ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
การค้นหาขั้นสูง

149733 กระทู้ ใน 4436 หัวข้อ- โดย 847 สมาชิก - สมาชิกล่าสุด: axlrose

21 พฤษภาคม 2024 | 05:59:45 AM
Thai Progressive Rock CommunityThaiProgAny Colour You LikeA Story behind a song (for Seagate gang)
หน้า: [1] 2
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: A Story behind a song (for Seagate gang)  (อ่าน 15686 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2010 | 07:26:45 PM »

เรื่องมีอยู่ว่า ผมมีกลุ่มเพื่อนๆ ที่คบกันอยู่ที่บริษัท ที่เป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน (หรือไม่ก็รุ่นใกล้ๆ กัน) อยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ประมาณสิบกว่าคน ซึ่งนอกกิจกรรมร่วมกันที่นอกเหนือไปจากกินข้าว นั่งคุยไร้สาระ แซวคนโน้นคนนี้ เฮฮาปาจิงโกะกัน ตามประสาคนใกล้หมดวัยรุ่นแล้ว ก็มีน้องคนนึงที่บริษัทเค้าชอบส่งเพลงในรูปแบบของ mp3 แจกกันในเมล์ของที่ทำงาน (ไม่ต้องห่วงว่าจะผิดกฎหรือไม่ เพราะผมไม่รู้ แต่เห็นเค้าทำกันเยอะเหมือนกัน) โดยเพลงที่น้องเค้าส่งก็จะเป็นพวกเพลงไทยตลาดทั่วๆ ไป ส่งทีละสองสามเพลง Attach File แนบเข้ามากับเมล์ ซึ่งพอส่งมาปุ๊ป ก็จะมีคนเขียนตอบเมล์ปั๊ป พร้อมกับ ขอบคุณน้องเค้าว่า แหม หาอยู่พอดีเลยนะ เพลงเนี้ย หรือไม่ก็ เพราะจังเลยอะไรประมาณนี้

และเนื่องจากไอเราก็ฟังเพลงไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านอยู่แล้ว ก็เลยเกิดคิดขึ้นมาเล่นๆ ว่าอยากส่งเพลงที่เราชอบให้กับเพื่อนๆ ได้ฟังบ้าง ซึ่งก็มีเพื่อนหลายๆ คนรู้ว่าผมชอบฟังเพลงเก่าๆ ก็เลยได้โอกาสที่จะเลียนแบบน้องเค้าโดยการส่งเพลงที่อยากแจกให้เพื่อนๆ ฟังบ้าง โดยตั้งใจไว้ว่า ทุกๆ เพลงที่ส่งให้เพื่อนๆ ผมจะเขียนบทความเกี่ยวกับเพลงนั้นๆ แนบไปด้วย เพื่อที่คนที่ฟังจะได้เข้าใจแบ๊กกราวน์ และเนื้อหาที่อยู่ภายในบทเพลงเหล่านั้น เพลงส่วนใหญ่ที่ผมแจกไปก็เป็นเพลงเก่าๆ หวานๆ บัลลาดยุค 70's ทั้งนั้น ไม่รู้จะมีใครสนใจฟังไหม แต่ก็มีเห็นเปิดฟังโหลดฟังกันไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้คอมเมนต์อะไรกลับมา (คงไม่เคยคุ้นชินกับเพลงประเภทนี้กระมัง)

กระทู้นี้ผมขออนุญาตนำบทความที่คู่กับบทเพลงเหล่านั้นมาลองให้ได้อ่านกันดู อย่าลืมว่า ผมเขียนให้กับคนที่ไม่ได้มีประสบการณ์กับการฟังเพลงยุค 70's หรือเพลงฝรั่งที่เราชอบฟังกันมาก่อนเลย ดังนั้นผมจะเขียนให้ซิมเปิ้ลและเข้าใจเข้าถึงได้ง่ายที่สุดเท่าที่ทำได้ครับ ผมตั้งใจจะส่งเพลงและเขียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนครบหนึ่งร้อยเพลง (จะถึงรึเปล่าก็ไม่รู้สิ)

ไหนๆ สมาิชิกเว็บนี้ก็เริ่มมีความสนใจในดนตรีในคนละแบบที่ห่างไกลตัวผมมากขึ้นไปเรื่อยๆ แล้ว ก็เลยขอใช้วิธีนี้พูดคุย ระบายเรื่องราวเกี่ยวกับบทเพลงที่ผมอยากพูดถึงบ้าง ก็แล้วกันนะครับ ขอเชิญรับชมได้เลยครับ
บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2010 | 07:30:33 PM »

Number 1
Billy Joel - Just The Way You Are
from "The Stranger" - 1977




เพลงบัลลาดเพลงนี้ เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม The Stranger ของ Billy Joel อัลบั้มคลาสสิคระดับ Masterpiece และถือเป็น Breakthrough Album ของ Billy Joel ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในวงกว้างด้วย อัลบั้มนี้ปัจจุบันทำยอดขายในอเมริกาได้ 10x Platinum ส่วนเพลงนี้ขึ้นถึงอันดับสามใน U.S. Billboard เมื่อปี 1977-78 ถือเป็นเพลงบัลลาดที่อบอุ่นและน่าฟังอีกเพลงหนึ่งของยุค 70's เลย

ในตอนแรกเริ่ม Joel แต่งเพลงนี้ไว้ แล้วเขาไม่ชอบมันมากนัก เพราะมันฟังดูเป็นเพลงผู้หญิงเกินไป ตอนนั้น Linda Ronstadt เข้ามาในสตูดิโอ และ Joel ก็เล่นเพลงนี้ให้ฟัง แล้วก็บอกกับ Linda ว่า เขาไม่ชอบเพลงนี้มากนัก และคิดว่าคงจะไม่เอามันใส่ลงในอัลบั้ม แต่ Linda กลับบอกว่า "เธอต้องใส่เพลงนี้ลงในอัลบั้มนะ มันคงบ้าแน่ๆ ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น" แล้ว Linda ก็คิดถูกจริงๆ เพราะภายหลังเพลงนี้กลายมาเป็นซิงเกิ้ลฮิตเพลงหนึ่งของปี 1978 และเพลงที่โด่งดังที่สุดในอัลบั้ม The Stranger

สิ่งที่ทำให้เพลงนี้มีคุณค่าและต่างจากเพลงรักเพลงอื่นๆ คือ เค้าบอกว่า "ฉันรักเธอ อย่างที่เธอเป็น เธอไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ ในตัวเธอ เพื่อที่จะทำให้ฉันพอใจหรอกนะ เพราะยังไงฉันก็รักเธออยู่แล้ว" ที่จริงแล้วที่เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่ผู้หญิงร้องก็เพราะว่า ประโยคข้างต้นนี้ คงจะเป็นประโยคที่ผู้หญิงน่าจะพูดกับผู้ชายที่เธอรัก มากกว่า ที่ผู้ชายจะพูดอะไรออกมา แต่สมัยนี้อาจไม่ใช่ก็เป็นได้นะ

