Thai Progressive Rock Community

ThaiProg => Keep Talking => ข้อความที่เริ่มโดย: Layla F Mulder ที่ 12 พฤศจิกายน 2008 | 08:56:58 AM



หัวข้อ: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Layla F Mulder ที่ 12 พฤศจิกายน 2008 | 08:56:58 AM
เนื่องจากช่วงนี้ใกล้สิ้นปีแล้วครับ ผมก็ขอหากิจกรรมมาให้ทำกันเล่นๆ หน่อยนะครับ
โดยปรกติทุกท่านคงคุ้นกันดีสำหรับ Top 2008 Albums ที่จัดกันตามเว็บบ้าง ตามนิตยสารต่างๆ บ้าง รวมถึงเว็บเราก็มีเหม่งที่เคยเขียนบทความ Top 2007 Albums ของตัวเองลงในหน้าเว็บไปแล้วเหมือนกัน และผมคิดว่าปีนี้เว็บของเราก็น่าจะลองดูมั่งก็ไม่เลว โดย

- ให้สมาชิกท่านที่สนใจร่วมกิจกรรม เขียนเป็นสกู๊ปหรือบทความ Top 2008 Albums ของตนเองขึ้นมา โดยจะเขียนในสไตล์ของตนเองอย่างไรก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด แต่ควรมีความยาวพอประมาณ อัลบั้มในลิสต์ควรจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละท่าน ท่านไหนฟังเพลงใหม่อาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ ก็เขียนจำนวนอัลบั้มไม่ต้องเยอะมากนัก แต่ถ้าฟังเยอะๆ อย่างน้องเหม่ง ก็อาจจะเขียนได้หลายอัลบั้ม โดยผมขอตั้งไว้ว่า Minimum ที่คนละ 5 อัลบั้ม Maximum ที่คนละ 20 อัลบั้มนะครับ โดยเมื่อเขียนถึงแล้วก็คอมเมนต์กันได้ตามใจชอบ ตามถนัดของตนเอง อาจจะแยกเป็นๆ ก็ได้ เช่น แยกเป็นฝั่ง Prog กับ Non-Prog อะไรทำนองนี้

- อัลบั้มที่เขียนถึงต้องเป็นอัลบั้มในที่ออกวางจำหน่ายในปี 2008 เท่านั้น แต่จะเป็นงานสตูดิโออัลบั้ม งานแสดงสด อัลบั้มรวมเพลง หรือแม้แต่จะเป็นพวกรีอิชชูอัลบั้มแบบ Deluxe Edition ก็ได้ แต่ขอข้อจำกัดคือออกในช่วงปี 2008 เท่านั้นครับ

- สำหรับการเขียนและการส่งบทความ ให้สมาชิกที่สนใจร่วมกิจกรรม ลงชื่อที่กระทู้นี้ได้เลย และเขียนหรือส่งบทความลงในกระทู้นี้เลย ในลักษณะที่ว่าตอบกระทู้เขียนไว้ในนี้เลย แล้วค่อยๆ มาเขียนในกระทู้นี้ โดยใช้การ Edit/Modify กระทู้ของตัวเองใน Topic นี้ก็ได้ จนกว่าจะเสร็จ หรือว่าจะเขียนจากที่อื่นให้เสร็จเรียบร้อยแล้วนำมาโพสต์ในนี้ก็ได้ครับ โดยหมดเขตส่งบทความในวันที่ 25 ธันวาคม 2551 นี้ เพื่อที่ช่วงสิ้นปีผมจะได้เอาไปโพสต์ที่หน้าเว็บได้พอดีครับ

ไปก่อนนะครับ เด๋วมาเขียนต่อ ต้องไปแล้วครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: JKNoremorse ที่ 12 พฤศจิกายน 2008 | 10:01:47 AM
เขียนตามสไตล์ของตัวเอง? กำลังคิดอยู่เล่น ๆ เหมือนกันครับ  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Fog ที่ 12 พฤศจิกายน 2008 | 11:51:21 AM
งั้นก็รอเดือนหน้าได้เลย มีแน่นอนจ้า...


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ ที่ 12 พฤศจิกายน 2008 | 04:12:42 PM
ตอนนี้ขอเวลาลิสต์และคัดเลือกก่อนนะครับ เพราะปีนี้มีงานดีๆออกมาเยอะมากจริงๆ เลือกไม่หวาดไม่ใหว รักพี่แต่ก็เสียดายน้อง (แต่ถ้าพี่หรือน้องเป็นผู้หญิงผมจะเลือกน้องครับ)  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: JKNoremorse ที่ 12 พฤศจิกายน 2008 | 05:14:26 PM
ตอนนี้ขอเวลาลิสต์และคัดเลือกก่อนนะครับ เพราะปีนี้มีงานดีๆออกมาเยอะมากจริงๆ เลือกไม่หวาดไม่ใหว รักพี่แต่ก็เสียดายน้อง (แต่ถ้าพี่หรือน้องเป็นผู้หญิงผมจะเลือกน้องครับ)  :D

ของ Lilium คงต้องแต่งและทำออกเป็นพ็อคเก็จบุ๊คเลยครับ  ;)


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ShadowServant ที่ 15 พฤศจิกายน 2008 | 04:49:20 PM
น่าสนใจครับ อยากเข้าร่วมด้วย เดี๋ยวลองดู ๆ ก่อนว่ามีอัลบั้มที่ออกตอน 2008 ครบหรือไม่  :)


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ ที่ 15 พฤศจิกายน 2008 | 04:50:45 PM
ตอนนี้คัดเลือกไว้แล้ว Prog สิบชุด Non-Prog สิบชุด ทีนี้ก็เหลือแต่รอดูว่าจะมีอัลบั้มดีๆรีลีสออกมาอีกและจะดีพอสามารถเบียดเข้าลิสต์ได้หรือไม่  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Terryl ที่ 16 พฤศจิกายน 2008 | 12:23:53 PM
ถ้ามีเวลาจะแจมด้วย ไม่ได้เขียนอะไรทำนองนี้มาเกือบปีแล้วครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ♫ phil_wc ♫ ที่ 18 พฤศจิกายน 2008 | 07:55:19 PM
ถ้ามีเวลา อาจจะเขียน non prog ได้ไม่เกิน 10 ชุดครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: panyarak ที่ 02 ธันวาคม 2008 | 03:36:36 PM
ผมได้ฟังอัลบั้มใหม่จริงๆ น้อยมาก เพราะไม่อยากผิดหวังซ้ำซาก จึงหันไปซื้อแต่พวก reissues (mini lp cd) เป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้เลยนึกออกแค่ 5ชุด (แล้วจะมาเติมอีกครับ)
1. Keith Emerson Band featuring Mark Bonilla - ฟังแล้วหายคิดถึงเสียง Hammond กับออร์แกนที่เป็นเอกลักษณ์ของ ELP ที่ห่างหายไปเสียนาน เสียงกีตาร์และร้องนำของ Bonilla ก็พอรับได้ เพราะถึงยังไง คงไม่มีวันที่ Greg Lake จะกลับมาร่วมงานกับ Emerson อีกแล้ว และเสียงร้องของ Lake เองก็ด้อยคุณภาพลงไปตามอายุ ไม่ก้องกังวานเหมือนสมัยหนุ่มๆ แล้ว ระบบเสียงโดยรวม (แผ่นญี่ปุ่น) ถูกใจมาก  ส่วน DVD ที่เป็นแผ่นแถมซึ่งเป็นบันทึกการแสดงสดจากฮังการี แม้ว่าจะหาดูได้จาก Youtube แต่ก็น่ามีไว้เป็นเจ้าของ จะได้เห็นความไวของนิ้วของ Emerson เหมือนไปยืนดูอยู่บนเวที และนักดนตรีในวงก็เล่นเข้าขากันดี
(http://i416.photobucket.com/albums/pp244/panyarakp/VIZP-64.jpg)
2. Enya - And Winter Came - ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากสำหรับผลงานเพลงคริสต์มาสของ Enya เพราะนึกว่าจะนำเพลงคริสต์มาสเก่าๆ มาเล่นในสไตล์ Enya แต่กลับมีเพลงที่แต่งใหม่เพียบ ส่วนการเรียบเรียงเสียงประสานก็ยังเป็น Enya และทีมงานเดิมอยู่ครับ มีเพลงที่กล่าวถึง The Beatles แบบซ่อนมุกตลกไว้ด้วย
(http://i416.photobucket.com/albums/pp244/panyarakp/came.jpg)
3. Jordan Rudess - The Road Home - ความที่บ้าเพลง cover เป็นทุนเดิม ทำให้อดซื้อชุดนี้มาฟังไม่ได้ และพบว่า ยอดเยี่ยมกว่าที่คิด โดยเฉพาะเพลง JR Medley ที่นำเพลง Soon, Supper's Ready, I Talk to the Wind, And You and I มาเล่นร้อยเป็นเพลงเดียวกันอย่างกลมกลืน แถมแทรกด้วยท่อนโซโลเด็ดๆ ของเขาเอง อีกเพลงที่ประทับใจสุดๆ คือ Tarkus จึงขอยกย่องให้ชุดนี้เป็น tribute album แนว prog ที่ประทับใจที่สุดที่ได้ฟังในปีนี้ (ขอผิดกติกา เพราะแม้ว่าออกมาปีที่แล้ว แต่กว่าจะรอให้ได้แผ่นราคาย่อมเยาว์ ก็ล่วงมาต้นปีนี้แล้ว)
(http://i416.photobucket.com/albums/pp244/panyarakp/200px-TheRoadHome.jpg)
4. Ministry - Cover up - วงที่ได้ชื่อว่าขายตัวก่อนดัง (ในขณะที่วงอื่นๆ ดังก่อนแล้วถึงขายตัว) นี้ ตามกันมาทุกอัลบั้ม มาถูกใจที่สุดก็ตอนเล่นเพลง cover ล้วนนี้ โดยเฉพาะเพลง Space Truckin', Radar Love, Bang a Gong และ What a Wonderful World ซึ่งในแผ่นญี่ปุ่น เพลงหลังนี้จะเป็นเพลงที่แถมเพิ่มเข้ามาใน version ที่เล่นช้าๆ แต่เหี้ยมโหดตลอดเพลง กับแบบแสดงสด ในขณะที่แผ่นอเมริกาและยุโรปจะมีแต่ version ที่เล่นช้าและเร็วในเพลงเดียวกันเท่านั้น ส่วนเพลง Supernaut ของ Black Sabbath ก็เล่นได้ยอดเยี่ยม แต่เคยออกจำหน่ายในนาม 1,000 Homo DJs มาแล้ว ฟังจบอัลบั้มแล้ว คิดอยู่อย่างเดียวว่า อยากให้ทำอัลบั้มแบบนี้อีก เพราะยังไม่จุใจเลย
(http://i416.photobucket.com/albums/pp244/panyarakp/cover.jpg)
5. Van der Graaf Generator - Trisector - เป็นอัลบั้มที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น เพราะพอมือแซ็กซ์ David Jackson ออกจากวงไปหลัง reunion tour ก็นึกว่า VDGG จะปิดฉากลงอีกแล้ว แต่พวกเขาก็ยังเดินหน้ากันต่อแบบวง Trio ที่ยังเต็มไปด้วยพลังเครียด สมก้บความเป็นจ้าวแห่งเพลงเครียด
(แต่น่าฟัง)
(http://i416.photobucket.com/albums/pp244/panyarakp/tri.jpg)
6. Mountain - Live - The Road Goes Ever on - ขอเป็นพวก reissue บ้าง ชุดนี้เคยมีเป็นแผ่นเสียงอยู่ แต่เป็นแผ่นมือสองเก่า มีเสียงรบกวนรำคาญหูเลยไม่ได้ฟังบ่อย พอได้ฟังจากซอฟท์ที่สะอาดๆ (Japan mini lp cd) แล้วทึ่งมาก ทั้งแผ่นมีแค่ 4 เพลง เพลงที่เป็นสุดยอดของ Mountain คือ Nantucket Sleighride ถูกขยายจนยาว 17 นาที แต่เป็น 17 นาทีของสวรรค์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีตาร์หนักๆ เบส/กลองมันส์ๆ เสียงออร์แกนแบบย้อนยุคที่หาฟังได้ยาก สมกับฉายาที่รายการวิทยุ Top Teen Talent เคยตั้งให้ว่า "Mountain จอมภูผา" จริงๆ ชุดนี้ออกครั้งแรกเมื่อปี 1972 ฟังแล้วอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมวงสมัยนี้เขาไม่เล่นดนตรีแบบนี้กันแล้ว
(http://i416.photobucket.com/albums/pp244/panyarakp/ever.jpg)
7. Gregory Allan Fitzpatrick - Bildcirkus - ขอยกย่องชุดนี้ในฐานะออกแบบปกแบบ gimmick ได้สร้างสรรค์ยอดเยี่ยมมากกว่าความประทับใจในด้านดนตรี
(http://i416.photobucket.com/albums/pp244/panyarakp/bil.jpg)


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: TRON ที่ 02 ธันวาคม 2008 | 04:54:48 PM
ดูพี่ panyarak จะเป็นแฟนตัวยงเพลง cover เลยนะครับ  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: .. polotoon .. ที่ 02 ธันวาคม 2008 | 07:03:30 PM

นึกถึงสมัยที่ซื้อหนังสือมาอ่านอยู่ไม่กี่หน้าจัง  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ท่านผีเพลง ที่ 02 ธันวาคม 2008 | 08:31:40 PM
เอาอีก เอาอีก เอาอีกก๊าบ

ชุดจอร์แดน ผมจดๆจ้องๆอยู่
พี่เขาว่าดี เราต้องเชื่อ
ลุย...
(หลังหนามบินเปิด)

เอ๊ะ!! ใครสอนพี่เค้าแปะรูปนะ
เอาไป 1+


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ ที่ 02 ธันวาคม 2008 | 09:04:38 PM
Lilium's Top 10 Prog Albums of 2008

(http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/2542/cover_42191129102008.jpg)

1. Frost* - Experiments in Mass Appeal (Neo-Progressive Rock)
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าบุคลากรในอุตสาหกรรมเพลงป๊อปอย่าง Jem Godfrey ที่สรรค์สร้างเพลงฮิตหลายต่อหลายเพลงให้กับ Atomic Kitten, Blue, Ronan Keating และ Shayne Ward มาแล้ว (บรึ๋ยยส์...!!!) จะสนใจและคิดที่จะทำดนตรีแนวโปรเกรสสีฟด้วย ซึ่ง Frost* (ของแท้ต้องมีดอกจันทร์) ก็คือโปรเจคต์ของเขานั่นเอง โดยเขารับหน้าที่ควบทั้งคีย์บอร์ดและร้องสนับสนุน ส่วนนักดนตรีคนอื่นก็ล้วนแต่เป็นระดับบิ๊กเนมทั้งมือกีตาร์ Joni Mitchell (Arena, Kino), มือเบส John Jowitt (IQ), มือกลอง Andy Edwards (IQ) จะมีก็แค่ Dec Burke ที่เป็นนักร้องนำโนเนมแต่เสียงดีมาก ซึ่งในอัลบั้มชุดที่สองนี้ก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นโปรเกรสสีฟสมัยใหม่ที่มีภาคดนตรีแข็งแรงและสวยงามไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และที่โดดเด่นมากๆคือการเขียนเมโลดี้ของ Jem Godfrey นั้นทำได้ติดหูราวกับเพลงป๊อปเลยทีเดียว นอกจากนั้นเสียงร้องของนักร้องนำก็ยอดเยี่ยมราวกับ Ronan Keating มาร้องเพลงโปรเกรสสีฟก็มิปาน!!! ซึ่งเมื่อนำมาสังวาสกับดนตรีอันละเอียดซับซ้อนที่มีลูกเล่นแพรวพราวแต่พอควร จึงทำให้อัลบั้มนี้เป็นเป็นงานโปรเกรสสีฟรสหวานหอมที่ชวนฟังเสียจริงๆครับ

(http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/4076/cover_2518186112008.jpg)

2. Panic Room - Visionary Position (Neo-Progressive Rock)
อัลบั้มเต็มชุดแรกของวงโปรเกรสสีฟน้องใหม่ (แต่หน้าเก่า) ที่มีสมาชิกกว่าครึ่งสมองไหลมาจากวง Karnataka โดยได้ Anne-Marie Helder สาวเสียงสวยจาก Mostly Autumn มารับหน้าที่กระบอกเสียง ซึ่งดนตรีของ Panic Room จะแตกต่างจาก Karnataka และ Mostly Autumn พอสมควร คือจะค่อนไปทางโปรเกรสสีฟสมัยใหม่ที่เน้นความไพเราะล่องลอยเป็นหลัก (แต่ก็ยังไม่วายมีกลิ่นอายโฟล์คและอคูสติกแทรกเข้ามาอยู่ดี) ดนตรีไม่ซับซ้อนมากนัก ฟังได้สบายๆ บทเพลงมหากาพย์ปิดอัลบั้มอย่าง The Dreaming นั้นค่อนข้างเรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก เสียงร้องของ Anee-Marie Helder คุณภาพคับแก้วจริงๆครับ ราวกับเสียงของเทพธิดายังไงยังงั้นเลย ซึ่งขอบอกเลยว่าผมชอบงานของวงนี้มากกว่าวงหลักของพวกเขาอย่าง Karnataka และ Mostly Autumn เสียอีกครับ

(http://userserve-ak.last.fm/serve/252/6056018.jpg)

3. Lunatic Soul - s/t (Progressive / Neo-Folk / Dark Ambient)
ไซด์โปรเจคต์ของ Mariusz Duda นักร้องนำ, มือเบส และมันสมองหลักของวง Riverside ซึ่งในผลงานเดี่ยวชุดแรกของเขานี้ก็ยังคงไว้ซึ่งซาวนด์อันมืดหม่นอนธกาลที่เสมือนเป็นลายเซ็นของเขาและ Riverside ไปแล้ว เพียงแต่ในงานนี้เขากลับทำมันบนพื้นฐานของดนตรีโปรเกรสสีฟร๊อคที่แฝงกลิ่นอายโฟล์คและดาร์คแอมเบียนท์แทน โดยใช้การเรียบเรียงดนตรีที่ละเอียดประณีตบรรจง และมันก็ออกมาดูดีมากๆ ซึ่งถ้าฟังดูดีๆแล้วจะพบว่าเขาได้รับอิทธิพลจากวง Dead Can Dance อยู่ไม่น้อยทีเดียว งานนี้ถูกใจคอพร๊อกสายหม่นแน่นอนครับ

(http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/2093/cover_401131672008.jpg)

4. Into Eternity - The Incurable Tragedy (Progressive Metal / Melodic Death Metal)
หลังจากที่เปลี่ยนนักดนตรีแบบยกเครื่องใหม่เกือบหมดในรวมถึงการเปลี่ยนนักร้องนำจาก Chris Krall มาเป็น Stu Block ที่มีเรนจ์เสียงที่หลากหลาย สามารถร้องได้ทั้งเสียงโหนสูงแบบเพาเวอร์เมทั่ล สำรอกแบบเดธ หรือตะคอกแบบแธรช ทำให้อัลบั้มที่แล้วฟังดูหนักหน่วงซับซ้อนและเข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แกนนำของวงอย่าง Tim Roth จึงนำพาวงเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจด้วยการออกผลงานคอนเสปต์อัลบั้มอย่าง The Incurable Tragedy ที่พูดถึงประสบการณ์และความโศกเศร้าของ Tim Roth เองที่ต้องสูญเสียคนใกล้ชิดไปแบบไม่มีวันกลับด้วยโรคร้าย ดนตรีในอัลบั้มนี้จึงฟังดูเหมือนการระบายความอัดอั้นสิ่งต่างๆในใจออกมาเป็นดนตรีโปรเกรสสีฟเมทั่ลผสมเมโลดิคเดธที่รวดเร็ว รุนแรงและทรงพลัง แฝงไว้ด้วยความขมขื่นจากการสูญเสียอย่างรู้สึกได้ Stu Block ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านทางน้ำเสียงออกมาได้อย่างเกรี้ยวกราดมีพลังเหมือนคนที่กำลังปลดปล่อยความโศกเศร้าที่อัดอั้นมานาน นี่คือผลงานที่เป็นตัวแทนความรู้สึกและพลังความเกรี้ยวกราดของทางวงอย่างแท้จริงครับ

(http://www.new-noise.net/media/9f9211d2/sinew.jpg)

ึ7. Sinew - The Beauty of Contrast (New-Prog / Alternative Rock)
วงอัลเทอร์เนทีฟหน้าใหม่จากประเทศเยอรมันที่ประกาศตนว่าพวกเขาได้รับอิทธิพลในการทำงานจากวงอย่าง Dredg, Tool และ Muse ซึ่งเมื่อหันหลับมามองที่งานของพวกเขาแล้วก็จะพบว่ามันเป็นงานอัลเทอร์ร๊อคที่มีความซับซ้อนทางอารมณ์ค่อนข้างสูง
และค่อนข้างซีเรียสทั้งในด้านดนตรีและเนื้อหามากทีเดียว ท่วงทำนองหลักๆในชุดนี้จะเป็นร๊อคสมัยใหม่ที่กระตุ้นอารมณ์ให้พุ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีความซับซ้อนอยู่พอสมควร มีริฟฟ์กีตาร์เมโลดิกให้เสพย์ เสียงร้องสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่เก็บกดอยู่ภายในได้ดี และที่ต้องชมเป็นพิเศษคือการเรียบเรียงเพลงที่ให้อารมณ์ต่อเนื่องดีมาก ทำให้ฟังเพลินจนจบอัลบั้มโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ

                (http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/4135/cover_5737167122008.jpg)

