ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
การค้นหาขั้นสูง

149726 กระทู้ ใน 4436 หัวข้อ- โดย 847 สมาชิก - สมาชิกล่าสุด: axlrose

17 พฤษภาคม 2024 | 08:18:05 AM
Thai Progressive Rock CommunityThaiProgAny Colour You LikeA Story behind a song (for Seagate gang)
หน้า: 1 [2]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: A Story behind a song (for Seagate gang)  (อ่าน 15680 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ
The Snow Goose
**********
เพศ: ชาย
กระทู้: 8547


nagoya_mega_snake@windowslive.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2010 | 04:40:54 PM »

อ้างถึง
เชิญ สัมผัสความอ้างว้าง กว้่างไกลสุดลูกหูลูกตาจากงานของ Blackfield กันได้เลยครับ อย่าฟังคนเดียวตอนเย็นๆ ตอนฝนตกล่ะ รับรองว่าจะได้ทั้งความ เหงาและความโรแมนติคไปด้วยพร้อมกันเลย

ทำมาหลายวันแล้ว และ ณ ขณะที่พิมพ์นี้ก็ยังทำอยู่ครับ (แต่ผมฟัง Blackfield I ซะส่วนใหญ่นะ)  ยิ้มเท่ห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 สิงหาคม 2010 | 04:42:55 PM โดย (((( 1 i 1 i u m )))) » บันทึกการเข้า


Stay cheap, praise the explicit, embrace the scuzz, be true to art and yourself, eat shit, keep music evil.
lilivm's self-indulgence: https://rateyourmusic.com/~potatahtapapoh
TRON
The Snow Goose
**********
เพศ: ชาย
กระทู้: 12866



ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2010 | 04:43:37 PM »

ถูกใจจริงๆครับบาส ช่วงนี้หยิบ Blackfield II มาฟังบ่อยมาก ยิ่งฟังมากเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกว่า Blackfield II มันยอดเยี่ยมกว่า Blackfield I มากเข้าไปทุกที เรียกว่าสุดยอดตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้าย แต่นิดนึงครับ ถ้าเอาเพลง Where Is My Love? มาคั่นก่อน End of The World จะดีมาก เพราะรู้สึก 2 เพลงนี้มันต้องฟังต่อกันตลอด ตอนแสดงสดก็เล่นต่อกัน (ถึงแม้เนื้อเพลงจะวนไปมาไม่ค่อยลึกซึ้งมากนัก) แต่เรียกว่าจบเพลง Where Is My Love ? แล้วไม่ได้ฟัง End of The World ต่อทันที มันรู้สึกเหมือนคาใจคาหูยังไงบอกไม่ถูก ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 สิงหาคม 2010 | 04:46:39 PM โดย Who's TRON? » บันทึกการเข้า
ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ
The Snow Goose
**********
เพศ: ชาย
กระทู้: 8547


nagoya_mega_snake@windowslive.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2010 | 04:51:41 PM »

อ้างถึง
(ถึงแม้เนื้อเพลงจะวนไปมาไม่ค่อยลึกซึ้งมากนัก)

ไอ้ที่ฟังวนไปวนมานี่มันสะเทือนอารมณ์ดีนักแหละ  ร้องไห้
บันทึกการเข้า


Stay cheap, praise the explicit, embrace the scuzz, be true to art and yourself, eat shit, keep music evil.
lilivm's self-indulgence: https://rateyourmusic.com/~potatahtapapoh
TRON
The Snow Goose
**********
เพศ: ชาย
กระทู้: 12866



ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2010 | 04:54:58 PM »

อ้างถึง
(ถึงแม้เนื้อเพลงจะวนไปมาไม่ค่อยลึกซึ้งมากนัก)

ไอ้ที่ฟังวนไปวนมานี่มันสะเทือนอารมณ์ดีนักแหละ  ร้องไห้

เมโลดี้มันเข้ากับเพลงมากจริงๆ โดยเฉพาะเสียงเครื่องสายที่แทรกเข้ากระชากอารมณ์ได้สุดๆ ฟังแล้วสัมผัสได้ถึงคนๆหนึ่งที่เดินบนถนนที่มีคนเดินมากมาย แต่เหมือนเป็นคนเดียวดายบนโลกนี้ ร้องไห้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 สิงหาคม 2010 | 04:56:45 PM โดย Who's TRON? » บันทึกการเข้า
ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ
The Snow Goose
**********
เพศ: ชาย
กระทู้: 8547


nagoya_mega_snake@windowslive.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2010 | 05:09:56 PM »

