Between the Buried & Me – The Parallax: Hypersleep Dialogues
Genre – Progressive Metal
Label – Metal Blade
หลายๆท่านที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตของ Between the Buried & Me เมื่อต้นปีก่อนคงจำกันได้ เพราะจนบัดนี้ความทรงจำของโชว์นั้นยังคงตราตรึงใจผมอยู่ตลอดเวลาที่ได้ฟังเพลงของพวกเขา ซึ่งช่วงนั้นเองพวกเขาก็ได้ออกทัวร์ไปพร้อมกับรุ่นพี่ในแนวไล่ๆกันอย่าง Cynic และน้าเดวิน ทาวน์เซนด์ที่กำลังจะออกอีกสองอัลบั้มในกลางปีนี้ด้วย และช่วงที่พวกเขามาเล่นที่โอเวอร์โทน (ตอนนี้เปลี่ยนร้านแล้ว) นั้นเอง ผมก็ได้ยินว่าพวกเขาจะย้ายจากสังกัดเดิมอย่าง Victory Records ไปอยู่สังกัดใหญ่ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้อิสระในการทำเพลงมากกว่าสังกัดเดิมแน่ๆ โดยผมเองก็มานั่งลุ้นเอาว่าพวกเขาจะไปอยู่สังกัดไหนกันแน่ และผลออกมาชัดเจนคือ Metal Blade โดยเราทราบได้จากตอนที่พี่ทอมมี่ผู้เป็นแกนนำของวงได้ออกงานเดี่ยวชุดที่สองเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าทางวงได้มาอยู่ในสังกัดนี้อย่างเต็มตัว แต่ในขณะเดียวกันนั้น ทาง Victory Records ก็ได้ปล่อยอัลบั้มรวมฮิตโดยจะรวมเพลงเด่นๆสมัยที่อยู่สังกัดนั้นไว้ในสามซีดี ซึ่งบางส่วนได้ถูกนำมาแสดงสดในโชว์ที่บ้านเราด้วย
หลังจากที่พี่ทอมมี่ออกงานเดี่ยวมาได้สักพัก (เพิ่งมาทราบหลังจากที่เขียนรีวิวอัลบั้มนั้นเสร็จว่าพี่แกเหมาเล่นเครื่องดนตรีเองทั้งหมด) ทางวงก็ประกาศดำเนินการทำอัลบั้มใหม่ทันที โดยมีโปรโมทีเซอร์มาให้ชิมลางกันเล็กน้อย โดยคราวนี้พวกเขาจะทุ่มทุนในการทำงานคอนเซ็ปต์อัลบั้มคู่เสียด้วย แต่ก่อนจะมีอัลบั้มเต็มนั้น พวกเขาก็ได้ออกอีพีมาให้ชิมลางกันก่อนโดยจะมีเพียงสามเพลงเท่านั้น แต่สามเพลงนี้ก็ฟังกันได้จุใจอย่างแน่นอนกับความยาวเหยียบครึ่งชั่วโมง ซึ่งพี่ทอมมี่ได้บอกเหตุผลในการทำอีพีนี้ว่าเป็นการทำเพื่อจะหาไอเดียใหม่ๆมานำเสนอในการแสดงสด (ซึ่งคาดว่าเซ็ตลิสต์คราวนี้คงได้เล่นกันยาวๆแบบคราวก่อนแน่นอน ฮา) รวมถึงแนวคิดที่จะนำเสนอในอัลบั้มเต็มด้วย
แม้จะเป็นเพียงอีพีนำร่อง พวกเขาก็ยังใส่ใจเรื่องซาวด์อย่างมากทีเดียว สุ้มเสียงในงานชุดนี้จึงอยู่ในระดับที่ดีมาก ทำให้สามารถฟังรายละเอียดได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และเท่าที่ดูคอนเซ็ปต์คราวนี้ (ที่จะนำพาไปสู่อัลบั้มเต็ม) พวกเขาแลจะไปทางอวกาศเสียเล็กน้อย และตัวงานนั้นก็ถือว่ามีกลิ่นอายของชุดก่อนๆ (สมัยที่อยู่ Victory Records) ชวนให้แฟนๆคิดถึงอีกด้วย ส่วนเรื่องซาวด์นั้นถือว่าแน่นขึ้นและซับซ้อนขึ้นจากชุดก่อนพอสมควร และบทบาทในการเล่นคีย์บอร์ดของพี่ทอมมี่จะมีมากขึ้น รวมถึงเสียงคลีนด้วย ซึ่งโดนปกติในเพลงที่หนักหน่วงและซับซ้อนแบบนี้ พี่ทอมมี่จะไม่ค่อยร้องคลีนมากเท่าใดนัก เรียกว่าจะมีมาเป็นช่วงๆเสียมากกว่า แต่อีพีนี้ก็ทำให้คิดได้ว่าเราอาจจะได้ยินเสียงร้องคลีนของพี่ทอมมี่มากกว่าเดิมในเพลงหนักๆและซับซ้อนแบบนี้ในอัลบั้มเต็มอย่างแน่นอน และคราวนี้เพลงของพวกเขาถือว่าเรียบเรียงมาเพื่อความต่อเนื่องจริงๆ
