หลัง ๆ ก็มีคุยกันเรื่องดนตรี Prog ต่อ มานึกเอาตอนนี้ ผมว่าพี่คนนั้นนี่
แก Big Fan สุด ๆ จริง ๆ นึกดูนะ สมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ท แต่แกรู้ขนาดนี้
(เขาสะสมหนังสือดนตรีต่างประเทศด้วย)
ยังจำได้ดีอีกอย่าง แกบอก ไอ้พวกที่เล่น Progressive (แต่จำไม่แม่นว่าเขาใช้คำว่าอะเไรเรียกแทนคำว่า Prog)
ส่วนใหญ่ไอ้อิทธิพลจากหนังสือ แบบอ่านนวนิยายวิทยาศาสตร์ หรืออื่น ๆ แล้วชอบ
เลยเอามาทำเป็นดนตรี
แล้วก็คุยกันเรื่องวง Yes ตลกอีกอย่าง ผมจำแม่นเลย แกชอบล้อเลียนวงนี้ว่า
ที่พวกมันเล่นกันยาว ๆ เพราะพี้เข้าไปเยอะ ไม่รู้จะจบกันยังไง แต่เขากำชับเลยนะ
ถ้าไม่เคยฟังเยส แล้วจะหามาฟัง ให้เริ่มจากชุดที่มี Classic Line Up
ผมคิดว่าศิลปินที่ทำดนตรี progressive ได้นั้นคงเป็นพวกปัญญาชนที่อ่านหนังสือหรือมีความรู้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพวกนิยายวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมและดนตรีคลาสสิก ตำนานพื้นบ้าน นิทานปรัมปรา เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ การเมือง หรือแม้กระทั่งปรัชญา แล้วนำเอาไอเดียเหล่านี้มาถ่ายทอดออกเป็นบทเพลงสู่สาธารณชนอีกต่อหนึ่ง ส่วนประเด็นเรื่องเสพยานั้น ผมเห็นว่าเป็นแฟชั่นของยุค 70's ผสมผสานกับวิถีชีวิตของพวกบุปผาชนหรือฮิปปี้ในยุคนั้น (สังเกตได้ว่าศิลปินเหล่านี้ในยุคนั้นส่วนใหญ่จะไว้ผมยาวและนุ่งกางเกงขาบานกันแทบทั้งนั้น) ยาเสพติดคงมีส่วนช่วยให้พวกเขามีจินตนาการอันบรรเจิด ก่อให้เกิดภาพหลอน และเห็นสิ่งที่เหนือจริงซึ่งคนทั่วไปไม่เห็นกัน ตอนที่เพลง prog อยู่ในกระแส คือราว ๆ ต้นยุค 70's นั้น ผมเองยังเด็กอยู่ ไม่ทันได้ฟังเพลงพวกนี้ ก็เลยไม่รู้ว่าหนุ่มสาวในยุคนั้น พอได้ฟังเพลงเหล่านี้แล้ว เขาจะ "ม่วน" กันขนาดไหน ผมเพิ่งมีโอกาสได้ฟังดนตรี prog อย่างจริงจังประมาณสิบปีให้หลังไปแล้ว คือ ประมาณต้นยุค 80's แล้วก็ติดใจเรื่อยมาเลยครับ
ขออ้างอิงคำพูดหน่อย ไม่รู้ว่ากดถูกรึเปล่านะ ลองดู
พูดถึงประเด็นวรรณกรรมหรือปรัชญา ลาง ๆ ว่าเหมือนพี่ที่เล่าเรื่องดนตรี Rock ยุค 70
ให้ผมฟัง (แกแตกฉานเรื่องวง Yes มาก) แกบอกผมว่าเยสมักจะนำวรรณกรรมของ ลีโอ ตอลสตอย
มาใช้เป็นวัตถุดิบ แต่ผมไม่ทราบนะว่าเพลงไหน อัลบั้มใด เพราะเคยอ่านของตอลสตอย
ไม่กี่เล่มที่แปลเป็นไทยในบ้านเรา