พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้อีกสองเรื่อง ดูเหมือนหนังที่ผมอยากดูสุดๆในช่วงนี้ ถ้าไม่ใช่หนังเยอรมัน ก็มักจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเยอรมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นผมมักจะคิดเสมอว่า หนังส่วนใหญ่จากเยอรมันมักจะขาด visual appealing เมื่อเทียบกับหนังฝรั่งเศสหรืออิตาเลี่ยน
เรื่องแรกก็คือ Das Wilde Leben (2007, Achim Bornhak) และผมได้รู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้จากการได้ดูมิวสิควิดิโอในคลิพข้างล่างครับ
Ville Valo feat. Natalia Avelon - Summer Wine - HQ
http://www.youtube.com/watch?v=EOs2TSXTOkQ&feature=channel_pageเป็นมิวสิควิดิโอเพลงประกอบภาพยนตร์เยอรมันที่ถ่ายทอดภาพของยุคทศวรรษที่หกสิบออกมาได้อย่างสวยงามเรื่องหนึ่ง และภาพเหตุการณ์ทุกอย่างเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนหนุ่มสาวที่ออกมาจากยุคนี้ มักจะทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นเสมอเลยครับ ส่วนข้างล่างจะเป็นเนื้อร้องนะครับ
Strawberries cherries and an angel's kiss in spring
My summer wine is really made from all these things
I walked in town on silver spurs that jingled too
A song that I had only sang to just a few
She saw my silver spurs and said let pass some time
And I will give to you summer wine
Oohh-oh summer wine
Strawberries cherries and an angel's kiss in spring
My summer wine is really made from all these things
Take off your silver spurs and help me pass the time
And I will give to you summer wine
Oohh-oh summer wine
My eyes grew heavy and my lips they could not speak
I tried to get up but I couldn't find my feet
She reassured me with an unfamilliar line
And then she gave to me more summer wine
Oohh-oh summer wine
Strawberries cherries and an angel's kiss in spring
My summer wine is really made from all these things
Take off your silver spurs and help me pass the time
And I will give to you summer wine
Oohh-oh summer wine
When I woke up the sun was shining in my eyes
My silver spurs were gone my head felt twice its size
She took my silver spurs a dollar and a dime
And left me cravin' for more summer wine
Oohh-oh summer wine
Strawberries cherries and an angel's kiss in spring
My summer wine is really made from all these things
Take off those silver spurs and help me pass the time
And I will give to you my summer wine
Oohh-oh summer wine
อีกคลิพข้างล่างน่าจะเป็นต้นฉบับที่ร้องโดย Nancy Sinatra กับ Lee Hazlewood ครับ ฟังคลิพแบบออดิโอล้วนๆดีกว่าครับ เพราะเสียงที่ออกมาฟังไพเราะกว่ามิวสิควิดิโอยุคโบราณที่ผมแปะไว้ในกระทู้เพลงหนังเยอะ
Nancy Sinatra & Lee Hazlewood-Summer Wine
