ตามคำเรียกร้องของพี่ JKnoremorse นะครับ วันนี้ว่างๆเลยจัดให้ครับ
ในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา วงดนตรีห้าชิ้นจากโอซากานาม Dir En Grey นั้นถือว่าผ่านประสบการณ์อย่างโชกโชน พร้อมทั้งเติบโตและพัฒนาทั้งด้านภาพลักษณ์และดนตรีอย่างรวดเร็วก้าวกระโดดเหลือเชื่อ หลังจากที่เริ่มต้นในแวดวงใต้ดินภายใต้ชื่อ La:Sadie's โดยสมาชิกแต่ละคนนั้นเพิ่งจะจบไฮสกูลมาหมาดๆ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น Dir En Grey ซึ่งตอนนั้นวงเองยังได้ป๋าโยชิกิแห่ง X-Japan เป็น "ป๋าดัน" ให้ด้วย ส่วนภาพลักษณ์ก็ยังคงเป็น Visual-Kei แต่งหน้าทาปากตามสมัยนิยมในช่วงปลายยุค 90s กับดนตรีเจร็อคที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากเท่าไร (โดยเฉพาะชุดแรก) แต่พวกเขาก็ถือว่าประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วญี่ปุ่นในเวลาไม่นานนัก จากนั้นไม่นานในอัลบั้มชุด 2 และ 3 แม้ดนตรีจะยังเป็นเจร็อคอยู่ แต่พวกเขาก็เริ่มฉายแววความเป็นนักทดลองและเริ่มมีบรรยากาศหม่นทะมึนปกคลุมไปทั่วอัลบั้มแล้ว ก่อนที่ในอัลบั้มอีกสองสามชุดต่อมา พวกเขาก็ตั้งใจบุกตลาดอเมริกาเต็มที่ด้วยซาวนด์ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟเมทัลที่หนักหน่วง บ้าคลั่ง สะใจชาวตะวันตก แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นตัวของตัวเองอยู่ ซึ่งในช่วงเวลานี้เอง Dir En Grey ก็ได้รับเกียรติเป็นวงเอเชียวงแรกที่ได้ไปเล่นในเทศกาลดนตรีเมทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง Wacken ที่เยอรมันด้วย ซึ่งพวกเขาก็โชว์ความบ้าคลั่งป่าเถื่อนแบบเต็มแม็ก (Kyo ฟรอนต์แมนถึงกับลงเวทีแบบเลือดอาบไปทั้งตัว) เป็นที่ถูกอกถูกใจฝรั่งตาน้ำข้าวกันถ้วนหน้า และ ณ ตอนนี้ Dir En Grey ก็มีฐานแฟนเพลงที่แข็งแกร่งอยู่ทั่วทุกมุมโลกแล้ว
Uroboros (2008)
ที่เกริ่นมายาวขนาดนี้ก็เพราะอยากให้ทำความรู้จักกับวงดนตรีวงนี้กันแบบคร่าวๆก่อน และอีกเหตุผลที่สำคัญคือ ทุกๆประสบการณ์ที่ทางวงได้รับมา รวมไปถึงการพัฒนาทางด้านดนตรีแบบต่อเนื่อง มันได้ก่อร่างสร้างอิทธิพลให้ทางวงตกผลึกความคิดความสามารถจนได้ผลงานชิ้นเยี่ยมอย่าง Uroboros และ Dum Spiro Spero ออกมา ซึ่งเราสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ในอัลบั้มสองชุดนี้ Dir En Grey ได้มีแนวทางเป็นของตัวเองอย่างแท้จริง และไม่อาจมีวงใหนในโลกที่สามารถทำดนตรีได้เหมือนพวกเขาอีกแล้ว
Uroboros คืออัลบั้มชุดที่เจ็ดของวงที่ออกในปี 2008 ซึ่งไลน์อัพนั้นก็ยังคงเป็นชุดเดิมที่อยู่กันมายาวนานตั้งแต่สมัยยังเป็นวง La:Sadie's โดยประกอบไปด้วย Kyo (ร้องนำ), Kaoru (กีตาร์), Die (กีตาร์), Toshiya (เบส) และ Shinya (กลอง) ซึ่งสุ้มเสียงดนตรีในอัลบั้ม Uroboros นั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างดนตรีเมทัลที่หนักหน่วงแบบงานชุดหลังๆ เข้ากับดนตรีร็อคกึ่งทดลองในแบบอัลบั้มชุดที่สองและสาม โดยเสริมภาคเทคนิคัลยากๆและท่วงทำนองที่ไพเราะติดหูเข้าไปอีก ทำให้งานชุดนี้ลงตัว สมบูรณ์แบบ และได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์กันถ้วนหน้า
พวกเขาเปิดฉากอัลบั้มนี้ด้วยอินโทรสั้นๆที่เป็นประตูไปสู่แทร็คแรกอย่าง
