ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
การค้นหาขั้นสูง

149703 กระทู้ ใน 4435 หัวข้อ- โดย 847 สมาชิก - สมาชิกล่าสุด: axlrose

11 พฤษภาคม 2024 | 04:46:35 AM
  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3 ... 5
1  ThaiProg / Welcome To The Machine / Re: รูปซ้อมวง วันที่ 9 มีค เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2008 | 05:08:05 PM
โฮ้ววววววว

เท่ห์มากๆขอรับ

แต่เสียงร้องจะเบาไปนิ๊สสสขอรับ
2  ThaiProg / Welcome To The Machine / Re: มาช่วยหน่อยขอรับพี่น้อง เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2008 | 05:05:47 PM


200 เอาอยู่

เอาไปหัดเล่น SF

ไม่ใช่คีย์บอร์ด แบบนั้นขอรับ

เอาดีๆสิขอรับ ซีเรียสนะขอรับ

เอ่อคุณมีปัญหาอะไรส่วนตัวกับข้าน้อยหรอขอรับ
3  ThaiProg / Welcome To The Machine / มาช่วยหน่อยขอรับพี่น้อง เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2008 | 04:59:59 PM
เอ่ออ

ในที่นี่จะมีใครขายคีย์บอร์ดมั่งขอรับพอดีข้าน้อยพึ่งจะหัดเล่นขอรับ งบ ไม่เกิน 6 พันนะขอรับ

ช่วยๆหน่อยนะขอรับ
4  ThaiProg / Any Colour You Like / Re: กระทู้สำหรับให้สมาชิกมาระบายอารม เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2008 | 03:39:06 PM
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


วันนี้รับน้องจะบ้าตาย

ขอถามในใจขอรับ (จะให้พวกกระผมไปฝึกเป็นนักเรียนเตรียมทหารหรือไงขอรับ)

ทำไมมันเหนื่อยเช่นนี้
5  ThaiProg / Outside The Wall / Re: ลองมารีวิว อัลบัมกันมะ เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2008 | 05:09:53 PM
ถ้าผมเกรียนอย่างที่ทุกท่านพูดไป ผมจะมา โพสขอบคุรเครดิด ทำมะเขือ อะไรขอรับ ระวังการใช้คำพูดหน่อยขอรับ

อยากให้เว็บบอร์ดนี้ดีขึ้นขอรับไม่มีพวกเกรียนผมว่าพวกคุณที่พูดไปพูดมาเริ่มจะเกรียนแล้วนะขอรับ

ถ้าลืมให้เครดิตไปก็ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าทีหลังอย่าลืมอีกนะครับ เพราะว่าถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และการตั้งชื่อกระทู้ในลักษณะนี้มันดูเหมือนกับว่าน้องกำลังเอาผลงานของคนอื่นมาแอบอ้างเป็นของตนเอง โอเคครับ น้องอาจจะบอกว่าน้องไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น แต่ว่าสิ่งที่น้องทำมันอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ จึงขอแนะนำว่าทีหลังให้พยายามหลีกเลี่ยงการโพสต์ข้อความหรือการตั้งชื่อกระทู้ในลักษณะเช่นนี้ครับ น้องอาจจะมีเขียนไว้ก่อนนิดนึงว่า บทความเหล่านี้นำมาจากที่ไหน ใครเป็นผู้เขียน แล้วค่อยโพสต์ครับ อย่าก๊อบมาโต๊งๆ เช่นนี้ มีความเสี่ยงที่คนอื่นจะเข้าใจผิดและหมั่นไส้สูงมากครับ

อีกข้อนึงคือ น้องๆ หลายคนรวมถึงสมาชิกเว็บบางส่วนกำลังสงสัยว่าน้องเป็นคนๆ เดียวกับสมาชิกเก่าของเราที่ชื่อ Octavarium หรือเปล่า ซึ่งถ้าน้องไม่ใช่คนๆ ก็ขอให้แสดงตัวออกมาให้ชัดเจนเลยครับ ว่าไม่ใช่ จะได้เคลียร์ๆ กันไปแบบแฟร์ๆ นะครับ

เสริมนิดนึง ถ้าจะตั้งกระทู้แบบนี้ขึ้นมาอีกละก็ ต้องแน่ใจก่อนก่อนว่าตัวเองเตรียมตัว(หรือทำการบ้าน)มาดี ไม่เช่นนั้นจะเกิดการเข้าใจผิดกันได้