จริงๆผมชอบเนื้อเพลงของ Blackfield อยู่อย่างตรงที่เค้าจะใช้คำง่ายๆแต่ฟังแล้วมันสะเทือนอารมณ์มาก (ทั้งที่พูดถึงเรื่องความรักและเรื่องสังคม) ยิ่งมาอยู่กับดนตรีเรียบๆแต่มีรายละเอียดทางอารมณ์ลึกล้ำขนาดนี้ มันยิ่งกลายเป็นผลงานที่กระตุ้มต่อมอ่อนใหวทางอารมณ์ได้มากๆ อย่างเพลง My Gift of Silence ที่ฟังเผินๆก็เหมือนเป็นเรื่องราวของรักที่ผิดหวังทั่วๆไป แต่มันก็แสดงถึงความเจ็บลึกและยังทำให้เราคิดอะไรได้หลายๆอย่างทีเดียว

"The smile on my lips
Is a sign that I don't hear you leaving me,
And I don't hear my own soul scream."

ที่เธอเห็นฉันยิ้มๆน่ะ ก็เพราะฉันไม่รู้ยังไงล่ะว่าเธอกำลังจะจากไปแล้ว
และฉันก็ยังทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงใจตัวเองพร่ำร้องอีกด้วย

"Don't blame yourself,
Don't change yourself,
Just want to be over you
Save you love,
Don't hate yourself,"

เธออย่าโทษตัวเองเลยนะ
ขอให้เป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม
ฉันแค่อยากให้มันจบๆสิ้นไปเสียที
เก็บความรักนั้นไว้เถอะนะ
แล้วจงอย่าเกลียดตัวเองด้วย

(...แปลเน่ามาก...)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 สิงหาคม 2010 | 05:23:08 PM โดย (((( 1 i 1 i u m )))) » บันทึกการเข้า


Stay cheap, praise the explicit, embrace the scuzz, be true to art and yourself, eat shit, keep music evil.
lilivm's self-indulgence: https://rateyourmusic.com/~potatahtapapoh
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2010 | 02:14:31 PM »

Number 12
Cat Stevens - Morning Has Broken
from "Teaser and the Firecat" - 1972




เพลงฮิตจากปี 1972 เพลงนี้ เป็นผลงานของศิลปินที่ชื่อ Cat Stevens ศิลปินโฟล์คร็อคอีกคนหนึ่ง ที่โด่งดังพอสมควรในช่วงต้นยุค 70's ชื่อชั้นของเขาอาจจะไม่ถึงขนาดเทียบกับระดับตำนานอย่าง Bob Dylan, Neil Young หรือ James Taylor ได้ เนื่องจากงานของเขาค่อนข้างดิบกว่า และมีจำนวนเพลงฮิตน้อยกว่าด้วยเช่นกัน

Morning Has Broken เป็นเพลงจากอัลบั้ม Teaser and the Firecat หนึ่งในสองอัลบั้มที่ขึ้นชื่อที่สุด ของเขา (อีกอัลบั้มคือ Tea for the Tillerman ซึ่งออกมาก่อนหน้านี้) ชื่ออัลบั้ม Teaser and the Firecat เป็นชื่อเดียวกับชื่อหนังสือนิทานเด็ก ที่ตัว Cat Stevens เป็นคนเขียนและวาดภาพประกอบนิทานด้วยตนเอง บนหน้าปกอัลบั้มเราจะเห็นตัวละครจากเนื้อเรื่อง เด็กผู้ชายสวมหมวก Top Hat คนหนึ่ง กับแมวตัวสีส้ม "Firecat" ที่พยายามจะยกดวงจันทร์กลับไปวางคืนที่บนท้องฟ้าเหมือนเดิม หลังจากที่ดวงจันทร์ร่วงหล่นตกลงมาจากท้องฟ้า หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 1972 ก่อนที่จะหยุดพิมพ์ไปในช่วงกลางยุค 70's