6. Steven Wilson - Insurgentes (Progressive / Art Rock / Drone / Experimental)
ในปัจจุบันคงไม่มีคอโปรเกรสสีฟคนใหนไม่รู้จัก Steven Wilson หรือที่รู้จักกันดีในนามพี่ตีฟคนนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเราจะรู้จักเขาดีในฐานะที่เป็นมันสมองหลักของวง Porcupine Tree และโปรเจคต์อีกหลากหลาย รวมถึงยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของวงดนตรีเยี่ยมๆอีกหลายวงอีกด้วย ซึ่งงานแต่ละชิ้นที่เขาทำก็ล้วนแต่เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น และนี่คือครั้งแรกที่เขาจะได้ออกอัลบั้มเดี่ยวในนามของตนเองจริงๆเสียที
ซึ่งผลงานชุดนี้เหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของทุกๆ Project ที่พี่ตีฟเคยทำมาทั้ง Porcupine Tree (ความเป็นโปรเกรสสีฟ ซาวนด์มืดมน), No-Man (ซาวนด์ล่องลอย นุ่มนวล), Incredible Expanding Mindfuck (การทดลองอีเล็กทรอนิกส์), Bass Communion (แอมเบียนท์/โดรน/น้อยส์) และ Blackfield (อารมณ์ดนตรีเหงา อ้างว้าง) เขาได้นำกลิ่นอายอย่างละเล็กละน้อยของโปรเจคต์เหล่านั้นมาผสมกัน ลดทอนส่วนเกินออก ทำออกมาให้เนียน แล้วจึงเป็น Insurgentes ชุดนี้แหละครับ ซึ่งอาจจะเข้าถึงและติดหูได้ยากในคราวแรกที่ฟัง แต่ถ้าให้เวลากับมันสักหน่อยก็จะพบว่ามันมีเสน่ห์ให้ชวนค้นหาและขุดคุ้ยรายละเอียดของแต่ละเพลงมากมายเลยทีเดียว และสุดท้ายคุณก็จะตกหลุมรัก Insurgentes ชุดนี้โดยไม่รู้ตัวครับ

(http://www.mclub.com.ua/images/alb/cover24351_88389.jpg)

7. Mutyumu - Il Ya (Progressive / Experimental / Post-Metal / Classical)
แค่ปกอัลบั้มก็โดนแล้วครับ (ผมยกให้เป็นปกอัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปีนี้เลย) เห็นแล้วก็อดที่จะหามาฟังไม่ได้เลยจริงๆ ซึ่งเมื่อได้ฟังบทเพลงแล้วก็ยิ่งขนลุกครับ เพราะผมไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อนเลยจริงๆ มันเป็นดนตรีโพสต์เมทั่ลที่สลับซับซ้อน (มากๆ) มีการเปลี่ยนสัดส่วนดนตรีที่หลากหลายแบบโปรเกรสสีฟ มีแนวทางเมโลดี้แบบเพลงคลาสสิค และที่โดดเด่นมากๆคือเสียงเปียโนและไวโอลินที่คอยสอดประสานสร้างความสวยงามให้กับบทเพลงได้อย่างลงตัว ทางด้านเสียงของนักร้องสาวก็ร้องออกมาในสไตล์โซปราโน่นิดๆ ฟังดูไพเราะดี แถมยังมีเสียงตะโกนโหวกเหวกแบบฮาร์ดคอร์คอยเสริมเป็นระยะอีกตังหาก เรียกว่านี่คือผลงานที่แปลกใหม่และสมบูรณ์แบบเกินคาด ฟังแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าวงจากญี่ปุ่นแต่ละวงนี่ช่างทำเพลงมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมากเสียจริงๆ

(http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/298/cover_5416141522008.jpg)

8. RPWL - The RPWL Experience (Neo-Progressive Rock)
นี่คืองานนีโอ-พร๊อกชั้นดีจากค่ายเพลงที่ไว้ใจได้เสมออย่าง Inside Out Records ซึ่งต้องยอมรับว่าผลงานชุดนี้มีกลิ่นอายของ Pink Floyd ยุคหลังๆ อยู่ไม่น้อยเลย ทั้งเสียงคีย์บอร์เน้นสร้างบรรยากาศและลีดกีตาร์หวานบาดใจ (ท่อนโซโล่เพลง Master of War นี่คล้ายเพลง On the Turning Away มากๆ) มาผสมเข้ากันอย่างแนบเนียนกับซาวนด์ร๊อคสมัยใหม่ แต่ก็ยังมีเสียงคีย์บอร์ดประเภทวินเทจอย่าง Moog และ Mellotron เข้ามาสร้างสีสันอยู่ด้วยเช่นกัน เสียงร้องก็นุ่มนวลดีทีเดียว เรียกว่าเน้นหนักกันที่ความไพเราะล้วนๆเลยล่ะ มันเป็นงานโปรเกรสสีฟที่ฟังง่าย เข้าถึงง่าย และติดหู จึงทำให้ผมประทับใจได้ในเวลาอันรวดเร็วครับ

(http://www.progarchives.com/progressive_rock_discography_covers/1122/cover_53263342008.jpg)

9. Opeth - Watershed (Progressive Death Metal)
ยังคงเป็นที่น่าจับตามองอยู่เสมอทุกครั้งที่ออกอัลบั้มใหม่สำหรับยอดวงโปรเกรสสีฟเมทั่ลวงนี้ ซึ่งนอกจากจะทำงานคงเส้นคงวาไม่เคยต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว การดำเนินดนตรีในแต่ละอัลบั้มก็มีเสน่ห์ให้ชวนติดตามอยู่มากล้นเลยทีเดียว และในอัลบั้มชุดใหม่นี้ก็เช่นกัน นาย Mikael Akerfeldt และเพื่อนพ้องก็ยังคงบรรเลงดนตรีโปรเกรสสีฟเมทั่ลอันหดหู่ เศร้าหมอง แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของวงโปรเกรสสีฟรุ่นเก่าอย่าง Camel ที่ถูกนำมาใช้อย่างไม่ปิดบัง รวมถึงเสน่ห์ของ Mellotron ที่ยังคงใช้สร้างบรรยากาศวินเทจอันเศร้าหมองได้อย่างเต็มรสชาติ ภาคริธึ่มในชุดนี้ค่อนข้างดุเดือดทีเดียวเพราะได้มือกลองยอดฝีมือคนใหม่ (แต่หน้าเก่า) อย่าง Martin Axenrot (Witchery, Bloodbath etc.) มาร่วมสังฆกรรมด้วย ในชุดนี้มีทั้งแทร๊คสุดโหดอย่าง Heir Apparent และแทร๊คสุดหวานอ่อนช้อยอย่าง Burden แต่มันกลับมารวมอยู่ในอัลบั้มเดียวกันได้อย่างไม่เคอะเขินและฟังรื่นหูมาก สัดส่วนดนตรีในชุดนี้ฟังดูละเอียดลออมากกว่าชุดก่อนๆ นี่คืองานมาสเตอร์พีซของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

(http://www.imageurlhost.com/images/1atdlit5nfsfxhaeglw3.jpg)

10. Eyefear - The Unseen (Progressive Metal)
ไม่ปล่อยให้รอนานกันเลยทีเดียวสำหรับ Eyefear วงโปรเกรสสีฟเมทั่ลจากแดนจิงโจ้ที่ตีคู่กันมากับวงรุ่นพี่ร่วมชาติอย่าง Vanishing Point ซึ่งผลงานของพวกเขาก็ไว้ลายได้เฉียบขาดไม่แพ้วงรุ่นพี่เลย (ออกจะซับซ้อนดุดันกว่าด้วยซ้ำ) ดนตรีใน The Unseen ชุดนี้จะเป็นโปรเกรสสีฟเมทั่ลสไตล์ยุโรปที่ติดสำเนียงเพาเวอร์เมทั่ลเล็กน้อย ภาคดนตรีซับซ้อนกำลังดี มีคีย์บอร์ดคอยสร้างบรรยากาศมืดมนอยู่ตลอดเวลา มีเมโลดี้สวยงามติดหู ท่อนโซโล่ก็เล่นกันแบบพออิ่มอร่อย โดยรวมแล้วฟังไม่ยากนัก แฟนๆของวงอย่าง Circus Maximus, Vanden Plas หรือ Anubis Gate คงจะชอบได้ไม่ยาก  ความยาวเฉลี่ยของแต่ละเพลงในชุดนี้อยู่ที่ 4-6 นาที ซึ่งก็ฟังกระชับและไม่เยิ่นเย้อดีครับ



หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ ที่ 02 ธันวาคม 2008 | 09:21:24 PM
Lilium's Top 10 Non-Prog Albums of 2008

(http://www.kindamuzik.net/gfx/elbow-cvr-0308.jpg)

1. Elbow - The Seldom Seen Kid (Indie Rock / Art Rock)
จำได้ว่าไม่เคยชอบผลงานของวงนี้เลยแม้แต่ชุดเดียว เพราะฟังกี่ชุดๆก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาทำงานเพลงค่อนข้างเลื่อนลอย หาจุดยืนไม่ถูก และยังขาดจุดเด่นให้เป็นที่จดจำเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ฟัง The Seldom Seen Kid ชุดนี้ ผมก็ต้องเปลี่ยนใจใหม่ครับ เพราะรู้สึกได้เลยว่าคราวนี้พวกเขาทำงานกันแบบ "เน้น" จริงๆ และงานก็ออกมาน่าฟังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยครับ ซึ่งดนตรีในอัลบั้มนี้ก็จะเป็นอินดี้ร๊อคที่เน้นในเรื่องความประณีตของการเรียบเรียงเครื่องดนตรี ซึ่งหลายๆเพลงก็มีความซับซ้อนอยู่พอตัวครับ ฟังออกเป็น New- Prog กลายๆอยู่เหมือนกัน แต่พวกเขากลับเรียบเรียงมันออกมาให้ฟังดูง่ายและเข้าถึงได้ไม่ยากนัก ทางด้านเสียงร้องก็ออกไปคล้ายคลึงกับ Peter Gabriel อย่างน่าประหลาด ซาวนด์ในชุดนี้ค่อนข้างละเอียดและลงตัวมากๆ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะคว้ารางวัล Mercury Prize ประจำปีนี้ไปครองครับ

(http://photoplastik.files.wordpress.com/2008/04/300px-one_life.jpg)

2. Mai Kuraki - One Life (J-Pop / R & B)
อัลบั้มล่าสุดของหนูไม ผู้ซึ่งเป็นศิลปินเจป๊อปคนโปรดของผมมานานแสนนาน ซึ่งหลังจากที่เธอทำให้ผมผิดหวังอย่างแรงกับสองอัลบั้มก่อนหน้านี้อย่าง Fuse of Love ที่เป็นป๊อปจืดสนิทและ Diamond Wave ที่แดนซ์หนักผิดวิสัย มาคราวนี้หนูไมเลยขอแก้ตัวด้วยการทำผลงานเพลงที่ลดความโฉ่งฉ่างลง และใส่ความประณีตเข้าไปมากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าอัลบั้มนี้แทบไม่มีเพลงใหนติดหูได้ตั้งแต่รอบแรกที่ฟังเลย แต่เสียงสังเคราะห์ที่นุ่มนวลและรายละเอียดเครื่องดนตรีที่แทรกเข้ามาเพิ่มความน่ารักให้กับบทเพลงอยู่ตลอดก็ทำให้อัลบั้มนี้มีเสน่ห์ชวนให้ฟังได้บ่อยๆอยู่เหมือนกัน ส่วนเสียงร้องของหนูไมก็ฟังดูสุขุมมากขึ้น ไม่ได้โชว์พลังเสียงหรือลูกคออะไรมากนักแต่ก็ไปกันได้ดีกับดนตรีสวยๆน่ารักๆ ซึ่งก็น่าเสียดายครับที่อัลบั้มนี้กลับเป็นอัลบั้มที่มียอดขายตกต่ำที่สุดของเธอไปซะงั้น

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/1/1c/BeachHouseDevotion.jpg)

3. Beach House - Devotion (Dream Pop)
ดนตรีดรีมป๊อปอาจจะเป็นอะไรที่ตายไปแล้ว (สิ้นชีพไปพร้อมๆกับชูเกส) เพราะความที่มันค่อนข้างให้อารมณ์ที่ง่วงหงาวหาวนอนไม่สะใจคออินดี้ร๊อครุ่นใหม่ที่ยินดีเสพย์อะไรที่มันคึกคะนองมากกว่าอย่าง Post-Punk หรือ Garage Rock แต่อย่างไรก็ตามคู่ดูโอหนุ่มสาวจากบัลติมอร์ก็ยังคงยินดีที่จะแหกคอกทำดนตรีดรีมป๊อปชวนฝันตามแบบฉบับที่ตนเองรักอยู่ต่อไป ซึ่งสุ้มเสียงต่างๆใน Devotion นั้น ล้วนแต่ให้อารมณ์แบบดรีมป๊อปชั้นเยี่ยม ไล่ตั้งแต่ซาวนด์กีตาร์ที่อ่อนโยนและล่องลอย เสียงร้องเข้มๆของนักร้องสาว Victoria Legrand ที่เข้ากันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับดนตรี รองพื้นอีกชั้นด้วยเสียงออร์แกนสวยๆและเสียงกลองบางเบา บวกกับเนื้อหาที่พูดถึงความรักอบอุ่นแบบเรียบง่าย ทำให้ผลงานชุดนี้ทรงเสน่ห์อย่างร้ายกาจ เหมาะที่จะนำไปเปิดฟังที่ริมชายหาดยามเย็นตามชื่อวงจริงๆครับ (หรือถ้าจะมีคนรักนั่งกุมมืออยู่ด้วยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่)

(http://www.fina-music.com/assets/covers/103328.jpg)

4. Dreamend - The Long Forgotten Friend (Shoegaze / Folk / Post-Rock)
ใครว่า Shoegaze จะต้องหลอน มืดหม่น ฟังยากอยู่ร่ำไป? ถ้าใครคิดแบบนั้นก็ขอให้ลองฟังผลงานล่าสุดของ Dreamend ชุดนี้ดูครับ เพราะพวกเขาได้ยกระดับดนตรีชูเกสขึ้นไปอีกขั้นด้วยการนำแนวทางดนตรีโฟล์คอันแสนอ่อนหวานมาผสมผสานเข้ากับซาวนด์ลอยหม่นและกำแพงกีตาร์หนาแน่นของ Shoegaze ได้อย่างเข้าที่เข้าทางและสวยงามเกินคาด มีเสียงเครื่องดนตรีหลากหลายที่หาฟังได้ยากจากวงแนวนี้ทั้งอคูสติกกีตาร์ แบนโจ เปียโนและออร์แกน กลายเป็นงานดนตรีที่สวยงามบรรเจิดเกินบรรยาย นอกจากนี้ซาวนด์ดิบๆในแบบ Lo-Fi ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ทำให้อัลบั้มนี้ฟังดูติดดิน อบอุ่น ไม่ห่างไกลเกินจินตนาการแบบวง Shoegaze วงอื่นๆครับ

(http://www.music-news.com/images/covers/Shearwater%20Rook.jpg)

5. Shearwater - Rook (Folk / Indie / Art Rock)
ไม่น่าเชื่อว่าวงอินดี้ร๊อคหลายๆวงในยุค 00's จะเล่นดนตรีโฟล์คกันได้ไพเราะเสนาะจิตถึงเพียงนี้ และ Shearwater ก็เป็นอีกหนึ่งวงที่ทำเพลงโฟล์คได้งดงามและน่าจับตามองจริงๆ ซึ่งในอัลบั้ม Rook ชุดนี้ เราจะได้พบกับดนตรีโฟล์คร๊อคสุดประณีตที่มีเสียงเครื่องดนตรีหลากหลายทั้ง Piano, Harp, Hammer Dulcimer, Glockenspiel และเครื่องเป่าเครื่องสายหลากชนิด สอดแทรกเข้ามาเป็นเนื้อเดียวกับภาคดนตรีที่เป็นโฟล์คขับเคลื่อนด้วยอคูสติกกีตาร์ (มีกีตาร์ไฟฟ้าแซมบ้างเล็กน้อย) ภาคริธึ่มเบสและกลองอันเข้มแข็ง เสียงร้องที่คมเข้มแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนไหว อารมณ์โดยรวมของอัลบั้มนี้อาจจะออกไปในโทนหม่นเศร้าอยู่สักหน่อย แต่เชื่อแน่ว่าคุณจะได้รับความรื่นรมณ์จากภาคดนตรีที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพระดับล้นแก้วของพวกเขาอย่างแน่นอนครับ

(http://i30.photobucket.com/albums/c332/hyde_ish_shmexy/discography/Eiko%20Shimamiya/eiko--hikarinadeshiko.jpg)(http://i63.photobucket.com/albums/h147/Hikari-Kun/Eiko%20Shimamiya/ES-WoF.jpg)

6. Eiko Shimamiya - Hikari Nadeshiko + [Single] Wheel of Fortune (J-Pop / Electronica / Art Rock)
"The Darkest J-Pop Album Ever Made" น่าจะเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดของอัลบั้ม Hikari Nadeshiko ชุดนี้ เพียงแค่หน้าปกที่ให้อารมณ์หมองหม่นและไม่ได้โชว์หน้าตานักร้องเหมือนอัลบั้ม J-Pop ทั่วๆไปก็คงบอกอะไรได้หลายๆอย่างแล้ว ซึ่ง Eiko Shimamiya นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ขับร้องเพลงประกอบอนิเมะเขย่าขวัญเรื่อง Higurashi no Naku Koro ni งานเพลงของเธอจึงมีความมืดมนตามไปด้วย ซึ่งในอัลบั้มชุดที่สองของเธอ Hikari Nadeshiko เราจะได้พบกับบทเพลงป๊อปมีระดับที่เต็มไปด้วยบีทอีเล็กทรอนิกส์อันแข็งแรง เสียงซินธ์หลากหลายที่ถูกเรียบเรียงอย่างประณีตบรรจง และที่ขาดไม่ได้เลยคือ Soundscape อันล่องลอย เวิ้งว้าง และมืดมน ราวกับถูกรังสรรค์โดยศิลปิน Ambient ชั้นนำ บางเพลงมีเสียงกีตาร์แรงๆเข้ามาสร้างสีสันด้วย เมโลดี้ในชุดนี้สวยงามและไพเราะทุกเพลง เมื่อนำมาผสมผสานกับเสียงร้องที่คมชัดมีพลังของ Eiko ทำให้งานชุดนี้เป็นงานที่ทรงคุณค่าและชวนให้ย้อนกลับมาฟังได้บ่อยๆอย่างไม่รู้เบื่อ แถมท้ายด้วยซิงเกิ้ล Wheel of Fortune ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Higurashi no Naku Koro Ni (Live Action) เป็นเพลงอีเล็กโทรป๊อปที่มีบีทและกีตาร์แรงๆใกล้เคียงอินดัสเตรียล โดดเด่นด้วยท่อนคอรัสติดหู เสียงเครื่องสายถูกนำมาผสมได้อย่างสวยงามชวนขนลุก ส่วนเพลง B-Side อย่าง Diorama นั้นมีจังหวะค่อนไปทางดาวน์เทมโปที่หดหู่ชวนเครียด ค่อนข้างเน้นบรรยากาศพอสมควร ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสองเพลงนี้ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความมืดมนไม่เปลี่ยนแปลง คงไม่เกินไปเลยที่จะบอกว่าผลงานคู่นี้ของ Eiko Shimamiya จะเป็นงานเพลงเมนสตรีมของญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในรอบหลายปีนี้ครับ

(http://i34.tinypic.com/opboe0.png)

7. Dahlia's Tear - Under Seven Skies (Dark Ambient)
การจะหาดนตรีแอมเบียนท์ที่ฟังแล้วติดหูจนฝังลึกลงไปในสมองได้นั้นคงจะเป็นเรื่องยากเต็มที เพราะศิลปินแอมเบียนท์ส่วนใหญ่ก็มักจะทำเพลงเพื่อเน้นบรรยากาศล้วนๆไม่สนเมโลดี้กันอยู่แล้ว ยิ่งเป็น Dark Ambient ที่เน้นแต่อารมณ์มืดมนวังเวงนี่ยิ่งแล้วใหญ่ แต่เราคงต้องยกเว้น Dahlia's Tear โปรเจคต์แนว Dark Ambient ของนาย Anil E. Dedeoglu ไว้สักครั้งหนึ่ง เพราะดนตรีแอมเบียนท์ที่เขาได้สร้างขึ้นมามันช่างเป็นอะไรที่ติดหูและเป็นที่น่าจดจำเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะในผลงานชุดที่สอง Under Seven Skies ที่เขาได้พาเราไปท่องโลกแห่งท้องฟ้าอาถรรภ์ทั้งเจ็ดรูปแบบ เขาได้สร้าง Soundscape ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เสียงซินธ์ที่ให้ความรู้สึกราวกับสายหมอกแผ่ซ่านและเสียงเปียโนที่เบาบางนั้นได้ให้เมโลดี้ที่น่าจดจำมากมาย มีบรรยากาศเพลงที่หนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจ นี่คือผลงานแอมเบียนท์ที่ยากจะหาใครมาโค่นลงได้ และจะติดตรึงอยู่ในใจของผู้ที่ได้สดับฟังไปอีกนานเท่านาน

(http://www.hometheaterhifi.com/images/stories/2008/july-2008/music-july-2008-marcin-wasilewski.jpg)

8. Marcin Wasilewski Trio - January (Contemporary Jazz)
อัลบั้มทรีโอแจ๊สสุดละเมียดจากประเทศโปแลนด์ที่ใช้เสียงเปียโนพริ้วไหวเป็นตัวดำเนินเรื่อง บรรยากาศของอัลบั้มนี้ให้ความรู้สึกแบบดนตรีแจ๊สที่บรรเลงในโรงแรมชั้นหนึ่ง ฟังสบายละมุนหู ชวนอิงหมอนหลับไปพร้อมกับไวน์ชั้นดี ฝีมือเปียโนของนาย Marcin Walewski นั้นไม่ธรรมดา การพรมนิ้วลงบนลิ่มเปียโนของเขาทำให้เกิดเมโลดี้ที่ไพเราะ นุ่มละมุน และอ่อนหวาน เหมาะอย่างยิ่งที่จะเปิดฟังในเวลายามเย็นหรือเช้าตรู่ที่อากาศเย็นสบาย เป็นงานเพลงเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง ระบบเสียงคมกริบรับประกันโดย ECM Records