ประโยคดีๆ ในเพลงนี้ ยังมีอีก....
"ไม่ต้องไปลองแฟชั่นใหม่ๆ ไม่ต้องเปลี่ยนสีผมของเธอหรอกนะ"
"อย่าคิดว่าเธอดูธรรมดาๆ เกินไป จนฉันจะมองข้ามเธอไปนะ"
"ฉันไม่ต้องการคำพูดคมคาย ฉลาดๆ หวานๆ จากเธอ ฉันไม่ต้องการให้เธอไปพยายามทำอะไรแบบนั้นหรอกนะ ฉันต้องการแค่ใครซักคน ที่ฉันคุยด้วยได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว"
"ฉันจะไม่ปล่อยเธอทิ้งไว้คนเดียว ในยามที่เธอมีปัญหา"
"ฉันอยากจะ ให้เธอเป็นเหมือนคน คนเดิม ที่ฉันเคยรู้จักเสมอมา"
"อะไร ที่ทำให้มันทำให้เธอเชื่อมั่นในตัวฉัน มันก็ทำให้ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอ เช่นกัน"
"ฉันยอมรับได้ทั้ง ช่วงเวลาที่ดี และไม่ดี ฉันยอมรับเธอได้เสมอ"
"ฉันไม่ สามารถรักเธอไปได้มากกว่านี้แล้ว ฉันรักเธออย่างที่เธอเป็น"

เพลง นี้บันทึกเสียงโดยใช้เปียโนไฟฟ้า Fender Rhodes ต่อผ่านเข้ากับ Effect ที่เรียกว่า Phaser ซึ่งในเป็นตัวเดินเรื่องตลอดทั้งเพลง เสริมด้วยอคูสติกกีตาร์ เครื่องสาย และโซโล่ Alto Saxophone ในตอนท้ายเล่นโดย Phil Woods

ลองฟังกันดูนะ คงไม่เก่าเกินไปที่จะรับได้ ซาวน์มันก็ค่อนข้างร่วมสมัย ไม่ได้โบราณอะไรขนาดฟังกันไม่ได้หรอกนะ

Lyrics

Don't go changing, to try and please me
You never let me down before
Don't imagine you're too familiar
And I don't see you anymore
I wouldn't leave you in times of trouble
We never could have come this far
I took the good times, I'll take the bad times
I'll take you just the way you are

Don't go trying some new fashion
Don't change the color of your hair
You always have my unspoken passion
Although I might not seem to care

I don't want clever conversation
I never want to work that hard
I just want someone that I can talk to
I want you just the way you are.

I need to know that you will always be
The same old someone that I knew
What will it take 'till you believe in me
The way that I believe in you.

I said I love you, and that's forever
And this I promise from the heart
I could not love you any better
I love you just the way you are.
บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2010 | 07:32:38 PM »

Number 2
Jackson Browne - Running on Empty
from "Running on Empty" - 1978




จากที่บอกไว้ว่า จะพยายามส่งเพลงสลับกัน เพลงรักบ้าง เพลงที่มีเนื้อหาซีเรียสจริงจังบ้าง จะได้ไม่เบื่อ ไม่เลี่ยนกันเกินไป วันนี้ขอนำเสนอเพลง Running on Empty จากอัลบั้มชื่อเดียวกันนี้ ของ Jackson Browne นักแต่งเพลงที่แต่งเพลงใด้เศร้าหมองที่สุดคนนึงในวงการ ร็อคแอนด์โรลล์ ซึ่งความจริงก็เคยเขียนถึงเพลงนี้ไปแล้วในเว็บ แต่ก็อยากจะมาเขียนเกริ่น พร้อมกับคัดลอกข้อความนั้นมาให้ได้อ่านกันดู

ความจริง เพลงที่มีเนื้อหาเศร้า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีภาคดนตรีหรือ จังหวะที่ฟังแล้วเศร้าหมอง เหมือนกับเพลงนี้ เป็นร็อคจังหวะปานกลาง ที่มีสไลด์กีตาร์ฝีมือของ David Lindley คลอไปตลอดทั้งเพลง

ย้อนกลับ ไปซักสามสี่ปี ตอนนั้นดูหนังเรื่อง Forrest Gump ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ชาย คนหนึ่งที่มีสติไม่ค่อยสมประกอบเหมือนคนทั่วไปนัก แต่เค้าก็ได้พยายามใช้ชีวิตอยู่ เรียนรู้ชีวิต และพยายามเข้าใจมัน ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ใครบ้างคนที่มีสติสมประกอบไม่เคยทำเลย ในฉากๆ หนึ่ง Forrest ตัวเอกของเรื่อง ไม่รู้คิดยังไง อยู่ๆ ก็ออกวิ่งไปทั่วสหรัฐอเมริกา วิ่งตระเวนไปรัฐโน้น รัฐนี้ อย่างไร้จุดหมาย ตอนแรกๆ ก็ไม่มีใครสนใจ หาว่า Forrest คนนี้บ้าหรืออย่างไร แต่อยู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งศรัทธาในตัว Forrest ได้คิดและตีความไปว่า การที่ Forrest ออกวิ่งอย่างไร้จุดหมายนั้น คือการวิ่งเพื่อประท้วงสงคราม วิ่งเพื่อสันติภาพและความสงบสุขของโลก และแล้วคนกลุ่มนั้นก็ออกวิ่งติดตาม Forrest ไปด้วย โดยทำเหมือน Forrest เป็นผู้นำของกลุ่มพวกเขา

สื่อมวลชนก็ต่างมาให้ความสนใจกับการวิ่งรอบสหรัฐอเมริกาของ Forrest บ้างก็มาสัมภาษณ์ ถึงจุดมุ่งหมายของการวิ่งของ Forrest และเมื่อ Forrest ไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนเหล่านั้น กลับกลายเป็นว่า Forrest คือฮีโร่ เป็นนักอุดมการณ์ในใจของคนหลายๆ คน และกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงไปใน ที่สุด ทั้งๆ ที่ตัว Forrest เองก็ไม่ได้รู้เหมือนกันว่า ตัวเองออกวิ่งไปเพื่ออะไร? ท้ายที่สุด อยู่ๆ Forrest ก็หยุดวิ่ง ผู้คนมากมายที่วิ่งตาม Forrest มาตลอด และดูเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ถาม Forrest ว่า ทำไมอยู่ๆ ถึงหยุดวิ่งล่ะ Forrest ตอบสั้นๆ ว่า "ผมเหนื่อย ผมอยากกลับบ้าน"

ในหนังเรื่องนี้ จะมีฉากที่ Forrest วิ่ง พร้อมกับผู้คนจำนวนหลายสิบที่วิ่งตาม Forrest ไป ด้วยความศรัทธา และการตีความว่านี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยอุดมการณ์ และแล้วเพลง Running on Empty เพลงนี้ ก็ได้ถูกใช้ไปเป็นซาวน์แทร็คประกอบ ในฉากนี้ "วิ่งอยู่บนความว่างเปล่า วิ่งอย่างมืดบอด วิ่งมุ่งหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ แต่ท้ายที่สุดดวงอาทิตย์ก็กลับขึ้นมา โผล่ข้างหลังเราอีกครั้ง" คำถามที่น่าคิดคือ เรากำลังวิ่งตามใครซักคน ที่กำลังวิ่งอยู่บนความว่างเปล่าหรือรึเปล่า?

ขอทิ้งท้ายด้วยบทความที่เคยเขียนทิ้งไว้ในเว็บบอร์ดเมื่อปลาย ปีที่แล้วนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดี และไม่วิ่งอยู่บนความว่างเปล่านะครับ

Running On Empty - Jackson Browne

คุณเคยเห็นคนบ้าเดิน ตามถนนไหม?


ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นคนบ้า หรือคนสติไม่สมประกอบเดินอยู่ตามถนน แต่ละคนก็จะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันหลากหลายรูปแบบ บางคนเดินไปเดินมาพูดคนเดียวเสียงดัง บางคนก็เดินแล้วพยายามพูดคุยกับคน อื่น บางคนเดินไปแล้วกางเกงก็ค่อยๆ หลุดลงมาจนกลายเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่าดู นัก (อันนี้เจอแถวๆ บ้านมาแล้วจริงๆ) บางคนหอบข้าวของมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะที่เค้าเก็บมาจากหลายๆ ที่ ซึ่งเค้ามองขยะเหล่านี้เป็นของมีค่า บางทีก็เป็นเศษพลาสติกสีๆ ขวดเก่าๆ เค้าจะเอาใส่ถุงขนาดใหญ่แล้วแบกขึ้นหลัง ทำเหมือนกับว่ามันเป็นสมบัติอันล้ำค่าของเค้า ที่ใครจะมาแตะต้องหรือเอาของเค้าไปไม่ได้ ไม่ว่าเค้าจะไปที่ไหน ก็จะแบกมันไว้ตลอด

ความจริงคนสติดีๆ อย่างเราก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนบ้าที่แบกของเหล่านั้น เพราะเราเองก็ต้องแบกสิ่งที่พวกเราคิดว่ามีค่าไว้เหมือนกัน ด้วยสังคมและค่านิยมที่ถูกสืบทอดแนวคิดต่อๆ กันมา เคยมีคนพูดกับผมว่า ต้องเรียนต่อให้สูงๆ มีงานในบริษัทดีๆ ทำ มีหน้ามีตา มีวิถีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ พวกเราตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตของตัวเอง เราวาดฝันว่าเมื่อเราไปถึงจุดหมายเหล่านั้นเมื่อไหร่ เราจะต้องมีความสุข แล้วเรารู้ได้ยังไง ว่าถ้าเราไปถึงเป้าหมายนั้นแล้ว เราจะมีความสุขจริงๆ

เรา กำลังวิ่งไล่ตามความฝันอย่างงั้นเหรอ ความฝันที่ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าเมื่อเราไปถึง เราจะมีความสุข ความฝันที่มันคือชีวิตในอุดมคติของคนหมู่มากในสังคม ซึ่งเราเองก็โดนหล่อหลอมมาจนกลายเป็นพิมพ์เดียวกับพวกเค้า แล้วเราเองก็บ้า บ้าที่จะแบกเป้าหมาย แบกอุดมการณ์ แบกค่านิยมของคนอื่น หลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีความสุขได้ยังไง ชีวิตต้องการอะไร เราก็แค่ใช้ชีวิตไปให้มันเหมือนคนอื่นๆ เท่านั้นแหละ

ท้ายที่ สุดแล้ว เรากับคนบ้าเหล่านั้นก็เหมือนกัน ตรงที่พอเราตายไปแล้ว เราก็เอาอะไรไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นของรักของหวง การศึกษา อำนาจ ฐานะ ภาพลักษณ์ อีกทั้งเราเองก็ยังไม่รู้ว่าระหว่างทางที่เรากำลังวิ่งไปข้างหน้า เราอาจตายเมื่อไหร่ก็ได้ วันนี้ พรุ่งนี้

เรียนรู้ตัวเองกันเถอะ เพราะยังไงชีวิตนี้ เราทุกคนก็ต้องวิ่งอยู่บนความว่างเปล่าอยู่แล้ว อย่าหลอกตัวเองเลยว่า เรามีเป้าหมายในชีวิตมากมาย เราจะต้องได้ดิบได้ดีอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็จะไม่เหลืออะไรอยู่ดี ขอให้เราทำวันนี้พรุ่งนี้ให้มีความสุข มีความสุขกับคนรอบข้างที่เรารัก ไม่เบียดเบียนผู้อื่น มันก็เพียงพอแล้วเนอะ

Lyrics

Looking out at the road rushing under my wheels
Looking back at the years gone by like so many summer fields
In '65 I was seventeen and running up 101
I don't know where I'm running now, I'm just running on

Running on - running on empty
Running on - running blind
Running on - running into the sun
But I'm running behind

Gotta do what you can just to keep your love alive
Trying not to confuse it with what you do to survive
In '69 I was twenty-one and I called the road my own
I don't know when that road turned onto the road I'm on

Running on - running on empty
Running on - running blind
Running on - running into the sun
But I'm running behind

Everyone I know, everywhere I go
People need some reason to believe
I don't know about anyone but me
If it takes all night, that'll be all right
If I can get you to smile before I leave

Looking out at the road rushing under my wheels
I don't know how to tell you all just how crazy this life feels
I look around for the friends that I used to turn to to pull me through
Looking into their eyes I see them running too

Running on - running on empty
Running on - running blind
Running on - running into the sun
But I'm running behind

Honey you really tempt me
You know the way you look so kind
I'd love to stick around but I'm running behind
You know I don't even know what I'm hoping to find
Running into the sun but I'm running behind
บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2010 | 07:35:24 PM »

Number 3-5
Norah Jones - Sunrise/What Am I to You?/Those Sweet Words
from "Feels like Home" - 2004




หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ Norah Jones กันมาบ้างแล้ว ทุกวันนี้เธอจัดได้ว่าเป็นนักร้องระดับซุปเปอร์สตาร์ของแนว Vocal-Pop-Jazz ในยุค 00's คนหนึ่ง ทั้งๆ ที่งานในยุคหลังๆ ของเธอดูห่างไกลความเป็นแจ๊สออกไปมากขึ้นทุกที

ย้อนกลับไปตอนที่เธอเดบิวต์ในปี 2002 เธอออกอัลบั้มแรกในชื่อ Come Away with Me ซึ่งเป็นแนวโวคอลแจ๊สลูกผสม หยิบโน่นหยิบนี่มาใส่ ทั้งบลูส์ คันทรี ป๊อป แต่ด้วยภาพลักษณ์และซาวน์ที่หนักไปทางแจ๊ส บวกกับซิงเกิ้ลฮิตระดับโลกอย่าง Don't Know Why อีกทั้งรางวัลแกรมมี่อวอร์ดแปด รางวัลที่เธอได้จากอัลบั้มนี้ ส่งผลให้เธอกลายไปเป็นซุปเปอร์สตาร์ ระดับค้างฟ้าในเพียงปีเดียว ภาพลักษณ์ของนอร่าห์จึงกลายเป็นนัก ร้องเพลงแนวป๊อบแจ๊ส ประเภทลูกคุณหนูในคฤหาสน์หลังโต ที่เล่นและร้องเปียโนเพลงแจ๊สอย่างมีคลาส

แต่แล้วในอัลบั้มถัดมา แทนที่เธอจะตามรอยความสำเร็จ ด้วยการทำเพลงออกมาให้ใกล้เคียงกับ Come Away with Me สิ่งที่เธอทำกับ Feels Like Home อัลบั้มที่สองของเธอ คือการแปลงดนตรีของเธอให้กลาย เป็นคันทรีโฟล์ค กลิ่นของแจ๊สอ่อนมากจนแทบจะสัมผัสไม่ได้แล้ว แต่เหนือสิ่งอื่นใด เสียงร้องอบอุ่น นวลเนียนของเธอก็ยังคงสเน่ห์ไม่เปลี่ยน แปลง



ในอัลบั้มที่สองนี้ หลายเพลงทีเดียว ที่เธอร่วมแต่งกับ Lee Alexander ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของเธอที่คบหากันมาได้ซักสองสามปีแล้ว ซึ่งภายหลังจาก Feels Like Home ที่ออกในปี 2004 อัลบั้มที่สามของเธอที่ชื่อ Not Too Late ตัวลีเองก็ได้ไปนั่งแท่นโปรดิวเซอร์เต็มตัว ก่อนที่ความสัมพันธ์ของลีกับนอร่าห์จะเริ่มกระท่อนกระแท่น จนทั้งคู่เลิกกันในที่สุดช่วงประมาณปี 2008-2009 จนมาถึงอัลบั้มล่าสุดในปี 2009 ในชื่อ The Fall ที่เธอเปลี่ยนภาพลักษณ์ด้วยการ หั่นผมตัวเองให้สั้นลงไป แต่งตัวเปรี้ยวขึ้นอย่างเห็นได้