ขอรับ ข้าน้อยจะไม่ให้เหตุการนี้เกิด เป็นอันขาด ขอรับ
6  ThaiProg / Outside The Wall / Re: ลองมารีวิว อัลบัมกันมะ เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2008 | 01:56:59 PM
ถ้าผมเกรียนอย่างที่ทุกท่านพูดไป ผมจะมา โพสขอบคุรเครดิด ทำมะเขือ อะไรขอรับ ระวังการใช้คำพูดหน่อยขอรับ

อยากให้เว็บบอร์ดนี้ดีขึ้นขอรับไม่มีพวกเกรียนผมว่าพวกคุณที่พูดไปพูดมาเริ่มจะเกรียนแล้วนะขอรับ
7  ThaiProg / Any Colour You Like / Re: ThaiProg Name เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2008 | 01:54:34 PM
Andrei Sergeyevich Arshavin (Also spelled Andrey) (Russian: Андрей Сергеевич Аршавин)

แถมภาษารัสเซียให้ด้วย

โอ้ขอบคุณขอรับ
8  ThaiProg / Any Colour You Like / Re: กระทู้สำหรับให้สมาชิกมาระบายอารม เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2008 | 10:34:53 AM
ผมไปให้เครดิต แล้วขอรับ กรุณา ใช้คำพูดที่สุภาพหน่อยขอรับ จะส่งผลให้รู้ว่าตัวเองเกรียนขอรับ

ผมไม่ได้เกรียนนะขอรับ ผมไว้ยาวนะขอรับ
9  ThaiProg / Outside The Wall / Re: ลองมารีวิว อัลบัมกันมะ เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2008 | 10:28:24 AM
ขอโทษนะครับ

http://parid.prachatai.com/?p=12

http://parid.prachatai.com/?p=10

มัน"คือ"อะไรครับ ไหนบอกเป็นของตัวเองไงครับ

ไม่เป็นไรขอรับผมลืมให้เครดิต ผมไม่ได้ รีวิว เองขอรับ
10  ThaiProg / Any Colour You Like / Re: จุดจบของนักสะสมชาว ThaiProg ! เมื่อ: 30 มิถุนายน 2008 | 05:06:14 PM
ยังไม่รู้ว่าจะถึงจุดจบเมื่อไร แต่อยากสะสมของดี ๆ ไว้ฟังและไว้ดูเล่นเพลิน ๆ เท่าที่กำลังทรัพย์จะอำนวยครับ

คารวะ 1 ไห
11  ThaiProg / Outside The Wall / Re: ใครฟังวง Return To Forever เมื่อ: 30 มิถุนายน 2008 | 05:04:19 PM
สุดยอดคอนเซ็ปท์แบนด์ครัฟ
แต่ละอัลบั้ม จะเปลี่ยนคอนเซ็พท์ไปเรื่อยๆ แนวดนตรีก็เปลี่ยนไปด้วยครับ

วงนี้ถูกเรียกว่า นักดนตรีของนักดนตรี
    * Chick Corea - Keyboards
    * Stanley Clarke - Electric bass, Acoustic bass
    * Lenny White - Drums, Percussion
    * Al Di Meola - Electric guitar, Acoustic guitar

หมายความว่านักดนตรีด้วยกัน ยังต้องฟัง ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเราๆท่านๆ ที่โหนรถเมล์กินข้างแกง(ในโรงเรียน)หรอกครัฟ

เราตามวงนี้เหนื่อยครับ แฮ่กๆๆ
ไม่ใช่ผลงานหรอกนะ เพราะมีไม่เยอะ8ชุดเอง (สตูฯ-7 ไลฟ์-1)

แต่มาเหนื่อย ตอนตามของแต่ละคนนี่แหละ

อย่างท่านชิก คอเรีย นี่นับไม่ถ้วน ขยันจริงๆ ล่าสุดนี้ เอาเรื่องในหนังสือมาทำเพลง(สู่ดวงดาว กับ อาหรับราตรี) ดีครับ ไม่ผิดหว้ง น้าชิกแก มาตราฐานไว้ใจได้เสมอ ยิ้มเท่ห์

แล้วน้าอัล ดิ มีโอล่าล่ะ ช่วงที่เธอเล่นกีต้าร์ไฟฟ้านั้น ต้องมีทุกชุดทีเดียว เพราะซาวด์ได้ใจ ชาวโปรกมากๆๆๆ มาห่างเหินกัน ตอนที่น้าอัล เลือดรักชาติรุนแรง เล่นแต่แทงโก้ แทงโก้ และแทงโก้ (ลาหละน้า)