(http://a535.ac-images.myspacecdn.com/images01/59/l_0813df21b2ca2420eaca8ad0eb19f90e.jpg)

9. Subheim - Approach (Ambient / Downtempo)
โปรเจคต์ Subheim ของนาย Kostas K เป็นที่กล่าวขวัญกันมากพอสมควรในวงการดนตรีอีเล็กทรอนิกส์ในปีนี้ และได้รับการการันตีจากหลายท่าน (รวมทั้งผมด้วย) ว่า Approach น่าจะเป็นหนึ่งในสุดยอดอัลบั้มอีเล็กโทร/แอมเบียนท์ประจำปีนี้เลยครับ ซึ่งรูปแบบดนตรีของ Subheim นั้นเป็นดาร์คแอมเบียนท์ที่เยือกเย็น หมองหม่น แต่ไม่แน่นหนากดประสาทมากนัก มีเมโลดี้เปียโนที่เปราะบาง อ่อนใหว และให้ความรู้สึกเศร้าหมองในเวลาเดียวกัน โดยทั้งหมดได้ถูกรองรับไว้ด้วยบีทอีเล็กทรอนิกส์ที่ลุ่มลึก เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน กลายมาเป็นบทเพลงที่ไพเราะและลึกล้ำดั่งสายธารหลั่งใหลในยามค่ำคืน ถ่ายทอดความรู้ศึกเศร้า เปลี่ยวเหงา หวาดกลัวของมนุษย์ออกมาได้อย่างมีระดับ ผลงานชิ้นนี้ถือเป็นงานอีเล็กโทรชั้นดีที่ไม่ควรมองข้ามจริงๆครับ

(http://images2.mtraks.com/2008/5/2425922479.jpg)

10. The Abbasi Brothers - Something Like Nostalgia (Ambient / Downtempo)
ถ้าโปรเจคต์ Subheim คืองานที่สะท้อนความรู้สึกเศร้าโศกและหวาดกลัวของมนุษย์ออกมาล่ะก็ ผลงานของสองพี่น้องคู่นี้ก็คือสิ่งที่ช่วยเติมความอบอุ่นและความสุขให้กลับมาอีกครั้งนั่นเอง ด้วยความที่ดนตรีของทั้งสองโปรเจคต์นี้เป็นแอมเบียนท์ที่รองพื้นด้วยบีทอีเล็กทรอนิกส์ที่เบาบาง สะอาดสะอ้านเหมือนกันไม่มีผิด เพียงแต่เมโลดี้และ Soundscape ที่สองพี่น้อง Abbasi ได้รังสรรค์ขึ้นมานั้นมันช่างอ่อนโยน อบอุ่น และชวนจรรโลงใจเสียนี่กะไร แถมยังมีท่อนบิวท์อารมณ์แบบโพสต์ร๊อคอยู่เป็นระยะด้วย หากจะจินตนาการถึงอัลบั้มนี้แบบมโนภาพมันก็คงจะเป็นภาพทิวทัศน์ยามเย็นที่สวยงาม มีแสงอ่อนๆของดวงอาทิตย์อัสดงและอากาศที่เย็นสบาย ฟังแล้วรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจไม่มีเสื่อมคลายเลยจริงๆ 



หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: panyarak ที่ 03 ธันวาคม 2008 | 06:24:37 AM

เอ๊ะ!! ใครสอนพี่เค้าแปะรูปนะ
เอาไป 1+


ต้องขอบคุณ คุณ Polotoon ครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: panyarak ที่ 03 ธันวาคม 2008 | 08:55:52 AM
ดูพี่ panyarak จะเป็นแฟนตัวยงเพลง cover เลยนะครับ  :D

ที่ซื้อมามีสมหวังสัก 1% ได้ครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: อาโนลด์ เลนย์ ที่ 03 ธันวาคม 2008 | 09:17:31 AM

เอ๊ะ!! ใครสอนพี่เค้าแปะรูปนะ
เอาไป 1+


ต้องขอบคุณ คุณ Polotoon ครับ

+1
อย่างนี้พวกเราก็มีโอกาสได้ชมของสวยๆจาก คุณpanyarak แล้วครับ... :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: panyarak ที่ 03 ธันวาคม 2008 | 09:26:27 AM

เอ๊ะ!! ใครสอนพี่เค้าแปะรูปนะ
เอาไป 1+


ต้องขอบคุณ คุณ Polotoon ครับ

+1
อย่างนี้พวกเราก็มีโอกาสได้ชมของสวยๆจาก คุณpanyarak แล้วครับ... :D

แต่คุณ Polotoon ยังไม่ได้สอนวิธีใช้กล้องดิจิตอลกับการนำภาพที่ถ่ายเองมา upload ครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: .. polotoon .. ที่ 03 ธันวาคม 2008 | 01:01:45 PM

เอ๊ะ!! ใครสอนพี่เค้าแปะรูปนะ
เอาไป 1+


ต้องขอบคุณ คุณ Polotoon ครับ

+1
อย่างนี้พวกเราก็มีโอกาสได้ชมของสวยๆจาก คุณpanyarak แล้วครับ... :D

แต่คุณ Polotoon ยังไม่ได้สอนวิธีใช้กล้องดิจิตอลกับการนำภาพที่ถ่ายเองมา upload ครับ
คราวหน้าพบกัน พี่ช่วยนำกล้องติดตัวมาด้วยนะครับ  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ♫ phil_wc ♫ ที่ 04 ธันวาคม 2008 | 12:51:35 AM
Top Non-Prog Album 2008
By phil_wc
   
   นานๆจะได้เขียนรีวิวทีนะครับ และผมเป็นคนที่ฟังเพลงไม่ค่อยเยอะด้วย เพิ่งมาฟังเยอะช่วงหลังๆนี่เองครับ(โหลดกระจาย) การจัดอันดับในครั้งนี้นั้นของผมส่วนใหญ่จะเป็นเพลงแนว Ambient, Electronic, new age และมีวงเพลงคันทรี่ผ่านเข้ารอบมาด้วยวงนึง การรีวิวครั้งนี้จะตามใจการฟังของผมนะครับ แล้วเลือกยากเสียด้วย เพราะเพลงเพราะๆออกมาเยอะมาก และรับรองรีวิว11วงต่อไปนี้จะไม่มีอัลบั้มเพลงที่หนวกหู (ไม่มีเพลงบ้าๆแบบที่ผมชอบฟัง) แน่นอนครับ เป็นเพลงที่ฟังสบายซะส่วนใหญ่ครับ พร้อมแล้วก็ไปชมกันเลย


(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-11/1226773864_tipsy-2008.jpg)
1. Tipsy – Buzzz
   Genre : Acoustic/Downtempo/Lounge/Electronic
   วงนี้เป็นวงที่ผมนำขึ้นอันดับหนึ่งเพราะว่าเป็นเพลงที่ฟังสบายมาก บวกกับจังหวะสนุกๆแนวLounge ที่ให้ความรู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่ในบาร์ จิบไวน์ และคุยกันอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว อัลบั้มนี้จึงเป็นอัลบั้มที่ผมนำมาเปิดบ่อยที่สุดของปี2008  ตัวเพลงมีการใช้ซาวน์แบบเสียงกุ้งกิ้งหน่อย แบบเพลงจังหวะในบาร์(ไม่ใช่ผับนะ 0 . 0)  และมีจังหวะเป็นอิเล็กโทรนิก


(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-11/1227517879_untitled.jpg)
2. Gaelic Strom - What's The Rumpus?
   Genre : Celtic, Irish, folk, Celtic rock, Irish folk
   นี่แหละครับ แนวที่ผมชอบมากๆเอาเสียด้วย ด้วยเพลงแนวคันทรี่พื้นบ้านของทางฝั่งไอริช ทำให้ผมอดหยุดดิ้น(เต้น)ไม่ได้ (จริงๆครับ เต้นหน้าคอม) เพราะเพลงมันสนุกมากเกินคำบรรยาย คล้ายๆกับเพลง Moonshine ใน Tubular bell II เลยด้วย เล่นด้วยกีต้าร์คลาสสิก กับพวกเครื่องเคาะ กลองหนัง และเขย่าไข่ (เรียกถูกรึเปล่า) พร้อมด้วยเสียงร้องแบบสนุกๆทำให้คุณลืมความทุกข์ได้ชั่วขณะเลยทีเดียว วงนี้ขอแนะนำ!!


(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-06/thumbs/1214150545_cover.jpg)
3. Amethystium – Isabliss
   Genre : New Age
   เป็นอัลบั้มที่ให้ความรู้สึกสบายๆ ผ่อนคลายในแนวNew Age นะครับ เป็นNew Age แบบล่องลอยหน่อยๆ เพราะมากครับ เหมาะสำหรับฟังเวลาผ่อนคลาย อัลบั้มนี้ไม่รู้จะอธิบายอะไร (เอ่อ..ลองฟังในเพลงตัวอย่างดูนะครับ.)

(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-11/1227204935_safri-duo-2008.jpg)
4. Safri Duo – Origins
   Genre : World Music/Modern Classic/Instrumental/New Age
   เป็นวงที่เล่นได้ไพเราะมากครับ แบบแนวเพลงฟังสบายๆ วงนี้มีคนแต่งและเล่นแค่2คนมาจากประเทศเดนมาร์ค โดยเล่นพวกเครื่องเคาะ(Percussion) เองและมีหลายชิ้น และแต่งซาวน์เพิ่มด้วยSynthesizer เป็นเพลง New Age แบบฟังสบายๆอีกวงที่ผมชอบ ในบางเพลงจะมีการร้องประสานไปด้วยครับ

(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-11/1227204367_loopa-scava-meets-cayetano-2008.jpg)
5. Loopa Scava Meets Cayetano – Up and Down
   Genre : Downtempo/Trip-Hop/Lo-Fi
   วงนี้เป็นวงใหม่ และเพิ่งออกอัลบั้มแรกครับ มีสมาชิกคนเดียว(แต่Feat.เยอะ) จากประเทศกรีกครับ ดนตรีจะเป็นแนวTrip-Hop ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายเพลงแรกของVietrio ของไทย โดยที่มีจังหวะพื้นเป็นซาวน์อิเล็กโทรนิกส์  แบบโยกๆ สนุกดีครับ

(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-11/1227114975_library-tapes.jpg)
6. Library Tapes – A Summer Beneath the Threes
   Genre : Ambient/Modern Classical
   เป็นเพลงแนวแอมเบี้ยนโดยชาวสวีเดนคนเดียวนะครับ โดยเพลงในแต่ละเพลงส่วนใหญ่จะเล่นด้วยเปียโนเป็นธีมหลัก และซาวน์ลอยๆเป็นพื้นหลังบางเพลงมีเครื่องสายมาเล่นด้วยครับ เป็นวงที่เหมาะฟังก่อนนอนครับ ฟังทีทำให้หลับได้เลย เพราะเพลงช้าๆสบายๆครับ

(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-11/1226774862_kirsty-hawkshaw-2008.jpg)
7. Kirsty Hawkshaw – The Ice Castle
   Genre : Ambient/Meditative/Electronic
   มาถึงอัลบั้มนี้ เป็นอัลบั้มที่แต่งและร้อง(แต่อัลบั้มนี้ไม่มีร้องนะ)โดยผู้หญิงเพียงคนเดียวครับเป็นชาวอังกฤษ เป็นเพลงแนวแอมเบี้ยนฟังสบายอีกอัลบั้มหนึ่งเลย เพลงจะลอยกว่าอัลบั้มอื่นๆที่รีวิวมานะครับ อัลบั้มนี้ฟังก็ทำให้หลับได้เหมือนกัน แต่ฟังสบายเหมือนกัน

(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-11/1228070858_telepath-2008.jpg)
8. Telepath – Contact
   Genre : Downtempo/Dub/World/Breakbeat/Electronic
   อัลบั้มนี้จะคล้ายๆกับ Loopa Scava Meets Cayetano นะครับ มีสมาชิก3คนในวง ตัวอัลบั้มนี้เพลงจังหวะโยกสนุกครับ ซึ่งผมฟังทีก็จะโยกตามเพลงไปด้วย และมีจังหวะแขกๆอาหรับๆซึ่งแนวนี้เพลงก็เหมาะเข้ากับจังหวะสนุกๆของตัวเพลงได้อย่างดีเลยล่ะครับ


(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-11/1227297133_miwon-2008.jpg)
9. Miwon – A to B
   Genre : Electronic/IDM/Techno
   เป็นวงอิเล็คโทรนิกแอมเบี้ยนจากเยอร์มันครับ เล่นคนเดียว เพลงแนวผ่อนคลายครับ โดยมีความเป็นอิเล็กโทรนิคป๊อปผสมอยู่ เพลงที่ทำใช้ซินทิไซเซอร์ส่วนใหญ่ เป็นเพลงสบายๆที่เหมาะกับการฟังตอนพระอาทิตย์กำลังตกดินและจิบชาสบายๆครับ


(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-02/1201991499_1.jpg)
10. John Zorn - Filmworks XIX The Rain Horse
   Genre : soundtrack\experimental
   จริงๆอัลบั้มนี้ก็เพราะมากครับ Filmworksของ John Zorn นี่เพราะทุกอัลบั้มครับ เป็นเพลงบรรเลงช้าๆหลากหลายอารมณ์ แนวๆคลาสสิก ผมอยากจะจัดในอันดับที่ดีกว่านี้ด้วย แต่มันจัดยากแฮะ ถ้ามีอันดับซ้ำๆกันกันได้ คงจะจัดได้หลายแล้วล่ะครับ แต่ถ้าเกิดคุณเผลอไปฟังอัลบั้มอื่นของJohn Zorn เข้าโดยอัลบั้มนั้นมีแนวเขียนกำกับว่าAvantgardeนั้น(บางอัลบั้ม) คุณจะได้ฟังเพลงของเขาแบบบ้าๆโดยที่ไม่ค่อยจะได้ฟังที่ไหนบนโลกครับ


(http://mediaportal.ru/uploads/posts/2008-12/1228239743_dan-wilson-2008.jpg)
11. Dan Wilson - Free Life
       Genre: Piano/Acoustic/Folk-Rock
       ขอยัดเข้าไปอีกอัลบัมละกันนะครับ ผมชอบอัลบัมนี้เอาเสียมากๆ เป็นเพลงโฟล์กร็อกเพราะๆมีเนื้อเพลงฟังสบายหูให้ความรู้สึกเหมือนกับGlen Hansard อีกคนเลย คือฟังแล้วโดน สบายหูจริงๆครับ เรียกได้ว่าผมติดอัลบัมนี้มากๆ


ผมก็ขอจบtop 11 ในดวงใจแต่เพียงเท่านี้ครับ อาจจะรีวิวไม่ค่อยดีมาก เพราะวงที่ผมฟังในนี้เป็นวงที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็มาโหลดฟังนี่แหละจึงรู้จัก

ฟังเพลงตัวอย่างได้ที่นี่เลยครับ อัพไว้ให้แล้วครับ http://phil-wc.exteen.com/20081213/top-album-of-2008 (จะอัพโหลดพร้อมกับอัลบัมที่รีวิว)
จบแล้วครับ

ปล.ยังไม่ได้ฟังEnya เดี๋ยวถ้าฟังแล้วฃอบอาจจะยัดเข้ามาอีกอัลบัมก็เป็นได้


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Layla F Mulder ที่ 05 ธันวาคม 2008 | 11:33:53 AM
(http://farm4.static.flickr.com/3059/2886770440_db2a76a207.jpg?v=0)

11. สมรสและภาระ - อพาร์ตเมนต์คุณป้า

เมื่อวงการเพลงไทยยังมีหวัง.......


ในช่วงปีที่ผ่านมามีอัลบั้มเพลงไทยใหม่ๆ ผ่านเข้าหูผมมาไม่มาก โดยส่วนตัวก็ไม่เคยคิดจะขวนขวายไปหาผลงานจากศิลปินแปลกๆ มาฟังซักเท่าไหร่ เว้นแต่ว่าจะเป็นอัลบั้มของศิิลปินที่ผมสนใจเป็นพิเศษอยู่แล้วจริงๆ อย่างวงอพาร์ตเมนต์คุณป้าที่ผมติดใจจากปีที่แล้วด้วยอัลบั้ม Romantic Comedy ติดใจจนต้องตามไปหาฟังอัลบั้มก่อนๆ ของพวกเขาเสียด้วย ผมไม่เคยฟังเพลงไทยที่มีซาวน์และเอกลักษณ์ดีขนาดนี้มาก่อน ดนตรีมีเอกภาพ เนื้อหาคมคายทั้งในเชิงความหมายและเชิงวรรณศิลป์ เสียงกีตาร์วินเทจเนื้อๆ ที่คงหาฟังได้ยากสำหรับดนตรีในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าหลังจากที่ "ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ" ถูกแกรมมี่นำไปคัฟเวอร์ อพาร์ตเมนต์คุณป้าคงมีฐานแฟนเพลงเพิ่มขึ้นมาอยู่พอสมควร เพลงนี้ยอดเยี่ยมขนาดไหนผมคงไม่ต้องสาธยาย แค่สัมผัสคล้องจองในท่อนฮุคก็ชวนให้นึกถึงเพลง Like A Rolling Stone ของ Bob Dylan ได้ทันที ที่มีการเล่นคำคล้องจองในทุกๆ ประโยคต่อกันเป็นชุดๆ ได้ขนาดนั้น

สมรสและภาระ เป็นอัลบั้มที่อพาร์ตเมนต์คุณป้าลดความดุเด็ดเผ็ดมันส์ลงมาจากอัลบั้มก่อนๆ พอสมควร เราจะไม่ได้เห็นเพลงร็อคสับคอร์ดมันส์ๆ เดินเบสดุ่มๆ อย่าง โทรธิปไตย หรือ ผลิตภัณฑ์นี้รับประกันร้อยปี แต่จะถูกแทนที่ด้วยเพลงจังหวะกลางๆ ดนตรีเอื่อยๆ เรื่อยๆ แทนเสียมากกว่า สิ่งที่ยังไม่เคยหายไปก็คือเสียงกีตาร์วินเทจเนื้อๆ และเนื้อหาอันสุดแสนจะคมคาย สะื้ท้อนวัฒนธรรมและสังคมอันผิดเพี้ยนในปัจจุบัน แค่เพลงเปิดอัลบั้ม "ดึกแล้วคุณขา" เนื้อเพลงก็โดนเสียแล้ว "อุดมการณ์ คือ สงครามแห่งเหตุผล เด็กน้อยลืมตาร้องไห้เพื่อการดิ้นรน ความสุขคงหายไปจากใจคน" "ลิปสติกบนลิปสติก" ซิงเกิ้ลที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ มาในเวอร์ชั่นมิกซ์ใหม่ที่สมดุลมากขึ้น เสียงไควร์นักร้องสาวในแบบกอสเปลโดดเด่นเสียจนอยากจะฟังเพลงนี้ในแบบที่มีเสียงไควร์อย่างเดียว เสียงกีตาร์มาถูกที่ถูกเวลาและลงตัวเป็นอย่างยิ่ง ออร์แกนช่วยเสริมบรรยายกาศได้อย่างดี คำร้องก็เต็มไปด้วยสัมผัสวรรณศิลป์และการใช้สัญลักษณ์มากมาย ถือเป็นเพลงบัลลาดชั้นเยี่ยมกันเลยทีเดียว "เป็นไปได้ไง" เสียดสีการเมืองไทยได้อย่างยียวน ฟังแล้วแทบอดขำเล็กๆ ไม่ได้ "Backstage Love" เป็นเพลงร็อคเด่นด้วยริฟฟ์กีตาร์ กรู๊ฟชัดเจน เนื้อร้องเหมือนไหลไปได้เรื่อยๆ ฟังแล้วเพลินหูดีเหลือเกิน "สมรสและภาระ" ไตเติ้่ลแทร็คที่ตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นของบลูส์ พี่บอลเล่นกีตาร์ได้ฟีลของความเป็น Tele ได้ดีเหลือเกิน เนื้อหาช่างโดนใจและน่าคิด ชวนให้ไม่อยากแต่งงานทันทีหลังจากฟังเพลงนี้ แถมด้วยประโยคที่ผมชอบที่สุดในอัลบั้มนี้ "ต้องใช้เิงินแบบไทยส่งลูกเข้าเรียนอินเตอร์ เพื่อจะได้เจอแต่ฝรั่ง … ที่ เดิ้น กว่า พ่อ มัน" เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้กับชีวิตของครอบครัวสมัยใหม่ ที่ต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนอินเตอร์ให้ได้ ไม่รู้เป็นอะไรกัน "ปรากฎการณ์" เป็นเพลงช้าที่โดดเด่นด้วยเสียงสไลด์กีตาร์ ได้บรรยากาศร็อคยุค 70's

หลายๆ คนอาจชื่นชมกับทิงนองนอยของ Modern Dog เคียงคู่ไปกับอัลบั้มนี้ แต่สำหรับผม "สมรสและภาระ" ดูจะเข้าหูผมมากกว่า ซาวน์ได้ใจมากกว่า ที่สำคัญคือเนื้อหาที่คมคายเกินกว่าเพลงไทยธรรมดาทั่วไปในตลาดอย่างมาก และนี่คืออัลบั้มเพลงไทยชุดเดียวที่ผมเลือกให้เป็น 1 ใน 20 ของ Top 2008 Albums ของผม


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Fog ที่ 15 ธันวาคม 2008 | 11:50:23 AM
ทำเสร็จนะขอรับ ว่างๆเชิญชมได้ที่ http://inner.exteen.com


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Layla F Mulder ที่ 17 ธันวาคม 2008 | 08:59:47 PM
Agent Fox Mulder's Top 2008 10 Blues Albums/DVDs

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/31YYoOgJI2L._SL500_AA240_.jpg)