Cat Stevens ณ ปัจจุบัน ซึ่งเขาได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามตั้งแต่ปี 1978 และเปลี่ยนชื่อตัวเองใหม่เป็น Yusuf Islam

ตัวเพลง Morning Has Broken เป็นเพลงที่ให้อารมณ์แตกต่างไปจากเพลงอื่นๆ ในอัลบั้มอย่างสิ้นเชิง เพราะปรกติแล้วงานของ Cat Stevens โดยภาพรวมทั้งอัลบั้มจะเป็นโฟล์คดิบๆ ที่เน้นเสียงกีตาร์โปร่งและเสียงร้องสากๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเำขา แต่สำหรับ Morning Has Broken แล้ว มันเป็นเพลงหวานๆ กึ่ง Lullaby ที่โดดเด่นด้วยเสียงเปียโนชุ่มกลิ่นคลาสสิคคัล จากฝีมือของ Rick Wakeman มือคีย์บอร์ดระดับกูรูจากวงโปรเกรสสีฟร็อคระดับตำนานอย่าง Yes

ที่มาของการได้ Rick Wakeman มาเล่นเปียโนในเพลงนี้คือ ตอนแรก Cat Stevens จะให้เพลงนี้มีแค่เพียงเสียงร้องและกีตาร์โปร่ง และมีความยาวแค่ 45 วินาทีเท่านั้น แต่โปรดิวเซอร์ Paul Samwell-Smith บอกกับเขาว่าเพลงมันสั้นเกินไปที่จะใส่ลงในอัลบั้ม อย่างน้อยเพลงควรจะมีความยาวมากกว่าสามนาทีขึ้นไป พอดีกับที่ Cat Stevens ไปได้ยิน Rick Wakeman ซึ่งกำลังเล่นท่อนเปียโนที่แต่งขึ้นสำหรับโซโล่อัลบั้มของตัวเองอยู่ในห้องข้างๆ (ภายหลังได้กลายมาเป็นเพลง “Catherine Howard" ในอัลบั้ม The Six Wives of Henry VIII) Cat Stevens เกิดติดใจและอยากจะให้ Wakeman มาเล่นเปียโนในสไตล์นี้ในเพลง Morning Has Broken บ้าง Stevens เลยจ้าง Wakeman ให้มาเล่นเปียโนในเพลงนี้ และเพิ่มท่อนบรรเลงเปียโนอันสุดแสนไพเราะจนเพลงมีความยาวเพิ่มขึ้นเป็นสามนาที แต่ Wakeman ไม่ได้ถูกให้เครดิตไว้สำหรับการเล่นเปียโนในอัลบั้มนี้แต่อย่างใด


Rick Wakeman ในยุค 70's กับภาพลักษณ์และการแต่งกายที่เหมือนพ่อมดผสมกับพระราชาของเขา Wakeman เป็นมือคีย์บอร์ดมืออันดับต้นๆ ของโลก ที่มีความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดได้หลาก หลายชนิด ทั้งอคูสติกเปียโน อิเล็กทริคเปียโน ซินธิไซเซอร์ต่างๆ ฮาร์ปซิคอร์ด เมโลตรอน และอื่นๆ อีกมากมาย สำเนียงการเล่นคีย์บอร์ดของเขา โอ่อ่า อลังการ ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในพระราชวังยังไงอย่างงั้นเลย

สำหรับภาคดนตรีและคำร้องของเพลงนี้ ไม่ได้ถูกแต่งขึ้นโดย Cat Stevens โดยดนตรีหลักถูกอ้างอิงมาจากเพลง Traditional ที่ชื่อ "Bunessan" ในขณะที่คำร้องก็เป็นการนำกลอนสวดของชาวคริสต์ชื่อเดียวกันกับชื่อเพลงจากการประพันธ์ของกวีชาวอังกฤษที่ชื่อ Eleanor Farjeon มาใช้ทั้งหมด สำหรับเนื้อร้องคราวนี้ขอไม่แปลนะครับ เดี๋ยวจะสูญเสียความไพเราะของต้นฉบับกลอนภาษาอังกฤษไปซะหมด