แต่ที่สำมะคัญอย่างตัวนำยิ่งยวด ต้องน้าสแตนลี่ย์ คลาร์ก คนนี้แหละที่ทำให้เราชาวเบส ได้ยืดหน้าอ้าปาก จากหลังเวที มาเป็นตัวเด่นตัวนำ กับชาวบ้านเขาบ้างซิครัฟ
งานของน้าสแตน เวลาดีก็ดีสุดยอดเกินคำบรรยาย บทจะดิสโก้ ก็มาเฉยๆซะงั้น งง..อ้ะ
แนะนำ Journey to Love(1975) กับ School Days(1976) หากไม่ดีเอาหัวนายกเป็นประกัน

โชคดีที่มือกลองไม่เด่น ม่ายงั้นคงหมดตัวหมดก้น แค่วงเดียวนะเนี่ย.. ยิงฟันยิ้ม

ฟันธงได้กระชับ เข้าเนื้อ
ข้าน้อย คาระวะ 1 จอก


งั้นผมขอ 1 ไห เลย
12  ThaiProg / Outside The Wall / Re: ลองมารีวิว อัลบัมกันมะ เมื่อ: 30 มิถุนายน 2008 | 05:00:40 PM
มนุษยชาติชั่วโมงสุดท้าย พิราบขาวของ Scorpions บินสู่หนในแล้ว



Scorpions อัลบั้มล่าสุด Humanity - Hour I เป็นอัลบั้มที่วงแมงป่องได้กลับมาผยองเดชอีกครั้ง ซึ่งดนตรีในแบบของสกอร์เปี้ยนส์ยุคเก่าได้ผสานกับดนตรียุคใหม่อย่างกลมกลืน แม้จะมีเสียงกีต้าร์หนักแน่น มีพลัง แต่เมโลดี้สวย ๆ ในแบบของ Scorpions ก็ยังคงไม่เสื่อมคลายไป และแน่นอนว่าเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Klaus Meine ซึ่งอาจจะโรยไปบ้างตามอายุไข แต่ก็ยังคงมาตรฐานและความเป็น Klaus Meine ได้อย่างเต็มเปี่ยม

หากแฟน ๆ ยุคเก่าของ Scorpions ได้มาฟังอัลบั้มนี้คงอาจจะทำให้ไพล่รู้สึกคิดถึงบรรดาบทเพลงสุดคลาสสิกของพวกเขาขึ้นมา ซึ่งเพลงเหล่านั้นถึงขั้นมีออกมาให้ร้องเป็นคาราโอเกะ ไม่ว่าจะเป็น Wind of Change , Always Somewhere , You and I , Holiday หรือแม้กระทั่ง Still Loving You

แต่ด้วยอะไรรอบตัวในตอนนี้ เพลงที่ผมนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ กลับเป็นเพลงเศร้า ๆ อย่าง Send me an Angel , Under the same sun และ White Dove จะว่าเศร้า หดหู่ จนไร้ความหวังก็ไม่ใช่ จะว่ามีความหวังก็ไม่เชิงนัก แต่สิ่งที่บทเพลงเหล่านี้ขับขานออกมาได้เป็นอย่างดีคืออารมณ์ความรู้สึกร่วมทุกข์แบบที่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ และจริงอยู่ความเห็นใจอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหา แต่บทเพลงเหล่านี้โดยเฉพาะเพลง White Dove ก็ได้เปรียบเหมือนตัวแทนบอกความรู้สึกของคนที่ได้แต่มองสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ เช่นเดียวกับพวกเขา …เช่นเดียวกับผม

“And now you’re telling me
You’ve seen it all before
I know that’s right but still
It breaks my heart
Well, the golden lamb we’ve sent
Makes us feel better now
But you know it’s just a drop
In a sea of tears”

“และตอนนี้คุณก็บอกฉันว่า
คุณได้เห็นมันมาหมดแล้ว
ฉันรู้คุณพูดถูกแต่ว่า
มันยังคงทำให้ฉันเจ็บปวดอยู่ดี
แกะทองคำที่เราส่งไป
ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในตอนนี้
แต่คุณก็รู้สุดท้ายมันเป็นได้เพียงแค่
หยดหนึ่งในทะเลแห่งน้ำตา”