1. One King Favor - B.B. King

เมื่อปี 2007 โปรดิวเซอร์ระดับกูรู T-Bone Burnett ทำผมอินกันแบบข้ามปีกับอัลบั้ม Raising Sand ผลงานร่วมระหว่าง Alison Krauss และ Robert Plant ที่ทีโบนร่ายมนต์มหัศจรรย์ลงบนการเรียบเรียง ซาวน์ และบทเพลงในอัลบั้มนั้นให้กลายเป็นสิ่งที่สเน่ห์น่าหลงไหลที่ผมอินได้มาข้ามปี จนถึงตอนนี้ต้นปี 2009 แล้วผมยังเปิดอัลบั้ม Raising Sand ฟังอยู่ทุกอาทิตย์เลยครับ ปี 2008 นายทีโบนก็ไม่พลาดที่จะโปรดิวซ์อัลบั้มของปู่ทวด B.B. King ให้กลายเป็นอัลบั้มชั้นยอดอีกชุด One King Favor เป็นอัลบั้มชั้นยอดของปู่บีบีที่ดีที่สุดในยุคหลังๆ ถึงขนาดนิตยสาร Rolling Stone ชมว่า "This isn't just B.B. King's best album in years, it's one of the strongest studio sets of his career, standing alongside classics such as Singin' the Blues and Lucille." อย่างนี้ย่อมเป็นเครื่องการันตีได้ว่ายอดเยี่ยมจริงๆ งานนี้ปู่บีบีใช้บริการจากมือปืนรับจ้างฝีมือระดับพระกาฬล้วนๆ Dr. John ในตำแหน่งเปียโน Nathan East (จาก Fourplay และ Eric Clapton) ในตำแหน่งเบส และ Jim Keltner ในตำแหน่งกลอง กับบทเพลงบลูส์คลาสสิคชั้นดี การสร้างซาวน์ "ขลัง" ตามแบบฉบับของ T-Bone Burnett กีตาร์บลูส์ระดับตำนานจากฝีมือของปลายนิ้วของปู่บีบี ซาวน์กีตาร์ในอัลบั้มนี้ฟังดูออกไปทางคลีนใสสะอาด และฟังดูเก๋าๆ เสียงไวบราโตจากกีตาร์ Lucille ที่เป็นเอกลักษณ์ กับเสียงร้องของนักร้องบลูส์ระดับตำนาน ทำให้อัลบั้มนี้กลายเป็นสตูดิโออัลบั้มในยุคหลังที่อยู่ในระดับมาสเตอร์พีซของ B.B. King นี่อาจจะเป็นงานที่ดีที่สุดชุดสุดท้ายของปู่บีบีก็เป็นได้นะครับ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/513VgMmep9L._SL500_AA240_.jpg)

2. Two Men With The Blues - Willie Nelson and Wynton Marsalis

นานๆ ทีจะได้ฟังเพลงบลูส์ที่มีรสชาติที่แตกต่างจากเพลงบลูส์ทั่วไปที่ฟังจนชินชา Two Men With The Blues เป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดของสองศิลปินรุ่นใหญ่ Willie Nelson ตำนานคันทรีโฟล์คเวสเทิร์นจ๋า กับ Wynton Marsalis มือทรัมเป็ตชาวอเมริกันซึ่งผมเองก็เพิ่งได้ยินชื่อเหมือนกัน ที่มาร่วมกันเล่นแสดงสดที่ Lincoln Center ในนิวยอร์ค เมื่อต้นปี 2007 โน่นแน่ะ แต่ตัวอัลบั้มเพิ่งออกมาในช่วงกลางปี 2008 นี้เอง ภาพรวมของอัลบั้ม Two Men With The Blues คือดนตรีลูกผสมหลากหลาย ทั้งบลูส์ แจ๊ส คันทรี ในบรรยากาศเสมือนอยู่ในคลับบรรยากาศดีๆ ซักแห่งนึง สิ่งที่น่าสนใจคือเพลงบลูส์หลายๆ เพลงที่ถูกนำมาเล่นในแบบของสแตนดาร์ดแจ๊ส โซโล่เครื่องเป่ากันอย่างเต็มที่ เบสก็เป็นดับเบิลเบส เสียงอุ่นๆ เปียโนแจ๊สจ๋าๆ ผสมกับเสียงกีตาร์สายเอ็นและเสียงร้องเก๋าๆ ของ Willie Nelson สำหรับคนกีตาร์บลูส์ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้หาบลูส์ในรสชาติที่แปลกใหม่และแตกต่างจากรสชาติเดิมๆ ที่คุณเคยฟัง มาเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง รับรองว่าแทบจะสำลักเครื่องเป่ากันเลยทีเดียวครับ เพราะมีให้ฟังกันอย่างเต็มอิ่มจริงๆ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/51OIrrDY0ML._SL500_AA240_.jpg)(http://ecx.images-amazon.com/images/I/519ZjpnJ6bL._SL500_AA240_.jpg)

3. Where The Light Is : Live In Los Angeles - John Mayer

อัลบั้มไลฟ์กับดีวีดีของมือกีตาร์บลูส์หนุ่มสุดหล่ออันดับสองของโลก (มือกีตาร์บลูส์หนุ่มสุดหล่ออันดับหนึ่งของโลกคือ Agent Fox Mulder หมายถึงนับอันดับจากความหล่ออย่างเดียวนะ ไม่ได้ันับเรื่องฝีมือกีตาร์) จอห์น เมเยอร์ถือเป็นมือกีตาร์คนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้มีกีตาร์ Fender Signature กับทาง Fender ในปัจจุบัน สิ่งนี้น่าจะเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนว่าเขาคือตัวจริง ไม่ได้มาแล้วก็จากไปในเวลาอันรวดเร็วเหมือนกับศิลปินหน้าใหม่รายอื่นๆ ผมมองว่าจอห์นก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วมาก ใช้เวลาไม่ถึง 5 ปี ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นระดับแถวหน้าๆ ของวงการได้ ในยุคแรกๆ ผมมองว่าเค้าเดินตามรอยของ SRV มาตลอดในเรื่องของการเล่นกีตาร์ แต่หลังๆ ก็เริ่มเห็นแล้วว่าเขามีสไตล์เป็นของตัวเองที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และยังคงพัฒนาฝีมือได้ดี อัลบั้มไลฟ์และดีวีดีชุดนี้แบ่งออกเป็นสามเซ็ท เซ็ทแรกคืออคูสติกที่จอห์นนั่งกีตาร์อคูสติกกับมือกีตาร์อีกคนนึง พร้อมเล่นและร้องอย่างเรียบง่าย เซ็ทที่สองคือ John Mayer Trio ที่จอห์นเคยออกอัลบั้มไลฟ์ในนามวงนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง  กลับมาคราวนี้ต้องถือว่าเป็นท็อปฟอร์มของวงแล้วครับ โดยเฉพาะ Steve Jordan ที่หวดไม้กลองได้เมามันส์และโฉ่งฉ่างมาก ส่วนเซ็ทที่สามเป็นการเล่นกับแบ๊คอัพเต็มวง สำหรับผมแล้วไฮไลท์ของอัลบั้มชุดนี้คือเซ็ทที่เป็น Trio เพอฟอร์มแมนซ์ของทั้งวงเยี่ยมยอดไร้ที่ติ เปิดด้วยเพลงบลูส์เก่าระดับขึ้นหิ้ง Everyday I Have The Blues ที่ B.B. King เคยใช้เป็นเพลงเปิดอัลบั้มไลฟ์ระดับตำนานอย่าง Live At The Regal ตามติดด้วย Wait Until Tomorrow เพลงคัฟเวอร์ของเฮนดริกซ์ที่มาจากอัลบั้ม Axis: Bold As Love เสียงกีตาร์โซโล่ของจอห์นฟังแล้วแทบขนลุึก เพราะเราจะได้ยินวิญญาณของเฮนดริกซ์อยู่ในนั้น โดยเฉพาะเอฟเฟคต์ Uni-Vibe ที่ฟังแล้วอดคิดถึงเสียงกีตาร์ของเฮนดริกซ์ในอัลบั้ม Band of Gypsys เสียไม่ได้ หรือจะเป็นสโลว์บลูส์คีย์ D อย่าง Out Of My Mind ก็กลมกล่อมเสียจริงๆ ปิดท้ายเซ็ทนี้ด้วย Bold As Love งานคัฟเวอร์ระดับขึ้นหิ้ง ใครที่ชมในรูปแบบของดีวีดีจะได้เห็นทั้งวงใส่สูทกันหล่อๆ อีกด้วย จากแฟนพันธุ์ทางของจอห์น เมเยอร์ ทำให้ผมกลายมาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของจอห์นไปแล้วครับ นี่คืออัลบั้มไลฟ์และดีวีดีจากฝีมือของมือกีตาร์บลูส์ร่วมสมัยที่น่าจับตามองที่สุดในวงการขณะนี้ครับ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/514QzuK8S2L._SL500_AA240_.jpg)

4. Live from Nowhere in Particular - Joe Bonamassa

พูดถึงคนนี้ หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จัก ความจริงแล้วสถานภาพของเ้ค้าคล้ายๆ กับ John Mayer มากเลย คือเป็นมือกีตาร์บลูส์ลูกผสมดาวรุ่งพุ่งแรงที่ยังอายุไม่มากเหมือนกัน ฝีมือก็อยู่ในอันดับต้นๆ เหมือนกัน มีความเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวที่โดดเด่นทั้งคู่ แต่สิ่งที่ต่างกันคือ โจ โบนามอสซาจะออกไปทางฮาร์ดร็อคมากกว่า และเล่นกีตาร์ Les Paul Standard ซาวน์ฮาร์ดร็อคเป็นหลัก ในขณะที่จอห์น เมเยอร์์ เล่นกีตาร์ Stratocaster และมีความเป็นป๊อบสูงกว่าเยอะ ที่สำคัญหน้าตาดีกว่ามาก ด้วยปัจจัยสองอย่างนี้ทั้งในด้านของความเป็นป๊อบและหน้าตาอันหล่อเหลา จึงทำให้จอห์น เมเยอร์ดังกระโดดไปไกลจนไม่เห็นฝุ่น อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มไลฟ์ชุดแรกของโจ ภาพรวมของอัลบั้มเป็นดนตรีฮาร์ดร็อคบลูส์ที่โดดเด่นด้วยเสียงกีตาร์ดุเด็ด เผ็ดมันส์สไตล์ Les Paul ซาวน์และการเล่นของโจให้อารมณ์ประมาณ แคลปตันยุค BEANO ผสมแกรี่ มัวร์นิดๆ บวกกับจิมมี่ เพจอีกซักหน่อย แต่มีความโมเดิร์นผสมอยู่ด้วยมากพอดู (โจมีกีตาร์ Les Paul รุ่น Signature ของตัวเองที่ออกกับ Gibson เช่นเดียวกับจอห์น เมเยอร์เช่นกันครับ) นอกจากอิเล็กทริกเซ็ทแล้วก็ยังมีอคูสติกเซ็ทให้ฟังกันอีกในช่วงต้นของซีดีแผ่นที่สองอีกด้วย แถมบางเพลงยังมีแอบใส่บางท่อนของเพลง Dazed And Confused ของ Zeppelin ไปผสมอีกต่างหาก ใครที่ชอบซาวน์กีตาร์ Les Paul บลูส์ร็อคแบบดุๆ มันส์ๆ ควรหาอัลบั้มไลฟ์ชุดนี้มาฟังอย่างยิ่งครับ เสียงกีตาร์ฟังมันส์และสนุกมาก ฟังแล้วได้อารมณ์จริงๆ ครับ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/51q-850k6lL._SL500_AA240_.jpg)

5. Mess of Blues - Jeff Healey

อัลบั้มรวมเพลงบลูส์จากมือกีตาร์ตาบอดผู้ล่วงลับ เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และฝีมืออันน่าทึ่ง อัลบั้มรวมเพลงชุดนี้รวมเพลงคัฟเวอร์บลูส์จากทั้งเวอร์ชั่นที่เป็นไลฟ์ที่บันทึกเสียงในคลับแบบสดๆ และบันทึกเสียงในสตูดิโออีกส่วนหนึ่งเข้าด้วยกัน แต่โทนโดยรวมของอัลบั้มต้องบอกว่ากลมกลืนและมีความสดของเพอร์ฟอร์มแมนซ์อย่างเต็มเปี่่ยม เพลงส่วนใหญ่ที่เลือกมาคัฟเวอร์ในอัลบั้มก็เป็นเพลงที่ชาวบลูส์ทุกคนคงจะรู้จักคุ้นหูกันเป็นอย่างดี เช่น I'm Tore Down ของ Freddie King ที่แคลปตันเคยนำมาคัฟเวอร์ในอัลบั้ม From The Cradle, How Blue Can You Get ของ B.B. King, เพลงเด่นของ Holin' Wolf อย่าง Sittin' On Top Of The World ก็ไม่พลาด รวมถึงเพลงที่ "ไม่บลูส์" แต่นำมาปรุงแต่งด้วยฟีลบลูส์ได้อย่างน่าฟัง เช่น Jambalaya ของ Carpenters หรือจะเป็นเพลงเก่งของ Neil Young อย่าง Like A Hurricane นี่คืออัลบั้มทิ้งทวนชุดสุดท้ายของ Jeff Healey ที่สมศักดิ์ศรีและเปี่ยมไปด้วยความสดและความเป็นธรรมชาติของเพอฟอร์มแมนซ์อย่างไร้ที่ติ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/51kCM5MMPtL._SL500_AA240_.jpg)

6. Skin Deep - Buddy Guy

เมื่อก่อนผมไม่ชอบ Buddy Guy เลยสิครับ มีความรู้สึกว่าพี่แกเหมือนเล่นมั่วๆ ตามใจตัวเองยังไงชอบกล ดูไม่ละเมียดละไมกับการเล่นกีตาร์เอาเสียเลย บางทีโซโล่อยู่ก็เหมือนหยุดลงไปดื้อๆ เสียอย่างนั้น ร้องเพลงก็เหมือนกับตามอารมณ์ตัวเองมาก พอฟังนานๆ เข้าถึงเพิ่งเริ่มรู้ว่า เนี่ยแหละคือสเน่ห์ของลุงเค้าล่ะ ความจริงต้องถือว่า Buddy Guy เป็นมือกีตาร์บลูส์ที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ดนตรีบลูส์คนหนึ่ง และเป็นมือกีตาร์บลูส์ยุคแรกๆ ที่นำกีตาร์ Stratocaster มาใช้กับดนตรีบลูส์ ซึ่งต่างจากมือกีตาร์ไฟฟ้าบลูส์ส่วนใหญ่ในสมัยแรกเริ่ม ที่มักจะใช้พวก Gibson Semi-Hollow เล่นกันเสียมากกว่า แล้ว Buddy Guy ก็เป็นคนที่เล่นบลูส์ด้วย Stratocaster ได้สำเนียงเผ็ดร้อนและดุดันมากๆ คนหนึ่ง อัลบั้มชุดนี้ผมตั้งใจฟังมากกว่า Bring 'Em In อัลบั้มก่อนหน้าที่ออกในปี 2005 อยู่มากพอสมควร ทำให้เก็บรายละเอียดได้เยอะกว่าชุดนั้นซึ่งฟังผ่านๆ ภาพรวมของอัลบั้มเป็นบลูส์ที่ดิบเผ็ดและดิบพอสมควร แน่นอนว่ามีแขกรับเชิญมาร่วมมากมาย เช่น น้าดิเรกกับป้าซูซาน, Robert Randolph และแคลปตันก็มาแจมหนึ่งเ้พลงด้วย เป็นอัลบั้มบลูส์ชั้นดีจากศิลปินระดับปูชนียบุคคลที่ไม่น่าพลาดครับ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/51YT%2BvB5bML._SL500_AA240_.jpg)

7. Bad for You Baby - Gary Moore

ถ้าพูดถึงต้นตำหรับเพลงบลูส์ร็อคสไตล์จิ๊กโก๋อกหัก ต้องคนนี้เลย แกรี่ มัวร์ ถึงแม้ว่าหลังๆ พี่แกจะออกอัลบั้มมาถี่มากเลย คือออกได้ทุกปี แต่ส่วนใหญ่ก็มีมาตรฐานที่โอเค ไม่ได้เลวร้ายอะไร สันนิฐฐานว่าคงมีฐานแฟนเพลงที่เหนียวแน่่นพอสมควร ถึงทำได้ขนาดนี้ อัลบั้มใหม่นี้ปกสวยงามมาก รูปเท่ห์ชะมัด แม้จะดูเว่อร์ๆ ไปนิดก็ไม่เป็นไร ภาพรวมของอัลบั้มยังเป็นเพลงบลูส์ร็อคผสมผสานกับฮาร์ดร็อค ที่เน้นขายเสียงกีตาร์สำเนียง Gibson Les Paul ปี 1959 มันทั้งหวาน ดุดัน เศร้า ดิบ และเซ็กซี่ได้ในเวลาเดียวกัน ที่น่าสนใจในอัลบั้มนี้คือมีเพลงบลูส์ช้าๆ ที่ยาวถึง 9-10 นาที อยู่ด้วยกันถึงสองเพลงคือ I Love You More Than You'll Ever Know เพลงเก่าของ Blood, Sweat & Tears ที่ถูกขยายให้ยาวกลายเป็นถึงสิบนาทีครึ่ง โซโล่ได้ยาวเหยียดเต็มที่ และ Trouble Ain't Far Behind สโลว์บลูส์สไตล์ปีเตอร์ กรีนที่อาจดูอืดๆ เชยๆ ไปนิดนึง แต่ก็หาฟังอะไรแบบนี้ยากแล้วในปัจจุบัน ส่วนเพลงอื่นๆ เป็นบลูส์ร็อคผสมฮาร์ดร็อคดิบๆ ขายเสียงกีตาร์แผดๆ เผ็ดๆ ตามสไตล์ของแกรี่ มัวร์ เอาเป็นว่าใครชอบเสียงกีตาร์ Gibson Les Paul รุ่นปีเก่า ชอบเสียงแอมป์มาแชลแบบแท้ๆ และชอบบลูส์แบบหวานๆ ปนเซ็กซี่ ลองหาอัลบั้มชุดนี้มาฟังครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/51oO2Mf0pPL._SL500_AA240_.jpg)

8. Performing This Week...Live At Ronnie Scotts - Jeff Beck

ถ้าพูดถึงงานแสดงสดของ Jeff Beck แล้วล่ะก็ ขึ้นชื่อว่าหาฟังและหาชมกันได้ยากจริงๆ เนื่องจากเจฟฟ์ไม่เคยออกดีวีดีแสดงสดแบบเป็นทางการออกมาเลย แถมอัลบั้มไลฟ์ก็เป็น Official Bootleg ที่ตามหากันยากพอสมควร ส่วนนึงอาจเป็นเพราะเจฟฟ์มีกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ค่อนข้างน้อย มีแต่แฟนพันธุ์ทางค่อนข้างเยอะ แถมการแสดงสดของเจฟฟ์ก็ฟังยากเอาการ เนื่องจากเน้นการอิมโพรไวส์เป็นหลัก ช่วงก่อนหน้านี้มีดีวีดี Crossroads Festival 2007 ที่เจฟฟ์ไปร่วมเล่นด้วยออกมา เพอร์ฟอร์มแมนซ์ในวันนั้นเข้าขั้นสุดยอดมาก แต่พอทำออกมาอยู่ในดีวีดีกลับเหลือแค่สองเพลง เพราะต้องแบ่งโควตาพื้นที่ไปให้ศิืลปินคนอื่นๆ ในงานด้วย หลายคนชมดีวีดีแล้วก็ติดใจฝีมือของเจฟฟ์และวงมาก อัลบั้มแสดงสดชุดนี้เลยสามารถตอบข้อเรียกร้องของหลายๆ คนได้ดี เป็นการแสดงสดที่คลับของ Ronnie Scotts ในลอนดอน เมื่อช่วงปลายปี 2007 ซึ่งความจริงตัวอัลบั้มนี้ก็เป็นการตัดเพลงมาจากฟุตเตจวีดีโอที่ออกอากาศทางทีวีมาอีกที แขกก็เจ๋งๆ ทั้งนั้น อย่าง Joss Stone มาร้องเพลง People Get Ready ในสไตล์โซลได้อารมณ์ยิ่งนัก แปลกใจที่พอร้องจบเพลงอยู่ๆ ก็เดินลงจากเวทีไปทันทีเลย จะรีบไปไหนกันเนี่ย เจฟฟ์จะเรียกคนดูให้ปรบมือให้ก็เลยเก้อไปเลย Imogen Heap เธอคือใครผมไม่รู้จัก และจำไม่ได้ด้วยว่าร้องเพลงอะไร ส่วนแขกคนสุดท้ายนี่คือแคลปตันนั่นเอง มา้ร้องเพลง You Need Love และร่วมโซโล่ด้วย นอกจากนี้ยังมี "คนพิเศษ" ซ่อนอยู่ในกลุ่มผู้ชมอีกสองคนด้วย เป็นใครลองไปดูกันเอาเองนะครับ ผมแนะนำว่าให้หาวีดีโอมาดูจะดีกว่า เพราะว่าตัวอัลบั้มไลฟ์ชุดนี้ช่วงที่เป็นแขกรับเชิญถูกตัดออกไปหมด เหลือแต่เพลงบรรเลงของเจฟฟ์ล้วนๆ เต็มอัลบั้ม ซึ่งฟังแล้วอาจเกิดอาการเลี่ยนเอาได้

(http://g-ecx.images-amazon.com/images/G/01/ciu/60/9e/5b35e03ae7a02468b06ac110._AA240_.L.jpg)
9. From the Reach - Sonny Landreth