งานเพลงในอัลบั้ม Feels Like Home นี้ จึงเปรียบเสมือนภาพสะท้อนของช่วง เวลาที่เต็มไปด้วยความหวานชื่นในความรักของเธอ การที่เธอแต่งเพลงๆ หนึ่งเพื่อร้องให้กับคนที่เธอรัก กับการที่คนรักของเํธอแต่งเพลง มาให้เธอร้องเช่นกัน น่าจะเป็นความสุขที่ใครๆ อยากจะสัมผัสประสบการณ์แบบนี้บ้าง อย่างน้อยเราเองก็อิจฉาคนหนึ่งล่ะ ถึงแม้มันจะกลายเป็นอดีตที่ขมขื่นของนอร่าห์ไปแล้วก็ตามที

สามเพลงที่เลือกมาให้นี้ เป็นสามเพลงแรกที่วางอยู่ต้นของอัลบั้มพอ และทั้งสามเป็นก็ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลทั้งหมด ความไพเราะและความไหลลื่นของ สามเพลงนี้ต่อกัน เป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์กันเองว่ามันไพเราะและเข้า กั้น เข้ากัน ขนาดไหน ด้วยซาวน์อคูสติกรื่นหู เสียงร้องอบอุ่นฟังแล้วแทบละลาย อยากให้ลองได้ฟังกันดูครับผม

Sunrise
Lovely innocent song ที่เล่าถึงคู่รักที่ตื่นนอนสายด้วยกันทั้งคู่ เป็นเพลงที่ให้ความอบอุ่นระดับสุดขีด เสียงประสานสุดเนียน ดับเบิ้ลเบสนุ่ม เปียโนบางเบา และอคูสติกกีตาร์ที่เติมแต่งตลอดทั้งเพลง อาจทำให้ใครหลายคนละลายได้ เพลงนี้ลีร่วมแต่งกับนอร่าห์ ท่อนเวิร์สลีเป็นคนแต่งเอง ส่วนท่อน Hoooo นอร่าห์เป็นคนแต่ง

What Am I to You?
เพลงจังหวะกลางๆ  ติดร็อคและบลูส์ ที่มีบีตกลองหนักแน่นและชัดเจน ด้วยการตั้งคำถามว่า "ฉันเป็นอะไรกับเธอเหรอ?" มีทั้งแฮมมอนด์ออร์แกนกับตู้ลำโพงเลสลี่ เปียโนไฟฟ้า Wurlitzer สไลด์กีตาร์สไตล์บลูส์ ผสมผสานกันลงตัว ฟังแล้วอย่าลืมถามคนข้างๆ ที่แอบชอบอยู่ด้วยนะ "ตอนนี้เราเป็นอะไรกันเหรอ?" เพลงนี้นอร่าห์แต่งคนเดียวเลย

Those Sweet Words
เพลงช้าหวานๆ อีกเพลง ของคนที่อยากได้คำพูดหวานๆ จากคนที่เธอรัก "ความรักเป็นเหมือนลูกโป่งที่ลอย หายไป ลอยหายไปตอนบ่ายๆ นี้ แล้วหลังจากนั้นเธอก็โผล่มาหาฉัน" "ฉันอยากได้ยินคำหวานๆ แบบนั้นอีก พูดออกมาเหมือนเป็นทำนองเพลง" เพอร์คัสชั่นในเพลงนี้แปลกหูและเพราะมากเลยครับ

ลองฟังดูนะครับ รับรองว่าเพราะและเข้ากั้นเข้ากันทั้งสามเพลงจริงๆ รับรองว่าจะช่วยทำให้วันธรรมดาๆ ของคุณ สดใสและอบอุ่นขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อย เลยครับ

Lyrics

Sunrise
Sunrise, sunrise
Looks like morning in your eyes
But the clock's held 9:15 for hours

Sunrise, sunrise
Couldn't tempt us if it tried
'Cause the afternoon's already come and gone

And I say hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
Do you?

Surprise, surprise
Couldn't find it in your eyes
But I'm sure it's written all over my face

Surprise, surprise
Never something I could hide
When I see we made it through another day

And I say hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
Do you?

And now the night
Will throw its cover down
mmmmm, on me again
Ooooh, and if I'm right
It's the only way to bring me back

hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
Do you?

hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
hooooo, oooooo, oooooo, oooooo
Do you?

What Am I to You?
What am I to you
Tell me darling true
To me you are the sea
Fast as you can be
And deep the shade of blue

When you're feeling low
To whom else do you go
See I cry if you hurt
I'd give you my last shirt
Because I love you so

If my sky should fall
Would you even call
Opened up my heart
I never want to part
I'm giving you the ball

When I look in your eyes
I can feel the butterflies
I love you when you're blue
Tell me darlin' true
What am I to you

Yeah well if my sky should fall
Would you even call
Opened up my heart
Never wanna part
I'm giving you the ball

When I look in your eyes
I can feel the butterflies
Could you find a love in me
Could you carve me in a tree
Don't fill my heart with lies

I will you love when you're blue
Tell me darlin' true
What am I to you
What am I to you
What am I to you

Those Sweet Words
What did you say
I know I saw you saying it
My ears won't stop ringing
Long enough to hear
Those sweet words
What did you say

And now the day
The hour hand has spun
Before the night is done
I just have to hear
Those sweet words
Spoken like a melody

All your love
Is a lost balloon
Rising up through the afternoon
'Til it could fit on the head of a pin

Come on in
Did you have a hard time sleeping
'Cause a heavy moon was keeping you awake
And all I know is I'm just glad to see you again

See my love
Like a lost balloon
Rising up through the afternoon
And then you appear

What did you say
I know I saw you saying it
My ears won't stop ringing
Long enough to hear
Those sweet words
And your simple melody

I just have to hear
Your sweet words
Spoken like a melody
I just wanna hear
Those sweet words
บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2010 | 07:38:04 PM »

Number 6
Eagles - I Can't Tell You Why
from "The Long Run" - 1979




บางทีฉันก็บอกไม่ได้ว่าทำไม..................

ดูเรา สองคนสิ เราอยู่กันมาหลายปี ในความมืดมน

ทุกครั้ง ที่ฉันพยายามจะเดินหนี........ ไปจากเธอ

มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ ฉันต้องหันหลังกลับมา แล้วก็กลับมาอยู่กับเธอ

.... ฉันเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมเหมือนกัน

เวลาที่เราทะเลาะ กัน มันก็ไม่ค่อยถูกหรอกนะ ไอเรื่องพวกเนี้ย

ใจเย็นๆ หน่อยนะเธอ ตัวฉันเองก็เหงาเหมือนกันนะ

ไม่ต้องกังวลหรอก อดทนหน่อย เพราะฉันเองก็รักเธอเหมือนกัน

เท่าที่ฉันเห็นมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดพลาดมากมายหรอกนะ

