ในฐานะที่ (เคย) เป็นเด็กนักเรียนศิลป์ภาษา ต้องเรียนประวัติศาสตร์เป็นแขนงหนึ่งในวิชาสังคมฯ ประวัติศาสตร์ช่วงสมเด็จพระนารายณ์มหาราชผมก็เคยศึกษา และละครเรื่อง "บุพเพสันนิวาส" ทำให้ผมระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในช่วงนั้น (จากที่เคยเรียนหรืออ่านหนังสือมา) หลายตอนทีเดียว (ไม่ได้ตั้งใจดูหรอกนะครับ ดูตามคนใกล้ตัว แถมยังต้องทำตัวเป็นผู้บรรยายประกอบเมื่อคุณเธอรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์บางช่วงบางตอนหรือไม่เข้าใจภาษาบางคำที่เขาใช้) ในสมัยก่อน การเรียนวิชาประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ต้องท่องจำ แต่การเรียนประวัติศาสตร์ในยุคใหม่ ท่องจำไม่ได้แล้ว ต้องอาศัยการถกเถียงกันโดยอาศัยข้อมูลและหลักฐานที่ค้นพบมาล่าสุดเป็นหลัก ดังนั้น สิ่งที่เราเคยเรียนเคยอ่านมาในสมัยก่อนหรือตอนที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้นอาจถูกหักล้างได้เมื่อเวลาผ่านไป และข้อสำคัญประการหนึ่งคือ หลักฐานสมัยกรุงศรีอยุธยาที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นถูกผู้รุกรานเผาเสียวอดวายไปเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 เราก็ได้แต่อาศัยคำให้การของพวกเชลยไทยอยุธยาที่ถูกข้าศึกจับกุมหรือกวาดต้อน ซึ่งอาจจะจริงบ้างหรือถูกต่อเติมผิดเพี้ยนไปบ้างก็ได้ หรือไม่ก็อาศัยหลักฐานที่พวกชาวต่างชาติ เช่น พ่อค้า มิชชั่นนารี ฯลฯ ที่เดินทางมาอยุธยาในยุคนั้นได้บันทึกไว้ สรุปว่าหลักฐานเดิมของเราแทบไม่มีเหลือให้ศึกษาเลยครับ
สำหรับหลักฐานของเราเป็นที่น่าเสียใจจริงๆ ว่า แทบไม่เหลืออะไรเลย ซึ่งก็คงเป็นนิสัยแบบไทยๆ แตกต่างจากชาวต่างชาติ ที่เก็บไว้แทบทุกอย่าง ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ เช่น จดหมายที่คอนสแตนติน ฟอลคอน เขียนถึง เชอวาเลีย เดอ ฟอร์แบ็ง ทหารฝรั่งเศสที่เข้ารับราชการในกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันได้ถูกเก็บไว้ เป็นสมบัติของตระกูลฟอร์แบ็ง ที่กรุงปารีส