ใครมีแผ่นรุ่นเก่าอยู่ก็โชคดีไป

9 of 9 people found the following review helpful:
1.0 out of 5 stars TOTALLY RUINED!!!!!!! Deluxe Incantations... and the whole deluxe series!, 25 July 2011
By Lee Thomas (South Tyneside, UK)

Incantations is a wonderful Mike Oldfield album, worth at least 4 - 5 stars, but Universal have totally dropped the ball on this deluxe release...

As mentioned before, there is a jump glitch in part 4 and this is absolutely disgraceful... HOW HAS THIS HAPPENED??!! There's absolutely no excuse for this. It ruins the whole deluxe edition for me, to add insult to injury, I bought both a signed LP and the deluxe CD. I'm really, really disappointed by this. I reckon Universal really need to withdraw all of these defective versions and release this again, PRONTO!!

They say it's a 2011 remastered edition, and apparently Mike oversaw the proceedings... Hummm, I can't believe he'd let something as bad as that glitch go on general release.

Just as they were doing a fantastic deluxe series of Mike's back catalogue, (see the previous 3 releases) this stinker happens. If it's not sorted, then for me the whole deluxe series has been ruined :(

I stopped buying the 2000 remastered editions because there was a similar problem with Ommadawn part 2 (an annoying glitch) sadly this too has got me apprehensive about continuing my deluxe collection, something I was so looking forward to.

Incantations previous releases 5/5 Deluxe Edition 1/5 (1 star for sleeve notes and extra content).

A very disappointed fan!

แต่ล่าสุดทาง Universal Music จะแก้ไขปัญหาสำหรับล๊อตผลิตใหม่ ส่วนใครซื้อไปแล้วคงเซ็งเพราะต้องส่งไปขอเปลี่ยนเอง

It looks like Universal are going to sort out the glitch after all:

Thank you for your email regarding Mike Oldfield's Incantations.
The new re-master of Incantations is faithful to the original analogue master tape. These tapes included an edit point at 12:37 on Part 4 of Incantations which can be discerned as a small jump in the track. Following feedback that this has affected the enjoyment for some listeners, a new master has been prepared and approved by Mike for all subsequent pressings. If you would like us to send you an amended disc please let us have your address details and we will send you one. Please email mk.customerservices@umusic.com for CD and support@universal-music.co.uk for vinyl.

If you have any further enquiries please don't hesitate to contact us: on:support@universal-music.co.uk

Kind regards,
Universal Music"

งานเข้าแล้วซิเนี่ย

ได้หยิบ DVD คอนเสิร์ต Tubular Bells III มาดูอีกรอบ มีข้อสังเกตอยากจะสอบถามดังนี้

1. Mike Oldfield พิสมัยดนตรีแขกและ world music หรืออย่างไร จึงได้นำมาสอดแทรกไว้ในอัลบั้มชุดนี้ เพราะบางช่วงมีนักร้องหญิงซึ่งผมเข้าใจว่าคงจะเป็นชาวอินเดีย

2. ช่วงที่เล่นเพลง Man in the Rain เกิดเหตุการณ์ไฟดับบนเวทีใช่หรือไม่ เพราะเวทีดูมืดไปหมด เห็นแต่ตัว Mike Oldfield ที่ยืนเล่นกีตาร์ทำหน้างง ๆ แว่บหนึ่ง และเห็นสปอตไลท์จับไฟที่ตัวนักร้องนำเท่านั้น ส่วนนักดนตรีคนอื่นมืดสนิท

3. Mike Oldfield กะให้คอนเสิร์ตครั้งนี้จบลงที่เวลา 22.00 น. ใช่หรือไม่? เพราะเห็นเมื่อคอนเสิร์ตจบลง นาฬิกาบิ๊กเบนตีบอกเวลา 22.00 น. พอดี

4. คอนเสิร์ตครั้งนี้เล่นกลางสายฝนให้คนดูนั่งตากฝนชมหรือเปล่า? เพราะเห็นสายฝนโปรยปรายลงมาเป็นระยะ ซึ่งเข้ากันได้ดีกับเพลง Man in the Rain จริง ๆ

ดู DVD คอนเสิร์ต Exposed โดยความอนุเคราะห์ของคุณ panyarak (อีกรอบหนึ่ง) แล้ว รู้สึกว่า DVD จะเล่นนานกว่า เพราะเล่นเพลง Guilty ไปสองรอบ ในขณะที่ในแผ่นเสียงหรือซีดีมีเพลงนี้เล่นแค่รอบเดียวเท่านั้น นอกจากนี้เสียงที่ได้ยินจาก DVD หลายช่วงยังฟังดูผิดแผกจากที่เคยได้ยินจากแผ่นบันทึกเสียง แสดงว่า Oldfield น่าจะทำการรีมิกซ์เสียงในตอนหลังด้วยใช่ไหมครับ?

ไปเจอข่าวเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของ Mike Oldfield ซึ่งก็นานมาแล้วครับ

http://www.oldfield.nl/media/mirror_241101.jpg

ผมเพิ่งนึกได้ว่าจะclaim เจ้าอัลบั้ม deluxe นี้
วันนี้ส่ง mail ไป ได้คำตอบแล้ว

Dear ...,
 

Thank you for your email.

 

I will add your details to our mailing list so you should receive the new copy shortly.

 

Kind Regards,

 

Lisa Dorrington

Customer Services Advisor

Universal Music Operations

Chippenham Drive, Kingston, Milton Keynes, MK10 0AT

Tel: +44 (0) 845 250 0965

Fax: +44 (0) 845 250 0967

 

Universal Music Operations Limited

Registered in England.  Number 095013

Registered Office: 364-366 Kensington High Street, London W14 8NS

เพลงนี้ถ้าเปลี่ยนเสียงร้องเป็นผู้หญิงแบบเคลติกนิดๆ คงจะเหมือนเพลงของไมค์ในยุค 80's ได้สบายๆ ทั้งดนตรีทำนองและสำเนียงใช่มาก

http://www.youtube.com/watch?v=5ehHOwmQRxU

ได้แผ่นใหม่ CD 1 ที่มีปัญหามาแล้วระยะนึง ส่งมาแผ่นเดียว ใส่jewel case บางๆมาให้ นึกว่าจะได้ใหม่ทั้งกล่องซะอีก

เคยอ่านเจอข้อมูลว่า คอนเสิร์ต Tubular Bells III ที่ The Horse Guards Parade นั้น มี Richard Branson ซี้เก่าของ Mike Oldfiled มานั่งชมและมีการแพนกล้องถ่ายไปที่เขาด้วย ผมดูไปหลายเที่ยวแล้ว แต่คงไม่ได้สังเกตเห็น

ไม่ทราบมีใครสังเกตเห็น Branson บ้างครับ?

เห็นครับ กล้องจับไปตอนท้ายช่วงเพลง Far Above The Cloud และช่วงอังกอร์ก็มีอีกรอบเท่าที่จำได้

ยังไม่เคยได้ฟังสติวดิโออัลบั้ม Tubular Bells III เลย ไม่ทราบว่าคอนเสิร์ตเล่นเหมือนในสติวดิโออย่างที่คอนเสิร์ต TB II เคยทำหรือเปล่าครับ?

สำหรับใครที่คิดถึง Maggie Reilly ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=q3ubiV2NvVI

ช่วงนี้น้าไมค์เราใส่เป็นชุดครับ

PLATINUM & QE2

Universal Music Catalogue/Mercury Records are delighted to announce the fifth and sixth in Mike Oldfield's critically acclaimed reissue programme, Platinum and QE2.

Like the previous releases in the series, Mike Oldfield has been closely involved in their assemblage, approving masters, selecting and adding material from his archive to make the packages definitive editions.

Mike Oldfield’s fifth album was partially recorded at Electric Lady Studios in New York City, and the title suite especially nods to the bustle of the city at the time. Impeccably arranged and produced, the album was released in November 1979. It was Oldfield’s first album that included shorter songs, including a beautiful version of George Gershwin’s I Got Rhythm, and a new arrangement of North Star by Philip Glass.

PLATINUM 2CD DELUXE EDITION

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/0600753394229_medium.jpg)

Recorded in part at Electric Lady Studios in New York City, the mood of Oldfield's fifth album especially reflects the bustling dynamic of the city in the late Seventies. It was Oldfield's first album to feature shorter songs, including a beautiful version of George Gershwin's I Got Rhythmand a new arrangement of North Star by Philip Glass.