เรา สองคนเองต่างหาก ที่ทำเรื่องอะไรให้มันยากกว่าที่ควรจะเป็น

.... ฉันเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมเหมือนกัน


เนื้อเพลงๆ นี้เค้าว่าไว้อย่างงั้นนะ



เพลงซอร์ฟร็อคบัลลาด ที่อบอวลไปด้วยอิทธิพลของ Al Green เพลงนี้ อยู่ในอัลบั้มสุดท้ายของ Eagles ในยุค 70's "The Long Run" ตามหลังจากอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของพวกเขา "Hotel California" ที่มีไตเติ้ลแทร็กเป็นเพลงที่ดังที่สุดในสามโลก หลังจากที่พวกเขาจะหายไปเกือบสามสิบ ก่อนจะตามมาด้วยสตูดิโออัลบั้มคู่ ในปี 2007 ที่ชื่อ Long Road out of Eden ซึ่งไม่ค่อยจะได้เรื่องเท่าไหร่

จุดเปลี่ยนที่ส่งผลจากความสำเร็จอันล้นหลามจากอัลบั้ม "Hotel California" เกิดขึ้น เมื่อ Glenn Frey มือกีตาร์/หัวหน้าวง ไปมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับ Randy Meisner มือเบสของวง ซึ่งส่งผลให้ภายหลังจากอัลบั้ม "Hotel California" แรนดี้ต้องออกจากวงไป

ทางวงพยายามหาสมาชิกคนใหม่มา แทนที่ในตำแหน่งเบส และแล้ว Timothy B. Schmit มือเบสที่เป็นสมาชิกของวง Poco ในขณะนั้น ก็ได้เข้ามาแทนที่แรนดี้ในตำแหน่งเบสของวง Eagles ซึ่งนอกเหนือไปจากฝีมืออันยอดเยี่ยมในการเล่นเบสของทิมแล้ว สิ่งที่เป็นจุดเด่นของเขาอีกอย่างหนึ่งคือ เสียงร้องแหลมสูงในแบบ Angelic Voice ที่หวานพอที่จะร้องเพลงบัลลาดละลายหัวใจสาวๆ ได้

แน่นอนว่า Glenn Frey/Don Henley คู่หูผู้นำวงสองคนนี้ ย่อมรู้ถึงจุดเด่นข้อนี้ดี พวกเขาคุยกันและออกความเห็นว่า "เราอย่ามาทำเพลงแบบ Poco ให้ทิมร้องอีกเลย เราลองมาทำอะไรที่แปลกกว่านั้นให้ ทิมร้องกันนี้กว่า" และแล้วมันก็ออกมาเป็นซิงเกิ้ลฮิตเพลงนี้ "I Can't Tell You Why" ซึ่ง Glenn Frey เคยให้สัมภาษณ์ว่า "เพลงนี้คือ Al Green ทุกระเบียดนิ้ว" ซึ่งผมเองก็เห็นอย่างนั้นจริงๆ

ในตอนนั้นคู่หู Glenn Frey/Don Henley ตะลุยฟังแผ่นเสียงของนักร้องแนว โซล Al Green เป็นตั้งๆ แล้วยกเอาพาร์ตกลองมาใช้หลายพาร์ต การเรียบเรียงในเพลงนี้ มันต้องบอกว่า "ใช่เลย Al Green ชัดๆ" กลองและเบสยืนพื้น แฮมมอนด์ออร์แกนคุมอยู่ห่างๆ ส่วนพาร์ตวอคอลก็ออดอ้อนซะ.... เสียงเปียโนไฟฟ้า Fender Rhodes นุ่มนวล หวานจ๋อย แซมด้วยเสียงเครื่องสายสังเคราะห์จากซินธ์

เพลงนี้ Timothy B. Schmit ร้องนำและเล่นเบส Glenn Frey หัวหน้าวง เหมาไปหลายอย่าง ทั้งเปียโนไฟฟ้า Fender Rhodes ร้องประสาน และกีตาร์โซโล่ ส่วน Joe Walsh เล่นคีย์บอร์ด Don Felder เล่นริธึ่มกีตาร์ Don Henley ตีกลอง

เชื่อว่าเพลงนี้ใครๆ หลายคนคงคุ้นหูอยู่พอสมควรนะครับ ลองฟังกันดูนะ จริงๆ ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบเพลงนี้

Lyrics
Look at us baby, up all night
Tearing our love apart
Aren't we the same two people who live
through years in the dark?
Ahh...
Every time I try to walk away
Something makes me turn around and stay
And I can't tell you why

When we get crazy,
it just ain't to right,
(try to keep you head, little girl)
Girl, I get lonely, too
You don't have to worry
Just hold on tight
(don't get caught in your little world)
'Cause I love you
Nothing's wrong as far as I can see
We make it harder than it has to be
and I can't tell you why
no, baby, I can't tell you why
I can't tell you why
No, no, baby, I can't tell you why
I can't tell you why
I can't tell you why
บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2010 | 07:40:34 PM »

Number 7
Fleetwood Mac - Dreams
from "Rumours" - 1977




เพลงๆ นี้ เขียนให้น้องสาวคนนึง

สายฟ้า จะผ่าลงมาก็เฉพาะตอนฝนตกเท่านั้น
ความรัก ก็เป็นเหมือนเกมๆ หนึ่ง
ผู้เล่นจะรักคุณ เฉพาะตอนที่เขาเล่นเกมนี้อยู่เท่านั้น
เขาบอกว่า สาวๆ น่ะเหรอ เดี๋ยวมา แล้วเดี๋ยวก็ไป
เมื่อฝนชะล้างตัวเธอ สะอาดแล้ว เธอก็จะรู้เองแหละ


อัลบั้ม Rumours ของ Fleetwood Mac เป็นอัลบั้มประวัติศาสตร์อีกชุดหนึ่ง ของวงการดนตรีในอเมริกา มันเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่าง สูง ปัจจุับันนี้มันทำยอดขายไปได้ถึง 40 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก ทั้งอัลบั้มบรรจุไปด้วยเพลงซอร์ฟร็อค AOR ระดับพระกาฬมากมาย

Dreams เป็นแทร็กที่สองของอัลบั้ม ที่เขียนโดยนักร้องนำหญิงของวง Stevie Nicks ผู้ซึ่ง(ในขณะนั้น) เป็นนักร้องสาวสวยที่เนื้อหอมที่สุด ในวงการร็อคแอนด์โรลล์เลยทีเดียว และแน่นอน เพลงนี้ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ล และเป็นเพลงที่โด่งดังที่สุดในอัลบั้ม Rumours (อาจจะสูสีพอๆ กับ Go Your Own Way ซึ่งเป็นอีกหนึ่งซิงเกิ้ลดังจากอัลบั้มนี้เช่นเดียวกัน) เพลงนี้ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในชาร์ตของ US ในปี 1977 ด้วย



ในช่วงต้นของปี 1976 ในช่วงที่พวกเขาบันทึกเสียงอัลบั้ม Rumours กันอยู่นั้น สถานภาพและความสัมพันธ์ของคู่รักภายในวงเข้าถึงจุดแตกหัก Stevie Nicks นักร้องนำสาว มีปัญหากับ Lindsey Buckingham แฟนหนุ่มมือกีตาร์/นักร้อง ที่คบกันมาถึงแปดปี และเลิกกันในที่สุด ส่วนมือเบส John McVie ก็มีปัญหากับภรรยาของเขาที่เป็นมือ คีย์บอร์ด/นักร้อง Christine McVie และก็แยกกันอยู่มาได้ซัักพัก (วงนี้มีสมาชิกห้าคน เป็นหญิงสอง ชายสาม และเป็นคู่รักกันอยู่สองคู่) บรรยากาศในการบันทึกเสียงจึงค่อนข้างอึมครึม แตกต่างจากผลงานและความสำเร็จที่ได้มามากมายจากอัลบั้มนี้ นี่อาจจะเป็นข้อพิสูจน์ว่า ความกดดันหรือบรรยากาศที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย อาจส่งผลให้สร้างงานดีๆ ออกมาก็ได้เหมือนกัน

