Thai Progressive Rock Community

สืบเนื่องจากกระทู้เก่า เห็นว่าน่าสนใจที่จะมาพูดถึงอีกครั้งครับ สำหรับข้อมูลเก่าเชิญอ่านตาม Link นี้ครับ

http://www.forumtown.net/viewtopic.php?t=230&mforum=progrockthai

ผมรู้จักชื่อ Brian Eno จากวง U2 นี่แหละ ก็ไม่รู้ว่าเล่นดนตรีด้วย นึกว่าเป็น Producer เฉยๆ ต่อมาฟังผลงานของวง Roxy Music ยุคแรกๆ ก็เลยเริ่มให้ความสนใจผลงาน และเมื่อเร็วๆนี้ ก็บังเอิญได้งานของ Brian Eno หลายชุด ทั้งผลงานเดี่ยวและผลงานร่วมกับคนอื่น แต่ก็ยังไม่ได้ฟังอีกนั่นแหละ

ลองรวบรวมดู ว่ามีแผ่นอะไรบ้างในบ้าน เวลานี้ (ไม่นับผลงานที่ไป Produce ให้กับวง U2)

1. ผลงานเดี่ยว

   1.1.  Brian Eno_Another Green World (Japan LP) (OBI)
   1.2   Brian Eno_Before and After Science (Japan LP) (OBI)
   1.3   Brian Eno_Taking Tiger Mountain (By Strategy) (Japan LP) (OBI)
   1.4   Brian Eno_Music For Films (Japan LP) (OBI) *
   1.5   Brian Eno_Apollo (Japan LP) (OBI) *
   1.6   Brian Eno_Here Come the Warm Jets (Japan LP)

2. ผลงานเดี่ยว แต่ร่วมงานกับคนอื่น (ใช้ชื่อร่วมกัน)
   2.1  Fripp & Eno_No Pussyfooting (Japan LP) (OBI)
   2.2  Fripp & Eno_Evening Star (Japan LP) (OBI)
   2.3  Brian Eno_The Pearl (with Harold Budd & Daniel Lanois)(Japan LP)(OBI) ***
   2.4  Brian Eno_Ambient#1 Music For Airports (with Harold Budd) (Japan LP) (OBI)
   2.5  Brian Eno_Ambient #2 Plateaux of Mirror (with Harold Budd ) (Japan LP) (OBI)
   2.6  Roger Eno_Voices (Japan LP) (OBI)

3. ผลงานในนาม Roxy Music
  3.1 Roxy Music_S/T (Japan LP) (OBI)
  3.2 Roxy Music_For Your Pleasure

เมื่อก่อนเกรงกลัวงานพวก ambient music หรือ atmosphere music ของ Eno มากครับ คือกลัวจะหลับหรือเบื่อเสียก่อน มาระยะหลัง อาจจะเพราะเปิดใจให้กับเพลงแบบนี้ได้มากขึ้น หรือใจเย็นลงอย่างไรไม่ทราบได้ กลับชอบฟังเพลงแบบนี้มากขึ้นครับ รู้สึกทำให้สงบ มีสมาธิดีครับ เปิดแป๊ปๆ เผลอจบเสียแล้ว

เคยฟัง Music For Airports
Another Green World
Before and After Science
Taking Tiger Mountain

ผลงานที่ทำกับ David Bowie , Laurie Anderson และ Talking Heads ครับ

และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ U2 อีโนออกแบบซาวน์ให้เป็นเอกลักษณ์จริงๆ

รู้สึกว่าแกไปทำให้วง Blur ด้วย

ตอนนี้กำลังโหลด Here Come the Warm Jets อยู่ครับ

อยากให้สนามบินสุวรรณภูมินำ Music For Airports ไปเปิดจัง เข้ามากๆ

ในหนังสือ U2 BY U2 มีรูปตอนแกไปนั่งกินข้าวที่บ้าน The Edge น่ารักดีครับ

Eno หลังจาก produce งานให้ U2 แล้ว ก็ได้ร่วมเล่นในอัลบั้มของ Icehouse, remix 2 เพลงให้กับ Depeche Mode ถัดมาก็ไป produce อัลบั้ม Surprise ของ Paul Simon, อัลบั้มลำดับที่ 12 ของ U2 และ อัลบั้มลำดับที่ 4 ของ Coldplay ครับ น่าจะไม่ได้ร่วมงานกับ Blur นะครับ   :)

ในเครดิตเพลง M.O.R. ของ Blur มีเขียนไว้ครับ

ขอบคุณครับ  ;D

เคยมีโอกาศได้ยินเพลงจากชุด Music for Airports ที่สนามบินฮีทโทรว์ นานมาแล้ว

มันเข้ากับสถานที่จริงๆเลยครับ

ที่มีระบุในเครดิตเพลงนี้ว่า "Blur/Bowie/Eno" เพราะ Blur ใช้ rhythm, melody ที่ไปเหมือนกับเพลง Boys Keep Swinging เป็นอย่างมาก และเพลงนี้ของ Bowie เป็นผลงานการประพันธ์ของ Bowie, Eno และโดนฟ้องเอาน่ะครับ  ;)