The 2012 remastered edition contains three bonus tracks - a live studio session of Platinum, a 2012 mix of North Star by Oldfield and the single A-side, Blue Peter.

The second disc of the Deluxe edition - which features an interview with Oldfield in its 16-page booklet - contains nine previously unreleased tracks recorded during the Platinum tour at Wembley Arena in May 1980.

DISC 1
   01   Part One - Airborn   05:06
   02   Part Two - Platinum   06:06
   03   Part Three - Charleston   03:17
   04   Part Four - North Star / Platinum Finale   04:44
   05   Woodhenge   04:05
   06   Into Wonderland   03:46
   07   Punkadiddle   05:46
   08   I Got Rhythm   04:50
   09   Platinum (Live Studio Session)   05:12
   10   North Star   08:07
   11   Blue Peter   02:06
DISC 2
   01   Platinum (Live at Wembley Arena, 1980)   20:43
   02   Punkadiddle (Live at Wembley Arena, 1980)   05:17
   03   I Got Rhythm (Live at Wembley Arena, 1980)   04:59
   04   Polka (Live at Wembley Arena, 1980)   03:42
   05   Incantations (Live at Wembley Arena, 1980)   22:14
   06   Tubular Bells Part II (Live at Wembley Arena, 1980)   08:53
   07   Guilty / Tubular Bells Part I Finale (Live at Wembley Arena, 1980)   05:45
   08   Blue Peter / Portsmouth (Live at Wembley Arena, 1980)   03:38
   09   William Tell (Live at Wembley Arena, 1980)   02:27

QE2 2CD DELUXE EDITION

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/0600753394182_medium.jpg)

Taking its name from one the last great Transatlantic ocean liners, Mike Oldfield's sixth album was a beautiful blend of instrumentals and songs that reflected the shifting musical landscape which heralded a new decade. Released in October 1980, it features two of his most loved instrumentals, QE2 and Taurus, as well as cover versions of Wonderful Land by The Shadows and, surprisingly perhaps for the time, Arrival by Abba.

The 2012 remastered edition contains three bonus tracks, the single edit of Wonderful Land, the live B-side Polka, and a 2012 reworking by Mike of Sheba, entitled Shiva.

The second disc of the Deluxe edition, which contains an interview with Mike in its 16-page booklet, features nine previously unreleased tracks recorded on the QE2 tour in Essen, Germany in April 1981.

DISC 1
   01   Taurus 1   10:16
   02   Sheba   03:32
   03   Conflict   02:48
   04   Arrival   02:45
   05   Wonderful Land   03:37
   06   Mirage   04:39
   07   QE2   07:37
   08   Celt   03:03
   09   Molly   01:16
   10   Polka   03:34
   11   Wonderful Land (Single Version)   02:50
   12   Shiva   03:34
DISC 2
   01   Taurus 1 (Live from The European Adventure, 1981)   11:11
   02   Sheba (Live from The European Adventure, 1981)   03:28
   03   Mirage (Live from The European Adventure, 1981)   05:01
   04   Conflict (Live from The European Adventure, 1981)   05:16
   05   Ommadawn (Live from The European Adventure, 1981)   21:45
   06   Punkadiddle (Live from The European Adventure, 1981)   05:24
   07   Tubular Bells Part I (Live from The European Adventure, 1981)   18:30
   08   QE2 (Live from The European Adventure, 1981)   04:55
   09   Portsmouth (Live from The European Adventure, 1981)

ยังไม่หมดครับ

TWO SIDES The Very Best of Mike Oldfield

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/0600753391822_medium.jpg)

We are delighted to announce the release of Two Sides - a 2-CD / download career retrospective, personally compiled and sequenced by Mike himself. One disc contains his best-loved tracks and hit singles, while another takes us on a musical journey through the artist's more esoteric, experimental side. Together, they make up the Two Sides of this phenomenal composer, arranger, producer and multi-instrumentalist.

Highlights from this staggering collection - personally compiled and sequenced by Mike Oldfield - include the seminal Tubular Bells Part One, the pioneering Ommadawn, plus a string of classic singles including'Moonlight Shadow, Guilty and Family Man. Along the way the journey takes in from folk, progressive rock, , electronic, ambient, new age, world, pop and even disco!

As Mike says:
"This collection is my own personal choice of what I consider to be my best instrumental and songwriting works to date. These tracks may not have been my most critically or commercially successful at the time but in my heart of hearts and in my judgement they represent the closest I have come to my best creativity."

Released 23 July 2012 and available now to Pre-Order

DISC ONE
1.Tubular Bells
2.Ommadawn
3.Crises
4.The Lake
5.Amarok 1
6.Amarok 2
7.Tubular Bells II - Sentinel
8.Supernova
9.Ascension
10.The Tempest

DISC TWO
1.Guilty
2.Family Man
3.Five Miles Out
4.Moonlight Shadow
5.Shadow On the Wall
6.To France
7.Etude
8.Magic Touch
9.Islands
10.Heaven's Open
11.Tattoo
12.The Song Of The Sun
13.Summit Day
14.Lake Constance
15.Broad Sunlit Uplands
16.The Doges Palace
17.Amber Light
18.Angelique
19.On My Heart

MIKE OLDFIELD: CLASSIC ALBUM SELECTION (SIX ALBUMS 1973-1980)

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/0602537049066_medium1.jpg)

At the same time, we are also delighted to announce the release of Mike Oldfield: Classic Album Selection.

Presented as mini-LPs housed in an attractive slipcase, Classic Album Selection (Six Albums 1973-1980), is a 6CD limited edition album mini box set that provides the perfect period-overview of Mike Oldfield's amazing career.

Includes the legendary albums Tubular Bells, Hergest Ridge, Ommadawn, Incantations, Platinum and QE2.

Released 23 July 2012 and available now to Pre-Order

ปก Two Sides นี่รับไม่ได้เลยครับ :D

ครับ หากินกับโลโก้นี้จนมันหมดความขลังไปเสียแล้ว

น่าภูมิใจแทนน้าไมค์ของเราได้ไปแสดงสดในพิธิเปิดโอลิมปิคโดยเล่น Tubular Bells ช่วงต้น ต่อด้วย Far Above The Cloud จาก Tubular Bells III และปิดท้ายด้วย In Dulci Jubilo เข้ากับการแสดงได้ดีมากๆ น้าไมค์ยังอยู่เท่มีสง่าราศีมากๆ

http://store.universal-music.co.uk/restofworld/vinyl/mike-oldfield-music-from-the-opening-ceremony-12-coloured-vinyl-2012/invt/0602537159628/?utm_source=MikeOldfield031012&utm_medium=Email&utm_campaign=Olympics+12&utm_content=UMGUK7070-243589

Deluxe Edition 2 ชุดนี้ ทำเป็น mini lp ด้วย แผ่น 2 ของทั้ง 2 ชุด เป็นบันทึกการแสดงสดจากยุคเดียวกับแผ่นแรกของแต่ละชุดที่ไม่เคยออกจำหน่ายเป็นทางการมาก่อน เสียงดีมาก และการแสดงก็ยอดเยี่ยมมากครับ

(http://i236.photobucket.com/albums/ff271/panyarak/_14.jpg)

ตามที่คุณ Tron กรุณาชี้เป้าให้ ได้มาแล้วครับ สวยงามมาก

(http://i236.photobucket.com/albums/ff271/panyarak/mike.jpg)

โผ้ม .......แต่ไม่ชอบตอนที่น้าเขาทำดนตรีเป็น แดนซ์ๆ ของน้าเขานะ....

ยินดีด้วยครับ กด link เข้าไปอีกที ไม่มีรายการให้สั่งแล้ว แสดงว่าของหมด :D

ผลิตแค่ 500 ชุดเองครับ

Guilty 2013

http://www.youtube.com/watch?v=iAZro2-5ZYg

ถ้าอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะออกมาเล่นแนว dance club mix แบบนี้ ก็คงไม่ซื้อครับ

แต่ถ้าปกมีกิมมิค และสวยมากล่ะครับพี่ จะซื้อไหมครับ  :D

ไม่ต้องห่วงครับพี่ตั๊มเพลงนี้เป็นเพียงโปรเจคอัลบั้มรีมิกซ์ที่ชื่อ Tubular Beats ร่วมงานกับพวกมือริมิกซ์

Tubular Beats, a new album of remixes of some of Mike's tracks by Mike and York (Torsten Stenzel) is scheduled for release on February 1st 2013. Unlike with previous club mixes, the album is a true two-sided collaboration between Mike and Torsten, making use of parts from the original multitrack tapes as well as new parts played by Mike. It also features Tarja Turunen on the track 'Never Too far'.