เอาอีกแล้วกับอัลบั้มประเภท "เชิญแขก" ที่เชิญแขกระดับบิ๊กๆ มาช่วยกันแจมกันอุดตลุด สำหรับ From the Reach ชุดนี้ของ Sonny Landreth ก็เข้าข่ายอยู่ในกรณีนี้ด้วยเช่นกัน ความจริงนี่ก็เป็นอัลบั้มชุดแรกของ Sonny Landreth ที่ผมได้มีโอกาสฟังเต็มๆ เพราะเพิ่งมาทำความรู้จักอย่างจริงจังครั้งแรกก็เพราะการปรากฎตัวของเขาในดีวีดี Crossroads Festival 2007 ของแคลปตันนั่นแหละครับ Sonny เป็นมือสไลด์กีตาร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วคนนึง เทคนิคการเล่นของเขาค่อนข้างมีความเป็นร็อคและแพรวพราวกว่าน้าดิเรกอยู่พอสมควร โดยเฉพาะการเล่นคอร์ด และการเล่นแบบกระจายโน๊ตเป็นชุด ซึ่งคนที่จะสามารถเล่นออกมาเป็นแบบฉบับของตัวเองได้ขนาดนี้นี่คือต้องไม่ธรรมดาแล้วครับ ขนาดแคลปตันยังเคยบอกว่า เขาชอบฟังผลงานของ Sonny มากๆ อัลบั้มชุดนี้ Sonny จึงไม่พลาดที่จะชวนแคลปตันมาร่วมเล่นด้วยถึง 2 เพลง นอกนั้นก็มีแขกรับเชิญระดับแม่เหล็กอีกมากมาย อย่าง Mark Knopfler, Eric Johnson, Vince Gill, Robben Ford และ Dr. John ภาพรวมของอัลบั้มเป็นเพลงบลูส์ร็อคร่วมสมัยจังหวะกระฉับกระเฉงที่เน้นการโชว์ฝีมือการสไลด์กีตาร์และการแจมกีตาร์เป็นหลัก อัลบั้มนี้จึงคุ้มค่าแน่นอนสำหรับการได้ฟังเสียงสไลด์กีตาร์ระดับปรมาจารย์ร่วมกับฝีมือกีตาร์ของแขกรับเชิญระทับเทพอีกมากมายคับคั่ง แต่ตัวเพลงก็ไม่ได้ดีหรือโดดเด่นมากเท่าไหร่นัก ข้อเสียของอัลบั้มนี้คือมีความรู้สึกว่ามิกซ์เสียงแปลกๆ ยังไงชอบกล โดยเฉพาะเสียงร้องเหมือนกับโดนปรุงแต่งมามาก อีกประการหนึ่งคือเนื่องจากอัลบั้มนี้เน้นที่กีตาร์เป็นหลัก จนบางครั้งมันเหมือนว่าเราจะสำลักเสียงกีตาร์กันเลย เพราะไม่มีช่วงที่เครื่องดนตรีอื่นๆ โดดเด่นหรือน่าสนใจเลย ตลอดทั้งอัลบั้ม

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/41azn%2BnKjCL._SL500_AA240_.jpg)
10. Back To The River - Susan Tedeschi

อัลบั้มของเคน-ธีรเดชและหน่อย-บุศกรแห่งวงการดนตรี ติดใจในตัวสามีมากกว่าภรรยา แต่ก็ตามมาฟังอัลบั้มของภรรยาจนได้ เพราะสามีมาช่วยเล่นกีตาร์ในหลายๆ แทร็ก แถมยังช่วยโปรดิวซ์ในบางเพลงอีกเสียด้วย พร้อมทั้งหอบหิ้วเอาเพื่อนซี้จากทัวร์ในปี 2006-2007 ของแคลปตัน นายดอยล์หัวฟู มาช่วยเล่นกีตาร์และโปรดิวซ์ในบางเพลงอีกเช่นกัน เสียงร้องของภรรยาแหบแห้ง แต่ก็มีสเน่ห์น่าฟังตลอดอัลบั้ม เสียงร้องของเธอติดกลิ่นของความเป็นโซล มาอยู่พอสมควร ตัวเพลงอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก ภรรยามีส่วนร่วมในการเขียนเพลงด้วยแทบทุกเพลง ดนตรีโดยภาพรวมเป็น Comtemporary Blues ผสมผสานกับหลายๆ แนว ถือเป็นอัลบั้มอุ่นเครื่องชั้นเยี่ยม ก่อนที่จะได้ฟังผลงานใหม่ของ Derek Trucks Band อัลบั้ม Already Free ที่จะออกในต้นปีหน้า ใครชอบเพลงบลูส์ลูกผสม เสียงร้องติดกลิ่นโซล และหลงไหลในเสียงกีตาร์ของน้าดิเรก ควรหามาฟังครับ
ป.ล. ใครอยากทราบว่าทำไมผมเปรียบน้าดิเรกกับซูซานเป็นเคน-ธีรเดชกับหน่อย-บุศกร ลองหาข้อมูลดูนะครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Analog Kid ที่ 18 ธันวาคม 2008 | 09:14:06 AM
ไม่ค่อยได้ฟังงานที่ออกในปี 2008 มากเท่าไหร่ เอาเท่าที่ได้ก็แล้วกันครับ


(http://img267.imageshack.us/img267/5610/overlookft5.jpg) (http://imageshack.us)
(http://img267.imageshack.us/img267/overlookft5.jpg/1/w300.png) (http://g.imageshack.us/img267/overlookft5.jpg/1/)

อัลบั้ม Overlook ของวง Fromuz

เป็นงานของวงจากประเทศ Uzbekistan เล่นในแนว Fusion ที่ผสมควมเป็นซิมโฟนิคเข้าด้วย
ฟังเผินๆอาจจะนึกถึงวงอย่าง King Crimson บ้าง เสียงกีตาร์ก็อาจจะทำให้นึกถึง Pink Floyd บ้าง
แต่โดยรวม ไม่ได้รู้สึกว่า เป็นการก็อปปี้ แต่น่าจะเป็นอิทธิพลมากกว่า
เพราะมีความน่าสนใจในการนำเสนอที่ค่อนข้างออริจินอลพอควร

ที่น่าสนใจคืออัลบั้มนี้มี 5 เพลง และทุกเพลงเกิน 10 นาที แต่ไม่รู้สึกว่ายืดเยื้อ หรือยาวเกินไปเลย
และวงแต่งเมโลดี้ได้น่าติดตามตลอดด้วย


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Layla F Mulder ที่ 19 ธันวาคม 2008 | 08:36:08 PM
Agent Fox Mulder's Top 2008 12 Non-Blues Albums/DVDs

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/41g1r2T9AWL._SL500_AA240_.jpg)

1. Watershed - Opeth

คุณผู้อ่านเคยฟังอะไรที่กลมกล่อมมากๆ ไหมครับ ลองนึกถึงซุปหรือแกงถ้วยโปรดที่ทุกอย่างในนั้นเข้ากันได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะตักตรงไหนทานก็ไม่มีรสชาติที่กระโดดหรือผิดเพี้ยนไปจากองค์รวมเลย Watershed สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 9 ของวงโปรแกรสสีฟเดธเมทัลระดับแนวหน้านี้ ก็คงจะให้ความรู้สึกเดียวกันล่ะครับ ตัวอัลบั้มนี้มีโทนที่ชัดเจนในตัวของมันเองมาก เหมือนกับทุกอัลบั้มที่ทางวงเคยทำมานั่นแหละ เปิดด้วย Coil เพลงช้าที่มีอคูสติกกีตาร์เป็นตัวเดินเรื่อง เสียงนักร้องสาวไพเราะเหลือเกิน แล้วก็อัดคนฟังด้วย Heir Apparent และ The Lotus Eater ก่อนจะถึงเพลงโปรดที่สุดของผม Burden เพลงช้าที่มีเมโลดี้อันแสนไพเราะ อารมณ์หม่นๆ ปรุงแต่งด้วยเสียงเมโลตรอนอันแสนงดงาม ตรงช่วงกลางเพลงมีท่อนโซโล่ออร์แกนสไตล์ Keith Emerson โซโล่กีตาร์คู่ที่ผสมผสานกลิ่นของแจ๊สอันไพเราะ ส่งท้ายด้วยคลาสสิคกีตาร์ที่ค่อยๆ ถูกผ่อนสายลง บรรยากาศชวนสยองมากๆ ต่อด้วย Porcelain Heart เปิดด้วยท่อนริฟฟ์หนักแน่น ตามติดด้วยคลาสสิคกีตาร์อารมณ์หม่น มีท่อนหนักเบาสลับกันตลอดเวลา เพลงต่อมา Hessian Peel มีท่อนอินโทรที่ไพเราะมากๆ กีตาร์กับเครื่องเป่าอะไรซักอย่าง คล้ายๆ ฟลุ๊ต เสียงเครื่องสายจากเมโลตรอน (หรือเปล่า?) ผสมกันแล้วได้กลิ่นหอมหวลเกินห้ามใจ พอถึงช่วยหลังของเพลงก็กระหน่ำซะเต็มที่กันไปเลย ปิดท้ายด้วย Hex Omega ที่ผสมผสานทั้งความอ่อนหวานและความโหดเข้าด้วยกัน เสียงเมโลตรอนยอดเยี่ยมอีกแล้ว สิ่งที่ผมขอชูฮกวงนี้เลยจริงๆ คือเป็นวงดนตรีเมทัลที่มีท่อน "ผ่อน" ไพเราะมากๆ ฟังแล้วแทบละลาย มันอ่อนช้อยงดงามเหมือนสาวสวยกุลสตรีที่หาที่ติไม่ได้ แต่พอจะถึงท่อนโหดก็โหดซะ.... ข้อสังเกตอีกอย่างนึงคือผมต้องขออนุญาตชม Per Wiberg มา ณ ที่นี้ด้วย เพราะเข้าใจว่าเค้ามีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบ "ท่อนผ่อน" ในเพลงของวง สำเนียงคีย์บอร์ดของเค้าทำให้ผมพอเดาทางได้ว่าเค้าน่าจะได้รับอิทธิพลจากวงอย่าง The Moody Blues, ELP, Genesis หรือวง Prog อื่นๆ ในยุค 70's มามากพอสมควร เสียงเมโลตรอนจากหลายๆ เพลงฟังแล้วหลับตานึกถึง Mike Pinder หรือ Tony Banks ได้เลย บทบาทของ Per Wiberg จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วงนี้กลายเป็นวงดนตรีโปรแกรสสีฟเดธเมทัลระดับแนวหน้าของวงการเลยครับ อัลบั้มนี้จึงควรค่าแก่การหามาฟังเป็นอย่างยิ่งครับ จะได้รู้ว่าเดธเมทัลก็สามารถผสมผสานกับความอ่อนช้อย ให้กลายเป็นดนตรีที่แสนจะไพเราะได้ ฟังแล้วอาจจะอินเลิฟกับวงๆ นี้อย่างผมไปเลยก็ได้นะครับ

(http://g-ecx.images-amazon.com/images/G/01/ciu/54/15/28be71a88da0e4dbceb9d110._AA240_.L.jpg)

2. And Winter Came... - Enya

เคยอินกับคริสมาสต์กันไหมครับ? ผมเองไม่เคยอินกับคริสมาสต์เลยซักปี เพราะไม่เห็นมันจะมีอะไรที่แตกต่างมากนัก นอกจากหมวกซานตาครอสสีแดงกับการประดับประดาไฟทั่วกรุงเทพ เพื่อต้อนรับปีใหม่ อีกสิ่งนึงที่ช่วยให้ผมอินเพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึงได้คือเรื่องของอากาศ ถ้าได้เดินนอกบ้านในตอนอากาศเย็นในช่วงสิ้นปีนั่นแหละ แต่ตอนนี้ถ้าใครอยากอินกับคริสมาสต์ปีใหม่และหน้าหนาว ก็ลองหยิบสตูดิโออัลบั้มล่าสุดของ Enya ชุดนี้มาลองฟังดูกันได้ครับ แค่ชื่อก็หนาวแล้ว And Winter Came... อัลบั้มนี้ Enya ยังคงทำหน้าที่เล่นเครื่องดนตรีและเรียบเรียงเองทั้งหมดเช่นเคย ซิงเกิ้ลนำร่องของอัลบั้มนี้คือเพลง Trains and Winter Rains ที่ยังดูห่างไกลจาก Only Time จาก A Day Without Rain อยู่หลายขุม แต่งานของอัลบั้มใหม่ชุดนี้โดยรวมก็ยังยอดเยี่ยม ให้บรรยากาศของ "หน้าหนาว" ได้อย่างชัดเจน ลองเปิดแอร์ในห้องนอนให้หนาวๆ แล้วเปิดอัลบั้มชุดนี้ฟังพร้อมกับซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม รับรองว่าจะดื่มด่ำความไพเราะของอัลบั้มนี้ได้อย่างเต็มที่แน่นอน นี่อาจจะไม่ใช่อัลบั้มระดับมาสเตอร์พีซในระดับเดียวกับ Watermark ที่ Enya เคยทำไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน แต่มันก็ยังเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยอารมณ์และบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม เหมาะเจาะอย่างยิ่งที่จะเปิดฟังในช่วงหน้าหนาวนี้อย่างที่สุดครับ
คำเตือน : อย่าเปิดฟังอัลบั้มนี้ตอนขับรถในขณะที่คุณง่วงจัด เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุจากการหลับในได้ เราเตือนคุณแล้วนะ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/51CInkkEWYL._SL500_AA240_.jpg)(http://ecx.images-amazon.com/images/I/519%2BSmVa%2BvL._SL500_AA240_.jpg)

3. Shine A Light - The Rolling Stones

"ดิบ สด มันส์" คือคำจำกัดความของอัลบั้มซาวน์แทร็คและภาพยนต์คอนเสิร์ตของ Martin Scorsese นี้ ได้เป็นอย่างดี ภาพยนตร์คอนเสิร์ตนี้เข้าฉายในช่วงเดือนเมษายนของปี 2008 พร้อมด้วยอัลบั้มซาวน์แทร็คที่พูดง่ายๆ ว่ามันถือเป็นไลฟ์อัลบั้มชุดใหม่ของเดอะสโตนส์นั่นแหละ อัลบั้มชุดนี้เป็นอัลบั้มแสดงสดที่สโตนส์อยู่ในช่วงท๊อปฟอร์มระหว่างการทัวร์สนับสนุนอัลบั้ม A Bigger Bang ในปี 2006 บันทึกภาพและเสียงจากการแสดงที่บีคอนเธียเตอร์ในนิวยอร์ค ซึ่งเป็นสถานที่แสดงสดขนาดกลาง ไม่ใหญ่มากจนเกินไปเหมือนในดีวีดี Four Flicks ที่เคยดู ทำให้บรรยากาศของคอนเสิร์ตอยู่ในระดับที่พอดี นอกจากสโตนส์จะขนเพลงฮิตๆ มาอย่างเต็มพิกัดแล้ว ยังพกเอาแขกรับเชิญมาอีกสามคน คือ Jack White, Buddy Guy และ Christina Aguilera เพอร์ฟอร์มแมนซ์ของสองมือกีตาร์คู่ Ronnie Wood และ Keith Richards เล่นได้น่าตื่นตาตื่นหูตลอดทั้งอัลบั้ม แถมยังมิกซ์แยกลำโพงซ้ายขวาได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้าใครดูดีวีดีจะได้เห็นแอมป์ Fender เก่าๆ วางกันเต็มเวทีด้านหลังเลยทีเดียว แถมยังจะได้ดู Mick Jagger ทำปากกว้างร้องเพลงแล้วเต้นไปด้วยอีกต่างหาก (มิกเต้นเก่งมากจริงๆ อย่างที่เค้าร่ำลือกันเลยครับ) นี่คืออัลบั้มแสดงสดที่ดีที่สุดของสโตนส์นับตั้งแต่ Get Yer Ya-Ya's Out! ในปี 1970 เป็นต้นมาครับ

(http://g-ecx.images-amazon.com/images/G/01/ciu/15/27/40e5c0a398a0f9de83e2b110._AA240_.L.jpg)
4. All I Intended to Be - Emmylou Harris

ป้าเอมิลูกับอัลบั้มใหม่ล่าสุดในสังกัด Nonesuch ที่บรรจุไปด้วยเพลงช้าอารมณ์อบอุ่นเต็มทั้งอัลบั้ม ดนตรีเป็นคันทรีแบบละเมียดอ่อนหวานที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา โดยเฉพาะเสียงของเพดัลสตีลที่ผมโปรดปราน อคูสติกกีตาร์ก็ฟังสบายหูมากเช่นกัน เสียงดับเบิลเบสนุ่มนวลไพเราะน่าฟัง กลองก็พอเหมาะพอดีไม่ขาดไม่เกิน บวกด้วยเสียงร้องของป้าที่ยังคงสเน่ห์ไม่เสื่อมคลาย บางเพลงก็มีแมนโดลินและกีตาร์โดโบรมาช่วยเสริมบรรยากาศคันทรีได้เหมาะเจาะอีกต่างหาก ป้าเค้าพาแขกมาร่วมด้วยอีกหลายคน ที่ชื่อคุ้นๆ หูหน่อยก็คงจะเป็น Dolly Parton และหนุ่มคันทรีตัวจริงอย่าง Vince Gill ที่มาช่วยร้องในเพลง Gold แทร็กโปรดของผมคือ Old Five and Dimers Like Me ที่มากันครบเครื่องทั้งแมนโดลิน ฟีดเดิล และโดโบร Mike Auldridge มาร่วมร้องคู่กับป้าและเล่นโดโบรได้อย่างไพเราะ นี่ถือเป็นอัลบั้มคันทรีแบบละเมียดที่เหมาะกับการฟังเพื่ื่อผ่อนคลายจากโลกที่วุ่นวายและน่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุด ข้อเสียอย่างเดียวของอัลบั้มนี้คือมันมีแต่เพลงช้าทั้งชุด อาจทำให้คนที่เบื่อหรือไม่ชอบเพลงช้าๆ พาลหลับเอาได้

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/513%2BIc0OgfL._SL500_AA240_.jpg)

5. At Kilburn: 1977 - The Who

ดีวีดีบันทึกการแสดงของคณะกายกรรมชื่อดัง จากการแสดงเมื่อปี 1977 ซึ่งแสดงได้ยอดเยี่ยมมาก สมาชิกของคณะกายกรรมนี้มีสี่คนด้วยกัน คนที่ถือไมค์คนนั้นโชว์การควงไมโครโฟนได้ยอดเยี่ยมมาก ส่วนมือกีตาร์ก็โชว์การเตะ การสับขาไปเล่นกีตาร์ไป โชว์เอาหัวเข่าไถลไปตามพื้นเวที บางทีกระโดดเตะแล้วยังไปทำขาตั้งไมค์ของตัวเองล้มอีกตะหาก มือกลองก็โชว์การหวดกลองระดับเซียน สงสัยอยู่แต่ว่ามือเบสคนนั้นนี่เป็นหัวหน้าคณะหรืออย่างไร ทำไมไม่เห็นทำอะไรเลยนอกจากยืนเล่นเบสเฉยๆ พอครับ กลับเข้าเรื่อง ต้องบอกว่าภาพของดีวีดีชุดนี้คมชัดและสวยงามเป็นอย่างมาก รวมถึงเสียงที่ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขาเล่นกันในสตูดิโอมากกว่าที่จะมาจากการบันทึกเสียงสด บางรู้สึกว่ามันเนียนเกินไป ก็เข้าใจว่าคงจะมีการแต่งเติมและปรุงแต่งกันไปมากพอสมควรแหละครับ ทำให้บางครั้งฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ ชอบกล แต่ทางด้านเซ็ทลิสต์ค่อนข้างยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะเพลงเด่นจากอัลบั้ม Who's Next ถูกนำมาเล่นอย่างครบครัน เสียงดายที่ไม่มีเพลงจากอัลบั้ม Quadrophenia ออกมาเลย เพอร์ฟอร์มแมนซ์ก็ค่อนข้างจัดจ้านและร้อนแรงสมกับที่เป็นการแสดงในยุครุ่งเรืองจริงๆ แถมยังจะได้ชมฝีมือกลองในช่วงสุดท้ายของคีธ มูนอีกตะหาก ใครที่เป็นแฟนวง The Who ห้ามพลาดดีวีดีชุดนี้เป็นเด็ดขาดครับ

(http://g-ecx.images-amazon.com/images/G/01/ciu/bd/d7/ff9bc0a398a037515729c110._AA240_.L.jpg)

6. Time the Conquerer - Jackson Browne

ไอหมอนี่มันเป็นใครกันเนี่ย? สวมแว่นตาดำ หนวดเครารกรุงรัง จะบอกว่าลีออน รัสเซลออกอัลบั้มใหม่ก็คงไม่ใช่ ทำไมป๋าแจ๊กสัน บราวน์ของเราถึงเปลี่ยนลุคไปเยอะขนาดนี้ก็ไม่ทราบ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือเสียงร้อง และเพลงของเขาที่ฟังทีไรก็ได้กลิ่นโฟล์คร็อคยุค 70's หอมหวลมาแต่ไกล ประเภทที่ต้องบอกว่า ไม่บอกก็ไม่รู้ว่านี่คืออัลบั้มใหม่ที่ออกในปี 2008 ความจริงในปีนี้ป๋าเค้าก็ออกอัลบั้มไลฟ์ Solo Acoustic, Vol. 2 ออกมาในช่วงต้นปีด้วย แต่เซ็ทลิสต์เป็นรอง Vol.1 อยู่หลายขุมเหมือนกัน สตูดิโออัลบั้มชุดนี้จึงมีความน่าสนใจมากกว่า ตัวเพลงอยู่ในระดับมาตรฐาน ส่วนเนื้อหาก็ยังแฝงแง่คิดคมคายเกี่ยวกับสถานการณ์โลกไว้ด้วย The Drums of War คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการตั้งคำถามกับผู้ฟังถึงเรื่องราวของสงครามอิรักที่ผ่านมา ฟังแล้วชวนให้นึกถึงเพลงที่ใช้วิธีการตั้งคำถามกับผู้ฟังด้วยวลีเด็ดๆ เหมือนกัน อย่าง What God Wants ของ Roger Waters หรืออย่างเพลง Where Were You ที่ตั้งคำถามต่อประธานาธิบดีบุชถึงเหตุการณ์ Hurricane Katrina ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา นอกจากจะเป็นผลงานอัลบั้มที่เต็มไปด้วยความเฉียบขาดทางวรรณศิลป์แล้ว เพลงทุกเพลงก็ยังเต็มไปด้วยเมโลดี้และคุณภาพของดนตรีเต็มเปี่ยม ถึงแม้อาจจะฟังดูเรื่อยๆ ไปนิดนึง อีกอย่างที่ชวนให้ติดใจก็คือเสียงนักร้องสาวแบ๊คอัพอันแสนไพเราะที่ได้ยินอยู่ตลอดทั่วทั้งอัลบั้ม เสียงของเธอไพเราะและเข้ากันได้ดีกับเสียงของป๋าแจ๊กสันของเราจริงๆ ครับ ใครชอบดนตรีโฟล์คร็อคที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของซาวน์ยุค 70's บวกด้วยเพลงดีๆ ที่มีเมสเสจชัดเจนต่อสถานการณ์ต่างๆ ในโลกปัจจุบัน รับรองว่าอัลบั้มใหม่ของแจ๊กสัน บราวน์จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/611o6ExTUbL._SL500_AA240_.jpg)