เชิญสัมผัสความไพเราะของเปียโนจากฝีมือของ Rick Wakeman และเสียงร้องอุ่นๆ จาก Cat Stevens ได้เลยครับ โดยเฉพาะใครที่ชอบเปียโนคลาสสิคคัล ห้ามพลาดเด็ดขาดเชียวล่ะครับ
บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
panyarak
The Snow Goose
**********
กระทู้: 9716



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #21 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2010 | 06:42:30 AM »

^^ Rick Wakeman นำเพลง Morning Has Broken ออกแสดงสดในงานเดี่ยวเปียโนเป็นประจำเลยครับ ผมรู้จักเพลงนี้จากคอนเสิร์ตของ Wakeman และ         ซิงเกิ้ลของ Sally Oldfield มาก่อนที่จะได้ฟังของ Cat Stevens เลยฟังของ Stevens แล้ว ไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2010 | 07:14:32 AM โดย panyarak » บันทึกการเข้า

ปีศาจลายคราม
The Snow Goose
**********
เพศ: ชาย
กระทู้: 14404


Reap What You Sow


ดูรายละเอียด
« ตอบ #22 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2010 | 09:01:11 AM »

Morning Has Broken ผมชอบเพลงนี้ครับ
บันทึกการเข้า
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #23 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2010 | 11:55:02 AM »

Number 13
Belle & Sebastian (Featuring Norah Jones) - Little Lou, Ugly Jack, Prophet John
from "Belle and Sebastian Write About Love" - 2010




น่ารัก โรแมนติค สดใส เย็น เนียน คือคำจำกัดความของเพลงนี้

ความจริงก็ไม่ได้เคยรู้จักหรือสนใจวงดนตรีอินดี้ป๊อปจากเมือง Glasgow ที่ชื่อ Belle & Sebastian วงนี้หรอก ได้แต่เห็นปกอัลบั้มผ่านๆ บน amazon จนมีน้องคนนึงมาแนะนำให้หาอัลบั้มใหม่ชุดนี้ของพวกเขามาฟัง พร้อมกับโปรยคำเชิญชวนไว้ว่า "มี Norah Jones มาร้อง Featuring เพลงนึงด้วยนะ" ซึ่งช่างเป็นคำเชิญชวนที่ยากจะปฏิเสธจริงๆ

ปรกติไม่ค่อยได้ผูกพันกับงานอินดี้ป๊อปมากนัก เพราะบางครั้งมัน "แนว" เกินไป ยากแก่การย่อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับหูเก่าๆ แก่ๆ ของผม แต่งานอัลบั้ม Belle and Sebastian Write About Love ชุดนี้ เป็นงานอินดี้ป๊อปที่หวาน ใส และเนียนมาก จึงถูกย่อยได้อย่างง่ายดาย เสียงของนักร้องนำวงนี้ Stuart Murdoch ช่างละม้ายคล้ายกับเสียงร้องของ Jonsi นักร้องนำของวงโพสต์ร็อค Sigur Ros เหลือเกิน แต่เนียนและดูจะฟังง่ายกว่าเยอะ ส่วนภาคดนตรีเป็นอินดี้ป๊อปง่ายๆ ที่มีสัดส่วนกำลังดีทีเดียวล่ะ ผสมผสานระหว่างอคูสติกกับอิเล็คทริคอ่อนๆ ได้อย่างลงตัว ซาวน์บางส่วนก็ค่อนไปทางเพลง Oldies ช่วง 60's 70's นิดๆ เสียด้วย


สมาชิก ของวง Belle & Sebastian ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 7 คน เครื่องดนตรีก็มีทั้ง เบส กลอง กีตาร์ คีย์บอร์ด ไวโอลิน และทรัมเป็ต

แน่นอนว่าแทร็ค Little Lou, Ugly Jack, Prophet John เป็นแทร็คที่ถูกผมเปิดฟังบ่อยมาก ที่สุดในอัลบั้ม ตัวเพลงเป็นบัลลาดหวานๆ เดินด้วย กลอง เบส อคูสติกกีตาร์ แฮมมอนด์ออร์แกน กีตาร์ซาวน์แบบ Telecaster จ๋าๆ และเปียโนไฟฟ้าบางเบา พอเสียงนอร่าห์โผล่เข้ามากลางเพลงเท่านั้นแหละ ก็เปลี่ยนโลกนี้ให้หวานและเย็นลงไปในทันใด ท่อนที่ร้องคู่กันก็ไพเราะจริงๆ เป็นอีกหนึ่งเพลงร้องคู่ที่น่ารักที่สุดเพลงนึงที่เคยฟังมาทีเดียวล่ะ เนื้อร้องก็น่ารักดีนะ