The tracklisting is:

1. Let There Be Light (York Remix)
2. Far Above the Clouds (York Remix)
3. Ommadawn (Mike Oldfield & York Remix)
4. Guilty (Mike Oldfield & York Remix)
5. Tubular Bells (Mike Oldfield & York Remix)
6. To France (Radio Remix)
7. Northstar (Mike Oldfield & York Remix)
8. Moonlight Shadow (Radio Remix)
9. Guilty (York & Mike's Electrofunk Mix)
10. Tubular Bells 2 (Mike Oldfield & York Remix)
11. Never Too Far (featuring Tarja Turunen)

We also have a preview of the cover for you:

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/tubularbeats_zpsf532b08d.jpg)

ส่วนงานชุดใหม่จริงๆก็ฟังจากปากเขาเองตามนี้ได้เลยครับ

Hi Everyone !

Just finished the last demo for the rock album. There are 10 songs altogether and I just sent the last one off to Steve Lipson who is hard at work on a film project in LA. These songs are deeply personal and come from real life experiences past and present. Music straight from the heart.

There is just some legal stuff to work out with Mercury and then we can start organizing the live sessions. There will be 5 tracks recorded by the best live musicians in LA and the other 5 live in London. Then Steve and I will work together across the planet to record the vocals and of course my guitars.

Caroline will be in charge of the live Twitter feeds from the actual sessions. All exciting stuff so here's to an amazing 2013. Lots of good wishes !

Mike

New Rock Album

Mike will be playing all the instruments except drums and there will be a guitar solo on every track. So far he has made 9 demos and has ideas for the 10th track. Mike is singing the vocals on the demos but the intention is that all or most of the tracks will be sung by  the best talented vocalists, male and female, suited to each track. The vocalists are under discussion and may be well known artists or maybe not so well known.

Mike is in preliminary discussions with Steve Lipson as possible co producer. Mike's record company, Mercury/Universal, are very excited about the project. The album will feature only live guitars, basses, and hammond organs with live strings. The drums so far have been recorded by John Robinson.

เห็นรูปปกแล้ว ยังเป็นท่อเหล็กดัดซ้ำซากเหมือนเดิมครับ

เห็นรายชื่อเพลงแล้ว ทำให้นึกถึงชุดนี้ครับ

(http://i236.photobucket.com/albums/ff271/panyarak/tube.jpg)

(http://cdn.wowhd.com/tn/270/STM/12265000/12262401.jpg)

ข้อมูลเพิ่มเติม มีเพลงฮิตหลายเพลง + Guitar Part by Mike ด้วยนะครับ


earMUSIC is proud to announce the release of "Tubular Beats" the brand new remix album by Mike Oldfield. The album will be released on February 1st, 2013 and will include the most popular songs by Oldfield who has worked on new arrangements and new sounds for his compositions.

 

All tracks have been reworked from the original multi-track recordings and remixed together by Mike Oldfield and multi-platinum awarded German producer Torsten " York " Stenzel.

Newly recorded guitar parts by Mike Oldfield have been added to the mix, making Tubular Beats a new album by all means. A brand new song featuring ex-Nightwish singer Tarja Turunen closes the album on a high note.

Including hits like ‘Moonlight Shadow', ‘To France' and ‘Tubular Bells'.

โหลดมานานแล้วลืมฟังครับ

Let There Be Light ( York Remix)
Far Above The Clouds ( York Remix)
Ommadawn (Mike Oldfi Eld & York Remix)
Guilty (Mike Oldfi Eld & York Remix)
Tubular Bells (Mike Oldfi Eld & York Remix)
To France (York & Steve Brian Radio Mix)
Northstar (Mike Oldfi Eld & York Remix)
Moonlight Shadow (York & Steve Brian Radio Mix)
Guilty (York & Mikes Electrofunk Remix)
Tubular Bells 2 (Mike Oldfi Eld & York Remix)
Never Too Far (New Song, With Tarja Turunen)

เช้านี้ฟังไป 4 เพลงแรก ก็ไม่เลวเหมือนกันนะครับ เพลงของ Mike หลายๆเพลงก็มีโครงสร้างเพลงในแบบเต้นรำของคนผิวดำอยู่แล้ว  จึงสามารถ Remix ได้แนบเนียนพอสมควร ไม่โฉ่งฉ่างน่ารำคาญ เสียงที่เลือกใช้ก็ออกไปในทาง Chilled Out ซะมากกว่า แต่ยังไม่เจอ Guitar Part ที่ Mike ทำเพิ่มเข้าไปเลย

ผมชอบฟังเพลงแบบ Crossed Over จากศิลปินที่ชื่นชอบอยู่แล้ว นี่ถ้า Mike ทำเพลง Rap เพลง Death ก็คงตามฟัง ช่วยให้ได้มีโอกาสฟังเพลงแนวอื่นๆบ้าง ถึงแม้ว่าอาจจะฟังแค่รอบเดียวก็ตาม

เพิ่งทราบมาว่าอัลบั้ม Incantations (2LP) ของ Mike Oldfield นั้น ทาง Universal ได้ออกแผ่นเสียงรีอิชชู่ 180 กรัมจำหน่ายแล้ว (ทำปกใหม่ดังที่เห็นในภาพข้างล่างนี้) พร้อม ๆ กับอัลบั้มอื่น เช่น QE2 ผมสนใจอยากจะลองซื้อมาฟังเพื่อดูว่าคุณภาพเสียงเป็นอย่างไร ไม่ทราบมีใครได้ลอง LP รุ่นนี้แล้วบ้างครับ?

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/0600753346365_medium.jpg)

Sarah Brightman ยืมทำนอง Tubular Bells มาใส่เนื้่อร้อง น่าฟังกว่า Tubular Beats ของ Mike Oldfield ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=n4UxcQKwfWs

กันยานี้ เตรียมพบกับ Five miles out และ Crises

(http://image.ohozaa.com/i/7ed/uockrl.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wVw8bJhpGoh7jByR)

แค่บารมีเพลง Moonlight Shadow เพลงเดียวก็สามารถทำให้อัลบั้ม Crises re-issue เป็นแบบ 5 แผ่นได้ ข่าวแว่วว่าอาจได้ยินเวอร์ชั่นใหม่ของเพลงนี้ ซึ่งจะออกพร้อม Five Miles Out Deluxe 2CD+DVD เอารายชื่อเพลงมาแปะก่อน

Five Miles Out 2CD+DVD

Five Miles Out track listing

Disc: 1

1. Taurus II
2. Family Man
3. Orabidoo
4. Mount Teidi
5. Five Miles Out
6. Waldberg (The Peak)
7. Five Miles Out

Disc: 2 แผ่นนี้น่าจะเป็นแสดงสด

1. Tubular Bells Part One
2. Sheba
3. Mirage
4. Family Man
5. Taurus II
6. Mount Teidi
7. Five Miles Out
8. Guilty

Disc: 3 (DVD – 5.1)

1. Taurus II
2. Family Man
3. Orabidoo
4. Mount Teidi
5. Five Miles Out
6. Five Miles Out – Mike Oldfield, Maggie Reilly

Crises track listing

Disc: 1 อัลบั้มเดิมแบบรีมาสเตอร์

1. Crises
2. Moonlight Shadow
3. In High Places
4. Foreign Affair
5. Taurus 3
6. Shadow On The Wall
7. Moonlight Shadow
8. Shadow On The Wall
9. Mistake
10. Crime Of Passion
11. Jungle Gardenia
12. Moonlight Shadow
13. Shadow On The Wall

Disc: 2 แผ่นนี้น่าจะเป็นแสดงสด

1. Woodhenge/ Incantations Part Three
2. Sheba
3. Ommadawn Part One
4. Mount Teidi
5. Five Miles Out
6. Tubular Bells Part One