7. Viva La Vida - Coldplay

ลองจินตนาการถึงภาพเขียนโมเดิร์นซักภาพ ภาพเขียนที่มีจุดเด่นน่าสนใจอยู่ตรงกลาง เขียนด้วยฝีมือของศิลปินดาวรุ่งแห่งยุคที่ใครๆ ก็รู้จัก วันหนึ่งภาพเขียนนั้นถูกนำมาแต่งแต้มในส่วนของพื้นหลังในแบบของพื้นหลังที่ให้มิติและมุมมองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ด้วยฝีมือของปรมาจารย์ที่สร้างพื้นหลังภาพเขียนได้อย่างลึกล้ำที่สุด ทำให้ภาพเขียนภาพนี้มีทั้งจุดที่โดดเด่นดึงดูดอยู่ตรงกลาง และพื้นหลังที่สุดแสนจะกว้างไกลเกินกว่าใครจะจินตนาการได้สุดขอบเขตของมัน นี่คือ Coldplay ในมาดใหม่ ต้องยอมรับว่าผมเองไม่เคยฟังอัลบั้มเต็มของ Coldplay มาก่อนเลย และนี่เป็นชุดแรกที่ผมได้ฟังเต็มๆ เพราะกระแสของอัลบั้มนี้ในปีที่ผ่านมามันแรงเหลือเกิน จะบอกว่าเป็นอัลบั้มที่โด่งดังที่สุดแห่งปี 2008 ก็คงไม่ผิดนัก Viva La Vida คือการผสมผสานระหว่างเพลงโมเดิร์นป๊อบร็อคสมัยใหม่เข้ากับซาวน์อันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาของ Brian Eno มันมีทั้งความคลาสสิค หรูหรา และโมเดิร์นอยู่ด้วยกัน สิ่งที่ผมชอบโดยส่วนตัวในอัลบั้มนี้คือการให้ความสำคัญกับเครื่องดนตรีประเภท "ปูพื้น" ทั้งหลาย เสียงออร์แกนในเพลง Lost! ให้อารมณ์ที่ยอดเยี่ยม เปียโนและเครื่องสายบรรเลงได้งดงามราวกับเป็นเพลงคลาสสิค กีตาร์ริธึ่มที่น่าจะได้อิทธิพลมาจากสไตล์ของ The Edge มาพอสมควร ไลน์เบสที่สร้างสรรค์และไม่ซ้ำซากจำเจ และที่ขาดไม่ได้คือ Sonic Landscapes จากเจ้าตำหรับ Brian Eno นี่คืออัลบั้มโมเดิร์นป๊อบร็อคที่เต็มไปด้วยจินตนาการ มิติกว้างใหญ่ไพศาล เกินกว่าที่มันจะเป็นอัลบั้มโมเดิร์นป๊อบร็อคเสียอีกครับ

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/61Hnp2kivGL._SL500_AA240_.jpg)

8. The Life Of A Song - Joey + Rory

อัลบั้มชุดแรกของสามี-ภรรยาชาวอเมริกัน Rory Lee Feek และ Joey Martin Feek ที่เข้าไปแข่งขันในรายการเรียลลิตี้ร้องเพลงที่ชื่อ Can You Duet (คล้ายๆ กับ The Star บ้านเรา แต่อันนี้เป็นร้องคู่) ซึ่งคู่นี้ก็ไม่ได้แข่งแล้วที่ชนะเลิศแต่อย่างใด ได้มาที่อันดับสาม แต่เป็นคู่แรกที่ออกอัลบั้มเต็มตามมาหลังจากแข่งขันเลย ตัวภรรยา Joey จะร้องนำ โดยมีสามี Rory ทำหน้าที่เล่นกีตาร์และร้องแบ๊กกิ้ง (ตัว Rory ทำงานเป็นนักดนตรี/นักแต่งเพลงอยู่ในแถบ Nashville อยู่แล้ว) ภาพรวมของอัลบั้มเป็นดนตรีคันทรี/บลูแกรส ที่ค่อนข้างเป็น Traditional พอสมควร เครื่องดนตรีอคูสติกจะโดดเด่นเป็นหลัก ให้บรรยากาศกลิ่นหญ้าดินทุ่งแบบคาวบอย เสียงร้องและดนตรียอดเยี่ยมไร้ที่ติ มีเพลงเร็วอยู่ซักประมาณ 2-3 เพลงในอัลบั้ม นอกนั้นจะเป็นเพลงช้าแทบหมด Sweet Emmylou แทร็คที่สองของอัลบั้ม ไม่รู้ว่าเขียนถึงป้าเอมิลูหรือเปล่า ฟีดเดิล แมนโดลิน เพดัลสตีลไพเราะเหลือเกิน เมโลดี้ก็งดงาม Cheater, Cheater เป็นเพลงที่ถูกตัดออกเป็นซิงเกิ้ล สไตล์บลูแกรสอัพเทมโป กีตาร์ริธึ่มระดับเซียน Rodeo เพลงช้าที่เด่นด้วยเสียงกีตาร์ Dobro แถมยังมีเพลงคัฟเวอร์ของวงเซาท์เทิร์นร็อคระดับตำนาน อย่างเพลง Free Bird ของ Lynyrd Skynyrd ที่เปลี่ยนลุคไปเป็นเพลงช้าจนแทบจำไม่ได้ (สารภาพว่าผมฟังมาหลายรอบแล้วยังไม่รู้เลยครับ ต้องดูชื่อเพลงถึงจะเริ่มรู้) ถือเป็นอัลบั้มคันทรี/บลูแกรสที่ยอดเยี่ยมอีกชุดหนึ่งของปีนี้เลยครับ ใครชอบคันทรี/บลูแกรสที่ออกเป็น Traditional หน่อย ชอบเครื่องดนตรีอคูสติก และชอบเพลงช้าๆ ฟังแล้วได้ไอดินกลิ่นหญ้า แนะนำเลยครับ

(http://blogs.creativeloafing.com/tampacalling/files/2008/08/51qlfe5vxzl_sl500_aa280_.jpg)

9. The Imus Ranch Record - Various Artists

อัลบั้มรวมเพลงคันทรีร่วมสมัยชุดนี้เป็นอัลบั้มการกุศลเพื่อช่วยเหลือนาย Imus Ranch  รู้สึกว่านายคนนี้จะเป็นผู้ช่วยเหลือเด็กที่ป่วยด้วยโรคร้ายเกี่ยวกับมะเร็งและโรคทางเลือดอะไรเนี่ยแหละครับ งานนี้มีศิลปินคันทรีเลื่องชื่อหลายหน้ามาร่วมงานกันคับคั่ง ทำให้ภาพรวมของอัลบั้มมีความหลากหลายและเป็นคันทรีร่วมสมัยที่ไม่ฟังแล้วเลี่ยนจนเกินไป มีเพลงคัฟเวอร์สองเพลงเปิดเป็นเพลงเรียกลูกค้า ซึ่งก็ยอดเยี่ยมทั้งคู่เลยครับ Silver Springs เพลงเก่าของ Stevie Nicks ในเวอร์ชั่นที่ร้องโดย Patty Loveless ถูกแต่งเติมด้วยเสียงแมนโดลิน กีตาร์อคูสติก ฟีดเดิลและอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเวอร์ชั่นที่น่าฟังจริงๆ ครับ Lay Down Sally เพลงเก่าของแคลปตันจากอัลบั้ม Slowhand ร้องโดย Delbert Mcclinton โดดเด่นด้วยเสียงกีตาร์ซาวน์ Twang แบบ Fender จ๋าๆ เล่นเสียงคลีนๆ ฟังแล้วอยากลุกขึ้นไปหยิบกีตาร์มาแจมด้วยทันทีเลย ที่ถูกใจเป็นพิเศษเพลงอื่นๆ นอกจากเพลงคัฟเวอร์ก็อย่าง Life Has Its Little Ups And Downs ร้องโดย Raul Malo ซึ่งถ่ายทอดอารมณ์ผ่านน้ำเสียงได้ดีมาก โดยเฉพาะท่อนฮุค "She wears a gold ring on her finger, And Im so glad that its mine!" เพลงของ Randy Travis, Willie Nelson และ Vince Gill ก็ยอดเยี่ยม ซึ่งผมเข้าใจว่าเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้เป็นเพลงคัฟเวอร์ทั้งนั้น ใครอยากฟังดนตรีคันทรีร่วมสมัยชั้นเยี่ยมจากศิลปินหลากหลาย หลงไหลในเสียงพีดัลสตีล แมนโดลิน และฟีดเดิล The Imus Ranch Record จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/buono_kiss_syokai_jkt.jpg)

10. Kiss! Kiss! Kiss! - Buono!

ปีที่ผ่านมานี่ทางค่าย H!P ก็ยังคงขยันออกซิงเกิ้ลของศิลปินในค่ายออกมาอย่างสม่ำเสมอ ผมเองก็ติดตามมาทุกซิงเกิ้ลทั้งจาก Berryz, C-ute และยูนิตเทพที่ร้อนแรงสุดๆ อย่าง Buono! ซึ่งจะว่าไปแล้วจะบอกว่าปีนี้เป็นปีทองของ Buono! ก็ไม่ผิด เพราะซิงเกิ้ลและ PV แทบทุกชิ้นได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางบวกมาตลอด อันที่จริงของ C-ute ก็อยู่ในระดับดีเช่นกัน ไม่เหมือนทางฝั่ง Berryz ที่มีแต่ซิงเกิ้ลและ PV ทุนต่ำออกมา แน่นอนว่าก็ต้องโดนโขกสับไปตามระเบียบ สำหรับ C-ute ผมชอบ Edo no Temari Uta II เพลงสั้นๆ ยาวแค่สองนาทีครึ่ง แต่ทำดนตรีได้น่าสนใจและเปิดโอกาสให้สมาชิกในวงได้โชว์น้ำเสียงเยี่ยมๆ หลายคน ไอริร้องได้น่าประทับใจมาก แถมยังมีโซโล่เปียโน Wurlitzer ส่งท้ายเพลงอีกตะหาก ส่วน PV อยู่ในระดับกลาง (แต่ถ้าเทียบกับ PV ของ Berryz นี่ถือว่าดีมาก) แต่ถ้าพูดถึงซิงเกิ้ลและ PV ของยูนิตเทพอย่าง Buono! แล้วล่ะก็ Kiss! Kiss! Kiss! ต้องได้ตำแหน่งไปครองแน่นอน เพลงเป็นป๊อบร็อคที่มีเมโลดี้ที่ชัดเจน ติดหูง่าย รายละเอียดของดนตรีทำได้ดี ตัว PV ก็มีโปรดักชั่นที่ดีมาก โดยเฉพาะคอสตูมและการจัดแสงสีต่างๆ ที่มีสีสันสดใสมากๆ ท่าเต้นก็น่ารักดี ที่สำคัญไอริขาวมาก!!!  ;D บิก็อยู่ในระดับสวยเทพสุดๆ สมควรแก่การดู PV ซ้ำซัก 5 รอบเป็นอย่างยิ่งครับ น่าจับตามองมากๆ ครับ สำหรับยูนิตเทพยูนิตนี้ ถือเป็นการจับกลุ่มที่ลงตัวมาก ขออย่างเดียวอย่าให้ซึงคุไปทำดนตรีของ Buono! ออกมาเลย เดี๋ยวจะเสียของน่ะครับ


ขออนุญาตเลื่อนวันกำหนดส่ง จากวันที่ 25 ธันวาคม ไปเป็น 5 มกราคม ปีหน้านะครับ เนื่องด้วยช่วงวันที่ 26-27 ผมสอบกลางภาคพอดี คงไม่ค่อยได้มีเวลามานั่งทำ อีกเหตุผลหนึ่งคือ เพื่อให้สมาชิกของเราที่ว่างในช่วงปีใหม่ พอจะส่งงานเขียนเพิ่มเติมในช่วงนี้ได้

สำหรับสมาชิกท่านใดที่อาจจะไม่มีเวลาเขียนคอมเมนต์อัลบั้ม ก็สามารถส่งแค่ลิสต์ท็อปอัลบั้มกันมาแบบเพียวๆ ก็ได้นะครับ คือแค่ลิสต์มาเท่านั้น ไม่ต้องเขียนอะไรเพิ่มแต่อย่างใด อยากให้ส่งกันมาเยอะๆ นะครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ ที่ 19 ธันวาคม 2008 | 08:51:18 PM
Lilium's Top 10 Metal Albums of 2008

(http://www.metalkingdom.net/album/img/d48/21697.jpg)

1. Kataplexia - Supreme Authority (Brutal Death Metal)
อัลบั้มเต็มชุดที่สามของวงบรูตัลเดธอับจนชื่อเสียงจากประเทศฟินแลนด์ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วสมาชิกยุคก่อตั้งของวงนี้เป็นชาวบราซิลและเอล ซัลวาดอร์ที่อพยพมามาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ดนตรีของพวกเขาจึงเป็นการผสมผสานกันแบบครึ่งต่อครึ่งระหว่างซาวนด์บรูตัลโหดดิบเถื่อนตามสไตล์อเมริกาใต้และเดธเมทั่ลเนียนๆติดเมโลดิกเล็กน้อยตามสไตล์ยุโรป ซึ่งในอัลบั้มชุดที่สามนี้พวกเขาได้ลดเนื้อหาแบบกอร์เลือดสาดแบบอัลบั้มก่อนๆลงและเริ่มเล่นกับเนื้อหาความตายที่เป็นนามธรรมมากขึ้น จึงทำให้ภาคดนตรีในอัลบั้มนี้ถูกขัดเกลามากยิ่งขึ้นด้วย ริฟฟ์กีตาร์ยังคงความหนักหน่วงไว้เต็มเปี่ยมแต่ก็มีการเรียบเรียงที่เป็นระเบียบมากขึ้น รวมถึงความเป็นเมโลดิกที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ภาคริธึ่มของเบสและกลองมีการเปลี่ยนมูฟเมนต์กันบ่อยครั้งทำให้เพลงฟังดูไม่น่าเบื่อ ทางด้านเสียงร้องก็ยังกดต่ำแบบสุดสยองเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ด้วยระบบเสียงที่ชัดเคลียร์กว่างานก่อนๆ งานชุดนี้จึงเป็นเดธเมทั่ลที่ฟังเพลินหูและชวนให้เปิดฟังบ่อยๆเป็นยิ่งนัก

(http://www.metal-archives.com/images/1/7/5/0/175048.jpg)

2. Hour of Penance - The Vile Conception (Brutal Death Metal)
ในรอบปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเปิดไปดูเว็บเมทั่ลเว็บใหน ก็มักจะเห็นอัลบั้มของวงจากแดนรองเท้าบู้ตชุดนี้ได้รับคำชมและคะแนนท่วมท้นจากนักวิจารณ์และนักฟังเสมอ ซึ่งเมื่อผมได้ลองสดับฟังแล้วก็เข้าใจดีเลยว่าสิ่งที่ได้อ่านมานั้นไม่ใช่เพียงราคาคุยจริงๆ เพราะผลงานชุดนี้คือบรูตัลเดธระดับคุณภาพที่ไร้รอยตำหนิอย่างแท้จริง! ภาคดนตรีในอัลบั้มนี้จะเป็นบรูตัลเดธที่โอลด์สกูลหน่อยๆ คือจะเน้นจังหวะที่ว่องไวและภาคดนตรีอัดกระหน่ำไม่ขายท่อนโยกมากแบบพวกสแลมมิ่งในยุคนี้ กระเดื่องซอยถี่ยิบเป็นปืนกล ลูกเล่นและความเป็นเทคนิคัลก็มีพอตัว เสียงสำรอกโหดพอประมาณไม่อ้วกหรือกดต่ำมากจนเอียน ฟังแล้วได้บรรยากาศแบบวงรุ่นพี่อย่าง Suffocation หรือ Deeds of Flesh อยู่เหมือนกัน ไม่แปลกใจเลยที่วงนี้จะได้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายเพลงเดธเมทั่ลอันดับต้นๆของโลกอย่าง Unique Leader Records ซึ่งถ้าพวกเขาไม่ใจแตกไปเล่นแนวอื่นซะัก่อน เชื่อแน่ว่าอนาคตของพวกเขาสดใสแน่นอนครับ

(http://img128.imageshack.us/img128/1455/20781105iu3.jpg)

3. Revocation - Empire of the Obscene (Technical Death / Thrash Metal)
อัลบั้มเต็มชุดแรกของยอดวงทริโอแบนด์จากบอสตันชุดนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเพลิดเพลินที่ใช้บริหารหูได้ดียิ่งนัก เพราะพวกเขาได้นำแนวทางของเดธเมทั่ลแบบเน้นเทคนิคและสัดส่วนที่ซับซ้อนมาผสมกับความดิบห่ามและลูกโซโล่อันเผ็ดมันส์ของแธรชเมทั่ลได้อย่างลงตัว จนบางทีฟังแล้วก็นึกถึงวงยุคเก่าอย่าง Atheist อยู่เหมือนกัน เสียงร้องในชุดนี้ค่อนข้างหลากหลาย เน้นหนักไปที่การตะคอกแรงๆแบบแธรช แต่ก็มีเสียงสำรอกกดต่ำแซมเป็นระยะอยู่เหมือนกัน กีตาร์ในชุดนี้เล่นได้โดดเด่นเป็นพระเอกเลยทีเดียว เพราะเพียงกีตาร์แค่ตัวเดียวก็สามารถจัดการริฟฟ์หนักโหด เมโลดิกริฟฟ์ และเก็บลูกโซโล่ระดับมหาหินได้แบบไม่มีตกหล่น ภาคกลองก็หวดได้หนักหน่วงสะใจดีมาก ลูกเคาะฉาบแฉแพรวพราวไม่ใช่น้อย สัดส่วนดนตรีในอัลบั้มนี้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา มีผ่อนหนักผ่อนเบาทำให้ไม่น่าเบื่อ ภาพปกอัลบั้มสุดวิจิตรรังสรรค์โดย Par Olofsson ทำให้งานชิ้นนี้ทรงคุณค่าขึ้นเป็นทวีคูณ นี่คือผลงานเมทั่ลรสเข้มข้นที่ชวนให้หลงใหลจริงๆครับ

(http://www.metal-archives.com/images/2/1/0/0/210079.jpg)

4. Theocracy - Mirror of Souls (Melodic Power Metal)
ต้องยอมรับว่าในปีนี้มีผลงานเพาเวอร์เมทั่ลจำนวนน้อยรายจริงๆที่ออกผลงานมาแล้วโดนใจผม โดยเฉพาะวงรุ่นใหญ่ทั้งหลายที่ทำผลงานออกทะเลเข้าไปทุกที ส่วนวงรุ่นเล็กหลายๆวงก็ทำผลงานได้จืดสนิทและไร้ความเป็นตัวของตัวโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็มีแต่อัลบั้มล่าสุดของวงคริสเตียน Theocracy นี่ล่ะครับที่พอทำให้ผมใจชื้นขึ้นได้บ้าง ซึ่งวงนี้ถึงจะมีพื้นเพมาจากอเมริกาแต่ซาวนด์ของพวกเขากลับได้อารมณ์ยูโรเปี้ยนเมทั่ลเต็มๆเลยครับ คือจะเป็นเพาเวอร์เมทั่ลที่มีเมโลดี้ติดหู ฟังง่าย ไม่ขยับออกไปเป็นสปีดหรือแธรชแบบวงร่วมชาติส่วนใหญ่ ลีลาของบทเพลงในอัลบั้มนี้ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งเพลงสปีดเพาเวอร์สุดมันส์ (A Tower of Ashes, Absolution Day) เพลงมิดเทมโปทรงพลัง (On Eagles Wings, The Writing in the Sand, Martyr) บัลลาดหวานอ่อนช้อย (ฺำBethlehem) และไตเติ้ลแทร๊คที่เป็นบทเพลงมหากาพย์ความยาวกว่า 22 นาที โดยทั้งหมดมีเมโลดี้และท่อนฮุคระดับผงแม่เหล็กผสมกาวตราช้างเป็นจุดขาย เป็นผลงานเพาเวอร์เมทั่ลที่ครบเครื่องและน่าจะถูกใจคอเมทั่ลสายนี้ทุกคนอย่างแน่นอนครับ

(http://www.recordshopx.com/cover/normal/5/54/54794.jpg)