- White Dove

ท่อนนี้ของเพลง White Dove (พิราบขาว) สะเทือนใจผมมาตั้งแต่ตอนที่ผมยังอยู่ในสมัยเรียนมัธยม ในตอนนั้นจะยังคงไม่อาจตีความอะไรจากเพลงนี้ได้ เพราะผมยังเป็นเด็กโง่ ยังไม่รู้ว่าการต่อสู้ของประชาชนเพื่อเสรีภาพในหลาย ๆ ประเทศมันมีราคามากกว่าการเสี่ยงชีวิตจากกระสุนปืนของทรราชย์ มันทำให้เกิดผู้ลี้ภัย เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง การขอความช่วยเหลือที่ยากจะมาถึง ฯลฯ และแกะทองคำ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ความสงบสุขกลับมาได้จริง ๆ

Klaus Meine เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตัวเขาเองก็อยากจะทำเพลง ให้คนที่ได้ฟังเพลงของเขามีความหวัง เด็กหนุ่มสาวในประเทศที่ยังคงมีสงครามกลางเมืองบอกว่า พวกเขาที่มีไฟฟ้าใช้แค่วันละชั่วโมง ได้มีโอกาสฟังเพลงของ Scorpions แล้วรู้สึกมีกำลังใจ

จึงไม่แปลก ที่หลายเพลงของวง Scorpions จึงกล่าวถึงเด็กและคนรุ่นต่อไปอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง แม้บางเพลงอย่าง Moment of Glory จะดูเป็นความหวังที่ดูยิ่งใหญ่เกินไปก็ตาม

ในอัลบั้มล่าสุด Humanity - Hour I นี้ก็มี Desmond Child หนึ่งในโปรดิวเซอร์มาช่วยคิดคอนเซปต์ให้ ซึ่งดูเหมือนว่ากาลเวลาที่ผันผ่านคงเริ่มทำให้พวกเขาสิ้นศรัทธาในอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นเพราะว่าบทเพลงที่พวกเขาทำออกมา ให้กำลังใจแก่ผู้คนได้ก็จริง แต่ผู้คนในมุมต่าง ๆ ของโลกยังคงต้องประสบกับความเลวร้ายเดิม ๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่เลย ในอัลบั้มนี้ พวกเขาจึงเริ่มหันมาพูดถึง “การล่มสลายของมนุษย์ชาติ”

เปิดมาด้วยเพลงที่ค่อนข้างหนักแน่นดุดันอย่าง Hour I ที่เนื้อหาพูดถึงการที่เครื่องจักรหันกลับมาทำลายมนุษย์ ซึ่งฟังดูออกจะเป็นเนื้อหาแนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่ Cliche ไปหน่อย ในตัวเพลงนี้ก็ได้พูดถึงเด็กเอาไว้เหมือนกัน แต่ในคราวนี้ Scorpions ไม่ได้พูดถึงเด็กในมุมมองเดิมของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ให้กำลังใจ ปลอบขวัญ หรือตั้งความหวังกับเด็ก ๆ อีกแล้ว แต่ Hour I บอกให้เด็ก ๆ ทั้งหลาย … รีบ ๆ หาที่ซุกหัวเอาตัวรอดซะ !!

“So here we are
It’s hour one
And it’s a nightmare
There’s nothing left
And yet it’s good to be alive
There’s no use crying
Cause the universe is not fair
The wicked and the innocent
Are fighting to survive”

- Hour I

จริง ๆ แล้วเพลงนี้อาจจะตีความไปได้หลายแง่นอกจากจะอิงคอนเซปต์เดิมของเพลง ฉะนั้น The Wicked (ผู้ร้าย) ในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงหุ่นแอนดรอยด์เพียงอย่างเดียว แต่เราอาจจะตีความมันเป็น นายพลเหลิงอำนาจผู้เหี้ยมโหดบางคนก็ได้

เพลงของ Scorpions โดยเฉพาะในอัลบั้มนี้ ไม่ได้มีแต่ Hour I เท่านั้นที่สามารถตีความไปได้หลายแง่ เพลงหลายเพลงมันอาจจะฟังดูเป็นเพลงรักก็ได้ หรือเป็นเพลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในแบบอื่นก็ได้ You และ I ในแต่ละเพลงจึงอาจจะเป็นมิตรสหาย เพื่อนร่วมชาติ หรือแม้แต่เพื่อนร่วมโลก

และแน่นอนว่า มีบ้างที่ “ฉันและเธอ” ในบางเพลงได้แสดงความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน และไม่ว่าความขัดแย้งนั้นมันลึกล้ำฝังรากมาขนาดไหนก็ตาม หากเรายังคงยึดติดอยู่ในสิ่งที่ตนเชื่อโดยไม่ยอมทำความเข้าใจกับสิ่งอื่นที่ (เราเชื่อว่า) เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเราเลยนั้น เราก็อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือประหัตประหารคนด้วยกัน เช่นเดียวเหตุการณ์บางอย่างในอดีต แม้มันจะถูกอะไรบางอย่างแอบบิดเบือนไปในทางประวัติศาสตร์ แต่ภาพความโหดร้ายนั่น มันไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ “มนุษย์” กระทำต่อกันเลย