Vinushka ที่ยาวเหยียดเกือบ 10 นาที โดยในช่วงแรกนั้นจะมาแบบเนิบช้า มืดหม่น ให้อารมณ์สิ้นหวังและเจ็บปวดแบบลึกซึ้ง (เพลงนี้เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง) โดยที่ในช่วงกลางเป็นจะตัดเป็นเอกซ์ตรีมเมทัลโหดๆที่อัดกันแบบไม่มียั้ง (แต่ไม่มีโซโล่) ก่อนจะเช้าสู่ช่วงท้ายที่ Kyo ร้องเสียงคลีนได้อย่างมีพลัง ฟังแล้วขนลุกและปิดท้ายจริงๆด้วยเสียงสำรอกสุดโหดเช่นเดียวกับช่วงกลางเพลง ก็ถือว่าทางวงใจกล้าไม่น้อยที่วางเพลงมหากาพย์เครียดๆไว้ตั้งแต่แรกแบบนี้ แทนที่จะเป็นเพลงมันส์ๆปลุกเร้าอารมณ์ ส่วนเพลงถัดมาอย่าง
Red Soil นั้นออกไปทางอัลเทอร์เนทีฟเมทัลชวนโยกสไตล์เดียวกับสองสามอัลบั้มที่ผ่านมา แต่จะมีสัดส่วนดนตรีที่ซับซ้อนหลากหลายกว่า โดยมีไฮไลท์ตรงเสียงร้องของ Kyo ในช่วงท้ายเพลงที่ราวกับคนบ้าก็มิปาน ส่วนเพลงอย่าง
Toguro (Coil) นั้น ย้อนกลับไปสู่งานในยุคแรกๆอีกครั้งด้วยดนตรีร็อคเนิบๆที่ใช้เสียงร้องคลีนเป็นหลัก เช่นเดียวกับเพลงช้างามหยดอย่าง
Glass Skin ที่ใครฟังก็หลงรักได้ไม่ยากเลย ทางด้าน
Stuck Man นั้นยืนพื้นด้วยจังหวะฟังก์ประหลาดๆ ฟังค่อนข้างยาก ภาคริธึ่มเบสและกลองได้ปล่อยของกันสนุกล่ะ ส่วน
Reiketsu Nariseba (Cold-Blooded Silhouette) นั้นน่าจะหนักหน่วงและรวดเร็วที่สุดในอัลบั้ม ภาคดนตรีสับแหลก แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ลืมที่จะใส่ลิกกีตาร์พิลึกๆตอดนิดตอดหน่อยเข้ามา แถมในช่วงกลางเพลงก็ยังคั่นอารมณ์ด้วยซาวนด์แบบแอมเบียนท์อารมณ์แขกๆ ทำให้เพลงมีบรรยากาศที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งมันเข้าคู่กันได้ดีกับเพลงอย่าง
Bugaboo ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานแปลกๆท่ามกลางม่านหมอกทะมึน บนอารมณ์เพลงหนักหนืดชวนกดดัน ส่วนถ้าใครปรารถนาจะฟังเพลงเร็วๆแรงๆอีก พวกเขาก็จัดให้ใน
Gaika, Chinmoku ga Nemuru Koro (Victory, the place where silence sleeps) แต่เพลงนี้จะอ่อนข้อประนีประนอมกว่าด้วยท่อนฮุคติดหูที่ทำมาเพื่อให้ร้องตามกันโดยเฉพาะ ขณะที่เพลงที่เหลือนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยความงดงามและลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็น
Wari, Yami Tote
(I am darkness
) ความยาวเจ็ดนาทีที่ยืนพื้นด้วยอคูสติกบนจังหวะเพลงที่มีกลิ่นอายละตินเล็กๆ ชวนโยกย้ายส่ายเรือนร่างแบบเบาๆ เพลงนี้ Kyo ถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเสียงร้องได้ดีมาก หรือ
Dozing Green อีกหนึ่งซิงเกิ้ลดังที่ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมาก แต่ท่วงทำนองนั้นไพเราะพลิ้วไหวสะกดทุกความรู้สึก ส่วนเพลงปิดอัลบั้มอย่าง
Inconvenient Ideal นั้นก็แสนจะน่าประทับใจ คืออารมณ์ต่างๆมันพีคมาเต็มที่ทั้งวงจริงๆ เรียกว่าอัลบั้มจบแล้วเสียงดนตรียังคงกึกก้องประทับอยู่ในหัวอยู่เลย
ผลพวงจากความยอดเยี่ยมของอัลบั้มนี้ทำให้เหล่าเซียนดนตรีทั้งหลายเลิกค่อนแคะเคลือบแคลงใจในความสามารถของพวกเขาสักที เพราะคราวนี้ Dir En Grey ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาคือของจริง ไม่ใช่แค่วงดนตรีที่ทำเพลงตามกระแสหรือพยายามลอกเลียนแบบใครไปเรื่อยเท่านั้น ส่วนแฟนเพลงของวงส่วนใหญ่ก็ต่างพากันแซ่ซ้องถึงความดีของอัลบั้มชุดนี้กันถ้วนหน้า จนหลายๆคนถึงขั้นกล่าวว่านี่คือผลงานที่ดีที่สุดของวงเลยทีเดียว และคาดว่าน่าจะเป็นจุดสูงสุดของวงแล้ว
แต่หลังจากนั้นอีกสามปีให้หลัง แฟนบางคนอาจพบว่า สิ่งที่พวกเขาคาดการณ์กันนั้นผิดถนัด....