http://www.youtube.com/watch?v=Ib_eW9VSUwM&feature=channel_pageเพลงนี้ในเวอร์ชั่นของ Ville Valo เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เยอรมัน Das Wilde Leben (2007, Achim Bornhak) หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Eight Miles High! ซึ่งเป็นหนังที่ผมอยากดูมากในตอนนี้ แม้ว่าเสียงวิจารณ์จากผู้ชมจะออกมาไม่ค่อยดีนัก
ครั้งแรกที่ผมได้ดูคลิพนี้ ผมไม่เคยรู้จักนักร้องจากฟินแลนด์คนนี้มาก่อนเลยครับ และเมื่อลองไปเช็คเพลงอื่นๆของเขาดูแล้ว งานดนตรีของเขาก็ไม่ใช่แนวแบบของผม แต่ทุกอย่างในคลิพนี้ ทั้งตัวบทเพลง ภาคดนตรี นักร้องหญิง Natalia Avelon ที่แสดงนำในหนังเรื่องนี้ ภาพของยุคซิกส์ตี้จากในภาพยนตร์ ทุกอย่างมันดูเย้ายวนไปหมดเลยครับ ตั้งแต่ได้เห็นฉากการประท้วงของพวกนักศึกษา เหตุการณ์ความวุ่นวายในยุคสมัยอันแสนอีโรติค ตัดสลับกับภาพนางเอกกำลังโพสท์ท่าถ่ายรูปลงในแม็กกาซีน ฉากปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยเซ็กส์และยาเสพย์ติด ไปจนถึงฉากที่เธอกับสามีออกเดินทางท่องโลก ทั้งหมดที่ได้เห็นมันเหมือนกับได้รวมเอาเสน่ห์แห่งยุคสมัยในทุกๆด้านเอาไว้ในหนังเรื่องเดียวเลยครับ ยุคสมัยที่เสรีภาพทางความคิดแทบไม่มีขีดจำกัด ทั้งการเคลื่อนไหวของ sexual liberation กับ student revolution คือการเคลื่อนไหวที่รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันจนแยกกันไม่ออก เหมือนเสรีภาพทางการเมืองกับเสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิตที่เป็นสิ่งเดียวกันมาโดยตลอด ทั้งหมดเกิดขึ้นในยุคสมัยที่ การเมือง ศิลปะ เซ็กส์ และ แฟชั่น มีความเชื่อมโยงกันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทุกอย่างคือส่วนผสมของ สตรอวเบอรี่ เชอร์รี่ และจุมพิตจากเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิ ที่รวมเข้าด้วยกันเป็น Summer Wine นำอมฤตจากบ่อน้ำพุแห่งวัยหนุ่มสาว
ดูๆไปผมก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันครับว่าทำไมเรื่องอย่างนี้มันไม่เกิดขึ้นในเมืองไทยบ้าง ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากยุคซิกส์ตี้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เฉพาะในสังคมตะวันตก แต่อยากให้มันแพร่ลามเป็นทั่วโลก ถ้าจะให้ดีก็ให้มันมา peak ในประเทศนี้กันเสียเลย ในที่ๆผู้คนเอาแต่เรียกหาแต่การจัดระเบียบสังคม แทนที่จะเป็นเสรีภาพสำหรับทุกๆคน ในที่ๆ summer of love ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะทุกคนอยู่ภายใต้วัฒนธรรมที่คอยหล่อเลี้ยงแต่ sweaty winter of despair (ขนาดตอนที่พวก The Beatles จะแวะมาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทย รัฐบาลเผด็จการในยุคนั้นยังไม่ยอมให้พวกเขาลงจากเครื่องบินด้วยซ้ำ ช่างน่าภูมิใจกับวัฒนธรรมไทยของเรากันเสียจริงเลยนะครับ) ที่อย่างนี้แหละครับที่มันยิ่งจำเป็น