5. Shadow - Forever Chaos (Neo-Classical / Melodic Death Metal)
อย่างที่เคยบอกไปว่าวงดนตรีจากญี่ปุ่นแต่ละวงนั้นจะมีเอกลักษณ์และความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ซึ่งอัลบั้มล่าสุดของ Shadow ยอดวงเมโลดิกเดธวงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ช่วยยืนยันให้คำนิยามข้างต้นน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นไปอีก จุดเด่นลำดับแรกของวงนี้คือ Tokiko Shimamoto นักร้องนำสาวเสียงโหดที่สำรอกได้น่ากลัวยิ่งกว่าผู้ชายอกสามศอกหลายๆคนด้วยซ้ำ  จุดเด่้นลำดับต่อมาคือภาคกีตาร์ที่มีความเป็่นนีโอคลาสสิคสูงมาก เรียกได้ว่าโชว์ฝีนิ้วกันไม่ยั้งเลย ตัวเพลงก็เป็นเมโลดิกเดธที่โหดเหี้ยมใช้ได้ แต่ก็มีเมโลดี้สวยๆคอยเสริมอยู่ตลอด ผลงานชุดนี้ทำให้เราได้รู้ว่าชาวเอเชียเราก็ทำงานเพลงได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้ฝรั่งตาน้ำข้าวเลยครับ โดยเฉพาะเสียงของนักร้องนำสาวที่โหดเหี้ยมไม่แพ้สาวจอมสำรอกชื่อดังอย่าง Angela Gossow แห่งวง Arch Enemy เลยล่ะ

(http://www.metal-archives.com/images/1/8/3/8/183874.jpg)

6. Mercenary - Architect of Lies (Melodic Death / Power Metal)
กลับมาอีกครั้งสำหรับวงเมทั่ลลูกผสมรสอร่อยแม่ช้อยนางรำจากแดนโคนมวงนี้ โดยผลงานของพวกเขาขึ้นชื่อจากการนำแนวทางดนตรีหลากหลายมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทั้ง Melodic Death, Power Metal, Modern Thrash แถมยังมีกลิ่นอายความเศร้าหมองของกอธิคและความซับซ้อนแบบโปรเกรสสีฟแทรกซึมอยู่เป็นระยะอีกตังหาก โดยในอัลบั้มล่าสุดนี้อาจจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าอัลบั้มก่อนๆมากนัก แต่มันคงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการได้ฟังเพลงเมทั่ลที่ครบเครื่องทั้งริธึ่มอันหนักแน่น กลองที่หวดหนักแบบลืมตาย ริฟฟ์กีตาร์สไตล์เมโลดิกเดธสุดงดงาม เสียงตะคอกอันก้าวร้าว เสียงร้องคลีนสไตล์เพาเวอร์เมทั่ลอันแสนไพเราะและทรงพลัง รวมถึงท่อนคอรัสที่ติดหูอย่างถึงที่สุด มาผสมผสานกันกลายเป็นบทเพลงเมทั่ลอร่อยหูที่สมบูรณ์แบบลงตัวในทุกด้าน แทร๊คอย่าง Embrace the Nothing และ Isolation (The Loneliness in December) คือบทเพลงสุดชอกช้ำประจำปีนี้เลยครับ

(http://i179.photobucket.com/albums/w296/Rikatonia/DL.jpg)

7. Deadlock - Manifesto (Melodic Death / Gothic Metal / Metalcore)
นี่คือวงเมทั่ลสมัยใหม่จากประเทศเยอรมันที่น่าจับตามองที่สุดวงหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยแนวดนตรีที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครแถมยังจับแฟนเพลงรุ่นใหม่ได้ชะงัดอีกด้วย และมีนักร้องนำคู่ชายหญิง ซึ่งสิ่งที่คุณจะได้รับในงานชุดนี้ก็คือดนตรีเมโลดิกเดธที่มีท่อนริฟฟ์สวยงามและหลากหลาย เสริมบรรยากาศกอธิคอันอลังการและมืดมนด้วยคีย์บอร์ด มีท่อนโยกแบบฮาร์ดคอร์เล็กน้อย นักร้องชายสำรอกกดต่ำได้น่ากลัว ทางด้านนักร้องหญิงก็ร้องได้ไพเราะ มีพลัง ถึงแม้จะไม่มีลูกเล่นลูกคอมากนักก็ตาม (ฟังไปก็คล้าย Anette Olzon นักร้องนำคนปัจจุบันของ Nightwish อยู่เหมือนกัน) มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยโดยการแอบใส่เพลงฮิปฮอปเข้าไปในท้ายเพลง Deathrace ด้วย แต่ก็ฟังดูไม่น่าเกลียดอะไร จะว่าไปงานชุดนี้มันก็คล้ายคลึงกับการได้ฟังงานของ Mercenary ที่มีท่อนร้องคลีนเป็นเสียงของนักร้องสาวเสียงใสนั่นเองครับ

(http://www.code7music.com/store/images/the_chant_ghostlines-SM.jpg)

8. The Chant - Ghostlines (Gothic Metal / Melancholic Rock)
ผลงานเปิดตัวของวงร๊อคหน้าใหม่แกะกล่องจากดินแดนพันทะเลสาบ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นผลงานเปิดตัวที่ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบมากๆ ดนตรีของพวกเขาจะเป็นร๊อคผสมกอธิคสไตล์ฟินนิชที่ให้อารมณ์หมองหม่น โศกเศร้า มีเสียงคีย์บอร์ดคอยสร้างบรรยากาศอยู่ตลอดเวลา ฟังดูคล้าย Anathema ยุคหลังๆอยู่เหมือนกัน นักร้องนำถ่ายทอดอารมณ์หมองเศร้าผ่านทางน้ำเสียงได้อย่างลุ่มลึก (เวลาตะคอกจะคล้ายๆ James Hetfield) นี่เป็นงานกอธิคที่สวยงามและเข้าถึงได้ง่าย ฟังได้เรื่อยๆดีครับ

(http://radiokampus.waw.pl/foto/Stormwarrior_Heading.jpg)

9. StormWarrior - Heading Northe (Power Metal)
เพาเวอร์เมทั่ลเท่านั้นที่เราต้องการ!!! คือนิยามของอัลบั้มนี้อย่างแท้จริง เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งสี่ได้บรรเลงบรรลัยดนตรีสปีด/เพาเวอร์เมทั่ลดุดันสไตล์เยอรมันออกมาได้อย่างดุเดือดดุดันราวกับ Gamma Ray สมัยยังกระทงโดยที่ไม่มีเพลงช้ามาเจือปนเลยสักเพลงเดียว ทำให้ความมันส์และความฮึกเหิมมันพุ่งขึ้นไปถึงขีดสุด อัลบั้มชุดนี้เต็มไปด้วยริฟฟ์กีตาร์หักคออันสุดแสนจะเฮฟวี่ ลูกโซโล่แบบทวินลีดอันเพริดแพร้วอร่อยเหาะ รวมถึงริธึ่มเบสกลองที่อัดแน่นหนักหน่วงอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่มีช่องว่างให้หายใจ เสียงร้องของ Lars Ramcke ก็ชวนให้นึกถึง Kai Hansen อย่างช่วยไม่ได้ ถ้าผลงานชุดใหม่ของ Helloween และ Gamma Ray ยังมันส์สะใจไม่พอ Heading Northe ชุดนี้คือคำตอบสุดท้ายครับ!!!!

(http://www.metalkingdom.net/album/img/d14/22263.jpg)

10. Flowing Tears - Thy Kingdom Gone (Gothic Metal)
สามารถเบียดแซงตัวเก็งอย่าง Origin และ Decrepit Birth ได้อย่างไม่น่าเชื่อครับสำหรับวงกอธิคเมทั่ลเกรดบีลบจากเยอรมันวงนี้ ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงแล้วดนตรีในอัลบั้มนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่สักเท่าไรหรอกครับ แต่ผมติดใจเสียงของ Helen Vogt นักร้องนำสาวคนนี้มาก เสียงร้องของเธอจะออกมาในโทนหนาทุ้มน่าฟังต่างจากนักร้องสายกอธิคส่วนใหญ่ที่เสียงค่อนข้างสูงและใส ทำให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวดีทีเดียว ภาคดนตรีก็ใช้ได้ครับ ริธึ่มเบสกลองที่เข้มแข็งเข้ากันได้ดีกับไลน์กีตาร์เพาเวอร์คอร์ดง่ายๆแต่ทรงพลัง บรรยากาศเพลงมืดหม่นเคร่งเครียดตามสไตล์กอธิคของแท้ ท่อนฮุคในแต่ละเพลงมีเมโลดี้ไพเราะแบบพอดีๆไม่หวานจนเลี่ยนเกินไปนัก ฟังได้เนียนๆทุกเพลง สรุปว่านี่คืองานกอธิคเมทั่ลที่ลงตัวและเข้าท่าที่สุดประจำปีนี้ครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ShadowServant ที่ 21 ธันวาคม 2008 | 12:19:29 AM
ตอนนี้ผมจัดอันดับ Non-Prog ได้แล้วแต่ยังเขียนได้ไม่ครบทุกอัน เอาอันดับมาให้ดูก่อน
เครื่องที่บ้านดันโดนมัลแวร์ลงรวนจนใช้ไม่ได้ ต้องมาใช้ข้างนอกอีกแล้ว - -'

10.) "Folklore and Superstition" by Black Stone Cherry
9.) "Dig Out Your Soul" by Oasis
8.) "Perfectly Clear" by Jewel
7.) "Sayonara Zetsubou Sensei Best album - Daisatsukai" by Various Artist (Mainly Zetsubou Sensei's Seiyuu)
6.) "Darkness and Starlight" by The Black Mages
5.) "Parade" by Chihara Minori
4.) "Good Thing Going" by Rhonda Vincent
3.) "Viva la Vida or Death and all his friend" by Coldplay
(Don't care about those artsy musculine apes said what's good is good)
2.) "Payment of Existence" by Communic
1.) "Darling" by Horie Yui

Best Non-2008 and Non-Prog
"Flower" by Orikasa Fumiko

Best EP
"Prospekt's March" by Coldplay

Best Single
"Vanilla Salt" by Horie Yui


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: panyarak ที่ 22 ธันวาคม 2008 | 10:31:29 AM
ขอแถมด้วย DVD คอนเสิร์ตที่ได้ดูในปีนี้และประทับใจ 12 ชุดครับ (บางชุดอาจจะไม่ได้ออกในปีนี้)
1. Barclay James Harvest featuring Les Holroyd with Prague Philharmonic Orchestra - Live
2. Heart - Dreamboat Annie Live
3. Manfred Mann's Earth Band - Budapest Live
4. Blackmore's Night - Paris Moon
5. Keith Emerson Band featuring Mark Bonilla - Live in Hungary
6. Heaven & Hell - Radio City Music Hall Live
7. Robert Plant & the Strange Sensation - Soundstage
8. Elton John - The Red Piano
9. Boney M - Fantastic on Stage and on the Road
10. HSAS - Live (bootleg)
11. Annie Haslam - Live in Rio de Janeiro 1997 (bootleg)
12. Heart & Friends - Decades Rock Live (bootleg of TV show)


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: JKNoremorse ที่ 25 ธันวาคม 2008 | 09:27:04 AM
2008 Winner
     Metallica : Death Magnetic
     เกินความคาดหมาย ไม่คิดว่าวงจะกลับมาพร้อมกับพลังที่ล้นเหลือ ให้อารมณ์ทำแอร์กีต้าร์ + โยกหัวได้ตลอด

Runners-up
     Guns N' Roses : Chinese Democracy
     หลากหลายอารมณ์ หลากหลายโซโล่ ทำให้สนใจที่จะกลับไปลิ้มลองงาน "ออเดริฟ์"
     
     Trivium : Shogun
     ทิศทางเริ่มชัดเจน ชุดหน้าถ้าเพิ่มความเป็นแธรชเข้าไป คงน่าสนใจขึ้นเยอะ
     
     Testament : Formation of Damnation
     อารมณ์ฮึกเหิมทั้งอัลบั้ม น่าจะมีเพลงที่ผ่อนหนัก ๆ เนิ่บ ๆ บ้าง
     
     Children of Bodom : Blooddrunk
     ชักหมดไอเดีย เพลงยิ่งทำยิ่งห้วนสั้น ชุดหน้าน่าจะเป็นตัววัดแล้วว่าจะรุ่ง หรือ จะร่วง
     
    Coldplay : Viva La Vida Death & All His Friends
     ไตเติ้ลแทร็คเจ้าปัญหา แต่งานโดยรวมยังน่าสนใจ เอาไว้ถอนตอนเอียนเมทัล

     Arsis : We are the Nightmare
     เพิ่งเคยฟังแนว Technical Daeth ก็ถือเป็นแนวหนึ่งที่น่าสนใจครับ ซับซ้อนใช้ได้

 :D :D :D \m/ Merry Christmas to All Thaiprog's Member! Keep Rock!!! \m/ :D :D :D

     
ปล. เพิ่ม Arsis ครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: GÒNG ที่ 25 ธันวาคม 2008 | 04:25:31 PM
Fantastic

(http://passzio.hu/kepek/Origin/Origin-Antithesis-2008.jpg)

1. Origin - Antithesis [Technical Brutal Death Metal]
ผมอยากให้อัลบั้มนี้ติด Best Metal Performance of the Year จริงๆสิพับผ่า (ถ้าเป็นไปได้นะ) ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือแพ็คเกจ สวยงามมากครับแบบว่าตั้งใจทำกันจริงๆ งานศิลปะนี่เหมือนหลุดมาจากพวกหนังไซไฟอวกาศอะไรอย่างนั้นเลย รู้สึกคุ้มกับที่ลงทุนไปจริงๆครับ(นี่ขนาดเป็นแค่เวอร์ชั่น CD ธรรมดานะเนี่ย) เรื่องดนตรีคงต้องเรียกว่า"อลหม่านอย่างเป็นระบบ" ครับ มีทั้งความโหดเหี้ยมดุดันแต่แฝงไว้ในโครงสร้างที่ดี ผมว่าอัลบั้มนี้เสหมือนเป็นมนุษย์ต่างดาวมาเล่นก็ไม่ปาน เพราะดนตรีแกนี่อย่างกับไม่ได้มาจากสถานที่ๆเรียกว่าโลกใบนี้เลย คงไม่เวอร์เกินไปนะครับ อิอิ

(http://www.metal-archives.com/images/1/7/5/0/175048.jpg)

2. Hour of Penance - The Vile Conception [Brutal Death Metal]
นี่ถ้าไม่มีอัลบั้มของ Origin ข้างบนนี้ ผมว่าผลงานของวงจากอิตาลีชุดนี้น่าจะได้ตำแหน่งนั้นไปครองแทน ด้วยเสียงและการผลิตที่ใสชัดเจนกว่า ใส่กันไม่ยั้งไม่ต้องโชว์เทคนิคและโดยเฉพาะนักร้องนี่ผมว่ารุ่งแน่ๆครับถ้ายังร้องสไตล์นี้ต่อไปนะ

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/6a/Krisiun_-_Southern_Storm.jpg/200px-Krisiun_-_Southern_Storm.jpg)

3. Krisiun - Southern Storm [Death Metal]
เป็นงานชุดแรกของ Krisiun ที่ผมได้ฟังเต็มๆแล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ หลังจากห่างหายไปสองปีหลังจากอัลบั้ม AssassiNation ในที่สุดสามหนุ่มสามมุมจากแดนอเมริกาใต้กลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ที่ดีกว่าเดิม อัดกันเมามันส์ 13 เพลงซึ่งหนึ่งในนั้นเป็น cover เพลง Refuse/Resist ของวงบ้านใกล้เรือนเีคียง Sepultra ในเวอร์ชั่นที่ดุดันกว่า เป็น Death Metal ที่คุณไม่ควรพลาดจริงๆ

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/02/Cynic_-_Traced_in_Air.jpg/200px-Cynic_-_Traced_in_Air.jpg)

4. Cynic - Traced in Air [Technical Progressive Death/Fusion]
นี่เป็นเพียงแค่อัลบั้มที่สองของ Cynic เท่านั้นเองโดยปล่อยให้แฟนๆรอกันถึง 15 ปี แล้วก็คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปจริงๆ เป็นผลงานที่วิจิตร,สวยงาม,ประณีตบรรจง,ฯลฯ ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายดีครับ แถมแพ็คเกจที่ทำมานี่ก็สวยงามน่าเก็บสะสมจริงๆครับแถมได้โปสเตอร์สุดงามมาติดฝาผนังบ้านอีกต่างหาก คุ้มเกินคุ้มครับ

Notable Mention

(http://ecx.images-amazon.com/images/I/619VGtLZxRL._SL210_.jpg)

5. Metallica - Death Magnetic [Heavy Metal]
ผมว่าชุดนี้นี่เป็นการกลับมาอย่างยอดเยี่ยมครับ แต่เสียดายเรื่องเสียงอย่างเดียว

(http://image.allmusic.com/00/amg/cov200/drj100/j128/j12893eef61.jpg)

6. Pathosray - Pathosray [Progressive Metal]
ผลงานชุดแรกของวงครับ แล้วก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว เป็นโปรเกรสซีพที่ฟังเพลินแล้วก็มีลูกล่อลูกชนเยอะครับ

(http://www.metal-archives.com/images/1/8/7/9/187974.jpg)

7. Infinitum - Behold Eradication [Technical Brutal Death Metal]
บรูทัลเดทสุดโนเนมจากออสเตรเลียผู้มาพร้อมกับอัลบั้มแรกของตัวเองครับ ถึงแม้จะเป็นอัลบั้มแรกแต่เพราะทั้งฝีมือ ความสร้างสรรค์ ความหนักหน่วง ฯลฯ มีอยู่เต็มเปี่ยม ดังนั้นพวกเค้่าสมควรติด Top 10 ของปีนี้สำหรับผมครับ ;)

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/e/e1/Hollenthon_-_Opus_Magnum.jpg/200px-Hollenthon_-_Opus_Magnum.jpg)

8. Hollenthon - Opus Magnum [Symphonic Death Metal]
เป็น melodic death metal (นักร้องและมือเบสมาจากวง Pungent Stench) ที่ผสมความเป็น Symphonic, Orchestral, Folk ซึ่งตอนแรกก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะถูกหูรึเปล่า แต่พอฟังก็รู้สึกลงตัว เป็น death metal ที่ให้ความรู้สึกอลังการดีครับ ;D

(http://www.metal-archives.com/images/1/7/3/6/173634.jpg)

9. Decrepit Birth - Diminishing Between Worlds [Brutal Death Metal]

(http://www.metal-archives.com/images/1/8/3/3/183358.jpg)

10. Banishment - Cleansing The Infirm [Technical Brutal Death metal]
เบียด The Faceless หลุดอันดับ 10 ไปได้เนื่องจากยังไม่ได้ฟังเลยอัลบั้มนั้นเลย :P แต่ผมว่าเดทเมทัลหน้าใหม่ที่แสนจะโนเนมวงนี้นี่มีอะไรหลายๆอย่างที่ชวนให้ผลงานนี้ควรติด Top 10 จริงๆครับ ด้วยความหนักหน่วงและชั้นเชิง ดูๆแล้วเหมือนกับไม่น่าจะออกอัลบั้มเป็นครั้งแรก แต่พวกเค้าก็ทำได้ดีน่ายกย่องจริงๆครับ



ปล. เพิ่มจนได้ 10 อันดับแล้วครับ อันที่ไม่มีบรรยายใต้ภาพคือยังไม่ได้ฟังเต็มๆนะครับ เพราะแผ่นคงมาหลังปีใหม่แหงมๆ :P


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ☆Wicked Man☆™オタク ที่ 29 ธันวาคม 2008 | 11:10:22 AM
ศิลปินหน้าใหม่...คงยังไม่มี โดนใจมากนัก แต่ถ้าเป็นเบอร์เก่าๆ ที่ออกผลงานในปีนี้ล่ะ น่าชิม เออตามจริงก็ชิมไปบ้างแล้วล่ะ น่าสนใจหลายงานเชียวครับ  ::)


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: .. polotoon .. ที่ 29 ธันวาคม 2008 | 11:29:07 AM
(http://i416.photobucket.com/albums/pp244/panyarakp/came.jpg)


Enya / And Winter Came - ผมได้ฟังชุดนี้เพราะพี่ panyarak พูดถึงไว้ แล้วก็ไม่ผิดหวัง ปกติชอบฟังเพลงคริสต์มาสอยู่ แต่เพลงของ Enya ก็ไม่ค่อยได้ตามเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรแปลกไปจากเดิมนัก แต่ชุดนี้ไม่ง่วงเหงาหาวนอน ไม่จำเจกับท่วงทำนองเพลงคริสต์มาสที่ได้ฟังอยู่บ่อยๆ ฟังแล้วมีพลัง อบอุ่นใจในยามอากาศเย็นๆดีจังครับ ใครที่คิดจะเมินหนี ขอให้ลองเปิดฟังสักหน่อย สบายใจดีแท้ครับ  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: TRON ที่ 29 ธันวาคม 2008 | 11:56:19 AM
อยากจะร่วมกิจกรรมนี้ แต่ผมพบว่าผมไม่ได้ติดตามงานที่ออกมาปีนี้อย่างจริงจังเสียเท่าไหร่ มัวแต่ไปขุดของเก่าๆที่ไม่เคยฟังมาเสียส่วนใหญ่ ผมพบว่างานที่ผมรู้สึกว่าชอบจริงๆที่ออกในปีนี้มีเพียงอัลบั้มใหม่ของ Sigur Ros กับ Metallica เท่านั้นครับ ที่เหลือไม่ค่อยโดนมากเท่าไหร่ อาจเพราะฟังไม่มากด้วยครับ  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Layla F Mulder ที่ 29 ธันวาคม 2008 | 01:38:00 PM
Enya มาแรงนะครับ ติดอยู่ในลิสต์ของพี่ตั๊ม พี่โปโล และของผมด้วย


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ ที่ 29 ธันวาคม 2008 | 02:05:04 PM
อยากจะร่วมกิจกรรมนี้ แต่ผมพบว่าผมไม่ได้ติดตามงานที่ออกมาปีนี้อย่างจริงจังเสียเท่าไหร่ มัวแต่ไปขุดของเก่าๆที่ไม่เคยฟังมาเสียส่วนใหญ่ ผมพบว่างานที่ผมรู้สึกว่าชอบจริงๆที่ออกในปีนี้มีเพียงอัลบั้มใหม่ของ Sigur Ros กับ Metallica เท่านั้นครับ ที่เหลือไม่ค่อยโดนมากเท่าไหร่ อาจเพราะฟังไม่มากด้วยครับ  :D


น่าเสียดายจังเลย ยังหวังว่าจะได้เห็นลิสต์ของพี่นะเนี่ย  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: TRON ที่ 29 ธันวาคม 2008 | 02:17:06 PM
อยากจะร่วมกิจกรรมนี้ แต่ผมพบว่าผมไม่ได้ติดตามงานที่ออกมาปีนี้อย่างจริงจังเสียเท่าไหร่ มัวแต่ไปขุดของเก่าๆที่ไม่เคยฟังมาเสียส่วนใหญ่ ผมพบว่างานที่ผมรู้สึกว่าชอบจริงๆที่ออกในปีนี้มีเพียงอัลบั้มใหม่ของ Sigur Ros กับ Metallica เท่านั้นครับ ที่เหลือไม่ค่อยโดนมากเท่าไหร่ อาจเพราะฟังไม่มากด้วยครับ  :D


น่าเสียดายจังเลย ยังหวังว่าจะได้เห็นลิสต์ของพี่นะเนี่ย  :D

ต้องขออภัยด้วยครับ ไปดูที่พวกใหม่ๆที่ชอบๆนี่ออกปีที่แล้วทั้งนั้นเลย ของปีนี้ไม่ค่อยโดนอย่าง Coldplay, Keane, Travis พวกนี้ก็เฉยๆครับ  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: TRON ที่ 29 ธันวาคม 2008 | 02:17:50 PM
Enya มาแรงนะครับ ติดอยู่ในลิสต์ของพี่ตั๊ม พี่โปโล และของผมด้วย

ว่าจะลองฟังอีกรอบครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ♫ phil_wc ♫ ที่ 01 มกราคม 2009 | 04:46:08 PM
Enya มาแรงนะครับ ติดอยู่ในลิสต์ของพี่ตั๊ม พี่โปโล และของผมด้วย

ว่าจะลองฟังอีกรอบครับ
วันนี้เพิ่งไปซื้อแผ่นมาครับ(จากแม่สายเชียว)


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ไอแอมตองสาม ที่ 01 มกราคม 2009 | 07:47:08 PM
ของผม มั่วๆ หน่อยนะครับ Top 5 ละกัน

1. Where The Light Is Live In Los Angelis : John Mayer

(http://www.boomerangshop.com/dvdcover/imageweb47/WhereTheLightIsJohnMayer292_f.jpg)

ได้ดูครั้งแรกในไฟล์ .mkv blu ray rip 1080p ภาพชัดสุดๆ และเป็นครั้งแรกทีี่สัมผัสงานของมือกีตาร์หนุ่มผู้นี้ บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดมาก ทั้ง Acoustic , Trio Set และ Full Band เป็นคอนเสิร์ตที่ควรมีติดบ้านไว้ทุกคนครับ !