Disc: 3 แผ่นนี้น่าจะเป็นแสดงสดแผ่นที่ 2

1. Taurus I
2. Taurus II
3. Crises
4. Moonlight Shadow
5. Shadow On The Wall
6. Family Man

Disc: 4 ยังไม่ได้ข้อมูลว่าแผ่นนี้เป็นอะไร เข้าใจว่ามีเพลงที่เป็นซิงเกิ้ลแบบ Extended version

1. Crises
2. Tubular Bells Part One
3. Moonlight Shadow – Mike Oldfield, Maggie Reilly
4. Shadow On The Wall
5. Moonlight Shadow – Mike Oldfield, Maggie Reilly
6. Crime Of Passion – Mike Oldfield, Barry Palmer

Disc: 5 (DVD 5.1) อัลบั้มเดิมรีมาสเตอร์ในรูปแบบ 5.1 surround

1. Crises
2. Moonlight Shadow
3. In High Places
4. Foreign Affair
5. Taurus 3
6. Shadow On The Wall

ไม่มี DVD-Visual เลยหรือครับ

นั่นสิครับ น่าจะมีการแสดงสดเก่าๆหายากเอามาให้ดูบ้าง

รายละเอียดมาแล้วครับ งานนี้สมใจพี่ panyarak แล้วครับ Crises ได้แสดงสดทั้งซีดีสองแผ่นและดีวีดีหนึ่งแผ่น

Universal has released the details of the upcoming re-releases of Five Miles Out and Crises, scheduled for September 2nd 2013.

Five Miles Out will be available as:
A single CD, containing a remaster of the original mix, plus Waldberg and a demo of the song Five Miles Out.

A 2 CD + DVD Deluxe Edition, with highlights from the December 1982 concert at Cologne's Sporthalle on the second CD, and Mike's brand new 5.1 remix and two TV performances from the BBC TV show Six Fifty Five Special on the DVD.

A vinyl LP, in both standard and limited edition (transparent yellow vinyl, limited to 500 copies) versions.

Crises will be available as:
A single CD, with a remaster of the original mix being joined by two new acoustic reworkings of Moonlight Shadow and Shadow on the Wall, a 2013 remix of Mistake, plus the Crime of Passion extended version, Jungle Gardenia and the 12" versions of Moonlight Shadow and Shadow on the Wall.

FIVE MILES OUT:

Standard CD:
The original album remastered:

1. Taurus II
2. Family Man
3. Orabidoo
4. Mount Teidi
5. Five Miles Out

Bonus tracks:

6. Waldberg (The Peak)
B-side of single - Released as August 1982

7. Five Miles Out (demo version)
Previously unreleased

Deluxe Edition - with 3 discs:

Disc One (CD):

Same as Standard CD

Disc Two (CD):

Live in Cologne 6th December 1982 Five Miles Out Tour (previously unreleased)

1. Tubular Bells Part One
2. Sheba
3. Mirage
4. Family Man
5. Taurus II
6. Mount Teidi
7. Five Miles Out
8. Guilty

Disc Three (DVD):

Five Miles Out
Mike Oldfield's 2013 5.1 Surround Mix

1. Taurus II
2. Family Man
3. Orabidoo
4. Mount Teidi
5. Five Miles Out

Visual content:

Five Miles Out promotional video

Mike Oldfield on "Six Fifty Five Special"
BBC TV - 28th July 1982:

Five Miles Out
Mistake
Interview

CRISES:

Standard CD with single bonus tracks

The original album remastered:

1. Crises
2. Moonlight Shadow
3. In High Places
4. Foreign Affair
5. Taurus 3
6. Shadow on the Wall

Bonus tracks:

7. Moonlight Shadow (unplugged mix)
8. Shadow on the Wall (unplugged mix)
Mixed by Mike Oldfield in May 2013 – Previously unreleased

9. Mistake
A-side of single – Released in August 1982
Also featured on the American release of “Crises”

10. Crime of Passion (extended version)
11. Jungle Gardenia
A & B-sides of single – Released in January 1984

12. Moonlight Shadow (12-inch single version)
A-side of 12 inch single - Released in May 1983

13. Shadow on the Wall (12-inch single version)
A-side of 12 inch single – Released in September 1983

“Crises” – The album
Recorded between November 1982 and April 1983 in Denham, England
Produced by Mike Oldfield and Simon Phillips
Engineered by Nigel Luby
Cover painting by Terry Ilott

Deluxe Edition - with 2 discs:

Disc One (CD):

Same as Standard CD

Disc Two (CD):

Live at Wembley Arena 1983 Crises Tour (previously unreleased)

1. Taurus I
2. Taurus II
3. Crises
4. Moonlight Shadow
5. Shadow on the Wall
6. Family Man

Recorded at Wembley Arena, London on 22nd July 1983 by The Manor Mobile Unit

“Taurus I”, “Crises” and “Family Man” mixed at The Manor Studio, Oxfordshire in August 1983 - Edited by Ben Wiseman and Mark Powell at The Audio Archiving Company, London in May 2013

“Taurus II”, “Moonlight Shadow” and “Shadow on the Wall” mixed by Ben Wiseman and Mark Powell at The Audio Archiving Company, London in May 2013

Crises 30th Anniversary Box:

Disc One (CD):

Same as Standard CD

Disc Two (CD):

Live at Wembley Arena, 22nd July 1983

1. Woodhenge / Incantations Part Three
2. Sheba
3. Ommadawn Part One
4. Mount Teidi
5. Five Miles Out
6. Tubular Bells Part One

Recorded at Wembley Arena, London on 22nd July 1983 by The Manor Mobile Unit

Mixed at The Manor Studio, Oxfordshire in August 1983

Edited by Ben Wiseman and Mark Powell at The Audio Archiving Company, London in May 2013

Disc Three (CD):

Live at Wembley Arena, 22nd July 1983 Crises Tour (previously unreleased)

1. Taurus I
2. Taurus II
3. Crises
4. Moonlight Shadow
5. Shadow on the Wall
6. Family Man

Recorded at Wembley Arena, London on 22nd July 1983

“Crises” and “Family Man” mixed at The Manor Studio, Oxfordshire in August 1983 - Edited by Ben Wiseman and Mark Powell at The Audio Archiving Company, London in May 2013

“Taurus I”, “Taurus II”, “Moonlight Shadow” and “Shadow on the Wall” mixed by Ben Wiseman and Mark Powell at The Audio Archiving Company, London in May 2013

Disc Four: (DVD)

Crises at Wembley – 22nd July 1983 Crises Tour (previously unreleased)

Previously unreleased:

1. Crises
2. Tubular Bells Part One

Additional visual content:

3. Moonlight Shadow - Promotional video 1983
4. Shadow on the Wall - Promotional video 1983
5. Moonlight Shadow - BBC TV Top of the Pops – 23rd June 1983
6. Crime of Passion - Promotional video 1984

Disc Five: (DVD)

“Crises” – 5.1 Surround Mix by Mike Oldfield:

1. Crises
2. Moonlight Shadow
3. In High Places
4. Foreign Affair
5. Taurus 3
6. Shadow on the Wall

แผ่นเสียงสีก็น่าสนครับ

ปีนี้ Mike Oldfield อายุครบห้ารอบไปแล้วเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาครับ
HBD to You, Mr. Oldfield

(http://www.bbc.co.uk/wiltshire/content/images/2008/05/15/mike_oldfield_203x152.jpg)

เพลงนี้ของ Mike Oldfield ช่างเข้ากับบรรยากาศในช่วงนี้ดีจริง ๆ ปกติผมไม่ฟังเพลงผ่านคอมพ์ แต่เมื่อคืนนึกครึ้มยังไงไม่ทราบ ได้ฟังเพลงนี้ผ่านยูทูบไปสองเที่ยวในขณะท่องเน็ตครับ

http://www.youtube.com/watch?v=dMN5lfvKveI

Mike's new album is called Man On The Rocks and will be released on Januray 27, 2014. You can preorder a colored double LP vinyl at Universal.

The album is produced by Stephen Lipson (Jeff Beck, Paul McCartney, Annie Lennox) and features bassist Leland Sklar (Phil Collins, Crosby, Stills & Nash, James Taylor), drummer John Robinson (Michael Jackson, Eric Clapton, Daft Punk) and vocalist Luke Spiller from the Struts.