Blur โดนฟ้องเหรอครับเนี่ย ฮ่าๆๆ

ผมต้องโทรไปบอก Liam Gallagher ให้เปิดศึก Shitelife อีกรอบซะแล้ว

1.4   Brian Eno_Music For Films (Japan LP) (OBI) *
1.5   Brian Eno_Apollo (Japan LP) (OBI) *

2 ชุดนี้ดีไหมครับ

ดีมากๆทั้ง 2 ชุดเลยครับ โดยเฉพาะ Apollo ฟังแล้วลอยไปดวงจันทร์

Music For Films (1978)
แผ่นนี้เป็นเพลงบรรเลงสั้นๆ สำหรับดนตรีประกอบวีดีโอแปลกๆของ Eno เพลงในแผ่นนี้ต้องดูวีดีโอประกอบจึงจะเข้าถึงดนตรีของ Eno ได้ดี

Apollo: Atmospheres and Soundtracks (1983) ร่วมกับ Roger Eno, Daniel Lanois
เข้าใจว่า Roger Eno เป็นน้องชาย Brian Eno, Roger เพิ่งมีแผ่นเดี่ยวออกมาชื่อชุด Voices ซึ่งเป็น New Age ที่ไพเราะมาก ส่วนชุด Apollo นี้ออกมาเพราะแรงดลใจของ Brian Eno ที่มีต่อโครงการอวกาศของสหรัฐ เพลงในแผ่นนี้ฟังดูเป็นอวกาศดีสมกับชื่อแผ่น สำหรับ Daniel Lanois นั้นมีชื่อเสียงด้านการ Produce แผ่นพวก New Age รวมทั้งแผ่น So ของ Peter Gabriel ด้วย พูดถึง Peter Gabriel แล้ว ดูเหมือน เขาเคยร่วมงานกับ Eno อยู่ครั้งนึง ในเพลง Here Coome The Flood ซึ่งอยู่ใน Lp. เดี่ยวแผ่นแรกของ Robert Fripp โดยมี Eno เล่น keyboards, Fripp เล่น Frippertronics ส่วนเสียงกลองถูกตัดทิ้งออกหมด ผลก็คือเพลง Progressive ชั้นยอด

(by panyarak poolthup)
ขออนุญาตและขอบคุณครับพี่

Eno/Moebius/Rodius ชุด After the Heat ก็เพราะดีครับ
ส่วนงานที่ทำร่วมกับสมาชิก U2 ในนามวง Passengers ก็โอเคครับ

Miss Sarajevo ...

BRIAN ENO
อัจฉริยะแห่งเสียงสังเคราะห์

(by panyarak poolthup; 1987)

 


(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/enoportrait.jpg)

ดูเหมือนว่า ในเมืองไทยเราจะมีผู้เขียนถึง Brian Eno อัจฉริยะแห่งเสียงสังเคราะห์อย่างเป็นจริงเป็นจังเพียงครั้งเดียวโดยคุณพัณณาศิส ศิลาพันธุ์ใน Starpics ซึ่งในขณะที่คุณพัณณาศิส เขียนเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อผลงานของ Eno นั้น คุณพัณณาศิส เคยได้ฟังผลงานของ Eno เพียงบางชุดเท่านั้น แต่ก็นับได้ว่าสามารถสรุปลักษณะดนตรีของ Eno ไว้ได้ละเอียดพอสมควร ผมคิดว่าตอนนี้คุณพัณณาศิส คงได้ฟังผลงานของ Eno ครบทุกชุดแล้ว เพราะคุณพัณณาศิส กำลังศึกษาต่ออยู่ที่อเมริกา ซึ่งสามารถหาซื้อแผ่นของ Eno ได้ทุกชุด ในราคาไม่แพง ผมซึ่งได้ฟังผลงานของ Eno มาทุกชุด จึงขอเสริมต่อเกี่ยวกับดนตรีของ Eno สำหรับผู้ที่สนใจดนตรีแปลกๆแต่มีคุณภาพ

ขอยกตัวอย่างอัลบั้มของ Eno พอสังเขปดังนี้ครับ

 


(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/Fripp__Enos_No_Pussyfooting.jpg)

No Pussyfootin' (1973) ร่วมกับ Robert Fripp

เป็นเพลงบรรเลงที่เครียด และน่าเบื่อมากๆ ฟังดูเหมือน Eno กดคีย์บอร์ดแช่อยู่คีย์เดียวนานๆ จึงเปลี่ยนเป็นอีกคีย์หนึ่งซะที ส่วน Fripp ก็เล่นเครื่อง Frippertronics ซึ่งให้เสียงแบบยืดเยื้อ น่าเบื่อ แผ่นนี้เหมาะสำหรับตั้งโชว์มากกว่า เพราะปกสวยมาก ส่วนดนตรีฟังแล้วอารมณ์เสียเปล่าๆ

 
 

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/herecomesthewarmjet.jpg)

Here Come The Warm Jets (1974)

แผ่นนี้เป็น Pop Rock ที่ออก Progressive Rock หน่อยๆ Eno ร้องนำเอง ใครชอบ Progressive Rock ก็น่าจะชอบแผ่นนี้ มีเพลง Baby's On Fire ซึ่งเด่นด้วยเสียง Synth ซึ่งเล่นดังมาก เพลงนี้ Eno ชอบนำไปเล่นแสดงสด ทั้งงานของตนเองและงานในฐานะ นักดนตรีรับเชิญ ก็ยังอุตส่าห์นำเพลงนี้ไปเล่นด้วย

 


(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/june1.jpg)