Stevie Nicks แต่งเพลงนี้ที่ Record Plant Studio ที่ California "วันนึงฉันไม่ได้อยู่ใน Main Studio ฉันก็เลยเอาเปียโน Fender Rhodes เข้าไปในสตูิดิโอของวง Sly & the Family Stone ห้องนั้นเป็นห้องที่เป็นสีดำ-แดง ทั้งห้องเลย กลางห้องทำเป็นช่องหลุมกลมๆ แล้วก็มีเปียโนกับเตียงสีดำวางอยู่"

"ฉันนั่งลงบนเตียง แล้วก็เอาคีย์บอร์ดมาวางข้างหน้า ซักพักฉันก็ได้แพตเทิร์นกลองมา พร้อมกับบันทึกเสียงมันไว้ในเทปคาสเซ็ต ท์ ฉันใช้เวลาเขียนเพลงนี้ภายใน 10 นาที แล้วฉันก็นึกขึ้นได้อีกว่าจริงๆ แล้วน่าจะทำเพลงนี้ให้มันเป็น Dance Beat นะ เพราะว่ามันจะให้ทำแปลก จากเพลงที่ฉันทำปรกติไปด้วย"

เมื่อ Nicks เล่นเพลงนี้ให้สมาชิกวงได้ฟัง ทางวงก็ตัดสินใจที่จะบันทึกเสียงมันในวันถัดมา เบสิคแทร็คที่เป็นพาร์ตกลองกับเสียงร้องของ Nicks ถูกบันทึกเสียงที่สตูดิโอใน Sausalito ก่อนที่จะบันทึกเสียงกีตาร์และ เบสในภายหลัง ที่สตูดิโอใน Los Angeles

Christine McVie พูดถึงเพลงนี้ไว้ว่า ตอนแรกเธอรู้สึกว่ามันเป็นเพลง ที่น่าเบื่อมาก ทั้งเพลงมีแค่สามคอร์ด และโน๊ตเบสในมือซ้ายที่เธอต้องเล่นคีย์ บอร์ดก็มีแค่ตัวเดียว ซึ่งภายหลัง Lindsey Buckingham ได้ทำการ "fashioned three sections out of identical chords, making each section sound completely different. He created the impression that there’s a thread running through the whole thing." (ตรงนี้ขอไม่แปลนะครับ อ่านเองจะเวิร์คกว่า)

เพลงนี้ให้บรรยากาศที่นุ่มนวลชวนฝัน จริงๆ เหมือนกับชื่อเพลง Stevie Nicks ร้องแบบใช้เสียงที่เราเรียกกันว่า "Enchanting Voice" คือน้ำเสียงหวานใส ออดอ้อน และโลลิสุดยอด ให้อารมณ์เหมือนเด็กสาวที่ร้องเพลงอย่างมีความสุข บวกกับภาพลักษณ์ของเธอในสมัยนั้นที่เหมือนนางฟ้า ทั้งหน้าตาและการแต่งตัว ทำให้ Stevie Nicks เป็นขวัญใจของหนุ่มๆ และเป็นไอดอลของเด็กสาวๆ ในสมัยนั้น



ไว้ ว่างๆ จะเอาเพลงของวงนี้มาฝากอีกนะครับ เป็นวงโปรดเลย เพลงเค้าจะเพราะแบบหวานๆ นุ่มๆ ชวนฝัน แต่ไม่เลี่ยนเหมือนเพลงป๊อบจาก วงอื่นๆ เลย

Lyrics
Now here you go again you say you want your freedom
Well who am I to keep you down
It's only right that you should play the way you feel it
But listen carefully to the sound
Of your loneliness, like a heartbeat, drives you mad
In the stillness of remembering what you had
And what you lost
And what you had
And what you lost

Oh, thunder only happens when it's raining
Players only love you when they're playing
Say women, they will come and they will go
When the rain washes you clean you'll know

Now here I go again, I see the crystal visions
I keep my visions to myself
It's only me who wants to wrap around your dreams now,
Have you any dreams you'd like to sell?
Dreams of loneliness, like a heartbeat, drives you mad
In the stillness of remembering what you had
And what you lost
Of what you had
Ooh, what you lost

Thunder only happens when it's raining
Players only love you when they're playing
Women, they will come and they will go
When the rain washes you clean you'll know

You'll know

Oh, thunder only happens when it's raining
Players only love you when they're playing
Women, they will come and they will go
When the rain washes you clean you'll know

You'll know
You will know
Oh, you'll know
บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
อาโนลด์ เลนย์
Oxygene
********
กระทู้: 2539



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2010 | 09:49:55 PM »

แวะมาอ่านครับ..เพลงโปรดของผมทุกเพลงเลย
บันทึกการเข้า
dr. buska
The Dark Side of the Moon
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 1225



ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2010 | 10:07:17 PM »

เยี่ยมครับ เข้าใจลึกซึ้ง และบางเพลงเราไม่เคยตั้งใจหาความหมายขนาดนี้
ลองหาเพลง country ชื่อเพลง forever and ever,amen ของ randy travis ที่แต่งโดย paul overstreet มาฟังและดูเนื้อเพลงสิครับ เหมาะสำหรับร้องในงานแต่งงานมาก
บันทึกการเข้า

Pong-Wanchai
The Snow Goose
**********
กระทู้: 8464



ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2010 | 08:57:08 AM »

ลองส่งเพลง Holiday ของคณะ Scorpions ให้เพื่อนๆ สิครับ...น่าจะมีเฮ  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
deja vu
The Dark Side of the Moon
*****
กระทู้: 1061


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2010 | 02:35:44 PM »


  fleetwood mac ทำให้ผมกลับมาชอบเพลง pop อีกครั้ง หลังจากแสวงหาเพลงแปลกๆฟังอยู่พักหนึ่ง
  ในที่สุดก็พบว่าเพลงที่น่าฟังที่สุดก็คือเพลงที่ฟังง่ายที่สุด

   ขอเพลงได้ไหมครับ
   down in the willow garden  - art
   morning has broken  - cat
   american pie  - don
   say you love me  -  fleetwood mac
บันทึกการเข้า
ท่านผีเพลง
Voyage Of The Acolyte
*********
กระทู้: 4733


Phantom of the Paradise


ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2010 | 04:45:54 PM »


  fleetwood mac ทำให้ผมกลับมาชอบเพลง pop อีกครั้ง หลังจากแสวงหาเพลงแปลกๆฟังอยู่พักหนึ่ง
  ในที่สุดก็พบว่าเพลงที่น่าฟังที่สุดก็คือเพลงที่ฟังง่ายที่สุด
จริงครับ  ยิงฟันยิ้ม
แต่เพลงที่ฟังง่าย กลับแต่งยากที่สุดเหมือนกันนะครับ
อย่างเพลงครู All I have to do is dream จะฟังกี่ทีก็มิมีเบื่อ  เจ๋ง
บันทึกการเข้า

Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2010 | 08:18:00 PM »


  fleetwood mac ทำให้ผมกลับมาชอบเพลง pop อีกครั้ง หลังจากแสวงหาเพลงแปลกๆฟังอยู่พักหนึ่ง
  ในที่สุดก็พบว่าเพลงที่น่าฟังที่สุดก็คือเพลงที่ฟังง่ายที่สุด

   ขอเพลงได้ไหมครับ
   down in the willow garden  - art
   morning has broken  - cat
   american pie  - don
   say you love me  -  fleetwood mac