พอผมลองไปเช็คใน IMDB ผมถึงได้ทราบว่าหนังเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของ Uschi Obermaier ผู้ที่ถือได้ว่าเป็น icon ที่รวมเอาจิตวิญญาณของหนุ่มสาวเยอรมันในช่วงปลายยุคหกสิบแทบทุกอย่างเอาไว้ด้วยกันในตัวเธอ ลองจินตนาการถึงหญิงสาวที่ใช้ชีวิตแบบที่สุดเหวี่ยงอย่างที่น้อยคนจะกล้าทำดูสิครับ เธอใช้ชีวิตตามแรงกระตุ้นอย่างไร้กฏเกณฑ์โดยสิ้นเชิง เริ่มที่การประชดพ่อแม่หัวอนุรักษ์นิยมของเธอด้วยการถ่ายแบบนู๊ดลงนิตยสารแฟชั่น ซึ่งเธอก็เป็นนางแบบคนแรกที่กล้าโพสต์ภาพ frontal nudity ให้กับนิตยสาร twen จากนั้นก็หนีออกจากบ้านไปเป็น It Girl ตามคลับในมิวนิค ที่นั่นเธอได้พบกับแฟนคนแรก Rainer Langhans จากนั้นก็ตามเขาไปใช้ชีวิตร่วมกับพวกปัญญาชนฝ่ายซ้ายใน Kommune 1
เธออยู่ที่ Kommune ในมิวนิคก่อนที่จะย้ายตามแฟนมาอยู่ที่ Kommune 1 ในเบอร์ลิน อ่านจากบางความเห็นใน IMDB ดูเหมือนว่าหนังจะให้ภาพของ Kommune 1 ได้ไกล้เคียงกับความเป็นจริงมากเลยครับ ใน Kommune 1 จะเป็นคล้ายห้องใหญ่ๆห้องหนึ่งที่พวกนักเคลื่อนไหวผ่ายซ้ายใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบโบฮีเมียนขนานแท้ กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ระเกะระกะในนั้น ของทุกอย่างจะแชร์ร่วมกันหมด แม้กระทั่งแฟนก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีใครครอบครองเป็นเจ้าของใครทั้งสิ้น และเวลาจะมีเซ็กส์กันก็ไม่ต้องไปหาที่หลบมุมให้เสียเวลา ก็มีกันในห้องนั้นกันเลย ปล่อยให้คนอื่นทำธุระของเขากันไป
ว่ากันว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแฟนของเธอใน Kommune 1 นั่นถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่ง sexual revolution ที่หลายคนเชื่อกันว่า John Lennon กับ Yoko Ono ก็ยึดเอาความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นต้นแบบ
แต่เธอเองก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากพวกปัญญาชนใน Kommune 1 มากนัก เพราะความสนใจของเธออยู่ที่การได้สนุกสนานกับชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง แทนที่จะเป็นปรัชญาเชิงวิชาการและอุดมการณ์ของพวกฝ่ายซ้ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกเหมือนอย่างสมาชิกคนอื่นๆใน Kommune พวกนั้นเลยไม่ค่อยอยากจะนับเธอว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มเคลื่อนไหว และตัวเธอเองก็ไม่ได้สนใจกับการเคลื่อนไหวของพวกเขาเหมือนกัน เธอไม่ได้ร่วมรณรงค์ให้กับกลุ่มสิทธิสตรีหัวรุนแรงใน Kommune เพราะเธอก็ยังคงสนใจกับการเป็นนางแบบในวงการแฟชั่นอยู่ ในช่วงนั้นเธอก็ยังคงถ่ายแบบให้กับนิตยสารอย่าง Stem กับ Spiegel รูปของเธอที่ออกมาในตอนนั้นบางรูปก็เป็นภาพเธอกำลังสูบกัญชา
เธอปล่อยให้พวกเพื่อนๆของเธอใน Kommune 1 อยู่กับอุดมการณ์ของพวกเขากันไป ส่วนเธอก็ยังคงสนุกสนานกับชีวิตสุดเหวี่ยงในแวดวงแฟชั่น และเมื่อเจอกับ Mick กับ Keith แห่งวง The Rolling Stones (คนที่เล่นเป็น Mick เป็นนักร้องชื่อดังของสวีเดน ส่วน Keith จะเป็นนักแสดงเยอรมัน ผมว่าเอาคนเยอรมันมาเล่นเป็นอังกฤษนี่เหมือนกับเอาคนเกาหลีไปเล่นเป็นคนญี่ปุ่นเลยครับ) เธอก็ควบทั้งนักร้องนำและก็มือกีตาร์เลยครับ จากนั้นก็ออกทัวร์ร่วมกับทางวง ก่อนจะไปเจอกับคู่รักที่เป็นเจ้าของบาร์ แต่งงานกัน แล้วออกเดินทางรอบโลกด้วยรถบัสสุดหรู
ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยความราบรื่น เธอเองก็ต้องเผชิญกับความสูญเสีย และบ่อยครั้งที่การใช้ชีวิตแบบ care free ของเธอก็ได้ทำร้ายคนรอบข้างโดยที่เธอไม่รู้ตัว แต่การปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามแรงกระตุ้นอย่างนี้ไม่ใช่หรือครับที่เราสามารถจะตักตวงเอาจากแต่ละชั่วปัจจุบันขณะในวัยหนุ่มสาวได้อย่างเต็มที่ ได้มีโอกาสรู้ซึ้งถึงความงดงามแห่งวัยหนุ่มสาวโดยที่ไม่ต้องให้พวกไกล้ตายทั้งหลายมาคอยกะเกณฑ์ว่าเราควรจะมีชีวิตแบบไหน ไม่ต้องยอมปล่อยให้กฏข้อบังคับอันน่าอัปลักษณ์จากอดีตมาทำลายความงามของปัจจุบัน
ถ้าไอน์สไตน์เชื่อว่า Imagination is more important than knowledge ผมเองก็เชื่อของผมเหมือนกันครับว่า A moment of passion is much more important than a thousand years of tradition และการได้เลือกมีชีวิตอย่างที่ต้องการแบบที่เธอทำเท่านั้น ที่จะทำให้แต่ละชั่วขณะกลายเป็นนิจนิรันดร์ในตัวมันได้ เธอเรียกได้ว่าเป็นขบถโดยธรรมชาติตั้งแต่วันที่เธอตัดสินใจทิ้งครอบครัวของเธอไว้ข้างหลัง และธรรมชาติความเป็นขบถของเธอไม่จำเป็นต้องมีปรัชญาหรือมีหลักการทางวิชาการมารองรับเหมือนกับที่พวกปัญญาชนฝ่ายซ๊ายมีกัน เพราะมันคือความรักในการได้มีชีวิตล้วนๆ
คลิพข้างล่างจะเป็นเบื้องหลังการถ่ายทำมิวสิควิดิโอครับ ประมาณนาทีกว่าๆ ก็เป็นภาพการสัมภาษณ์ Uschi ตัวจริง ซึ่งในคลิพนี้เธอยังดูดีมากๆเลยครับ มันคงเป็นยิ่งกว่าฝันที่เป็นจริงเสียอีกถ้าผมได้มีเซ็กส์กับเธอในตอนนี้ ถึงเธอจะอายุหกสิบกว่าๆแล้วก็เถอะครับ
Ville Valo and Natalia Avelon - Making of Summer wine (Sonic Seducer)
http://www.youtube.com/watch?v=wEHfInljtzs&feature=channel_pageส่วนอีกคลิพจะเป็นบทสัมภาษณ์ Natalia Avelon นางเอกที่เล่นเป็น Uschi ครับ
8 Miles High: Natalia Avelon interview
http://www.youtube.com/watch?v=tqaq1_tlfrMต้องยอมรับว่า นอกจากหนังเรื่องนี้จะนำเสนอภาพของยุคหกสิบ และชีวิตของ Uschi ออกมาได้อย่างงดงามแล้ว (อ่านจากสัมภาษณ์ เธอบอกว่าใช้เวลาถึงแปดปีในการพัฒนาบท) ต้องยอมรับว่าทางทีมงานคัดเลือกนักแสดงได้เก่งจริงๆ เพราะนอกจากเธอจะถ่ายทอดบทบาทของ Uschi ได้ยอดเยี่ยม นักแสดงสาวเชื้อสายโปแลนด์คนนี้ยังหน้าตาเหมือน Uschi สมัยสาวๆเอามากๆเสียด้วยสิครับ
นอกจากการเป็นนางแบบและ icon ของหนุ่มสาวเยอรมันในยุคซิกส์ตี้แล้ว สมัยที่ยังอยู่ Kommune ในมิวนิค Uschi ยังมีผลงานทางด้านดนตรีอีกด้วยครับ โดยเธอเป็นสมาชิกของวงดนตรีใน Kommune ซึ่งก็ไม่ใช่วงกระจอกๆนะครับ เพราะผมกำลังพูดถึงวง Amon Duul หนึ่งในแกนนำสำคัญของกระแสดนตรี Krautrock เลยทีเดียว โดยเธอจะเล่น maracas ในอัลบั้ม Collapsing (1970) และ Disaster (1972)