Dum Spiro Spero (2011)
ผลพวงจากความสำเร็จระดับเมก้าของอัลบั้ม Uroboros ทำให้ทางวงตัดสินใจออกทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกเป็นเวลายาวนาน ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงคอนเสิร์ตใหญ่สองคืน ณ บูโดกัน ที่ถูกบันทึกไว้เป็นดีวีดีบันทึกการแสดงสดสุดมันส์ชื่อ Uroboros -with the proof in the name of living...- ที่ไม่ว่าจะดูกี่รอบก็ไม่เบื่ออีกด้วย และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ช่วงระยะหว่างอัลบั้มชุดที่เจ็ดและแปดนั้นห่างกันเกือบสามปีเต็ม
แต่ถึงช่วงระยะระหว่างอัลบั้มจะห่างกัน แต่การออกอัลบั้มชุดใหม่ของ Dir En Grey ก็ยังทำให้แฟนๆตื่นเต้นอยู่เสมอ และยิ่งถ้าอัลบั้มชุดก่อนมันออกมายอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ก็ยิ่งทำให้ลุ้นว่าอัลบั้มชุดต่อไปพวกเขาจะไปในทิศทางใหน ซึ่งก่อนหน้าที่อัลบั้มนี้จะออก พวกเขาก็ปล่อยซิงเกิ้ลออกมาให้ชิมลางก่อนสามเพลง (ตามธรรมเนียมของวงเมเจอร์ในประเทศญี่ปุ่น) ไล่ตั้งแต่
Hageshisa to, Kono Mune no Naka de Karamitsuita Shakunetsu no Yami (The violence and the darkness of the burning heat entwines in my heart) ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Saw 3D นั้น แสดงให้เห็นถึงดีกรีความหนักหน่วงเข้มข้นเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ ทั้งซาวนด์กีตาร์เจ็ดสาย ริธึ่มกระชับ รวดเร็ว หนักแน่น และคมชัดเป็นเม็ด รวมไปถึงเสียงสำรอกกดต่ำดุดันกว่าที่เคย แต่กระนั้นก็ยังมีท่อนฮุคติดหูเป็นจุดขายอยู่ดี ตามด้วยเพลงอาร์ตๆเนียนๆอย่าง
Lotus ที่สามารถเอาไปยัดใส่ไว้ในอัลบั้ม Uroboros ได้สบายๆเลย ส่วนซิงเกิ้ลที่สามอย่าง
Different Sense นั้นกลายเป็น Fans Favorite อย่างรวดเร็ว ด้วยความหนักหน่วงกระชับเมามันที่แทรกไว้ด้วยเทคนิคลูกเล่นทางดนตรีที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิมมาก รวมไปถึงเสียงร้องปีศาจของ Kyo ที่ใส่แบบเต็มเหนี่ยวทั้งสำรอกกดต่ำ ตะคอก อ้วกแตก ไปจนถึงกรีดร้องแบบสุดสยิวสันหลัง แต่พอถึงท่อนคลีนเพราะๆก็หล่อได้ใจ และที่ไม่พูดถึงไมได้คือท่อนกีตาร์โซโล่สวยๆที่ปกติจะไม่ค่อยได้ยินจาก Die และ Kaoru ณ บัดนี้เราก็ได้ยลกันอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเล่นได้พลิ้วแค่ใหน (แม้จะแค่สั้นๆก็เถอะ)
มาดูกันที่ตัวอัลบั้มกันบ้าง คราวนี้ทางวงก็ยังคงรูปแบบเช่นเดียวกับอัลบั้มก่อน คือไม่เร่งเร้าคนฟัง แต่จะเอาบรรยากาศกดดันชวนอึดอัดมายัดไว้ให้แทน โดยเริ่มจากอินโทรกดประสาทอย่าง
Kyoukotsu no Nari (The Cry from Lunatic Bone) ที่นำไปสู่