เดี๋ยวจัีดให้ครับ เพลงโปรดของผมทุกเพลงเช่นกัน
บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
eric
Selling England By The Pound
**
เพศ: ชาย
กระทู้: 197


เละเทะ


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2010 | 08:52:01 PM »

ขอบคุณครับได้ความรู้เต็มเลย
บันทึกการเข้า

My Life in room
deja vu
The Dark Side of the Moon
*****
กระทู้: 1061


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2010 | 08:54:07 AM »


  fleetwood mac ทำให้ผมกลับมาชอบเพลง pop อีกครั้ง หลังจากแสวงหาเพลงแปลกๆฟังอยู่พักหนึ่ง
  ในที่สุดก็พบว่าเพลงที่น่าฟังที่สุดก็คือเพลงที่ฟังง่ายที่สุด

   ขอเพลงได้ไหมครับ
   down in the willow garden  - art
   morning has broken  - cat
   american pie  - don
   say you love me  -  fleetwood mac

เดี๋ยวจัีดให้ครับ เพลงโปรดของผมทุกเพลงเช่นกัน


   ขอบคุณล่วงหน้าครับ

   ขอเพิ่มอีกเพลงได้ไหมครับ
   เห็นคุณแจ็คพูดถึงเพลง All I HAVE TO DO IS DREAM ทำให้นึกถึงเพลงๆหนึ่ง
   ซึ่งเคยฟังตั้งแต่เด็กๆ  เพลง DONNA DONNA

บันทึกการเข้า
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2010 | 04:35:12 PM »

Number 8-11
Blackfield - Once / 1,000 People / Miss U / End of the World
from "Blackfield II" - 2007




คำเตือน - นี่มันไม่ใช่เพลงเก่านะ นี่มันคือเพลงยุคปัจจุบัน ที่ออกมาในปี 2007 ใครที่คิดว่าเราฟังแต่เพลงเก่า ขอให้ลองฟังสี่เพลงนี้บ้างนะ รับรองว่ามันคือเพลงยุคปัจจุบันจริงๆ จ้า

เมื่อ วานหยิบ iPod มาเปิดเพลงฟังระหว่างขับรถกลับบ้าน และแล้วอัลบั้ม Blackfield II นี่ก็เข้ามาในหัวในขณะที่กำลังขับรถไป ฝนตกพรำๆ ที่ปัดน้ำฝนแกว่งไปแกว่งมาอย่างช้าๆ ที่เมื่อวานนึกขึ้นมาถึงอัลบั้มนี้ ได้ด้วยเหตุผลสามประการ

ประการแรก เมื่อวานตอนเที่ยงไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดกับแก๊งค์น้องๆ ก็นั่งรถน้องนะไปกัน พอขากลับน้องนะเปิดเพลง Chasing Cars ของวง Snow Patrol ให้ฟัง ฟังดูแล้วก็เลยนึกถึงซาวน์เพลงที่คล้ายๆ กันนี้ ของอัลบั้มที่ตัวเองเคยฟัง ก็เลยนึกถึงอัลบั้มนี้ขึ้นมาเป็นอันดับแรก เลย

ประการที่สอง ช่วงนี้มีเรื่องวุ่นวายใจมาให้เหงาๆ เบื่อๆ เซ็งๆ อยู่บ้าง อยากหาอะไรที่มันอินๆ กับอารมณ์ช่วงนี้ฟังซะหน่อย อัลบั้มชุดนี้สามารถ ตอบสนองความต้องการตรงนี้ได้อย่างดี

ประการที่สาม ใครๆ ก็รู้ว่าช่วงนี้ฝนตกพรำๆ ทุกเย็นเลยใช่ไหม อากาศเย็นกำลังดี เหมาะกับการเดินตากฝนเล่นรอบๆ โรงงานเป็นอันมาก เดินให้หัวเปียกๆ หน่อย จะได้เป็นหวัดเป็นไข้กันบ้างก็ไม่เลวนะ เวลาเดินตากฝนพรำๆ แล้วรู้สึกร่างกายและจิตใจของเราจะเป็นอิสระอย่างบอกไม่ถูก มีใครเป็นแบบนี้กันบ้างไหม?



เข้าเรื่องเพลงกันดีกว่า อัลบั้ม Blackfield II นี้ เป็นผลงานจากวงชื่อเดียวกันกับอัลบั้มนี้ที่ชื่อ Blackfield วงนี้มีสมาชิกวงหลักอยู่เพียงสองคน ซึ่งทำหน้าที่แต่งเพลง สลับกันร้องนำ และโปรดิวซ์งานเพลง ซึ่งก็คือ Steven Wilson ซึ่งเป็นแกนนำของ Porcupine Tree วงโปรแกรสสีฟร็อคชื่อดังจากเกาะ อังกฤษ มาร่วมงานกับ Aviv Geffen ศิลปินร็อคจากประเทศอิสราเอล ซึ่งทั้งคู่เจอกันจากการที่ Steven Wilson เชิญ Aviv Geffen ไปแจมในคอนเสิร์ตของวง Porcupine Tree ที่ประเทศอิสราเอล หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ร่วมบันทึกเสียงและทำอัลบั้มออกมาด้วยกัน สองชุดในนามวง Blackfield ซึ่งประกอบด้วย Blackfield I ที่ออกในปี 2004 และ Blackfield II ที่ออกตามมาอีกในปี 2007

แนวดนตรีของวงนี้จัดเป็น Art Rock ผสมกับ Alternative Rock มีกลิ่นของป๊อปเจืออยู่พอประมาณ ในขณะที่โทนและธีมโดยรวมของวงนี้จะออก ไปในทางอ้างว้าง หม่น และมองโลกและสังคมในแง่ร้าย ตามสไตล์ของ Aviv Geffen

ใน อัลบั้ม Blackfield II มีจุดเด่นคือการใช้ซาวน์เครื่องสายระดับ มาสเตอร์พีซ ที่กระจัดกระจายอยู่แทบจะทุกแทร็กทั่วทั้งอัลบั้ม ต้องขอบคุณฝีมือการเรียบเรียงของ Daniel Salomon มือคีย์บอร์ดของวง เสียงของเครื่องสายในอัลบั้มนี้ช่วยเพิ่มมิติให้เพลงของ Blackfield ให้มีอาณาเขตที่กว้างไกล อ้างว้าง สุดลูกหูลูกตา แน่นอนว่าทำให้อารมณ์เหงา และโรแมนติคไปด้วยในเวลาเดียวกัน เหมาะที่จะนั่งฟังคนเดียวในช่วง เวลาเย็นๆ ที่ฝนตกพรำๆ ทุกวันอย่างนี้อย่างแน่นอนเลยครับ

วันนี้ขอเลือกเพลงมาจากอัลบั้มนี้สี่เพลง ให้ลองได้ฟังกัน ถือซะว่าเป็นซาวน์แทร็คของชีวิตของผมในช่วงนี้ พร้อมๆ ไปกับบรรยากาศหน้าฝน ที่อากาศเย็นๆ แบบนี้แล้วกันครับ

Once
Once she would hold me
She was my only
Only true love
Once she had told me
That I'm holy
Only so long