“You were once a friend to me
Now you are my enemy
Passion turns to hate and you make
Hate worth fighting for
I will re-write history
And you will not exist to me
On the day you crossed the line
I found out love is war”

- Love is War

เมโลดี้ของ Scorpions ในอัลบั้มนี้หวานหอมน้อยลง เนื้อเพลงบางเพลงยังคงอารมณ์หวานซึ้งอยู่บ้าง เพียงแต่ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่า เหมือนพวกเขาพูดถึงมันได้ไม่เต็มปาก เพลงอย่าง Love will keep us alive (ซึ่งเหมือนของวง Eagles แค่ชื่อ) ฟังดูเฉย ๆ ชา ๆ The Future never dies หรือ We were born to fly อาจฟังดูมีพลังขึ้นมาหน่อย แต่มันก็ไม่อาจทำให้รู้สึกตามสิ่งที่มันสื่อได้มากนัก

ขณะที่ เพลงอย่าง Love is War , Your Last Song และ The Cross ซึ่งพูดถึงความขัดแย้ง ฟังดูหนักแน่นในอารมณ์มากกว่า อาจจะเป็นเพราะตัวดนตรี ที่ทางวง Scorpions เองยังสรรอารมณ์ของทั้งอัลบั้มได้ยังไม่ลงตัวนัก  หรืออาจจะเป็นเพราะโลกในตอนนี้ก็ได้ ที่ผลักให้บรรยากาศของเพลงมันเป็นไปตามสิ่งที่พวกเขาเชื่อ ในสิ่งที่พวกเขารู้สึกจริง ๆ

“How dare you use my shame
To play your wicked games
With the mask you’re wearing
And now you gotta make amends
For the demons in my head
I’ll nail you to the cross
The cross I’m bearing”

- The Cross

แม้จะไม่ใช่อัลบั้มที่สมบูรณ์หมดจด แต่ Humanity - Hour I ก็ทำให้ขาร็อคแฟนเพลงวง “แมงป่องผยองเดช” ยุคก่อน ๆ ออกมาชูฮกว่าแมงป่องได้กลับมาผยองเดชอีกครั้งจริง ๆ แล้ว

ในขณะเดียวกัน สำหรับบางคน (รวมถึงผมเอง) แล้ว อาจรู้สึกได้ว่า Scorpions ในบางด้านได้จืดจางหายไป
เป็นไปได้ว่า เพราะยังคงคิดถึงเพลงที่พูดถึงแสงสว่างในดินแดนที่มืดมน
เพราะยังคงมีความถวิลหา “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ครั้งเก่าก่อน แม้สายลมนั้นจะไม่ได้ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ทุกคนฝันกันไว้จริง ๆ ก็ตาม
หรือเพราะ…ยังคงปรารถนาที่จะได้เห็น (หรือได้ยิน) ว่า “พิราบขาว” สัญลักษณ์ของสันติและเสรี จะบินพาดผ่านนำความหวังกลับมา

ซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้…ที่จะหา “พิราบขาว” พบใน Humanity - Hour I

“Run and hide there’s fire in the sky
Stay inside
The water’s gonna rise and pull you under
In your eyes I’m staring at the end of time
Nothing can change us
No one can save us from ourselves”

- Humanity

เพราะแม้แต่ในเพลงสุดท้ายคือ Humanity ที่เป็นเหมือนบทสรุปของเนื้อหาทั้งหมด ก็ยังคงไม่วายพูดถึงความพินาศย่อยยับ และย้ำเตือนว่า ถ้าหากมนุษย์ยังไม่ได้เปลี่ยนตัวเองจากข้างใน อะไรก็คงมาเปลี่ยนไม่ได้

ช่างเป็นบทสรุปที่ฟังดูสิ้นหวังเหลือเกิน

13  ThaiProg / Outside The Wall / ลองมารีวิว อัลบัมกันมะ เมื่อ: 30 มิถุนายน 2008 | 04:58:06 PM
 Sum 41 อัลบัม Underclass Hero กับ ความพยายามพังค์ประท้วงที่ยังไม่มากพอ



