1. Dialectic Chaos
2. This Day We Fight
3. 44 Minutes
4. 1320
5. Bite the Hand
6. Bodies
7. Endgame
8. The Hardest Part of Letting Go…Sealed with a Kiss
9. Head Crusher
10. How the Story Ends
11. The Right to Go Insane
ในช่วงเดือนสองเดือนนี้ (เดือนนี้กับเดือนหน้า) มีอัลบั้มผุดออกมาราวกับดอกเห็ดเลยทีเดียวเชียวละ โดยเฉพาะเดือนนี้ที่วงระดับหัวแถวพาเหรดกันมาออกอัลบั้ม ซึ่งจะรวมถึง Megadeth นี้ด้วย โดยอัลบั้มใหม่ของพวกเขานี้จะออกวางแผงในประมาณอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า โดยในชุดนี้ พี่เบี้ยว (เดฟ มัสเตน) มีการเปลี่ยนไลน์อัพกันหน่อย หลังจาก United Abominations (2007) ซึ่งช่วงนั้นพวกเขาก็ได้มาเล่นที่เมืองไทยบ้านเราด้วย ทัวร์ครั้งนั้นคงจะสร้างความตื่นเต้นให้แฟนเพลงเมทัลบ้านเราไม่มากก็น้อยทีเดียว แต่มาคราวนี้ เกล็น โดรเวอร์ มือกีต้าร์ที่เคยมาเล่นที่บ้านเราก็ลากออกจากวงไปเพื่อดูแลครอบครัวต่อ ทิ้งให้ชอว์นมือกลองผู้เป็นพี่ชายเล่นอยู่กับพี่เบี้ยวตามลำพัง ส่วนมือกีต้าร์คนปัจจุบันในตอนนี้คือ คริส บรอเดอริค ที่มาแทนที่เกล็นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว แต่วงที่ชอบเปลี่ยนไลน์อัพบ่อยๆทางดนตรีมักจะเปลี่ยนไปเสมอ โดยเฉพาะวงนี้ที่มีพี่เบี้ยวเป็นแกนกลางอยู่คนเดียวแล้วละก็ แต่เราคงต้องดูรายละเอียดกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร
งานชุดนี้ ผมเห็นใน wikipedia บอกว่าเป็นแธรชเมทัล แต่เท่าที่ผมฟังมารู้สึกมันไม่ได้ก็ไม่ได้แธรชมากเท่าไหร่นัก คือมีความเป็นแธรชบ้างนะครับ แต่งานนี้พวกเขาจะเน้นสัดส่วนของเฮฟวี่เมทัลมากขึ้น และกรูฟแต่ละเม็ดที่พวกเขาเล่นนั้นติดหูง่ายมากๆ สำหรับใครที่เพิ่งฟังงานของพวกเขาใหม่ๆคงจะเริ่มต้นจากชุดนี้ได้เลยละ ซึ่งภาคดนตรีที่มีทั้งแธรชและเฮฟวี่เมทัลอยู่ในตัวก็กลายเป็นลายเซ็นต์ของพวกเขาไปแล้ว (ใครฟังก็รู้แน่นอนว่าเป็นฝีมือพี่เบี้ยว) ส่วนด้านการโปรดิวซ์นั้น พี่เบี้ยวยังคงโปรดิวซ์ร่วมกับ แอนดี้ สนีป (มือกีต้าร์จาก Sabbat วงแธรชรุ่นเก๋าจากอังกฤษ) เช่นเดียวกับชุดที่แล้ว ซึ่งทำให้ผมคิดว่าภาคดนตรีโดยรวมอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่นัก นอกจากจะเปลี่ยนมือกีต้าร์เท่านั้นเอง
ในส่วนของกีต้าร์ในอัลบั้มนี้ก็ยังคงริฟที่ดุเดือดอันเป็นเอกลักษณ์ของวงเช่นเดิม อย่างที่พี่เบี้ยวได้บอกไว้ว่าดนตรีจะหนักขึ้นและเร็วขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งท่อนลีดที่ไพเราะและมีพลังไว้แต่อย่างใด และพี่เบี้ยวยังบอกไว้อีกว่าจะมีการโซโลที่บ้าคลั่งด้วย ซึ่งก็จริงอย่างแกว่า เพราะแค่เพลงอินโทรขึ้นมาพวกพี่ท่านก็ปล่อยของกันมันส์มือเลยละ แต่ก็ยังไม่วายมีเพลงช้าโชว์ความเพราะสักเพลง คือ The Hardest Part of Letting Go…Sealed with a Kiss ที่มีกีต้าร์โปร่งเบาๆขึ้นลำนำ และค่อยมาหนักขึ้นเอาครึ่งเพลงหลัง ส่วนภาคริทึ่มก็สามารถโอบอุ้มกีต้าร์คู่ของพี่เบี้ยวกับคริสได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะกลองของชอว์นนั้นเหยียบกระเดื่องได้คมชัดและดุเดือดดี และยังมีแพทเทิร์นที่หนักแน่นในทุกช่วงจังหวะ (ทั้งเร็ว และช้า) ส่วนเบสของเจมส์ โลเมนโซ นั่นก็ให้เสียงที่หนาทุ้ม แต่ดูเป็นเอกลักษณ์ดี ส่วนเสียงร้องของพี่เบี้ยว แม้จะเน้นโทนต่ำแต่ก็มีพลังใช่เล่น ซึ่งมันกลายเป็นลายเซนต์ของแกไปแล้วก็คงได้
สำหรับเพลงเด่นที่ผมจะเลือกออกมาในชุดนี้จริงๆมีอยู่หลายเพลงทีเดียว เริ่มจาก Dialectic Chaos ซึ่งเป็นเพลงบรรเลงเปิดตัวที่มีพลังมาก โดยที่จะเน้นโชว์การโซโลกีต้าร์ไฟแลบเป็นลัก และต่อเนื่องมากับ This Day We Fight ที่ขาแธรชชอบกันแน่ๆ ด้วยความที่เพลงนี้เป็นเพลงที่มีภาคดนตรีที่รวดเร็วและดุเดือด (แต่ก็ยังดีกว่า Dragonforce ละครับ รายนั้นออกแนวห้อตะบึงเลยละ) แต่ถ้าชอบงานที่ซับซ้อนขึ้นมานิดหน่อยก็ลองฟัง How the Story Ends ได้เลย ช่วงกลางของเพลงนี้จะโชว์โซโลกีต้าร์โปร่งแล้วต่อเนื่องด้วยโซโล (กีต้าร์ไฟฟ้า) ที่ดุเดือด
งานชุดนี้ถือว่าเป็นอัลบั้มที่สมบูรณ์ที่สุดชุดหนึ่งของ Megadeth เท่าที่เคยทำมา โดยพวกเขาใส่ความดุเดือดของแธรชและเฮฟวี่เมทัลเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวพร้อมกับกรูฟที่ติดหูได้ง่าย และเพลงในชุดนี้ล้วนชวนโยกทุกเพลง ถ้าใครจะเริ่มฟังงานของพวกเขาก็เริ่มจากงานชุดนี้ได้ไม่ยากเลย และคาดว่าแฟนเพลงเก่าๆของวงคงจะไม่ผิดหวังกับงานชุดใหม่นี้เป็นแน่
Rating: 8.5/10