June 1st 1974 (1974) ร่วมกับ John Cale, Mike Oldfield, Nico, Kevin Ayers

เป็นแผ่นแสดงสด ที่ศิลปินแต่ละคนเอาเพลงของตนมาเล่น ซึ่ง Eno ก็ไม่พลาดที่จะนำเพลง Baby's On Fire มาเล่นด้วย

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/taking.jpg)

Taking Tiger Mountain by Strategy (1974)

แผ่นนี้เป็นเพลงร้องซึ่ง Eno ร้องบีบเสียงแทบทุกเพลง มีเพลง Taking Tiger Mountain ที่ออก Progressive เพลงอื่นๆ ฟังดูธรรมดามากๆ

 


(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/anothergreenworld.jpg)

Another Green World (1974)

แผ่นนี้ออก Progressive Rock มีทั้งเพลงร้อง และเพลงบรรเลง ซึ่งนักวิจารณืเมืองนอกยกย่องว่า แผ่นนี้เป็นแผ่นดีที่สุดของ Eno

 
 

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/eveningstar.jpg)

Evening Star (1975) ร่วมกับ Robert Fripp

แผ่นนี้ก็เหมือนๆกับแผ่น No Pussyfootin'


 

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/discreetmusic.jpg)

Discreet Music (1975)

แผ่นนี้เป็น 1 ใน 10 ชุดของโครงการ Obscure ซึ่งใช้ดนตรีบรรยายภาพ ที่ศิลปินมองออกไปจากหน้าต่าง Apartment ของตน สำหรับ Eno นี้ดนตรีออกจะน่าเบื่อมากๆ ทั้ง 2 เพลง ดนตรีในชุดนี้เป็นดนตรีในแนว Ambient Music ซึ่งเป็นดนตรีที่ไม่ได้มีไว้สำหรับ " ฟัง " แต่เป็นดนตรีที่เข้าไปถมช่องว่างที่มีอยู่ ที่ Eno โด่งดังมาก ก็จากการที่เขาทำดนตรีในแนว Ambient Music ออกมา

Eno ได้ความคิดการทำ Ambient Music (หรือดนตรีเพื่อถมช่องว่าง หรือดนตรีที่ไม่ได้มีไว้สำหรับฟัง แต่เป็นดนตรีเสริมสร้างบรรยากาศ ซึ่งถ้าเอามาเปิดฟังแล้วนั่งฟังจะน่าเบื่อมาก) จากการที่เขาประสบอุบัติเหตุโดนแท็กซี่ชนจนเคลื่อนไหวไม่ได้ เขาต้องนอนอยู่บนเตียงในบ้าน มีเพื่อนของเขาคนหนึ่งมาเยี่ยม แล้วก่อนที่เพื่อนจะกลับ Eno ได้ขอร้องให้เพื่อนสาวคนนั้นช่วยเปิดแผ่นเสียงที่เธอเพิ่งซื้อมาฝากให้หน่อย แผ่นเสียงแผ่นนั้นเป็นดนตรีบรรเลงบรรเลงเสียงพิณในสมัยศตวรรษที่ 18 ตอนนั้น เครื่องเสียงของเขาทำงานไม่ค่อยดี โดยมีเสียงออกมาทางลำโพงเดียว แล้วระดับเสียงก็ถูกหรี่จนเขาแทบไม่ได้ยินอะไรเลย เนื่องจากถูกเสียงฝนข้างนอกกลบหมด เขารำพึงกับตนเองว่า มันช่างน่ารำคาญจริงๆ ที่ไม่ได้ยินอะไรเลย เขาจะลุกไปปิดก็ไม่ได้ เพราะยังเคลื่อนไหวไม่ได้ ได้แต่รอให้มันเล่นจนหมดแผ่นไปเอง

ขณะที่เขานอนฟังสียงฝนอยู่นั้น เขาก็ได้ยินแต่ตัวโน๊ตที่ดังที่สุด นานๆ ครั้ง หรือไม่ก้เสียงโน้ตเบาๆ เขาเริ่มรู้สึกว่า มันฟังดูเข้าที แล้วก็เริ่มคิดว่า ทำไมไม่มีใครทำดนตรีแบบนี้ออกมาบ้าง ทำไมไม่มีแผ่นเสียงที่เป็นเสียงการผสมผสานอย่างสวยงามโดยไม่จงใจของเสียงเม็ดฝนและละอองฝนเป็นส่วนประกอบ ขณะที่เขากำลังฟังอยู่ เขารู้สึกว่าเขาได้ยินเสียงบางอย่าง ซึ่งเขารู้ว่ามีบางเสียงแอบซ่อนอยู่ภายใต้เสียงนั้นอีกที แล้วเขาก็ตัดสินใจทำแผ่น Discreet Music ออกมาเป็น Ambient Music แผ่นแรก

หลังปกแผ่นนี้ มีคำอธิบายพร้อมรูปวาดประกอบเกี่ยวกับการทำดนตรีแผ่นนี้ออกมาอย่างมีระบบ ซึ่งแสดงถึงขั้นตอนการทำงานของเขาว่ามีการวางแผนเป็นอย่างดี

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/Before_and_After_Science.jpg)

Before And After Science (1977)