Tracklisting:
Side One
Sailing
Moonshine

Side Two
Man On The Rocks
Castaway
Minutes

Side Three
Dreaming In The Wind
Nuclear
Chariots

Side Four
Following The Angels
Irene
I Give Myself Away

http://store.universal-music.co.uk/restofworld/invt/0602537606993

มีใครสังเกตุเหมือนผมไหมครับว่ามันมีเพลงชื่อ Moonshine ซึ่งซ้ำกับชื่อเพลงในอัลบั้ม Tubular Bells II  ???

เอารูปปัจจุบันมาให้ดู น้ำหนักคงคุมไม่อยู่แล้ว

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/b03cw8g0_zps831acd90.jpg) (http://s324.photobucket.com/user/sithichai/media/b03cw8g0_zps831acd90.jpg.html)

ปีนี้พี่เค้าอายุครบ 60 แล้วครับ

เรียนถามคุณ panyarak หรือท่านใดที่ทราบ
ไม่ทราบว่า Oldfield เคยนำเอาเพลง Crises ออกเล่นแสดงสดมั้ยครับ?

อยู่ใน box set crises ที่เพิ่งออกใหม่

ใน box set ที่ออกมีทั้งซีดีและดีวีดีให้ดูเต็มๆเพลงเลยครับ ได้เห็นน้าไมค์ร้องสดเองด้วยในเพลง Crises นี้

(http://i324.photobucket.com/albums/k328/sithichai/9865b_zpsec832a78.jpg) (http://s324.photobucket.com/user/sithichai/media/9865b_zpsec832a78.jpg.html)

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/51p20mGkOPL._AA160_.jpg)

คราวนี้จะมาไม้ไหนอีกนะ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/41Rlut1VW-L._AA160_.jpg)

รวมเพลงนี้ น่าฟังไหมครับ

ตามข้อมูลที่อ่านเจอจากวิกิพีเดีย ระบุว่าเป็นแผ่นรวมเพลงมีทั้งหมด 16 แทร็ค ออกเมื่อเดือนเมษาฯ ปีนี้นี่เอง แต่ผมเห็นรายชื่อเพลงแล้วรู้สึกเฉย ๆ สำหรับเพลงยาวทั้งหลายควรฟังแผ่นเต็มดีกว่าครับ

http://en.wikipedia.org/wiki/Moonlight_Shadow:_The_Collection

ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มใหม่มาแล้วครับ เพราะดีครับ ไม่ได้ยินสไตล์นี้จากน้าไมค์ตั้งแต่ยุค 80's แล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=YgpS6dQVHbg

ฟังแบบกล่องสามแผ่นไปหลายรอบแล้ว ยังไม่ประทับใจสักเพลงเลยครับ

เห็นด้วยครับ ตอนนี้ติดอันดับอัลบั้มยอดแย่ประจำปีของผมไปแล้ว ส่วนตัวผมว่างานนิวเอจหลายๆชุดในยุคหลังของเขายังน่าสนใจกว่านี้อีกครับ

น่าจะเป็นศิลปินอีกคนที่หมดภูมิไปแล้ว กลัวแต่ว่าจะงัดเอาไม้ตาย (Tubular Bells 4) มาเล่นก่อนเกษียณจากวงการนี่สิครับ 555

Tubular Bells 3 มีทำออกมาเป็นแผ่นเสียงไวนิลมั้ยครับ?

(http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/839/cover_40221482008.jpg)

เท่าที่เช็คมา ไม่มีครับ

ดูเหมือนตอนนี้จะมีแล้วนะครับ เป็นแผ่น 180 กรัม ออกโดย Rhino Records ตอนที่ออกใหม่ ๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าต้อง pre-order ด้วย แต่ตอนนี้คงไม่แล้ว เพราะมีขายอยู่ในร้านออนไลน์หลายแห่งครับ

http://www.musicdirect.com/p-244700-mike-oldfield-tubular-bells-iii-180g-vinyl-lp.aspx

(http://www.vintageprog.com/stortubular.jpg) >>>>>>
(http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/839/cover_1429192922004.jpg) >>>>>>
(http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/839/cover_40221482008.jpg) >>>>>>

IV..... คิดว่าจะมีมั้ยครับ?

น่าจะมีนะครับ :)

ก็หวังว่าพี่เค้าคงจะมีแรงฮึดสร้างสรรค์ต่อไป
แต่ผมว่าแค่ 3 ก็กำลังสวยในฐานะอัลบั้มไตรภาคครับ

(http://www.thisisstaffordshire.co.uk/images/localworld/ugc-images/275796/Article/images/19919646/5375743-large.jpg)

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRkiBVAn0meG8HVdvWW4FYiYc7L9_0mrNN6Xm0DJNYP6gZ7EOlE)
อัลบั้มนี้ แบบ Deluxe เล่นแถมเพลงบรรเลงของทุกเพลงในอัลบั้ม แบบเอาเสียงร้องออกดื๊อ ๆ เลย

หมายความว่า นอกจากเพลงที่มีเสียงร้องแล้ว ยังแถมเพลงที่เป็น backing tracks (ไม่มีเสียงคนร้อง) ให้ด้วยหรือครับ?

ใช่ครับ
Disc 2 - Deluxe Edition[edit]
"Sailing" (Instrumental) - 4:44
"Moonshine" (Instrumental) - 5:47
"Man on the Rocks" (Instrumental) - 6:09
"Castaway" (Instrumental) - 6:36
"Minutes" (Instrumental) - 4:50
"Dreaming in the Wind" (Instrumental) - 5:31
"Nuclear" (Instrumental) - 5:02
"Chariots" (Instrumental) - 4:24
"Following the Angels" (Instrumental) - 7:04
"Irene" (Instrumental) - 3:57
"I Give Myself Away" (Instrumental) (William McDowell) - 5:06

รายละเอียดบอกว่าเป็น Instrumental ฟังแล้ว น่าจะเรียกว่า Backing track มากกว่าครับ

อีกแบบ มี 3 แผ่น
Disc 3 - Bonus Disc (Super Deluxe Edition only)[edit]
"Sailing" (Demo) - 4:14
"Moonshine" (Demo) - 5:25
"Man on the Rocks" (Demo) - 5:41
"Castaway" (Demo) - 6:25
"Minutes" (Demo) - 4:29
"Dreaming in the Wind" (Demo) - 5:28
"Nuclear" (Demo) - 4:55
"Chariots" (Demo) - 3:54
"Following the Angels" (Demo) - 6:25
"Irene" (Demo) - 3:59
"I Give Myself Away" (Demo) (William McDowell) - 5:09
"Sailing" (Alternative Mix) - 4:46
"Dreaming in the Wind" (Alternative Mix) - 5:29
"Following the Angels" (Alternative Mix) - 7:05
"I Give Myself Away" (Alternative Mix) (William McDowell) - 5:09

ก็พอมีอะไรให้ฟังมากหน่อย
Disc 3 Tracks 1–11: All Instruments and Vocals by Mike Oldfield

มีแบบ 3 แผ่น ฟังยังไงก็ไม่เพราะครับ
 

http://www.superdeluxeedition.com/news/the-best-of-mike-oldfield-1992-2003/?utm_source=SuperDeluxeEdition+Newsletter&utm_campaign=8c87020762-Newsletter+12+April+2015&utm_medium=email&utm_term=0_a672bec77b-8c87020762-76726557&mc_cid=8c87020762&mc_eid=7ee1946c2b

Hergest Ridge (1974) มีมากกว่าหนึ่งเวอร์ชั่นหรือครับ ผมรู้สึกว่าเคยได้ยินมาสองเวอร์ชั่น ซึ่งเป็นเพลงต้นฉบับเหมือนกัน แต่มีรายละเอียดหยุมหยิมเล็กน้อยต่างกัน (ไม่รวม Hergest Ridge ที่อยู่ในชุด Boxed) ไม่ทราบใครเคยได้ยินมาเหมือนผมบ้างครับ?