.........ช่างเสียดายจัง สุดท้ายฉันก็ยังไม่ได้เป็นคนรักของเํธอได้ซะที
.........ช่างเสียดายจัง สุดท้ายฉันก็ยังไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนคนสนิทของเธอเลย


อัลบั้มรวมเพลงชุดใหม่ของ Norah Jones ที่ชื่อ "..Featuring" กำลังจะออกในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ เป็นอัลบั้มที่รวบรวมผลงานเพลงที่เธอไป Featuring ให้กับศิลปินคนอื่นๆ มากมายมารวมกัน รวมถึงผลงานจากวงไซด์โปรเจ็คของเธออย่างวง The Little Willies และ El Madmo ด้วย ใครชอบเสียงของเํธอก็เตรียมหามาฟังได้เลย

Lyric
[Stuart:]
What a waste, I could've been your lover
What a waste, I could've been your friend
Perfect love is like a blossom that fades so quick
When it's blowing up a storm in May

Travel south until your skin turns, woman
Travel south until your skin turns brown
Put a language in your head and get on a train
And then come back to the one you love

[Norah:]
Yeah you're great, you're just part of this lifetime of dreaming
That extends to the heart of this long summer feeling
Quiet night, you see the tv's glowing
Quiet night, you hear the walls are awake

Being you I'm getting out of a party crowd
Can I see what's underneath your bed?
Can I stay until the milkman's working?
Can I stay until the coffee awakes?

[Together:]
Do you hate me in the light?
Did you get a fright?
When you looked across from where you lay

Yeah you're great, you're just part of this lifetime of dreaming
That extends to the heart of this long summer feeling
All the history of wars I invent in my head
Little Lou, Ugly Jack, Prophet John

All the history of wars I invent in my head
Little Lou, Ugly Jack, Prophet John

[Stuart:]
What a waste, I could've been your lover

[Norah:]
What a waste, I could've been your friend
บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
eric
Selling England By The Pound
**
เพศ: ชาย
กระทู้: 197


เละเทะ


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #24 เมื่อ: 18 มีนาคม 2011 | 07:24:04 PM »

จริงๆผมชอบเนื้อเพลงของ Blackfield อยู่อย่างตรงที่เค้าจะใช้คำง่ายๆแต่ฟังแล้วมันสะเทือนอารมณ์มาก (ทั้งที่พูดถึงเรื่องความรักและเรื่องสังคม) ยิ่งมาอยู่กับดนตรีเรียบๆแต่มีรายละเอียดทางอารมณ์ลึกล้ำขนาดนี้ มันยิ่งกลายเป็นผลงานที่กระตุ้มต่อมอ่อนใหวทางอารมณ์ได้มากๆ อย่างเพลง My Gift of Silence ที่ฟังเผินๆก็เหมือนเป็นเรื่องราวของรักที่ผิดหวังทั่วๆไป แต่มันก็แสดงถึงความเจ็บลึกและยังทำให้เราคิดอะไรได้หลายๆอย่างทีเดียว

"The smile on my lips
Is a sign that I don't hear you leaving me,
And I don't hear my own soul scream."

ที่เธอเห็นฉันยิ้มๆน่ะ ก็เพราะฉันไม่รู้ยังไงล่ะว่าเธอกำลังจะจากไปแล้ว
และฉันก็ยังทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงใจตัวเองพร่ำร้องอีกด้วย

"Don't blame yourself,

เศร้ามากเลยครับฟังทีไรน้ำตาจะไหล
Don't change yourself,
Just want to be over you
Save you love,
Don't hate yourself,"

เธออย่าโทษตัวเองเลยนะ
ขอให้เป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม
ฉันแค่อยากให้มันจบๆสิ้นไปเสียที
เก็บความรักนั้นไว้เถอะนะ
แล้วจงอย่าเกลียดตัวเองด้วย

(...แปลเน่ามาก...)