ภาคกีต้าร์ของพอลกับดัสตี้นั้นถือว่าทำการบ้านกันมาดีมาก โดยหน้าที่ลีดจะเป็นของพอลส่วนดัสตี้ก็ยังคงเล่นริทึ่มเช่นเดิม โดยภาคลีดของพอลนั้นเท่าที่ฟังมาก็แลจะมีความซับซ้อนขึ้น แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความไพเราะเช่นเดิม ส่วนภาคริทึ่มของดัสตี้ก็ยังแน่นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ท่อนริฟฟ์ที่ทั้งคู่ประสานงานกันก็ทำให้เกิดกำแพงเสียงที่หนาแน่นขึ้นจากอัลบั้มก่อนเล็กน้อย ส่วนท่อนที่ผ่อนเบาพวกเขาทั้งคู่ก็ประสานงานกันได้เข้าขาเหมือนเคย ส่วนเบสของหนุ่มหน้ามนอีกหนึ่งคนอย่างแดนนั้นก็ทำหน้าที่คอยเสริมพลังให้กำแพงเสียงของกีต้าร์ในท่อนริฟฟ์ได้ดี ในขณะที่เขาเองก็แอบงัดลูกตอดเข้ามาเป็นช่วงๆเป็นสีสันให้กับภาคดนตรีด้วย ส่วนภาคกลองของเบลคก็ยังคงรักษามาตรฐานไว้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ส่วนคีย์บอร์ดของพี่ทอมมี่คราวนี้จะมีบทบาทมากขึ้นจากเดิมเล็กน้อย โดยคราวนี้เขาจะใช้เสียงที่แลเป็นนุ่มนวลกว่าชุดก่อนด้วย แต่ที่เด่นเป็นพิเศษจริงๆก็น่าจะเป็นไลน์เปียโนในช่วงอินโทรของ Specular Reflection และช่วงครึ่งเพลงหลังของ Augment of Rebirth ซึ่งเขาเน้นเสียงออร์แกนเป็นหลัก ส่วนเสียงร้องนั้นก็แลจะมีท่อนที่ร้องคลีนมากกว่าเดิมเสียอีก แต่เสียงคำรามของเขาก็ยังคงดุดันเช่นเดิม
อีพีชุดนี้มีเพียงสามเพลงเท่า ซึ่งผมจะขอบรรยายแบบเรียงเพลงไปโดยไม่ต้องใส่แทร็คลิสต์ลงไป โดยเริ่มจาก Specular Reflection อันเป็นเพลงเปิดตัวอย่างเป็นทางการของวงในฐานะสมาชิกใหม่ของสังกัดใหญ่อย่าง Metal Blade และยังเป็นเพลงโปรโมตประจำอีพีนี้ด้วย ซึ่งเริ่มอินโทรมาก็ชวนหลอนกันแล้วกับไลน์เปียโนบ้านผีสิงของพี่ทอมมี่ก่อนที่จะขึ้นเครื่องดนตรีเต็มๆ ซึ่งท่อนริฟฟ์ของเพลงนี้ถือว่าแข็งแกร่งดุดันได้ที่ทีเดียว ซึ่งสอดคล้องกับเสียงคำรามของพี่ทอมมี่ แต่ที่เด็ดกว่าคือช่วงครึ่งหลังเพลงที่โชว์พลิ้วๆกันไปยาวๆจนจบเพลง และต่อเนื่องกันด้วย Augment of Rebirth ที่ขึ้นมาถึงก็ใส่กันเต็มที่ โดยเฉพาะไลน์กลองของเบลคที่แลจะโดดเด่นหน่อยพอมาได้ประมาณสองนาที ทางวงก็โชว์ฝีมือเปลี่ยนสัดส่วนกันอีกแล้ว แต่ช็อตเด็ดจริงๆจะอยู่ช่วงปลายเพลง ซึ่งมีการนำเสียงออร์แกนมาผสมผสานเพื่อให้เกิดสีสัน แล้วค่อยปิดท้ายด้วยท่อนร้องคลีนหล่อๆโดนพี่ทอมมี่ และอีพีนี้ก็จบด้วย Lunar Wilderness ที่ขึ้นอินโทรมาอย่างแจ๊สเชียวแหละ ซึ่งพวกเขาก็ทำออกมาได้อย่างนุ่มนวลมาก แต่พอขึ้นท่อนริฟฟ์ก็ค่อยเปลี่ยนฟีลไปทีละน้อยจนถึงช่วงครึ่งเพลงหลังแล้วพวกเขาค่อยปล่อยของกันอย่างเต็มเหนี่ยว และมาจบด้วยเสียงร้องคลีนหล่อๆเช่นเคย ซึ่งจบบริบูรณ์แล้วสำหรับอีพีนี้
งานอีพีใหม่นี้เป็นการทำให้การรอคอยอัลบั้มเต็มของ Between the Buried & Me เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น คงต้องมาลุ้นกันละครับว่างานใหม่ของพวกเขาจะเดินต่อไปในทิศทางไหน
Rating: 9/10