Eno กลับไปทำดนตรี Pop Rock อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นดนตรีชวนเต้นรำมากกว่า ผมเคยเข้าไปเลือกซื้อแผ่นเสียง ในร้านแผ่นเสียงร้านนึงในอเมริกา ซึ่งขณะนั้นมีฝรั่งเข้าไปในร้านกันเยอะพอสมควร แล้ว ดีเจ ประจำร้านก็เปิดเพลง Backwater จากแผ่นนี้ขึ้นมา ซึ่งเพลงนี้ไม่มีใครรู้จักมาก่อน วิทยุก็ไม่เคยเล่นเพลงไหนๆ ของ Eno อยู่แล้ว แล้วก็ไม่เคยตัดเป็น Single ด้วย ปรากฏว่าฝรั่งค่อนร้านเต้นตามเพลงนี้กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งทำให้ผมประหลาดใจมาก เพราะพอ ดีเจ เปลี่ยนเพลงเป็นเพลงจังหวะเต้นรำโหลๆ ที่รู้จักกันดี ฝรั่งพวกนี้กลับไม่สนใจอย่างมากก็แค่ร้องตาม
สำหรับแผ่นเพลงร้องแล้ว ผมชอบแผ่นนี้ของ Eno มากที่สุด

 


(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/musicforfilm.jpg)

Music for Films (1978)

แผ่นนี้เป็นเพลงบรรเลงสั้นๆ สำหรับดนตรีประกอบวีดีโอแปลกๆของ Eno เพลงในแผ่นนี้ต้องดูวีดีโอประกอบจึงจะเข้าถึงดนตรีของ Eno ได้ดี


 

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/aftertheheat.jpg)

After The Heat (1978) ร่วมกับ Cluster

นำมาออกใหม่ในปี 1985 ใช้ชื่อว่า Old Land โดยสลับเพลงระหว่าง Side A กับ B
แผ่นนี้เป็นแนว New Age โดยมี Moebius กับ Hans-Joachim Roedelius มือ Synth จากเยอรมนี มาร่วมด้วย แผ่นนี้มีเพลงร้อง 2 เพลง เพลงนึงชื่อ The Belldog ซึ่งออก Progressive ฟังแล้วล่องลอยไปกับเสียงเพลงดี


 

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/musicforairport.jpg)

Ambient #1 / Music For Airports (1979)

Eno กลับไปทำ Ambient Music อีกครั้ง ซึ่งเขาวางแผนไว้ว่าจะมีตามออกมาอีก 3 ชุด ในชุดนี้เขาตั้งใจที่จะทำดนตรีให้สนามบิน Cologne ซึ่ง เขาเคยนั่งคอยเครื่องบินอยู่ ขณะนั้นเขาคิดว่า สถานที่นั้นมันขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง เขาหวลไประลึกถึงความรู้สึกตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุ อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็คิดได้ว่าดนตรีแบบนั้น คือสิ่งที่จะเข้ามาถมช่องว่างที่มีอยู่ เขาเริ่มคิดว่าจะทำมันออกมายังไงดี เพราะมันต้องเป็นดนตรีที่ไม่ยี่หระต่อการรบกวนจากเสียงอื่น เช่นเสียงการประกาศของสนามบิน มันต้องไม่ดังจนเกินไป มิฉะนั้นจะทำให้คนยิ่งพูดดังขึ้นแบบในไนต์คลับ เขาตะหนักว่าเขาต้องทำออกมาให้มีความถี่ที่ไม่ขัดกับบทสนทนาของคน ซึ่งในเพลงนึง เขาจะเน้นที่เสียงเบสที่ต่ำมากๆ ในขณะที่เพลงอื่นเขาจะเน้นเสียงแหลมมากๆ โดยไม่ให้ขัดกับเสียงพูดคุย ความคิดนี้ เป็นความพยายามที่จะทำดนตรีสำหรับสนามบิน ที่มีคนพลุกพล่านแต่เขายังมีไอเดียภายใต้ความคิดนี้คือ การทำดนตรีสำหรับสถานที่ใหม่ๆ นอกจากห้องนั่งเล่นที่บ้าน
ผมยังไม่มีโอกาสได้ฟังแผ่นนี้ ในสนามบินก็เลยไม่ทราบว่ามันเป็นยังไง เคยเปิดฟังแต่ในห้องนอน ซึ่งก็น่าเบื่อตามเคย

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/possiblemusic.jpg)

Possible Music-Fourth World Vol.1 (1980) ร่วมกับ Jon Hassell

Jon Hassell เป็นนักเป่า Sax แต่เสียง Sax ของเขาโดน Eno ทำ treatment เสียจนกลายเป็นเสียงอย่างอื่นไป ซึ่งฟังดูแล้วมีความไพเราะมาก ดนตรีในแผ่นนี้เกี่ยวกับอารยธรรมแอฟริกา ที่ค่อนข้างล้าหลัง ในสายตาชาวตะวันตก

 

 
(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/theplateaxofmirror.jpg)

Ambient #2 / The Plateaux of Mirror (1980) ร่วมกับ Harold Budd

Harold Budd เป็นนักเปียโน New Age แผ่นนี้เกี่ยวกับภูมิประเทศแบบที่ราบสูง ซึ่งฟังดูแล้วน่าเบื่อ ชวนหลับเป็นที่สุด ดนตรีชุดนี้เบาๆ นื่มๆ เหมือนกันหมดทั้งแผ่น

 


(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/mylife.jpg)