บันทึกการเข้า

My Life in room
eric
Selling England By The Pound
**
เพศ: ชาย
กระทู้: 197


เละเทะ


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #25 เมื่อ: 18 มีนาคม 2011 | 07:26:19 PM »

จริงๆผมชอบเนื้อเพลงของ Blackfield อยู่อย่างตรงที่เค้าจะใช้คำง่ายๆแต่ฟังแล้วมันสะเทือนอารมณ์มาก (ทั้งที่พูดถึงเรื่องความรักและเรื่องสังคม) ยิ่งมาอยู่กับดนตรีเรียบๆแต่มีรายละเอียดทางอารมณ์ลึกล้ำขนาดนี้ มันยิ่งกลายเป็นผลงานที่กระตุ้มต่อมอ่อนใหวทางอารมณ์ได้มากๆ อย่างเพลง My Gift of Silence ที่ฟังเผินๆก็เหมือนเป็นเรื่องราวของรักที่ผิดหวังทั่วๆไป แต่มันก็แสดงถึงความเจ็บลึกและยังทำให้เราคิดอะไรได้หลายๆอย่างทีเดียว

"The smile on my lips
Is a sign that I don't hear you leaving me,
And I don't hear my own soul scream."

ที่เธอเห็นฉันยิ้มๆน่ะ ก็เพราะฉันไม่รู้ยังไงล่ะว่าเธอกำลังจะจากไปแล้ว
และฉันก็ยังทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงใจตัวเองพร่ำร้องอีกด้วย

"Don't blame yourself,

เศร้ามากเลยครับฟังทีไรน้ำตาจะไหล
Don't change yourself,
Just want to be over you
Save you love,
Don't hate yourself,"

เธออย่าโทษตัวเองเลยนะ
ขอให้เป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม
ฉันแค่อยากให้มันจบๆสิ้นไปเสียที
เก็บความรักนั้นไว้เถอะนะ
แล้วจงอย่าเกลียดตัวเองด้วย

(...แปลเน่ามาก...)




เศร้าจริงๆครับเพลงนี้ฟังทีไรมันเจ็บลึกทุกทีเลย
บันทึกการเข้า

My Life in room
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #26 เมื่อ: 24 มีนาคม 2012 | 12:34:56 PM »

Number 14
Fleetwood Mac - Rhiannon
from "Fleetwood Mac" - 1975




เมื่ออาทิตย์ก่อน ในขณะที่ทุกคนในคอกกับเพลิดเพลินกับเกม DrawSome ใน iPhone อยู่นั้น ผมก็ไปสะดุดกับชื่อของสาวคนนึงเข้าในระหว่างที่พี่กิฟกำลังเล่นเกมนี้อยู่กับคนจากแดนไกล ชื่อของเธอคือ "Rhiannon"

ผมได้เห็นชื่อ Rhiannon ครั้งแรก ในฐานะที่มันเป็นชื่อเพลงดังอันดับต้นๆ ของ Fleetwood Mac อีกเพลงหนึ่ง ในตอนแรกพอเห็นชื่อนี้ก็เกิดอาการงงๆ เหมือนกันว่า มันอ่านออกเสียงให้ถูกต้องยังไง อาศัยฟังในเพลงกับตามบทสัมภาษณ์มาอยู่นานพอสมควร จึงเริ่มมั่นใจว่า คำนี้ที่ถูกต้องจะออกเสียงว่า "รี-แอน-นอน"

Rhiannon เป็นหนึ่งในเพลงเด่นของอัลบั้ม Fleetwood Mac ซึ่งเป็น Self Titled Album ที่ออกในปี 1975 แต่ไม่ได้เป็นอัลบั้มชุดแรกของวง เพราะเนื่องจาก Fleetwood Mac เป็นวงดนตรีที่มีประวัติศาสตร์ค่อนข้างยาวนานมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 60's และก่อนหน้านี้สไตล์ดนตรีของวงเป็น British Blues ที่แสนจะเข้มข้น ด้วยมือกีตาร์แกนหลักของวงนาม Peter Green ที่เป็นแบบอย่างและรากฐานของมือกีตาร์บลูส์ร็อคชื่อดังของประเทศอังกฤษมากมาย ภายหลังจาก Peter Green ลาออกจากวงไปเมื่อปี 1970 ทางวงก็ประคับประคองสถานะความเป็นวงบลูส์มาได้อีกประมาณห้าปี ก่อนจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้วยอัลบั้มที่พาพวกเขาก้าวเข้าสู่เมนสตรีมร็อค ซึ่งก็คือ Self Titled Album ชุดนี้ที่ออกมาในปี 1975 นั่นเอง