ผมเองก็เริ่มฟังดนตรี Krautrock มาได้ไม่นานมานี้เองครับ วงที่ชอบก็จะเป็น CAN กับ Ash Ra Tempel ส่วน Amon Duul นั้นเคยได้ยิน แต่ยังไม่เคยลองฟังจริงๆจังๆเสียที ไปอ่านข้อมูลของวงนี้ในวิกิ ก็ไม่มีลิสต์รายชื่อสมาชิกของวงให้ดูเสียดวย เพราะวงนี้เป็นวงของ Kommune ซึ่งก็หมายความว่าสมาชิกก็เป็นพวกหนุ่มสาวที่อยู่ใน Kommune เดียวกันนั่นแหละครับ แน่นอนว่าต้องมีเป็นสิบๆคน มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าๆออกๆในแต่ละอัลบั้ม ดนตรีในยุคแรกจะเป็นไซคีเดลลิค และเพิ่มสัดส่วนของเสียงในแบบอิเลคโทรนิคเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ลองเข้าไปฟังเพลงของพวกเขาใน MySpace ที่ลิ้งค์ข้างล่างได้เลยครับ
Amon Duul
http://www.myspace.com/amonduulคลิพข้างล่างจะเป็นการแสดงของทางวงในยุคแรกๆ ผมไม่แน่ใจว่านักร้องนำหญิงในคลิพนั่นเป็น Uschi หรือเปล่า แต่ดูเธอเหมือนกับ Uschi ในวัยยี่สิบกลางๆมากเลยครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมพลาดงานดนตรีของพวกเขาไปได้ยังไง อย่างที่บางความเห็นเขียนเอาไว้นั่นแหละครับ ดนตรีของพวกเขามัน vampires on acid ชัดๆ
amon duul II - phalus dei - parte 1
http://www.youtube.com/watch?v=fJThEDJ5-Y8&feature=relatedส่วนอีกคลิพข้างล่างเป็นภาพคอนเสิร์ตในมิวนิคของพวกเขา จากภาพยนตร์ "Die Niklashauser Fart" ของ Fassbinder ที่ออกฉายในปี 1970 ดูจากการแสดงดนตรีของพวกเขาในคลิพที่นักดนตรี (หรือผู้ชม?) บางคนก็นอนกอดกันข้างๆเวทีที่พวกนักดนตรีกำลังเล่น คงจะพอทำให้มองเห็นภาพของวิถีชีวิตแบบโบฮีเมียนใน Kommune ได้รางๆนะครับ
amon duul II. live in munich 1969. untitled jam. revisited.
http://www.youtube.com/watch?v=TdyeUIvFPIY#ได้ยินมาว่าตอนนี้โอนสัญชาติเป็นอเมริกันไปเรียบร้อยแล้ว และก็ทำงานเป็น jewellery designer ใน LA (ยังไงผมก็ว่านิวยอร์คเหมาะกับเธอมากกว่า) เมื่อวานผมก็ไปเจอ MySpace ของเธอมาเหมือนกัน ว่าว่างๆผมจะส่ง add ไปให้เธอเสียหน่อย แต่คงต้องหาเวลาเขียน message ให้ดีๆสมกับที่เธอช่วยสร้างแรงบันดาลใจในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาด้วยละครับ (ถ้าเธอยังพอสละเวลาจากชีวิตที่สุดเหวี่ยงของเธอมาเช็ค MySpace ได้บ้าง)
Uschi Obermaier
http://www.myspace.com/obermaier ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง Der Baader Meinhof Komplex (2008) ก็เป็นหนังจากเยอรมันเช่นเดียวกันครับ เป็นภาพยนตร์ที่กล่าวถึงเรื่องราวของ Andreas Baader, Ulrike Meinhof และGudrun Ensslin แกนนำในกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองหัวรุนแรงที่ชื่อ The Red Army Faction (RAF) และปฏิบัติการก่อการร้ายของพวกเขาในช่วงปลายยุคหกสิบถึงต้นยุคเจ็ดสิบ คลิพข้างล่างจะเป็นคลิพหนังตัวอย่างครับ
Der Baader Meinhof Komplex (2008, Uli Edel)