The Blossoming Beelzebub แทร็คหม่นหนืดเนิบช้าที่กล่าวถึงพวกฮิคิโคโมริ เพลงนี้ปราศจากท่อนคอรัสและไคลแม็กซ์อย่างสิ้นเชิง แต่จะนวดไปเนิบๆเรื่อยๆเป็นเวลากว่าเจ็ดนาที โดยเปิดโอกาสให้ Kyo ได้โชว์เรนจ์เสียงที่ทั้งหลากหลายและหลอกหลอนในเวลาเดียวกันได้อย่างเต็มที่ นี่ขนาดแค่เพลงเปิดก็เครียดจะตายแล้วครับ จะมาได้ปลดปล่อยบ้างก็ใน
Different Sense ที่คิดว่าคงวางไว้ให้ระบายอารมณ์จากเพลงก่อนนั่นแหละ ตามมาด้วย
Amon แทร็คที่ไม่ติดหูแต่จังหวะขัดๆและลูกเล่นดนตรียากบรรลัย (โดยเฉพาะเบส) น่ะเพียบ เป็นโปรเกรสสีฟเมทัลเต็มๆครับเพลงนี้ ขณะที่เพลงชื่อแปลกอย่าง
"Yokusō ni Dreambox" Aruiwa Seijuku no Rinen to Tsumetai Ame ('Nesting Within the Dreambox', or Cold Rain and The Philosophy of the Mature) ก็มีดนตรีที่แปลกไม่แพ้ชื่อ โดยพื้นฐานนั้นเป็นพร๊อกเมทัลเนิบนาบเน้นบรรยากาศหลอกหลอนเหมือนอยู่ในฝันประหลาดๆ แต่อยู่ดีๆช่วงกลางเพลงพี่แกกลับบลาสต์บีทกันหน้าตาเฉย พร้อมด้วยเสียงร้องบ้าๆไม่เป็นภาษามนุษย์ของ Kyo ...นี่เป็นหนึ่งในเพลงที่ผมชอบที่สุดในอัลบั้มนี้เลยครับ ขณะที่
Jūyoku (Animal Lust) นั้นราวกับเป็น Reiketsu Nariseba ภาคสองกลายๆ ทั้งภาคดนตรีอัดสับแหลก และบรรยากาศแบบ Oriental และถ้านั่นยังแรงไม่พอ พวกเขาก็ยังมี
Decayed Crow ที่เกือบจะเป็นเดธเมทัล น่าจะเป็นหนึ่งในเพลงที่เร็วและโหดที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำมาเลยด้วยซ้ำ ส่วนถ้าใครต้องการอะไรพร๊อกๆโชว์กึ๋นโชว์เทคนิคอีกก็ต้องลอง
Shitatoru Mourou (Trickling Ambiguity) ที่ทั้งสลับซับซ้อนทั้งกดดันชวนอึดอัดได้พอๆกับงานของ Tool หรือจะเป็นเพลงฟังกี้จากนรกอย่าง
Akatsuki (Dawn) ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน ส่วน
Diabolos นั้นคือทายาทอสูรของ Vinushka จากอัลบั้มชุดก่อนดีๆนี่เอง ทั้งเรื่องความยาวและโครงสร้างการดำเนินดนตรี แต่เพลงนี้จะมีบรรยากาศหม่นทะมึนมากกว่าเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับบริบทของอัลบั้มที่มืดสนิทแบบหาแสงสว่างไม่เจอ ยังดีหน่อยที่พวกเขาให้คนฟังได้พักเหนื่อยช่วงท้ายอัลบั้มกับ
Vanitas เพาเวอร์บัลลาดอารมณ์โศกศัลย์ที่ไพเราะจับใจชนิดที่ใครฟังก็ต้องชอบ ก่อนจะปิดท้ายด้วย
Ruten no Tou (Tower of Vicissitudes) อีกหนึ่งแทร็คพร๊อกจ๋าที่มีสัดส่วนดนตรีหลากหลาย ทำให้สมาชิกทุกคนในวงได้โชว์ทีมเวิร์กกันแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
แน่นอนว่าอัลบั้มชุดนี้ค่อนข้างแตกต่างกับ Uroboros อยู่พอสมควร แม้โดยหลักๆแล้วจะเป็นการต่อยอดแนวทางจากอัลบั้มนั้นมาก็ตาม ที่ชัดๆเลยคือ Dum Spiro Spero นั้นหนักหนากว่า ฟังยากกว่าเยอะ และไม่ค่อยมีช่วงผ่อนอารมณ์ให้ได้หายใจหายคอกันเท่าไร แต่อย่างไรก็ตาม ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าระดับฝีมือของวงนั้นพัฒนารุดหน้าไปมาก และก็ยังคงทำให้เราคาดหวังด้วยความตื่นเต้นอยู่ดีว่าอัลบั้มชุดต่อไปจะเป็นอย่างไรกันนะ...