สาเหตุที่ชื่อว่าสำนักเบอร์ลินก็เพราะว่ามันเป็น Electronic Music Movement ที่มีฐานเริ่มต้น ณ กรุงเบอร์ลินในช่วงต้นยุค 70s นั่นเอง ซึ่งดนตรีอีเลกทรอนิกส์ของพวก Berlin School จะเน้นการประพันธ์บทเพลงที่ค่อนข้างยืดยาว มีบรรยากาศแบบสเปซ และมีความเป็นแอมเบียนท์สูงกว่ากลุ่มศิลปินจาก Dusseldolf อย่าง Can, Kraftwerk และ Neu! เป็นต้น ซึ่งกลุ่มหลังจะเน้นบทเพลงที่มีความเป็น Rhythmic และจะค่อนข้างติดหูกว่า (ดังนั้น Kraftwerk จึงไม่จัดอยู่ในกลุ่ม Berlin School นะครับ)
นอกจากศิลปินที่เรารู้จักคุ้นเคยกันดีอย่าง Tangerine Dream และ Klaus Schulze แล้ว ก็ยังมีศิลปินอื่นๆอย่าง Wolfgang Riechmann, Adelbert von Deyen, You, Robert Schröder, Neuronium, Michael Hoenig และ Ashra ที่เป็นแนวร่วมสำนักเบอร์ลินในยุคนั้นเช่นกัน
และหลังจากที่สำนักเบอร์ลินมีรูปแบบซาวนด์เฉพาะตัวที่เด่นชัดแล้ว มันก็เลยเป็นอิทธิพลให้กับศิลปินยุคหลังที่แม้อาจไม่ได้มาจากกรุงเบอร์ลิน แต่เล่นดนตรีที่มีสุ้มเสียงใกล้เคียงกันนี้ เราก็ยังสามารถจัดศิลปินเหล่านั้นให้อยู่ในกลุ่ม Berlin School ได้เช่นกัน อาทิเช่น Bernd Kistenmacher, Steve Roach (Early), Wolfgang Bock, Wavestar, Software, Michael Garrison จากยุค 80s Free System Projekt, Radio Massacre International, Redshift, Cosmic Hoffmann, AirSculpture, Spyra, Dweller at the Threshold, Waveshape, Lambert, Ron Boots, Nemesis จากยุค 90s และ Gert Emmens, Steve Moore, Emeralds, Brendan Pollard, Javi Canovas, Foreign Space, Syndromeda, Majeure, Zombi, Panabrite จากยุค 00s-10s เป็นต้นครับ
และถ้าให้เปรียบเทียบถึงการต่อยอดวิวัฒนาการทางดนตรีของกลุ่ม Berlin School และ Dusseldorf School แล้ว กลุ่มสำนักเบอร์ลินจะวิวัฒนาการไปทางสาย Ambient, Trance, Electronica และ New Age ในขณะที่สำนัก Dusseldorf จากแยกไปเป็นสาย Synthpop, Minimal Wave, Techno, House หรือแม้แต่ Hip-Hop ครับ
ลองฟังงานของวงยุคปัจจุบันที่ได้อิทธิพลมาจากสำนัก Berlin School ยุค 70s ดู จะพบว่าดนตรีมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนน้อยมาก และคีย์บอร์ดที่ใช้ก็ยังเป็นอนาล็อกซินธ์อยู่ครับ