Return to Ommadawn อัลบั้มออกเมื่อต้นปี 2017 แผ่นเสียงในอีเบย์ราคาหลากหลายมาก โดยเฉลี่ยราคา 20 กว่าปอนด์ขึ้นไป ไม่รวมค่าส่งครับ

เครดิตภาพ www.progarchives.com

(http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/839/cover_26367752017_r.jpg)

Mike Oldfield - Return To Ommadawn (2017) ผมได้แผ่นซีดีมาในราคา 300 กว่าบาทจากร้านค้าแห่งหนึ่ง ต่อมาไม่นานไปเจอแผ่นเสียงชุดนี้ที่ร้านค้าออนไลน์แห่งหนึ่ง ขายถูกกว่าเจ้าอื่น รวมค่าส่งแล้ว ไม่เกิน 15 ปอนด์อังกฤษ ถ้างั้นจะรออะไรล่ะครับ ในเมื่อคนขายเจ้าอื่นเค้าขายกัน 25 ปอนด์บ้าง 30 กว่าปอนด์บ้าง แถมยังไม่รวมค่าส่ง ก็อย่างที่ว่า ราคาของอัลบั้มชุดนี้หลากหลายมาก หรือว่ามันปั๊มออกมาหลายล็อต ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่ซีเรียสครับ :D

Return To Ommadawn ผมเพิ่งมีโอกาสฟังไปได้เที่ยวหนึ่ง คนที่เคยฟังแล้วบางคนบอกว่าควรจะฟังตั้งแต่สองเที่ยวขึ้นไปจึงจะพอซาบซึ้ง แต่สำหรับผม ไม่รู้สิครับ จากประสบการณ์ในการฟังผลงานที่ยังไม่เคยฟังมาก่อน ไม่ว่าจะของ Oldfield เองหรือของคนอื่นหรือวงอื่นก็ตาม ถ้าอันไหนฟังแล้ว "โดน" มันมักจะ "โดน" ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ฟัง และทำให้ต้องหยิบออกมาฟังอีกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ถ้าไม่ "โดน" นี่จะรู้สึกเฉย ๆ และไม่รู้สึกอยากจะนำออกมาฟังใหม่อีก ผมว่า Return To Ommadawn นี่อยู่ในประเภทหลังที่ว่ามานี้ แต่โดยส่วนตัวไม่ถึงกับเลวร้ายหรอกครับ ถ้าเปิดฟังทิ้งไว้เป็นเพื่อนแก้เงียบ ฟังไปเรื่อย ๆ แบบผ่อนคลายตามสไตล์ folk + electronics + new age ก็พอได้อยู่ อ้อ เกือบลืมบอกไป ผลงานชุดนี้พี่ไมค์แกเหมาเล่นเครื่องดนตรีหมดทุกชิ้นนะครับ ถ้าจะให้เทียบกับ Ommadawn ที่ออกเมื่อปี 1975 ผมว่า Ommadawn มันฟังดูขลัง มืดทึม วังเวง ลึกลับ แต่แฝงด้วยความอลังการ (ไม่นับท่อนสุดท้าย On Horseback ซึ่งฟังดูบริสุทธิ์ สดใส น่ารักในแบบเด็ก ๆ) ขออนุญาตให้คำจำกัดความสั้น ๆ ว่า "mystic & majestic" ราวกับทำให้เราตกไปอยู่ใน wonderland ของนิทานพื้นบ้านของพวก Celtic, African และยุโรปตะวันออก แต่ใน Return To Ommadawn มันฟังดู bright และสดใสกว่า แต่ไม่น่าจดจำเท่า Ommadawn แถมยังมีอารยธรรมของพวกอินเดียนแดงแทรกเข้ามาอีก ถ้าไม่เชื่อก็ลองฟังช่วงตีกลองพื้นบ้านดูสิครับ

อีกอัลบั้มมาสเตอร์พีซแห่งยุคสมัย Virgin เกิดเพราะ Tubular Bells และ Tubular Bells ก็เกิดเพราะ Virgin ความเป็นเพื่อนระหว่าง Mike Oldfield กับ Richard Brandson ไม่มีวันจางหาย ต่อให้เคยบาดหมางกันถึงขั้นแอบด่าใส่อัลบั้มกันเลยก็ตาม

https://www.youtube.com/watch?v=djdf45E5URg

เสียดายตอน Richard Brandson มาเปิด Virgin Fitness ที่เมืองไทยไม่รู้ข่าวเลย พนักงานคนไทยจะรู้ไหมว่าแกยิ่งใหญ่ขนาดไหนสำหรับชาวพร๊อกอย่างเรา 555

https://www.gettyimages.com/event/sir-richard-branson-visits-thailand-577799061#/sir-richard-branson-poses-at-emquartier-shopping-complex-on-september-picture-id487989240

ขอนำเอาการแสดงสด Live in Vereggio 1984 ของ Mike Oldfield มาให้ดู เริ่มต้นจาก Tubular Bells I Part 2 ต่อด้วย In High Places ซึ่งร้องนำโดย Barry Palmer ไม่ใช่ Jon Anderson ต้นฉบับ... ก็น่าสนใจดี และเพลงต่อไปคือ Foreign Afaiirs ร้องนำโดย Maggie Reilly นักร้องต้นฉบับ ซึ่งผมเองต้องยอมรับว่าเพิ่งได้เห็นเพลง Foreign Affairs แสดงสดก็ครั้งนี้ (การแสดงครั้งนี้ความยาว 50 กว่านาที แต่ผมดูได้แค่สามเพลงแรกเท่านั้น) และนักดนตรีก็เป็นทีมที่ทำอัลบั้ม Crises และ Discovery ในช่วงปี 1983-1984 ได้แก่ Phil Spalding (bass), Simon Phillips (drums), Barry Palmer & Maggie Reilly (vocals) แต่ผมไม่รู้จักมือคีย์บอร์ดในการแสดงครั้งนี้ว่าคือใคร มีใครพอทราบบ้าง ช่วยบอกหน่อยครับ

https://www.youtube.com/watch?v=x5wP4SDYgro

ได้ข้อมูลเกี่ยวกับบันทึกการแสดงสด Live in Viareggio 1984 จาก tubular.net มาแล้วครับ
คนเล่นคีย์บอร์ดที่ผมถามถึงในกระทู้ก่อนหน้าคือ Mickey Simmonds ครับ

Recorded the 8th of September of 1984 at Viareggio (Italy)
This record is not an audience recording but a soundboard recording. In my opinion it was Virgin itself who had recorded it and released it but this is only my impression. Some songs aren't complete, The Lake, To France and Taurus 3, the start of these is missing. The recording includes the full concert (except those bits of the songs I've just mentioned). The songs included are:
-Platinum (parts 1, 3 & 4)
-Tubular Bells (part 2 excerpt)
-In High Places
-Foreign Affair
-Mount Teide
-Taurus 1/Taurus II (excerpts)
-The Lake
-Crises
-Five Miles Out (maybe this one was played between The Lake and Crises and not here)
-To France
-Poison Arrows
-Crystal Gazing
-Tricks Of The Light
-Discovery
-Talk About Your Life
-Saved By A Bell
-Moonlight Shadow
-Taurus 3
-Shadow On The Wall
Lately on the tour Crime Of Passion was included between Mount Teide and Taurus 1, but it seems it wasn't played at Viareggio.

The musicians were:
Mike Oldfield: Guitars, bass and keyboards
Harald Zuschrader: Fairlight synthesiser and guitar
Mickey Simmonds: Keyboards
Barry Palmer: Vocals
Maggie Reilly: Vocals
Phil Spalding: Bass and guitar
Simon Phillips: Drums

There's also a boot called The Fairlight Mixes which are nearly all these songs but leaving alone the sound of the fairlight synthesiser. There's also a video recording of this concert broadcasted by the Rai 1 TV channel which includes Tubular Bells (part 2 excerpt), In High Places, Foreign Affair, Mount Teide, Crises, To France, Talk About Your Life and Saved By A Bell.

Man In The Rain
By Mike Oldfield

You're the one who's nearly breaking my heart.
Had your chance, you just threw it all away.
Living in a world that you could never be a part of
And never time to walk away.
You can't stay, no, you can't stay.
You're no loser, there's still time to ride that train
And you must be on your way tonight.
Think anew right through, you're a man in the rain.
What's the use in hanging round these walls.
Lamps are burning, but nobody's at home.
There's a new day dawning as a cold rain falls
And now's the time to walk alone.
You can't stay, no, you can't stay.
You're no loser, there's still time to ride that train
And you must be on your way tonight.
Think anew right through, you're a man in the rain.
How's it feel when there's time to remember?
Branches bare, like the trees in November.
Had it all, threw it all away.
Now's the time to walk away.
You can't stay, no, you can't stay.
You're no loser, there's still time to ride that train
And you must be on your way tonight.
Think anew right through, you're a man in the rain.
How's it feel when there's time to remember?
Branches bare, like the trees in November.
How's it feel when there's time to remember?
Branches bare, like the trees in November.
You can't stay, no, you can't stay.
You're no loser, there's still time to ride that train
And you must be on your way tonight.
Think anew right through, you're a man in the rain.
Threw it all away, threw it all away
And now's the time to walk away.
You can't stay, no, you can't stay.
You're no loser, there's still time to ride that train
And you must be on your way tonight.
Think anew right through, you're a man in the rain.