Sum 41 เป็นอีกหนึ่งวงที่อยู่ในธารสายเชี่ยวของ Punk ร่วมสมัยไม่นานมานี้ ในแง่ของดนตรียังคงอิทธิพลส่วนหนึ่งจาก Metal โดยเจือไว้ในโครงดนตรี Pop Punk สมัยนิยม ซึ่งอิทธิพลความหนักส่วนหนึ่งคงมาจากมือกีต้าร์ที่เพิ่งออกจากวงไปอย่าง Dave Baksh อัลบั้มล่าสุด Underclass Hero จึงลดทอนซาวน์แบบ Metal ลงไป และกรุยทางอย่างเต็มที่ในความเป็น Punk ดนตรีแบบ Punk ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของการลุยไปข้างหน้านี้เองที่เหมาะกับการประท้วงดีแท้ แต่จะว่าไปความ Punk ของวงในอัลบั้มก่อนๆ ก็มากพอจะ “ประท้วง” ได้อยู่แล้ว

จึงไม่ใช่ว่ารูปแบบของดนตรีในแง่นี้จะเกี่ยวข้องกับทิศทางเนื้อหาที่เปลี่ยนไป ทางวงได้ออกมาบอกชัดเจนว่าเนื้อหาของอัลบั้มนี้จะหันมาพูดเรื่องสังคมการเมือง  ขณะที่ในอัลบั้มก่อนๆ Sum 41 มีภาพของวงขวัญใจวัยรุ่นอยู่พอสมควร

ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่นัก เพราะวง Pop Punk ขวัญใจวัยรุ่นอย่าง Green Day เองก็ได้เขียนเพลงเกี่ยวกับ ชีวิต สังคม การเมือง และสร้างผลงานชุดดังอย่าง American Idiot ออกมาแล้ว ไม่นับวง Political Punk อื่นๆ ที่มีแนวทางของตัวชัดเจน

แต่น่าสนใจตรงที่ว่า นอกจาก Linkin’ Park แล้ว วง Sum 41 เองก็เริ่มทำท่าว่าอยากจะหันมาสร้างงานที่ทำให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่า Linkin’Park ยังทำตรงนี้ได้ไม่ดีนัก เลยจะลองมาดูกันว่า Underclass hero อัลบั้มล่าสุดของ Sum 41 จะแสดงมุมมองต่อโลกนี้อย่างไร และทำได้ดีแค่ไหน

จะว่าไปชื่ออัลบั้มนี้ชวนให้นึกถึงชื่อเพลง Working Class Hero ของ John Lennon อยู่บ้าง คำว่า Working Class นั้น แปลตรงตัวได้ว่า ชนชั้นแรงงาน ถึงแม้ชื่อเพลงมันอาจจะชวนให้เข้าใจว่าเชิดชูผู้ใช้แรงงานก็ตาม แต่จริงๆ แล้วมันฟังดูเป็นเพลงวิจารณ์ระบบการศึกษามากกว่า และคำว่า Hero ก็ใช้อย่างประชดประชัน ไม่ได้นำมาใช้เชิดชู

ส่วนคำว่า Underclass มีความหมายกว้างกว่ามาก เพราะมันเป็นคำที่หมายรวมชนชั้นใต้ถุนสังคมผู้ไร้โอกาส ตั้งแต่คนจนข้ามรุ่น คนจรข้างถนน คนติดยา คนตัวเล็กที่ไร้กำลังในโลกของธุรกิจมืด ไปจนถึงคนไข้โรคจิต

เพลง Title Track ซึ่งขึ้นมาเป็นเพลงแรกของอัลบั้ม แม้ยังคงให้ความรู้สึกแบบ Pop Punk อยู่ แต่หากตัดอคติเรื่องความเป็นผู้ใหญ่ในเนื้อหาออกไป เนื้อเพลงมันก็สื่ออารมณ์แบบอนาคิสต์ผู้ป่าวประกาศต่อต้านรัฐและความเป็นสถาบันอย่างตรงไปตรงมาดี ติดตรงที่ดนตรียังฟังดูทรงพลังไม่มากพอ ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ค่อยไปด้วยกันกับเนื้อหาเท่าไหร่

“Well i wont be caught living in a dead end job
or pray to a government guns and gods
now its us against them
we’re here to represent
stare right in the face of the establishment
and i dont believe
stand on my own
wasting the use
speak for yourself”

- Underclass Hero

แต่ขณะเดียวกันไม่รู้ทำไม เมื่อผมได้ฟังอัลบั้มนี้แล้วกลับไม่รู้สึกนึกถึง Underclass ในภาพเดียวกับที่เขียนถึงในข้างต้นเลยแม้แต่น้อย อาจจะเว้นไว้หน่อยให้กับชนชั้น “วัยรุ่นมีปัญหา” ซึ่งก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็น Underclass จริง ๆ