My Life in The Bush of Ghost (1981) ร่วมกับ David Byrne

แผ่นนี้รวบรวมเสียงประหลาดๆ จากที่ Eno บันทึกเทปไว้ในโอกาสต่างๆ เช่นพิธีการไล่ผี และ งานสวดในศาสนา David Byrne จาก Talking Heads เป็นคนร้องนำ แผ่นนี้ใครชอบ Progressive Rock แบบแปลกๆ ไม่ควรพลาด

 


(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/onland.jpg)

Ambient #4 / On Land (1982)

ที่กระโดดมา Ambient 4 ก็เพราะ Ambient 3 เล่นโดย Laraaji โดยมี Eno เป็นแค่ Producer เท่านั้น ชุด On Land เป็นดนตรีเกี่ยวกับภูมิประเทศ ซึ่งฟังได้เพลินดีกว่า Ambient 2 ชุดแรกมาก ส่วน Ambient 3 ใช้ชื่อว่า Day OF Radiance เป็น Ambient ที่ฟังดูไพเราะที่สุด ออกแนว New Age ชัดมาก

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/Brianenoapollo.jpg)

Apollo: Atmospheres and Soundtracks (1983) ร่วมกับ Roger Eno, Daniel Lanois

Roger Eno เป็นน้องชาย Brian Eno, Roger เพิ่งมีแผ่นเดี่ยวออกมาชื่อชุด Voices ซึ่งเป็น New Age ที่ไพเราะมาก ส่วนชุด Apollo นี้ออกมาเพราะแรงดลใจของ Brian Eno ที่มีต่อโครงการอวกาศของสหรัฐ เพลงในแผ่นนี้ฟังดูเป็นอวกาศดีสมกับชื่อแผ่น สำหรับ Daniel Lanois นั้นมีชื่อเสียงด้านการ Produce แผ่นพวก New Age รวมทั้งแผ่น So ของ Peter Gabriel ด้วย พูดถึง Peter Gabriel แล้ว ดูเหมือน เขาเคยร่วมงานกับ Eno อยู่ครั้งนึง ในเพลง Here Comes The Flood ซึ่งอยู่ใน Lp. เดี่ยวแผ่นแรกของ Robert Fripp โดยมี Eno เล่น keyboards, Fripp เล่น Frippertronics ส่วนเสียงกลองถูกตัดทิ้งออกหมด ผลก็คือเพลง Progressive ชั้นยอด


 

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/Thursday_Afternoon.jpg)

Thursday Afternoon (1986)

ทำออกมาเป็น CD เท่านั้น ชุดนี้ฟังจากที่คุณพัณณศิส คุยให้ฟังแล้ว ก็ทราบว่ามันเป็นยังไง นั่นคือเหมือนแผ่น No Pussyfootin' แต่ตัดเสียง Frippertronics ของ Fripp ออก
   

 

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/DesertIslandSelection-cover.jpg)

More Blank than Frank/Desert Island Selection (1986; compilation)

แผ่นรวมเพลงที่ Eno ชอบมากที่สุด 10 เพลง บางเพลง Mix เสียงใหม่
 

 

Rarities (1986)

ชุดนี้เป็นกล่องมี 10 แผ่น เป็นผลงานเดี่ยวของ Eno ในอดีตทั้งหมด บวกแผ่น Ep. ซึ่งมีเพลงที่ Eno เคยออกเป็น Single สมัยเริ่มต้นออกผลงานเดี่ยว โดยมีเพลง The Lion Sleeps Tonight รวมอยู่ด้วย




(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/220px-Brian_Eno_Profile_Long_Now_Fo.jpg)

Brian Eno at the Long Now Foundation, June 26, 2006.

นอกจากนี้ Eno ยังเป็นศิลปินรับเชิญให้เพื่อนร่วมวงการอีกหลายคน เช่น John Cale, Phil Manzanera, David Bowie, David Byrne และเป็น Producer ให้ เช่น Roger Eno, Harold Budd, John Hassell, Michael Brooks, Laraaji, U2, Talking Heads และศิลปินในโครงการ Obscure ที่มีทั้งหมด 10 ชุด

ในร้านแผ่นเสียงในอเมริกา มีปัญหาในการจัดประเภทดนตรีของ Eno เช่นเดียวกับ Philip Glass แต่โดยมากแล้ว แผ่นของ Eno ทั้งหมดจะถูกจัดไว้ในประเภททั้ง Rock หรือ New Age ได้

นอกจากอัลบั้มแล้ว Eno ยังมีผลงานศิลปะออกมาอีกพอสมควร เช่น หนังสือรวมรูปภาพม งานแสดงศิลปะซึ่งเป็นวีดีโอความยาว 47 นาที ชื่อ Mistaken Memories of Medieval Manhattan (1981) และภาพเปลี่ยนสีซึ่งมีเสียงดนตรีประกอบ รวมทั้งนิยายวิทยาศาสตร์ในรูปแผ่นเสียงซึ่งเล่นดนตรีประกอบโดย Eno