http://www.youtube.com/watch?v=WAyCi4cObmIได้ยินมาว่าหนังเรื่องนี้เคยเข้ามาฉายในเทศกาลภาพยนตร์บางเทศกาลในกรุงเทพมาแล้ว ไม่ทราบว่ามีท่านใดที่นี่เคยดูบ้างหรือเปล่าครับ? หนังได้รับเสียงวิจารณ์ไม่ค่อยดีนัก (ผมว่า น่าจะเรียกว่าผิดความคาดหวังเสียมากกว่า) เพราะผู้สร้างพยายามจะรวบรวมเอาตัวละครอันหลากหลายและความซับซ้อนทั้งหมดของช่วงเวลาอันสับสนเข้ามายัดเข้าด้วยกันในภาพยนตร์ความยาวแค่สามชั่วโมง ก็เลยทำให้ตัวละครหลายตัวดูแบนๆ แต่ก็เช่นเดียวกับ Das Wilde Leben (หนังเยอรมันอีกเรื่องที่ผมเขียนไว้ในความเห็นข้างบน ยังแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าหมู่นี้หนังที่อยากดูจะมีแต่หนังจากเยอรมันทั้งนั้นเลยครับ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นผมมักจะรู้สึกว่างานภาพในหนังเยอรมันค่อนข้างจะขาดเสน่ห์เมื่อเทียบกับหนังอิตาลี หรือหนังฝรั่งเศส)
ข้างล่างเป็นคลิพการให้สัมภาษณ์ของ Ulrike Meinhof หนึ่งในแกนนำกลุ่ม RAF ในปี 1970 ครับ
Ulrike Meinhof interviewed in 1970
http://www.youtube.com/watch?v=k7jEk_f04pE&feature=relatedแม้ว่าคำวิจารณ์จะแบ่งกลุ่มผู้ชมออกเป็นสองขั้ว แต่ภาพจากหนังตัวอย่างมันดูดีเสียจนปฏิเสธได้ยาก ผมยิ่งแพ้ทางหนังที่กล่าวถึงช่วงเวลาในยุคซิกส์ตี้อยู่ด้วย ยิ่งถ้าถ่ายทำกันออกมาดีๆอย่างนี้ แม้ว่ามันจะเป็นหนังแย่ขึ้นมาจริงๆ ผมก็ยังอยากดูอยู่ดีแหละครับ อาจจะเป็นเพราะผมเคยติดใจผลงานของเขามาตั้งแต่ Christiane F (1981, Uli Edel) ข้างล่างเป็นฉากหนึ่งจากหนังเรื่องนี้ ที่ได้ David Bowie มาปรากฏตัวในฉากคอนเสิร์ทด้วยครับ
Christiane F - David Bowie concert
http://www.youtube.com/watch?v=eiRGVWL_QiY&feature=channel_pageหนังเรื่องนี้ดัดแปลงเนื้อเรื่องมาจากหนังสือที่เขียนขึ้นโดย Kai Hermann ไม่แน่ใจว่าชื่อหนังสือคือ Christiane F. - Wir Kinder vom Bahnhof Zoo หรือเปล่านะครับ โดยจะเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ติดเฮโรอีนในเบอร์ โดยจะเล่าผ่านตัวละครเอก Christiane เด็กสาวที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม ฉากในคลิพข้างเป็นเป็นฉากที่เธอและแฟนไปดูคอนเสิร์ทของ David Bowie ซึ่งกำลังร้อง Station to Station และเขาก็เป็นผู้รับผิดชอบด้านดนตรี (รวมทั้งการปรากฏตัวเป็นดารารับเชิญ) ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยครับ
อีกคลิพข้างล่างเป็นเพลง "Chicago" ของ Clueso ที่ผู้โพสท์นำฉากที่ตัดต่อจากภาพยนตร์เรื่องนี้มาทำเป็นมิวสิควิดิโอ ซึ่งทำออกมาด้วยอารมณ์เพลงที่ต่อเนื่องกับภาพได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียวครับ (ตัวละครเอกจะเป็นเด็กสาวผมยาวๆนะครับ ดูเธอจะอายุไม่ถึงสิบห้าดีด้วยซ้ำ) คลิพนี้ขับเน้นบรรยากาศอันมัวหม่นของหนังเกี่ยวกับชีวิตเหลวแหลกของวัยรุ่นได้เนียนสุดๆเลยครับ
Christiane F. - Wir Kinder vom Bahnhof Zoo
http://www.youtube.com/watch?v=N1_wJVhAIsAทราบมาว่าบริษัทซีวีดีได้ลิขสิทธิ์ในการจัดจำหน่าย Christiane F (1981, Uli Edel) ในเมืองไทย แต่จะโดนตัดหรือโดนเซ็นเซอร์โดยศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม (แหล่งรวมของพวกมีปมด้อยทางปัญญา) ไปมากแค่ไหน ผมไม่รับประกันนะครับ