ส่วนตัวผมเองแล้วชอบเพลงที่สะท้อนความรู้สึกสับสน เจ็บปวด เคียดแค้น ของวัยรุ่นที่อยากจะบอกอะไรต่อโลกและคนรอบข้างอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหากับเนื้อหาแบบนี้สักเท่าไหร่ เพียงแต่ราคาคุยของ Sum 41 ที่บอกว่าจะเป็นแนวสังคมการเมืองอาจจะเสียไปบ้าง เพราะเพลงที่มีเนื้อแบบ “วัยรุ่นมีปัญหา” อย่าง Count Your Last Blessing . Walking Disaster หรือ Dear Father (Complete Unknown) นั้นฟังดูสื่อออกมาได้จริงใจกว่าเนื้อเพลงที่พูดถึงเรื่องราวอื่นๆ ในอัลบั้ม

โดยเฉพาะเพลง Dear Father (Complete Unknown) ที่ Deryck Whibley มือกีต้าร์และนักร้องนำ เขียนถึงพ่อของตัวเขาเองที่ไม่เคยได้เห็นหน้าเลย เพราะเขาเป็นเด็กที่เกิดจากแม่อายุ 17 และพ่อก็ทิ้งเขาทั้งสองไป จะว่าไปเพลงนี้น่าจะทำให้วง Sum 41 ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพลงอื่นๆ เสียอีก เพราะเนื้อหามันก็ไม่ได้คร่ำครวญอะไรมากมาย และดูจะท้าทายผู้เป็นพ่อที่ทิ้งเขาไปหน่อยๆ ด้วย

“I addressed this letter to ‘dear father’
I know you as complete unknown
I guess it’s better you don’t bother
All our truth should be left alone”

- Dear Father (Complete Unknown)

ขณะที่เพลงอย่าง Pull the Curtain นั้นทำท่าว่าจะดีในช่วงต้นๆ เพลง แต่ตัวดนตรีกลับดูยืดยาวเกินความจำเป็นและพูดอะไรซ้ำซากไปหน่อย ส่วนเพลง Confusion And Frustration In Modern Times ที่ชื่อเพลงก็ประกาศอยู่แล้วว่า จะพูดถึง “ความสับสนและวิตกกังวลในโลกสมัยใหม่” นะ มันคงฟังดูน่าสนใจหากมีแง่มุมใหม่ๆ เกี่ยวกับผู้คนในยุคสมัยปัจจุบัน แต่กลายเป็นว่าเนื้อเพลงฟังดูโหวง ๆ ดนตรีก็ไม่ได้มีอะไรชวนให้รู้สึกถึงสิ่งที่พวกเขาบอก หรือแม้แต่พวกเขาเองจะรู้สึก Confuse หรือ Frustrate จริงๆ หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
 
หรือถ้าไม่คิดมาก การที่หลายเพลงดูจืด ๆ และสื่ออารมณ์ยังไม่ “ถึง” อาจจะมาจาก เสียงร้องนำของ Deryck Whibley เองที่ไม่ว่าจะเป็นเพลงเศร้า เพลงโกรธ หรือเพลงประชด ก็มีน้ำเสียงคล้ายกันไปหมดจน ทำให้อารมณ์ร่วมดูเจือจางไป

ไม่ต้องกลัวว่าจะลืมพูดถึงเพลงประท้วง แต่จะเรียกว่าเป็นเพลงประท้วงก็เรียกได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ เพราะเพลงโจมตีผู้นำ (แน่นอน…โดยเฉพาะ ผู้นำอเมริกา) คือ March of the Dogs , The Jester และ King of Contradition ฟังดูเป็นเพลงสาปแช่งมากกว่าจะเป็นเพลงที่พูดถึงปัญหาที่เกิดจากตัวคนที่พวกเขาโจมตี ตัวเพลงเองก็ดูจะมีแต่น้ำและไม่ได้มีท่าทีจะสะท้อนอะไรจาก Underclass เลยจริง ๆ

ผมเองพยายามจะไม่คิดอะไรมากกับมันและนึกเสียว่ากำลังฟังเพลงสาปแช่งเพื่อความสะใจของตัวเองอยู่ แต่จะว่าไป มันก็ยังมีเพลงสาปแช่งที่มันส์สะใจกว่านี้หลายเท่าอยู่นี่นา… ทำไมผมถึงต้องมามัวฟัง (Political?) Punk อยู่ด้วยเล่า