โดยความรู้สึกส่วนตัวแล้ว Brian Eno เป็นทั้ง Musician และ Artist ที่มีผลงานออกมาสม่ำเสมอ โดยไม่คำนึงว่าผลงานที่ออกมาจะขายได้หรือไม่ เพราะเขาเชื่อว่า มีคนกลุ่มหนึ่ง ที่ติดตามผลงานของเขาทุกชุด เนื่องจากเขาเปลี่ยนแนวดนตรีไปมา โดยไม่สามารถทำนายได้ล่วงหน้า การซื้อแผ่นเพียงไม่กี่ชุดแล้วคิดว่าชุดอื่นๆ ก็คงเหมือนกันก็ย่อมทำไม่ได้ ทำให้ผลงานดนตรีของ Eno น่าติดตามอยู่เสมอ แต่ใจจริงแล้ว ผมชอบ เพลงร้องของ Eno มากกว่า ส่วนเพลงบรรเลงของเขาเนื่องจากยังไม่เคยได้ฟังในสถานที่ๆ เขาตั้งใจจะให้ฟัง จึงยังไม่สามารถเข้าถึงเป้าหมาย ของดนตรีของเขาได้เต็มที่ สำหรับผู้อ่านที่เป็นโรคนอนไม่หลับ ถ้ามีเครื่องเล่น CD ก็ลองซื้อแผ่น Thursday Afternoon ส่วนผู้เล่นแผ่นก็ควรลองซื้อ Discreet Music มาฟังดู คิดว่าผู้อ่านคงหลับสนิทใน 10 นาที

 


(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/enoportrait1.jpg)


end.

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/77_Million_Paintings_by_Brian_Eno.jpg)
   
77 Million Paintings (2006)

เป็นวีดีโอกราฟิคสีที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับเพลงบรรเลงประกอบในลักษณะ ambient แต่ตัวเพลงมีรายละเอียดมากพอสมควรให้คอยติดตามไปได้เรื่อยๆ ไม่ทันได้ง่วง ก็จบเสียก่อนด้วยความยาวประมาณ 45 นาที สวยและไพเราะดีครับ




(By polotoon; 2008)

(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/june1.jpg)

ไม่เห็นมีชื่อ Oldfield เลยครับ

ขอบคุณมากๆๆๆครับ สุดยอดมากๆ ทั้งพี่ปัญญรักษ์ และพี่ Plotoon ภาพประกอบสีสันสวยงามครับ

อยากอ่านบทความอีกเยอะๆ ถ้าว่างๆก็พิมพ์มาให้อ่านนะครับ  :D

Side A
1.   "Driving Me Backwards" (Eno)
2.   "Baby's on Fire" (Eno)
3.   "Heartbreak Hotel" (Axton, Durden, Presley)
4.   "The End" (Densmore, Krieger, Manzarek, Morrison)
Side B
1.   "May I?" (Ayers)
2.   "Shouting in a Bucket Blues" (Ayers)
3.   "Stranger in Blue Suede Shoes" (Ayers)
4.   "Everybody's Sometime and Some People's All the Time Blues" (Ayers)
5.   "Two Goes into Four" (Ayers)

Personnel
•   Kevin Ayers – vocals (B1-5), guitar (B1-5), bass guitar (A1-2)
•   Brian Eno – vocals (A1-2), synthesizer (A1-4, B5)
•   John Cale – vocals (A3), piano (A2), viola (A1, B5)
•   Nico – vocals (A4), harmonium (A4)
•   Mike Oldfield – lead guitar (B4), acoustic guitar (B5)
•   Ollie Halsall – piano (A1), guitar (A2-3, B4), lead guitar (B1-3), acoustic guitar (B5)
•   John "Rabbit" Bundrick – organ(A1-3 & B1-5), organ, piano, electric piano (B1-3)
•   Robert Wyatt – percussion (A1-3 B1-3 + 5)
•   Doreen Chanter – backing vocals (A3)
•   Archie Leggatt – bass guitar (A1-3 B1-3 + 5)
•   Eddie Sparrow – drums(A2&3 B1-3), bass drum (A1), tympani (B5)
•   Liza Strike – backing vocals (A3)
•   Irene Chanter – backing vocals (A3)
•   John Wood – engineer
•   Phil Ault – assistant engineer
•   Ray Doyle – assistant engineer

ยอดเยี่ยมครับ

ขอบคุณคุณ Polotoon ที่กรุณาพิมพ์ให้ และหารูปมาแปะด้วยครับ

ด้วยความยินดีครับ

ขอบคุณทั้งสองท่านด้วยครับ  :)

ชอบ Another Green World มากครับ แต่นอกจากงาน 2 ชุดแรกของ Roxy Music แล้วยังไม่มีงบประมาณในการตามแผ่นแกมาเก็บสะสมเพิ่มเติมเลย

ถ้าอยากรู้ว่าสมัยหนุ่มๆ แกเปรี้ยวขนาดไหน ลองไปดูการแสดงสมัย Roxy Music จะชัดเจนครับว่า เมื่อขาดแกไป Roxy Music ก็ค่อยๆ ลดความเป็นอาร์ตร็อกลงเรื่อยๆ แต่ในอีกมุมก็เพิ่มแนวร็อกกลิ่นยุโรปทีเนียนกว่ามาแทน

Ladytron
http://www.youtube.com/watch?v=zVeEBMJt8vs (http://www.youtube.com/watch?v=zVeEBMJt8vs)

remake/remodel
http://www.youtube.com/watch?v=4KwJDDLjNiA&feature=related (http://www.youtube.com/watch?v=4KwJDDLjNiA&feature=related)