She'll stay all night
She'll be so quiet
And she won't laugh at my jokes

เพลงร็อคจังหวะ ขึงขัง ที่เปิดด้วยเสียงกลอง ผนวกกับริฟฟ์กีตาร์เท่ห์ๆ ในท่อนอินโทรและท่อนเวิร์ส ตัดด้วยเสียงกีตาร์ดิสทอร์ทชั่นเต็มสตรีมใน ท่อน Pre-Chorus ส่วนท่อนคอรัสมีการใส่เครื่องสายและฮาร์โมนี่โวคอลสุดไพเราะ เข้ามา เนื้อหาพูดถึง "ครั้งหนึ่ง ณ วันหนึ่ง ที่เคยมีเธอ เธอเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน" มันก็อาจจะเป็นแค่ครั้งหนึ่ง ณ วันนั้นก็ได้นะ

1,000 People
One thousand people yell,
They're shouting my name,
But I wanna die in this moment,
I wanna die,

And then the sky is filled with stars,
I find a place inside my heart,
And then I watch her close her eyes,
It's only me that needs to cry,

"มีคนหนึ่งพันคนตะโกนเรียกร้องผม แต่ผมอยากตายเดี๋ยวนี้เลย ผมอยากตาย"

เพลงช้าที่เนื้อเพลงชวนให้ตกใจเพลงนี้ น่าจะพูดถึงชีวิตของผู้คนที่เป็นศิลปิน เป็นที่ต้องการและกลายเป็นบุคคล ที่เป็นที่นิยมของผู้คนมากมาย ความรู้สึกในใจที่น่าจะมีความสุข กลับกลายเป็นความเศร้าหมองของบุคคลนั้น

ไม่รู้ว่ามีใครเคยเป็นแบบนี้ไหม อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย พูดคุยเฮฮากันเสียงดัง แต่ในใจเรากลับเหงาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนไม่มีใครอยู่รอบตัว ไม่มีใครเข้าใจในตัวเรา รู้สึกว้าเหว่ ไม่มีที่พึ่งพิง เพลงนี้น่าจะให้อารมณ์ที่ใกล้เคียงกันกับความรู้สึก นี้

Miss U
You were living another life
It cuts me like a knife
I hope you understand
I'm the one who's left behind

It's not that I try to blame
It's just kind of a rainy day
I hope you understand
I'm the one who's left behind

Tomorrow you'll be gone
And I'll miss you

"เธอเองก็มีชีวิตอีกชีวิตหนึ่งของเํธอเองแล้ว มันทำร้ายฉันเหมือนถูกมีดคมบาด ฉันหวังว่าเํธอคงเข้าใจ ว่าฉันคือคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง"
"ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าเธอหรอก มันก็แค่วันเศร้าๆ อีกวันนึง ฉันหวังว่าเํธอคงเข้าใจ ว่าฉันคือคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง"
"พรุ่งนี้เธอจะจากฉันไปแล้ว แล้วฉันจะคิดถึงเธอ......"

End of the World
Don't you forget what I've told you
So many years
We are hopeless and slaves to our fears
We're an accident called human beings

Don't be angry for loving the baby
And say it's unreal
So many lives turned to salt
Like roses who're hiding their thorns

It's the end of the world
The end of the world
It's a prison for dreams and for hopes
And still we believe there is God
It's the end of the world
The end of the world
We're dead but pretend we're alive
Full of ignorance, fools in disguise

In your room doing nothing
But staring at flickering screens
Streets are empty, but still you can hear
Joy of children turning to tears

Disease hides around every corner
Quiet, lay still
Wait for a moment to hear
We forgot what is touch, what to feel

It's the end of the world
The end of the world
It's a prison for dreams and for hopes
And still we believe there is God
It's the end of the world
The end of the world
We're dead but pretend we're alive
Full of ignorance, fools in disguise

Take this pill, it will make you feel dizzy
And then give you wings
Soon, boy, you'll fall into sleep
Without nightmares, without any fears

If you wake up in hell or in heaven
Tell the angels we're here
Waiting below for a dream
Here in the garden of sin

It's the end of the world
The end of the world
It's a prison for dreams and for hopes
And still we believe there is God
It's the end of the world
The end of the world
We're dead but pretend we're alive
Full of ignorance, fools in disguise

เพลงนี้ฮาร์ดคอร์นิดนึงนะ คงเป็นการพยายามถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่สิ้นหวัง และไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ....
เนื้อเพลงภาษาอังกฤษเพราะมาก อ่านผ่านๆ เอาวรรณศิลป์ก็ได้ ไม่ต้องไปสนใจความหมายหรอก แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ ลองอ่านแล้วก็แปลดูนะ หรือจะดูคำแปลข้างล่างที่เราแปลมาให้แล้วก็ได้

ลืมไป แล้วเหรอว่าฉันเคยบอกอะไรเธอ มาตลอดหลายปี
เรามันสิ้นหวังและเป็นตกเป็นทาสของความหวาดกลัวของ เราเองมาตลอด
เราเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือการได้เกิดมาเป็นมนุษย์

ชีวิตมากมายกลายเป็นแค่เถ้าธุลี เหมือนดอกกุหลาบที่ซ่อนหนามเอาไว้

มันเป็นจุดจบของโลกแล้ว มันคือกรงขังความฝันและความหวังของเรา
แล้ว เีรายังเชื่อกันอีกเหรอ ว่ามีพระเจ้าอยู่จริง
เราตายไปแล้ว แต่เรายังทำเหมือนเรามีชิวิตอยู่
เต็มไปด้วยความโง่เขลา หลอกลวงตัวเราเอง

เรานั่งจ้องจอทีวีอยู่ในห้อง ถนนไร้ผู้คน และได้ยินเสียงความสุขของเด็กๆ เปลี่ยนมาเป็นเสียงร้องไห้

โรคร้ายและความเจ็บป่วยซ่อนอยู่ทุกๆ มุม เงียบไร้เสียงใดๆ เราลืมไปแล้วว่า อะไรคือความรู้สึก อะไรคือสัมผัส

กินยาเม็ดนี้สิ มันอาจทำให้เธอหน้ามืดนิดหน่อย
แต่มันจะทำ ให้เธอมีปีกไว้โบยบิน และซักพักเธอจะหลับไป
ไร้ ซึ่งฝันร้ายหรือความกลัวใดๆ
ถ้าเธอตื่นขึ้นในนรกหรือสววรค์
บอกเทวดา ด้วยนะ ว่าเรามาถึงแล้ว
เรากำลังรอความฝัน ของเรา
อยู่ในสวนแห่งบาป

มันเป็นจุดจบของโลกแล้ว มันคือกรงขังความฝันและความหวังของเรา
แล้วเีรายังเชื่อกันอีกเหรอ ว่ามีพระเจ้าอยู่
เราตายไปแล้ว แต่เรายังทำเหมือนเรามีชิวิตอยู่
เต็มไปด้วยความโง่เขลา หลอกลวงตัวเราเอง..........

เชิญ สัมผัสความอ้างว้าง กว้่างไกลสุดลูกหูลูกตาจากงานของ Blackfield กันได้เลยครับ อย่าฟังคนเดียวตอนเย็นๆ ตอนฝนตกล่ะ รับรองว่าจะได้ทั้งความ เหงาและความโรแมนติคไปด้วยพร้อมกันเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 สิงหาคม 2010 | 04:37:11 PM โดย Agent Fox Mulder » บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
หน้า: [1] 2
พิมพ์
กระโดดไป:  

ThaiProg.net Ver 4.0 by tisanai,Shineon,kongbei
Top 10 Best Sellers in Kindle eBooks Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers In Automotive Parts And Accessories Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers in Tools and Home Improvement Under $10, Reviewer 2016
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Best Sellers in Clothing
Top 10 Best Sellers in Books reviewer 2017 Top 10 Best Sellers in Books Best Sellers in Books
Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Reviewer 2017 Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Best Sellers In Grocery