“I hope you burn like a cigarette in ashes
As your head comes down an crashes
Your throat pours blood from slashes
And I hope you never forget like a tatoo of regret this time, this time”

- King of Contradition

ให้ตายสิ…ทั้งที่ Sum 41 ตั้งมั่นไว้ว่าจะกรุยทางไปสู่เนื้อหาประท้วงสังคม แต่เพลงที่ผมชอบกลับเป็นเพลงที่สุดแสนจะปัจเจกอย่าง Best of Me ที่เป็นเพลงช้าได้อารมณ์ (โชคดีที่ Backing Vocal ช่วยกลบเสียงชืดๆ ของ Deryck ไว้ได้ในบางช่วง) เนื้อหาของเพลงนี้มันพูดถึงการสำรวจตัวเอง ที่สามารถตีความเป็นเพลงรักได้ ถ้าให้บอกกันจริง ๆ เนื้อหาสุดแสนจะปัจเจกบางเพลง มันกลับบอกอะไรจากสังคมได้ดีกว่าเพลง (พยายาม) ประท้วง เสียอีก

Sum 41 กลายเป็นอีกวงหนึ่งที่พยายามเปลี่ยนตัวเอง แต่กลับไม่สามารถก้าวข้ามอะไรบางอย่างไปได้ หากจะเรียก Underclass Hero ว่าเป็นอัลบั้มความหวังใหม่ของพังค์การเมือง มันก็จะกลายเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยรอยตำหนิและไปไม่ถึงสิ่งที่อยากจะเป็น หรือแม้กระทั่งจะคิดว่ามันก็คืออีกอัลบั้มหนึ่งของศิลปินพังค์วัยรุ่น ก็จะกลายเป็นอัลบั้มที่ดูด้อยพลังลงกว่าแต่ก่อนอยู่ดี

หาก Angry Young Men ทั้งหลาย อยากจะพูดถึงสังคมอย่างจริงจังบ้างมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่อยากลองให้พวกเขาไปศึกษาวง Political Punk บางวงดูเสียหน่อย อาจจะทำให้เห็นแนวทางได้มากขึ้น อย่างวง Anti-Flag ที่ประท้วงได้อย่างมีแนวทางชัดเจน หรือวง Propagandhi ที่เนื้อเพลงเสียดสีอย่างน่าคิด และแม้กระทั่งวงอื่น ๆ ที่ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรลึกนัก แต่ก็มีพลัง และอย่างน้อยก็เข้าใจในสิ่งที่ตนเองต้องการประท้วง

อีกนัยหนึ่ง การเป็น Angry Young Men มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะบางเพลง แม้มันจะไม่ใช่เพลงประท้วงหรือเพลงที่มุ่งสะท้อนสังคมอย่างจริงจัง แต่มันกลับสามารถถ่ายทอดอะไรจากสังคมออกมาได้ดีกว่าเสียอีก ที่สำคัญคือ ถ้าความโกรธเกรี้ยว หรือเศร้าโศกมันถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงาม และออกมาจากใจจริง มันก็ยังคงคุณค่าในความเป็นศิลปะอยู่ดี

14  ThaiProg / The Song Remains The Same / Re: สี่ห้าวันมานี้ ท่านฟังดนตรี Classic Rock อะไรกันบ้าง? เมื่อ: 30 มิถุนายน 2008 | 04:45:23 PM
scopions Humanity - Hour I

ฮ่าๆๆๆ
15  ThaiProg / Keep Talking / Re: อัลบั้มที่ให้อารมณ์หดหู่ มืดมน เคร่งเครียด (ที่ท่านชื่นชอบ) เมื่อ: 30 มิถุนายน 2008 | 04:39:02 PM
เอ่ออออ

Porcupine Tree

อัลบัม Fear Of Black Planet

อ่า

และก็ อัลบัม

ที่มีเพลง Russia On Ice จำไม่ได้ว่าอัลบัมอะไร

แต่ชอบเพลง Russia On Ice มากๆๆๆ

ฮ่าๆๆๆ
หน้า: [1] 2 3 ... 5
ThaiProg.net Ver 4.0 by tisanai,Shineon,kongbei
Top 10 Best Sellers in Kindle eBooks Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers In Automotive Parts And Accessories Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers in Tools and Home Improvement Under $10, Reviewer 2016
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Best Sellers in Clothing
Top 10 Best Sellers in Books reviewer 2017 Top 10 Best Sellers in Books Best Sellers in Books
Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Reviewer 2017 Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Best Sellers In Grocery