Virginia Plain
http://www.youtube.com/watch?v=USJq2RwnlyU&feature=related (http://www.youtube.com/watch?v=USJq2RwnlyU&feature=related)

น่าแปลกครับ ไม่มีใครพูดถึงงานที่ Brian Eno produce ให้วง James ในอัลบั้ม Laid (ที่ดีระดับงาน U2 ที่มีซาวนด์ของ Eno มากๆ โดยเฉพาะเพลง Sometimes ที่ Eno ร้องประสานตอนท้ายด้วย) กับอัลบั้ม Please to meet you เลย

สนใจงานของตัว eno เองมากกว่าครับ  :D

แต่ผมชื่นชอบงานของอีโนที่ทำร่วมกับ David Bowie ในอัลบั้ม 1.Outside มากเลยครับ น่าจะเป็นอัลบั้มของ Bowie ที่ฟังตื่นเต้นที่สุดสำหรับผมเลยครับ  :D :D

+100 ครับ  ;D

True Masterpiece ! ฟังแล้วลอยมากๆ โดยเฉพาะเพลงอย่าง An Ending (Ascent) สุดยอดแห่งห้วงบรรยากาศจริงๆ

ใช่เลยครับ มันเป็นเพลงบรรเลงแอมเบียนท์แนวอวกาศที่ฟังดูล่องลอยแต่ก็ให้อารมณ์เก่าๆย้อนยุคได้น่าประทับใจมาก เพราะถึงจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอวกาศ แต่เรื่องของยาน Apollo ก็ยังเป็นเรื่องในอดีตอยู่ดี จึงต้องยกความดีความชอบตรงนี้ให้ไบรอัน อีโนเลยครับ  :D

ชอบผลงานของ James ทั้ง 2 ชุดนี้เช่นกันครับ พอหมดยุค Eno แล้ว เพลงของ James ก็ไม่น่าสนใจสำหรับผมอีกต่อไป

อยากทราบว่ามีงานไหนที่ Eno ไปร่วมด้วยแล้วออกมาค่อนข้างแย่ครับ  ::)

Eno/Cale ชุด Wrong Way up ครับ หลายคนชอบกัน แต่ผมฟังกี่หน ก็ยังไม่ชอบอยู่ดี

(http://i709.photobucket.com/albums/ww97/tanbeemkarn/cale.jpg)

กำลังฟังเลยครับ เสียงแปร่งๆ แกว่งๆ ได้ใจจัง ยังชอบอยู่ครับ  :D

ได้ฟัง Ambient 4 - On Land แล้ว น่าจะเป็นอัลบั้มต้นตำรับ Dark Ambient ของแท้ เปิดอัลบั้มมาบรรยากาศก็หลอนแล้ว  :D

+1 ครับ เป็นอีกชุดที่ผมมีทั้งเทปลิขสิทธิ์ แผ่นเสียง และซีดี

ที่มาของปกอัลบั้ม Another Green World ครับ  :D


(http://i137.photobucket.com/albums/q239/polotoon/gose2200.jpg)

ขอบคุณทุกท่านมากครับสำหรับข้อมูลของ Brian Eno กำลังสนใจซาวด์ดนตรีในแบบของเขาอยู่พอดีเลยครับ

ข้อมูลข้างล่างไม่ใช่อัลบั้มของ Brian Eno หรอกครับ แต่เป็นข้อมูลของอัลบั้มที่ออกโดยบริษัทแผ่นเสียงของเขา ที่ผมเคยแปะไว้ในบล็อกของคุณ Analog Kid น่ะครับ




บังเอิญเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ขณะที่กำลังนั่งฟังรายการ Freak Zone อยู่ ก็ไปสะดุดกับเพลงๆหนึ่งที่เปิดในรายการเข้า ดูจากลิสต์รายชื่อเพลงแล้ว เป็นเพลง All Day ของ Jan Steele เพลงนี้จะเป็นเพลงร้องแบบหลอนๆ บรรยากาศของดนตรีนี่เป็นดนตรีประกอบหนังแวมไพร์จากอังกฤษ หรือพวกหนังสยองขวัญคลาสสิคของ Hammer Film Productions ได้สบายๆเลยครับ ดนตรีโดยรวมอาจจะเรียกไม่ได้เต็มปากว่าเป็นเพลงคลาสสิค แต่ฟังจากข้อมูลที่ Stuart ได้กล่าวถึงในรายการ เพลงนี้จะอยู่ในอัลบั้ม Voices and Instruments ซึ่งออกโดยค่าย Obscure Records

ผมลองค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตดู ก็พบว่า Obscure Records เป็นค่ายเพลงของ Brian Eno ที่ผลิตอัลบั้มดีๆออกมาตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 1978 เพียงแค่ 10 อัลบั้มเท่านั้น และในเวลาต่อมาอัลบั้มทั้งหมดได้กลายเป็นของหายาก จนต้องมีการนำมารีมาสเตอร์เพื่อออกวางจำหน่ายในรูปซีดีอีกครั้ง โชคไม่ดีที่อัลบั้ม Voices and Instruments เท่าที่มีอยู่ในเวลานี้จะมีอยู่เฉพาะในรูป out-of-print vinyl เท่านั้น แต่ก็ยังดีนะครับที่เพลงจากอัลบั้มนี้ยังหาฟังได้จากลิ้งค์ข้างล่าง