หลังจากที่มือกีตาร์ Bob Welch ลาออกไป ทางวงก็มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาสองคน นั่นคือ Linsey Buckingham และ Stevie Nicks ซึ่งเป็นสองสามีภรรยาชาวอเมริกัน ผู้เปลี่ยนทิศทางของวงจากวงดนตรีบริทิชบลูส์ร็อค ให้กลายเป็นวงร็อคเมนสตรีมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเวลาต่อมา

เพลงเด่นๆ ในอัลบั้มนี้มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นป๊อบร็อคเจือกลิ่นคันทรีอย่าง Say You Love Me จากฝีมือของ Cristine McVie มือคีย์บอร์ดสาวของวง หรือเพลงอคูสติกเนื้อหาอบอุ่นกินใจอย่าง Landslide และแน่นอน Rhiannon ที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้เอง

Rhiannon เป็นเพลงจากฝีมือการประพันธ์และร้องนำของ Stevie Nicks ตัวเพลงมีบีตจังหวะที่สดใส เบสและกลองพาทุกอย่างไปข้างหน้าอย่างมีจังหวะลีลา เสียงร้องสดใสสไตล์โลติต้าของนิกส์ และเสียงประสานอบอุ่น ประกอบกับริฟฟ์กีตาร์ที่เล่่นคอร์ดด้วยโน๊ตสองตัวก็ทำได้อย่างน่าฟัง ทั้งหมดนี้ตัดกับคีย์ไมเนอร์ของเพลง สร้างบรรยากาศและความน่าฟังได้อย่างลงตัวน่าประหลาดใจยิ่งนัก นิกส์บอกไว้ว่าเธอเขียนเพลงนี้ขึ้นในปี 1974 โดยใช้เวลาในการเขียนไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น

Lyric
Rhiannon rings like a bell through the night
And wouldn't you love to love her
Takes to the sky like a bird in flight
And who will be her lover

All your life you've never seen a woman
Taken by the wind
Would you stay if she promised you heaven
Will you ever win

She is like a cat in the dark
And then she is the darkness
She rules her life like a fine skylark
And when the sky is starless

All your life you've never seen a woman
Taken by the wind
Would you stay if she promised you heaven
Will you ever win
Will you ever win

Rhiannon
Rhiannon
Rhiannon
Rhiannon

She rings like a bell through the night
And wouldn't you love to love her
She rules her life like a bird in flight
And who will be her lover

All your life you've never seen a woman
Taken by the wind
Would you stay if she promised you heaven
Will you ever win
Will you ever win

Rhiannon
Rhiannon
Rhiannon

Oooooh

Taken by
Taken by the sky
Taken by
Taken by the sky
Taken by
Taken by the sky

Dreams unwind
Loves a state of mind
Dreams unwind
Loves a state of mind

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=U_aYibUx1B8" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=U_aYibUx1B8</a>

แถมเวอร์ชั่นคัฟเวอร์ให้ด้วยอีกหนึ่งอัน อันนี้เป็นคัฟเวอร์เวอร์ชั่นโดย Savannah Outen ที่ร้องคลอไปกับเปียโนเดี่ยวๆ ก็ไพเราะเข้าท่าทีเดียวครับ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=pDfmSqy6Q54" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=pDfmSqy6Q54</a>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2012 | 02:56:06 PM โดย Agent Fox Mulder » บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
หน้า: 1 [2]
พิมพ์
กระโดดไป:  

ThaiProg.net Ver 4.0 by tisanai,Shineon,kongbei
Top 10 Best Sellers in Kindle eBooks Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers In Automotive Parts And Accessories Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers in Tools and Home Improvement Under $10, Reviewer 2016
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Best Sellers in Clothing
Top 10 Best Sellers in Books reviewer 2017 Top 10 Best Sellers in Books Best Sellers in Books
Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Reviewer 2017 Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Best Sellers In Grocery