อ่านเนื้อร้องของเพลง Man In The Rain จากอัลบั้ม Tubular Bells III ของ Mike Oldfield แล้ว ออกจะงง ๆ อยู่ ดูเหมือนจะพอเข้าใจบ้าง แต่ไม่ทั้งหมด เผลอๆ ก็เข้าใจเพียงนิดเดียวด้วยซ้ำ 555 ผมว่าพี่ Mike Oldfield นี่แกเป็นนักเขียนเนื้อร้องคนหนึ่งที่ชวนให้ผู้ฟังปวดหัว เพราะแม้แต่ฝรั่งด้วยกันยังไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาที่พี่ท่านต้องการจะสื่อเลย ถือว่าเป็นเนื้อหาชนิด progressive ได้ทีเดียวเชียวครับ อย่างเพลงนี้ ถ้าจะให้เดา ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องของผู้ชายที่ยังไม่อยากมีพันธะ ยังไม่อยากผูกมัดตัวเองกับคนที่รักหรือคนที่ชอบพอ (ใช่หรือเปล่า?) คือผู้หญิง (หมายถึงคนที่ร้องเพลงนี้) ไม่ถึงกับผลักไสไล่ส่ง แต่เปิดทางเลือกและให้เวลาผู้ชายตัดสินใจว่าจะเอายังไง... จะเลือกไปตามทางของเขาหรือเปล่า... ไม่ทราบใครมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ?

ผมได้แผ่นเสียง CBS Mastersound (half-speed mastered vinyl) อัลบั้มชุด Tubular Bells (1973) มา แล้วลองเปิดฟังดู พอฟังแล้วบอกไม่ได้ว่าดีกว่าแผ่น commercial ทั่วไปที่เคยได้ยินได้ฟังกันหรือไม่ แต่ผมรู้สึกเหมือนได้ฟัง Tubular Bells อีกเวอร์ชั่นหนึ่งซึ่งมีรายละเอียดหลายส่วนแตกต่างออกไป โดยเฉพาะ Part 2 ซึ่งอยู่ในหน้า 2 ของแผ่นเสียงครับ

https://www.discogs.com/Mike-Oldfield-Tubular-Bells/release/4513866

Tubular Bells แผ่นเสียงฉบับ CBS Mastersound (half-speed mastered vinyl) เพลง Tubular Bells Part 2 ในหน้าสอง เมื่อฟังเทียบกับแผ่นเสียง commercial ทั่วไป ผมชอบแผ่น commercial มากกว่า เพราะเวอร์ชั่น Mastersound ของ CBS นั้นขาดเสน่ห์ไปมากเลยทีเดียวในแง่รายละเอียดของเครื่องดนตรีบางชิ้น ลองฟังเทียบกันก็จะทราบได้ทันที น่าเสียดายสำหรับแผ่นเสียง half-speed ของ CBS รุ่นนี้ ซึ่งผมได้มาราคาก็ค่อนข้างจะแพงด้วยครับ

https://www.discogs.com/Mike-Oldfield-Tubular-Bells/release/4513866

เพิ่งทราบนะครับว่าแผ่นเสียงอัลบั้มคู่รวมเพลงชุด The Complete Mike Oldfield (1985) เวอร์ชั่นที่ผลิตในเยอรมนี มีเพลง Pictures in the Dark เข้ามาแทนเพลง Mistake ส่วนเวอร์ชั่นที่ผลิตในอังกฤษและญี่ปุ่นไม่มีนะครับ เพลง Pictures in the Dark ผมนี่ งงเลย 555

https://www.discogs.com/Mike-Oldfield-The-Complete-Mike-Oldfield/release/2071739

ชอบมากเพลงนี้

อัลบั้มนี้ผมเล็งไว้นานมาก เคยคิดจะขอซื้อต่อพี่ปีศาจด้วยครับ 5555

อัลบั้มนี้ผมเล็งไว้นานมาก เคยคิดจะขอซื้อต่อพี่ปีศาจด้วยครับ 5555

---> นั่นเป็นแผ่นญี่ปุ่นนะครับ นอกจากราคาค่อนข้างแพงแล้ว ขอกระซิบว่าเสียงไม่ดีเท่าแผ่นอังกฤษซึ่งมีราคาถูกกว่ามาก (ผมมีแผ่นอังกฤษไว้ฟังเปรียบเทียบด้วย) ผมว่าหาจังหวะเหมาะ ๆ bid หรือซื้อเอาแผ่นอังกฤษหรือเยอรมันจะคุ้มกว่า เพราะหาไม่ยากและราคาไม่แพง แต่อันที่จริงอัลบั้มชุดนี้คุณภาพเสียงโดยรวมก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้วครับ 555

ไปเจอแผ่นเสียงชุด The Consequences of Indecisions ของ Mike Oldfield ในอีเบย์ พี่ไมค์เขามีผลงานชุดนี้ด้วยหรือครับ?

(https://kuvat.huuto.net/v1/e204/dbf92b4f1a36fea723b08c0e705/453272917-orig.jpg)

ไปเจอคอนเสิร์ต Live in Viareggio ประเทศอิตาลี เมื่อปี 1984 ของ Mike Oldfield ซึ่งเล่นเพลงในยุคผลงานชุด Crises และ Discovery ไม่ทราบว่าโชว์นี้มีแผ่นเสียง ซีดีหรือแผ่นภาพออกวางจำหน่ายเป็นทางการหรือเปล่าครับ

https://www.youtube.com/watch?v=x5wP4SDYgro

จากวีดิโอบันทึกการแสดงสดที่ Viareggio Barry Palmer ร้องเพลง In High Places แต่โหนเสียงได้ไม่สูงเท่า Jon Anderson ซึ่งเป็นคนร้องเพลงนี้ในสติวดิโออัลบั้ม ฟังแล้วเสียอารมณ์ไปนิดนึง หาคนร้องได้เทียบเท่า Jon ยากจริง ๆ ครับ เพลงนี้