WFMU's Beware of the Blog: Jan Steele / John Cage (MP3s)
http://blog.wfmu.org/freeform/2008/11/jan-steele-john.html

คลิ๊กไปที่ปุ่ม play ที่อยู่ข้างหน้าชื่อเพลงแต่ละเพลงนะครับ แล้ว Window Media Player ก็จะป๊อปขึ้นมาเล่นให้ฟัง

ในรายการบอกว่า อัลบั้ม Voices and Instruments นี้ เป็นความร่วมมือข้ามแขนงดนตรีระหว่างนักดนตรีแจ๊สอย่าง Jan Steele และนักประพันธ์ดนตรีคลาสสิคร่วมสมัยอย่าง John Cage ครับ แต่ยังไงลองฟังแทร็ค All Day ดูก่อนนะครับ ผมว่ามันหลอนดี

เป็นงานที่สร้างบรรยากาศได้มืดหม่นพิลึก น่าจะนำไปเปิดในโรงพยาบาล หรือห้องมืด

Ambient 2 กับ 3 น่าฟังไหมครับ

Ambient 2 เป็การร่วมงานของ Brian Eno กับมือเปียโนสายนิวเอจชื่อดัง Harold Budd งานชุดนี้ก็นิ่งๆครับ เป็นแอมเบียนท์สงบๆที่ถูกแต่งแต้มด้วยเสียงเปียโนแผ่วเบา โทนโดยรวมออกแนวน่าเบื่อนิดหน่อย แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบแนวนี้อยู่แล้วก็คงจะถูกใจได้ไม่ยากครับ ซึ่งผมเองก็ชอบชุดนี้อยู่ แต่จะชอบ Ambient 3 และ 4 มากกว่าครับ

Ambient 3 เป็นผลงานของศิลปินชาวอเมริกัน Laraaji ที่โปรดิวซ์โดย Brian Eno นั่นเอง งานชุดนี้เสียงเครื่องดีดสไตล์เอเชียค่อนข้างเด่น เล่นได้จัดจ้านดี โดยเฉพาะในแทร๊ค The Dance ทั้งสามพาร์ท ที่ไม่ค่อยจะเป็นแอมเบียนท์แล้ว ส่วน Meditation นั้นก็ได้กลิ่นอายเอเชียเหมือนกัน แต่จะออกแนวสงบนิ่งสมชื่อเพลงครับ

Ambient 2 ทำร่วมกับ Harold Budd  ห้ามพลาดนะครับ
Ambient 3 ไม่เคยฟังเลยครับ ไม่เคยเห็นแ่ผ่นวางขายเสียที

+1 ครับ แต่ใครติดใจงานของ Laraaji จากชุดนี้แล้ว ถ้าไปหางานเดี่ยวของเขาฟัง รับรองผิดหวังแน่นอนเพราะออกคนละแนวกันเลย

ยังหางาน Dune Ost. ไม่ได้เลย แบบดาวน์โหลด ถึงแม้ Eno จะทำเพลงแค่นิดเดียว แต่เพลงนั้นตราตรึงใจมาก อัจฉริยะจริงๆ

ชุดนี้ได้ฟังมานานแล้ว ชอบเพลง Prophecy Theme ที่เป็นบทประพันธ์ของ Brian Eno (ร่วมกับ Roger Eno และ Daniel Lanois) เช่นกันครับ อีกเพลงที่ชอบมากๆคือ Dune (Desert Theme) อันเป็นเพลงบรรเลงที่ยอดเยี่ยมมากๆโดยสมาชิกวง Toto ครับ

ฟังไปฟังมา ผมยังคงชอบชุด Apollo มากกว่า Ambient 4 ครับ

Eno เดี่ยว ผมชอบ Music For Film ครับ
ถ้า Eno คู่ ชอบ My Life In The Bush Of Ghost

Eno (Solo) ผมชอบ Ambient 4: On Land
Eno+Vocals ผมชอบ Another Day on Earth
Eno's Collaboration ผมชอบ After the Heat (ร่วมงานกับ Dieter Moebius และ Hans Joachim Roedelius)
Eno as Producer ผมชอบ 1.Outside ของ David  Bowie ครับ

Ambient 2 มีเพลง Above Chiangmai ซะด้วย

พอโหลดมาเสร็จมันไม่ใส่ชื่อศิลปินมาให้ Length ก็ไม่ได้ใส่มาให้ เซ็งจริงๆ

ผมชอบผลงานหลายๆชุด แต่ตอนนี้จะซื้อแผ่นเสียงออริจินัล เห็นราคาได้แต่ปลง คงต้องพึ่งแผ่นเสียงรีอิซซู่ ซึ่งออกมาหลายขุดมากครับ

ผมชอบผลงานหลายๆชุด แต่ตอนนี้จะซื้อแผ่นเสียงออริจินัล เห็นราคาได้แต่ปลง คงต้องพึ่งแผ่นเสียงรีอิซซู่ ซึ่งออกมาหลายขุดมากครับ

---> เห็นบอกผมว่าราคาเป็นหลักพันหรือหลายพันเชียวหรือครับ?

เป็นหลักพันครับ แต่ก็ใช่ว่าจะแพงมากจนต้องเมิน จะว่าไปราคาก็พอๆกับแผ่นรีอิซซู่ล่ะครับ ถ้าเศรษฐกิจไม่ฝืดเคืองก็คงจะสอยไปแล้วครับ