เมื่อครั้งที่ผมเริ่มรู้จัก Mike Oldfield ใหม่ ๆ (ช่วงที่เขาออกผลงานชุด Crises เมื่อประมาณปี 1983 หรือ 2526) เคยมีคนเขียนจดหมายไปถามนักเขียน/นักวิจารณ์ดนตรีในนิตยสารเล่มหนึ่ง ทำนองว่าอยากให้เขียนถึง Mike Oldfield บ้าง แล้วผู้ตอบจดหมายก็บอกไว้เพียงสั้น ๆ เกี่ยวกับ Mike Oldfield ว่า "ยอดเยี่ยมทั้งฝีมือและจินตนาการ" ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการบรรยายคุณลักษณะของชายที่ชื่อ Mike Oldfield ในยุค 1980s ได้อย่างสั้น กระชับ แต่กินใจความได้มากและชัดเจนเหลือเกิน ชายผู้นี้คืออัจฉริยะซึ่งเล่นกีตาร์และเครื่องดนตรีอื่น ๆ ได้อีกหลายอย่าง จัดว่าเป็น multi-instrumentalist แถวหน้าคนหนึ่งของโลกเลยทีเดียว โดยเฉพาะฝีมือการเล่นกีตาร์ทั้ง acoustic, electric, Spanish etc. นั้นมีเทคนิคการเล่นที่มีชั้นเชิงแพรวพราว ว่องไว แต่มีเมโลดี้ที่แฝงความไพเราะในสไตล์โฟล์คอยู่ในที ผมชอบดู Oldfield แกลีดกีตาร์เสียงแหลม ๆ หลบ ๆ โดยที่มือกำและนิ้วขยับอยู่ตรงสุดคอกีตาร์ เทคนิคแบบนี้ผมเห็นเขาใช้บ่อย และผมก็ตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นเขาเล่นกีตาร์ในสไตล์นี้จากวีดิโอที่ได้ดู นอกจากกีตาร์ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีตัวเก่งของ Mike Oldfield แล้ว ฝีมือการเล่นคีย์บอร์ดของเขาก็ยังยอดเยี่ยมอีกด้วย แม้จะไม่ใช่ประเภทโซโลว่องไวด้วยชั้นเชิงแพรวพราวชั้นสูงอย่าง Keith Emerson หรือ Rick Wakeman แต่สไตล์คีย์บอร์ดของ Mike Oldfield ออกแนวสวยงาม เนิบ ๆ และเน้นบรรยากาศ โดยเฉพาะในแบบ Celtic และ Scott เขาทำได้ดีมาก ฟังไปนึกภาพจินตานาการถึงโลกอันลี้ลับเหนือจริงตามคนเล่นไปได้เลย ถ้าไม่เชื่อต้องฟังผลงานตั้งแต่ชุด Tubular Bells, Hergest Ridge, Ommadwan, Incantations ส่วนผลงานหลังจาก Incantations ผมว่า Oldfield เริ่มหันเข้าหาความเป็นพาณิชย์มากขึ้น แต่ยังคงอัตตาตัวตนของเขาเอาไว้กึ่งหนึ่งหรือส่วนหนึ่ง เช่น ผลงานชุด Platinum, QE2, Five Miles Out, Crises, Discovery ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัว แม้โครงสร้างดนตรีจะง่ายและเป็น pop มากขึ้น แต่ลีลาของความเป็น Mike Oldfield ก็ยังอยู่ จะสังเกตได้ว่าผลงานในช่วงนี้ Mike Oldfield เริ่มจะร่วมทำงานกับศิลปินอื่น ๆ มากขึ้น และผลงานของเขาที่ผมว่า "หลุด" และน่าผิดหวังมีอยู่ 2 ชุด คือ Earth Moving และ Heaven's Open พูดถึง Earth Moving ถ้ามองในแง่การทดลองทำอัลบั้มเพลงพ็อพร็อคที่เล่นโดยคนมีฝีมืออย่าง Oldfield ก็พอทำเนา แต่ Heaven's Open นี่ไม่ทราบเป็นอะไร ผมซื้อซีดีมาฟังเที่ยวเดียวตอนที่ผลงานชุดนี้ออกมาในต้นยุค 1990s ฟังครั้งเดียวแล้วไม่ฟังอีกเลย ทุกวันนี้แผ่นซีดีอัลบั้มชุดนี้ผมก็ยังเก็บไว้อยู่ ผมว่า Oldfield ไม่ควรทำผลงานเช่นนี้ออกมา แต่เขาก็แก้ตัวได้อย่างดีพอสมควรด้วยผลงานชุด Tubular Bells II หลังจากลาออกจาก Virgin สังกัดเดิมของ Richard Branson เพื่อนรักของเขา Mike Oldfield ตอกย้ำจินตนาการจากการอ่านหนังสือแนว sci-fi ด้วยผลงานชุด Songs Of Distant Earth และนับจากผลงานชุดนี้เป็นต้นไปผมก็หยุดติดตาม Mike Oldfield เพื่อนคนหนึ่งที่ฟังผลงานของเขาเหมือนกับผมบอกว่าผลงานของ Oldfield ยุคหลัง ๆ ถัดจาก Song Of Distant Earth มานี้ออกแนว new age ซึ่งผมว่า คนอัจฉริยะอย่างเขาจะทดลองทำดนตรีแนวนี้แนวนั้น แล้วฉีกไปแนวอื่น ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน ฝากไว้เป็นของขวัญให้คีตพิภพ ก็ไม่ผิดอะไรที่จะทำ เพราะชีวิตของคนบางคน โดยเฉพาะนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่อย่าง Mike Oldfield นั้น ดนตรีคือการทดลองครับ

ปีนี้เป็นปีที่อัลบั้ม Tubular Bells (1973) มีอายุครบ 50 ปี (1973-2023) ใครก็ตามที่ฟังอัลบั้มชุดนี้มาตั้งแต่เริ่มออกวางจำหน่ายหรือในห้วงเวลาให้หลังที่ใกล้เคียงกันก็ขอให้รับรู้ไว้ว่าตนได้เดินทางข้ามเวลามาพร้อมกับผลงานชุดนี้นานนับหลายทศวรรษแล้วครับ (ไม่อยากบอกว่าแก่เลยจริง ๆ 5555 ;D) เจ้าของผลงานออกอัลบั้มชุดนี้เมื่อตอนอายุ 17 ปี ป่านนี้ก็คงมีอายุประมาณ 67 แล้วล่ะครับ

เครดิตภาพ http://vintageprog.com/

(http://vintageprog.com/stortubular.jpg)

ไหน ๆ ก็พูดถึง Tubular Bells ซึ่งมีอายุครบ 50 ขวบในปีนี้แล้ว ก็ขอถือโอกาสว่ากันต่อเพื่อสดุดีให้กับอัลบั้มชุดนี้ไปในตัวเสียเลย คืออันที่จริงผมรู้จักชื่อ Mike Oldfield จากอัลบั้มชุด Crises ซึ่งออกเมื่อปี 1983 ตอนนั้นพวกดีเจที่เปิดเพลง Moonlight Shadow ตามสถานีวิทยุต่างพากันพูดถึง Tubular Bells อยู่บ่อย ๆ ผมก็ชักสนใจ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ฟัง จนกระทั่งเมื่อได้อ่านบทความของคุณปัญญรักษ์ที่ลงใน Starpics เกี่ยวกับเรื่องและผลงานของ Mike Oldfield ก็ยิ่งสนใจเข้าไปใหญ่ ผมฟังเพลงจากเทปคาสเสท มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นธุระช่วยอัดเทปชุด Tubular Bells จากแผ่นเสียงของเพื่อนอีกคนหนึ่งมาให้ ผมจึงมีโอกาสได้ฟังผลงานชุดนี้ เมื่อฟังครั้งแรกรู้สึกแปลก ๆ เพราะมันคล้ายกับเพลงโฟล์คที่มีลีลาหลายรสชาติหลากอารมณ์บรรจุอยู่ในเพลงเดียวกัน เหมือนสายน้ำที่ไหลไปเรื่อย ๆ แล้วเราล่องตามลำน้ำไปพบนั่นเจอนี่ ไม่อึกทึกครึกโครมเต็มไปด้วยจังหวะหนัก ๆ แน่น ๆ เหมือนเพลงร็อคทั่วไป เพลงทั้งอัลบั้มมีอยู่เพลงเดียวซึ่งแบ่งเป็น Part I & Part II มีธีมสลับไปมาระหว่างเสียงค่อยกับเสียงดังและระหว่างจังหวะเร็วกับช้า Mike Oldfield เหมาเล่นเครื่องดนตรีเองคนเดียวเกือบหมด เป็นผลงานมหัศจรรย์ที่แจ้งเกิดให้เจ้าของผลงานอย่างเต็มตัวและนำมาซึ่งทุนให้ Richard Branson เพื่อนของ Mike Oldfield ได้สร้างอาณาจักร Virgin Records ในอังกฤษ ถ้าจะให้คำจำกัดความสั้น ๆ เกี่ยวกับอัลบั้มชุดนี้ ผมขอบรรยายด้วยคำที่ขึ้นต้นด้วย E ในภาษาอังกฤษ 3 คำ (EEE) คือ Eccentric, Exquisite และ Exceptional แม้ ณ พ.ศ.นี้ ผลงานชุดนี้อาจจะฟังดูเชยไปบ้างตามกาลเวลา (50 ปีผ่านไป) แต่มนต์ขลังแห่งระฆังหลอดก็ยังก้องอยู่ในสมองของผมและอาจจะในสมองของแฟน ๆ Mike Oldfield อีกหลายคนก็ได้ครับ

เครดิตภาพ http://vintageprog.com/

(http://vintageprog.com/stortubular.jpg)

ขออนุญาตแก้ไขข้อมูลครับ คือผมเข้าใจผิดมาเสมอว่าเฮียไมค์แกมีอายุ 17 ปีตอนที่ออกอัลบั้มชุดแรก Tubular Bells แต่อันที่จริงตอนนั้นแกอายุ 20 ปี เพราะเกิดปี 1953 (15 พ.ค. 1953) งั้นปีนี้ Mike Oldfield ก็เพิ่งมีอายุครบ 70 ไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง HBD ครับ

(https://images.mubicdn.net/images/cast_member/36705/cache-369620-1536399157/image-w856.jpg?size=240x)