2. Viva La Vida Or Death And All Of His Friend : Coldplay

(http://www.detronizator.org/wp-content/uploads/2008/07/coldplay-viva_la_vida.jpg)

เป็นอัลบั้มที่ฟังต่ิอกันได้ตลอดและไม่เบื่อเลย อารมณ์หม่นๆ แต่ชวนตื่นเต้นในบางเพลง และผมหลงรักเสียง Chris Martin ซะแล้ว 555 เนื้อร้องที่กลั่นกรองมาจากสมองของตานี่ มันช่างเจ๋งจริงๆ

3. Death Magnetic : Metallica

(http://music.unrealitytv.co.uk/wp-content/uploads/2008/07/death-magnetic.jpg)

กลับมาลบคำสบประมาทไว้อย่างยิ่งใหญ่ อัลบั้มนี้ทำให้ผมต้องโยกหัวเกือบทุกเพลงเลยล่ะ ของเขาดีจริงๆ  เพลงอย่าง Cyanide ที่ผมว่ามันลงตัวจริงๆ มันส์ครับมันส์ และยังมี ท่อน Riff เท่ๆ จาก The End Of The Line แสดงให้เห็นว่า พวกลุงๆ ยังฟิตกันอยู่จ้า

4. All Hope Is Gone : Slipknot

(http://musicametal.blogosfere.it/images/giugno2008/slipknot_all_hope_is_gone.jpg)

"...แม่งมันส์ว่ะ"

5. Dig Out Your Soul : Oasis

(http://cms.truelife.com/file/object/Oasis/dig-it-out-cover-album.jpg)

ฟังตอนแรกๆ ก็ไม่ค่อยโดน ตอนหลังลองฟังตั้งใจๆ พบว่างานอย่าง Bag It Up ที่ผมชื่นชอบสุดๆ และหลายๆ เพลงที่เจ๋งแบบง่ายๆ อธิบายไม่ถูก และ Oasis ก็ยังเป็นวงที่มีผลงานดีทุกอัลบั้ม แม้นักวิจารณ์จะไม่ค่อยชอบยุคใหม่ๆ ก็ตาม (แต่ผมชอบทุกชุดอ่ะ 55)



หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Fog ที่ 03 มกราคม 2009 | 09:38:04 AM
Hollenthon นี่ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมมาก มีทั้งเมโลดิกเดธ โฟล์ค และซิมโฟนิก รวมในหนึ่งเพลง


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: kongbei ที่ 03 มกราคม 2009 | 04:00:19 PM
1.Coldplay - Viva La Vida or Death And All His Friends
The New Revolution Of Coldplay

2.Oasis - Dig Out Your Soul
ถ้าพูดถึงคนที่หายไปนาน แล้วกลับมาอีกทีญาติๆจำไม่ได้ เพราะเปลี่ยนแปลงไปมาก นั่นแหละใช่เลย

3.Metallica - Death Magnetic
ความแก่ไม่ใช่อุปสรรค เป็นงานที่ต่อยอดกับ And Justice For All ได้ดีเยี่ยม

4.David Gilmour - Live In Gdansk
Live Album ที่ฟังบ่อยที่สุดในรอบปี ขนเพลงดีๆมาครบครัน มิกซ์เสียงโอเค

5.The Mars Volta - The Bedlam in Goliath
มันส์แบบโกลาหล

6.Muse - HAARP Live From Wembley Stadium
ดุดิบ มัน มิกซ์ซาวน์มาแบบสดมาก ตอนยังไม่ได้ฟังนึกว่าจะมิกซ์มาแบบเนี๊ยบๆ นักดนตรีเล่นดี

7.Opeth - Watershed
ฟังแล้วเหมือนทะลุออกไปในจักรวาล

8.Beck - Modern Guilt
ฟังแล้วนึกถึง Syd Barrett แต่แน่นอน คงสู้ Syd ไม่ได้

9.Sigur Ros - Með suð í eyrum við spilum endalaust
งดงาม ไร้ที่ติ ฟังในบรรยากาศฝนพรำ หรือตอนกลางคืน หรือระหว่างการเดินทาง ก็ได้อารมณ์โหยหวนล่องลอยครับ

10.Steven Wilson - Insurgentes
ฟังอัลบั้มนี้แล้วเหมือนเราไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง

11.U2 - War (Deluxe Edition)
ความดีงามของอัลบั้มีนี้คงไม่ต้องพูดถึงกันมาก คราวนี้กลับมาพร้อมกับเสียงที่ดีขึ้น และเพลงแถม

12. No-Man - Schoolyard Ghosts
อัลบั้มที่ฟังแล้วเศร้า แต่ก็ยังมีความสุขลึกๆ

13.Big Blue Ball - Big Blue Ball
Peter Gabriel ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

14. Brett Anderson - Wilderness
หม่นหมองจริงๆ

15. Moderndog - ทิงนองนอย
ทำให้ผมรู้ว่า วงการเพลงไทยยังมีสิ่งดีๆอยู่ จากหลายๆวงที่พูดว่าตัวเองเป็นอินดี้ แต่เพลงของวงนั้นๆก็ตลาด อตก. ทั่วๆไป
นี่คือนิยามของคำว่า อินดี้ ร๊อค เด็กแนว อะไรก็แล้วแต่ ที่วัยรุ่นสมัยนี้เห็นว่าเป็นแฟชั่น แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย

16.Snow Patrol - A Hundred Million Suns
ลื่นๆดีครับ

17. Kings Of Leon - Only By The Night
อัลบั้มนี้ไม่ถึงขั้นดีเยี่ยม แต่ก็นับเป็นชิ้นงานที่ดีในปี 2008

18. B.B. King - One Kind Favor
จะมีคนอายุ 80 กว่าสักกี่คน ที่ยังเข็นงานดีๆออกมาอยู่ ถึงแม้จะไม่จัดจ้าน แต่ก็ได้ความเนี๊ยบ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ShadowServant ที่ 03 มกราคม 2009 | 09:45:42 PM
มาแว้วว...กับ TOP 10 Non-Prog of 2008

ปีนี้เป็นปีของความสิ้นหวัง ... วง Prog หลายวงไม่อาจทำให้ถึงขั้นประทับตรึงจิตมิดทรวงในได้ (จริง ๆ คือมันอาจจะมี แต่ไอ่หมอคนเขียนนี้แหละมันหาไม่เจอเอง แฮ่ ๆ) ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันขาด ๆ หาย ๆ บางอัลบั้มก็ดีแล้ว แต่มันยังไม่ Fear of Blank Planet พอ

จริง ๆ พวก Non-prog ก็พอ ๆ กัน โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก วงอินด้งอินดี้หลายวงที่เริ่มเป็นที่กล่าวขานนั้นพอลองมาฟังจริง ๆ แล้ว...ก็ทำให้รู้สึกอยากกระโดดกัดคอไอ่คนเขียนชมวงมันจริง ๆ (Woof! Woof!) ไม่ว่าจะสุดสัปดาห์ผีดูดเลือดหรืออะไรประมาณนี้ก็ตาม (Pitchfork กับ NME ระวังไว้ Woof! Woof!) สิ้นหวังแล้ว !!!

แต่ก็ใช่ว่าจะสิ้นหวังไปเสียหมด ยังพอมีบางอัลบั้มที่เล็ดลอดผ่านฟ้าฝนอันมืดครึมของดนตรีปี 2008 ผู้ที่ไม่มีรสนิยม R&B กับ Hip-Hop อย่างข้าพเจ้าจึงยังไม่เป็นฮิคิโคโมริ (ถึงจะเสี่ยงเป็นโอตาคุบ้าง-อย่างไรเดี๋ยวรู้กัน) เพราะเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อินดี้แล้วก็เหลือสองแนวที่ว่าครองเมือง จนบางครั้งก็แอบหมั่นไส้ หมั่นพุง!

บ่นยาวไปแล้ว แจววกทวนมาดู 10 อัลบั้มที่เล็ดลอดผ่านเป็นอัลบั้มโปรดของ ShadowServant ในปี 2008 กันดีกว่า

Note I : ผมยังไม่ได้ฟัง Insurgentes ของ Steve Wilson
Note II : บางอัลบั้มที่น่าจะอยู่ในนี้ ผมลากมันไปเป็น Prog เรียบร้อยแล้ว
Note III : ผมกะจะใส่วงไทยวงหนึ่งไปด้วย แต่ถอนออกด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาเดินพลาดไปจริง ๆ หรือแค่มีความคิดของตัวเองกันแน่ไม่อาจรู้ได้ ผมทั้งแอบเอาใจช่วยและแอบด่าวงนี้อยู่ห่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน


อันดับที่ 10
(http://img.ihere.org/uploads/eb65f8f67f.jpg)

Album : Folklore and Superstitsion
Artist : Black Stone Cherry

Genre : Hard Rock , Southern Rock


ในลิสท์ Non-Prog นี้ ผลงานของ Black Stone Cherry เป็นผลงานล่าสุดที่มีโอกาสได้ฟังและกลายเป็นผลงานที่แทรกเข้ามาอยู่ระหว่าง Top 10 ได้ อย่างสวยงาม

Folklore and Supertitsion จะทำให้ท่านได้พบกับ Hard Rock ที่จะว่าย้อนยุคก็ไม่ใช่ จะใหม่ก็ไม่เชิง บางเพลงก็ออกสำเนียงแบบ American Rock ในยุคปัจจุบัน (ซึ่ง Cheesy น่าดู) แต่บางเพลงกลับโชว์ความเป็น Southern Rock ได้สุดสะเด่า อย่างเพลง Devil's Queen (กรุณาอย่าเอาไปเทียบกับเพลงขึ้นหิ้งอย่าง Freebird เชียว)

ขณะที่หลายเพลงก็เล่นหลีดได้เร้าใจ โครงสร้างบางเพลงก็มีลูกเล่นยิบย่อยที่ไม่ทำให้เบื่ออยู่ แต่เพลงที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ น่าเป็น Blind Man เพลงแรกเท่านั้น เสียกันตรงนี้แหละ เพราะเพลงหลัง ๆ มันน่าเบื่อลงเรื่อย ๆ จนรู้สึกอยากเลื่อนให้มันกลับไปเพลงแรก ๆ อยู่บ่อย ๆ


อันดับที่ 9
(http://img.ihere.org/uploads/3219e70c7f.jpg)

Album : Dig Out Your Soul
Artist : Oasis

Genre : Britpop


"Dig your own soul...with the body of the others"

ย้อนไปในยุคที่วงนี้ยังคงอยู่ในสถานะแบบ Underdog (ไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาไทยยังไง) ใกล้ ๆ กับติดดิน แต่ไม่คลุกโคลน เพลงของพวกเขามันช่างป็อบเข้าถึงง่าย แต่ก็มีมุมที่คมคายแฝงอยู่โดยที่ไม่เชิดหัวเหยียดคนฟัง และไม่ว่าจะผ่านมากี่อัลบั้ม ผมก็ยังยืนยันว่าผมชอบ Champaign Supernova ที่สุด ฟังทีไรนึกถึงอดีตช่วงกระโปรงบานขาสั้น กับอารมณ์แบบโรแมนติดที่เย็นชุ่มและละเมียดละไม

แม้อะไร ๆ จะเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ได้สลัดคราบไปเสียหมด วงที่พยายามเป็นเดอะบีเทิลล์แห่งยุค 90's-2000's นี้ ผสมกับวงบริท ๆ อีกบางวง จนนักวิจารณ์บางที่หมั่นไส้ ไม่ก็รำคาญอิทธิพลของเต่าทองในแอ่งน้ำกลางทะเลทราย เลยจิกกัดทุบตีเสียให้อยู่หมัด

กับคนฟังนั้นเป็นอีกเรื่อง พวกเขาอาจจะรู้สึกในทางตรงกันข้ามคือรับได้กับการที่วงวัยรุ่นยุค 90 's พยายามเป็นร่างทรงของวงที่เกิดก่อนมานาน กับคนฟังอีกบางจำพวกคือคนที่ไม่ได้เป็นแฟนเพลงวงเต่าทอง ก็เป็นไปได้สองทางคือ "อะไรของมันวะ" กับ "ก็น่าฟังดีนะ" สำหรับผมเป็นอย่างหลัง

อาจจะเสียดายพลังแบบวัยรุ่นที่หลงเหลืออยู่ในวงนี้ไปเสียหน่อย อาจจะเป็นเพราะผมเอง Nostalgia (กับอัลบั้มแรก ๆ) มากเกินไป เลยทำให้ไม่รู้สึกว่าอัลบั้มนี้กระแทกจิต กระทบใจมากนัก อยู่ในระดับที่น่าฟังแบบของ Oasis และคิดว่าหากพวกเขาคิดจะขุด "จิตวิญญาณ" ของใครมาจริง ๆ ล่ะก็ ขุดเข้าไปให้มากกว่าสไตล์ของเขาก็คงดี ...หรืออาจไม่จำเป็นด้วยซ้ำ เพราะ Oasis ก็มีจิตวิญญาณของพวกเขาเอง แต่ก็ลืมมันไปบ้างเท่านั้น


อันดับที่ 8
(http://img.ihere.org/uploads/d5eb58bae1.jpg)

Album : Perfectly Clear
Artist : Jewel

Genre : Contemporary Country / Pop


"Clearly Perfect!"

หันซ้าย แลขวา แล้วพยายามกระซิบดัง ๆ ว่า จีเวล เป็นหนึ่งในศิลปินที่ผมชื่นชอบ....ในอัลบั้มเดียวคือ Piece of you ! แม้เธอจะดู "เด็ก ๆ" มากทั้งเนื้อหาและตัวดนตรี แต่ก็ไม่ใช่เพลงสมองกลวงแต่อย่างใดเลย เนื้อเพลงแกพูดถึงมนุษย์อย่างมีมิติและน่าสนใจด้วยซ้ำ บางเพลงอาจฟังดู "สะอาด" ไปหน่อยจนนักคิด Realist บางคนรับไม่ได้เพราะคิดว่าสิ่งสกปรกคือความจริง ฮ่า ๆ ขำก๊าก นักมนุษย์นิยมยังบอกเลยว่า มนุษย์ไม่ได้สะอาดหรือสกปรกหรอก แต่มนุษย์น่ะ "โอเค"

หลังจากที่เธอเป็นบ้าเป็นหลังอะไรไปไม่รู้อยู่พักหนึ่ง ใน Perfectly Clear เธอก็กลับมาอีกครั้งในมาดคันทรี่ป็อบร่วมสมัย ซึ่งอัลบั้มนี้ทำให้ผมแพ้ใจเธออีกแล้ว ในช่วงเวลาที่รอคอย Sarah Watkins และ Nickel Creek กลับมารวมกันอีกครั้ง (อาจเป็นไปไม่ได้แล้ว...สิ้นหวังแล้ว...) หาแนวคันทรี่บลูกราสส์ร่วมสมัยที่ถูกใจไม่ค่อยเจอ คุณเธอจีเวลก็เข้ามาทำให้รู้สึกว่าได้รับความรู้สึกทดแทนอย่างสมใจ

คนเซนซิทีฟ แอนด์ เซนติเมนทอล อย่างผมชื่นชอบ Piece of You ขนาดไหนก็จำไม่ได้ แต่พอจะเข้าใจตัวเองอยู่หน่อยว่าอัลบั้มนี้ทำให้ผมหลงพอ ๆ กับ Piece of You เลยนั่นแหละ แต่ทว่าถึงแม้ Jewel จะยังไม่ทิ้งความหวานนุ่มสุทธิไป Perfectly Clear ก็มีจังหวะจะโคน มีความชีวิตชีวามากขึ้นกว่า Piece of You

เป็นเรื่องน่ายินดีหลังจากที่เธอเตลิดไปเป็นอะไรมาก็ไม่รู้ ในที่สุด Perfectly Clear ก็ทำให้ Jewel กลับมาเป็น Jewel อีกครั้ง


อันดับที่ 7
(http://img.ihere.org/uploads/318f5fe94f.jpg)

Album : Sayonara Zetsubou Sensei - Best Album - Zetsubou Daisatsukai
(Various Artist)

Genre : Rock and Roll ,  J-pop , J-Rock , Alternative Metal , Neo-Psychedelic , Post-Punk , Cybergrind
Genre : Parody


"This album will leave you in despair!"

ซาโยนาระ คุณครูผู้สิ้นหวัง (Sayonara Zetsubou Sensei) เป็นการ์ตูนแนวล้อเลียน เสียดสี ตลกร้าย ที่ออกเป็น Anime มาสองซีซั่นแล้ว คิดว่าในหนังสือการ์ตูนทำได้บ้าขนาดไหนล่ะก็ Anime บ้ากว่าสองเท่า ทั้งวิธีการเล่าเรื่อง ลำดับเรื่อง รวมถึงเพลงเปิดปิดประกอบเรื่องที่สุดยอดมาก มีตั้งแต่ Rock and Roll โจ๊ะ ๆ ปนกลิ่นฟังค์และไซคิเดลิคใหม่ กับการร้องแบบเสียงประสานที่มีทั้งเสียงแบบน่ารัก ๆ และเสียงสาวห้าว ๆ ปนกัน (Seiiyuu คนที่พากษ์เป็นเด็กนักเรียนในเรื่องนี้เป็นคนร้องเองนั่นแหละ) ไปจนถึง Alternative Metal ห่าม ๆ ที่...โดยรวมทั้งหมดแล้ว มันไม่ได้แสดงแนวเพลงชัดเจนอะไรมาก พูดให้ตรงประเด็นคือ มันเอามาใช้กึ่ง ๆ ล้อเลียนไปงั้นแหละฮ่า ๆ

อัลบั้ม Sayonara Zetsubou Sensei - Best Album - Daisatsukai  เป็นอัลบั้มรวม OP , ED และเพลงประกอบอื่น ๆ ทั้งสองซีซั่น และอาจรวม Image Song ของ Character บางตัวไปด้วยมั้ง เพราะบางเพลงไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย

Hito Toshite Jiku ga Bureteiru กับ Kuusou Rumba เป็นเพลงเปิด Anime แนวอัลเตอร์ฯ ที่ห่ามสุดสวิงมาก ๆ เพลง Koiji Romanesque เป็นเพลงปิดของซีซั่นสองที่ใน ED ล้อเลียนการ์ตูนตาหวานของผู้ใหญ่ (Josei) แต่เพลงมันเป็นร็อคปนกลิ่นเซ็กซี่ ๆ ที่น่าฟังมาก วันดีคืนดีแทร็กแปลก ๆ ก็โผล่มาอย่าง Lilicure Go! Go! เพลงเปิดล้อเลียนการ์ตูนแนวสาวน้อยพลังวิเศษ (Mahou Shoujo) ที่ฟังไปจะว่าฮาก็ฮา จะว่าน่ารักก็น่ารัก และที่ฮาอย่างสุดทัดทานไหวคือเพลงสุดท้าย Buta No Gohan (น่าจะแปลว่า "ข้าวหน้าหมูทอด" หรือไม่ก็ "อาหารหมู") ที่ระห่ำไปด้วยดนตรีสังเคราะห์โหด ๆ กับเสียงสำรอก (เพี้ยน ๆ) ล้อเลียนแนว Cybergrind/Grindcore

ฟังเอามันส์ก็พอได้ ฟังเอาโจ๊ะค่อยได้อรรถรสหน่อย แต่ถ้าให้ดีที่สุดเวลาสิ้นหวัง....ก็เอาไอ้นี่แหละมาฟังเอาฮา!


อันดับที่ 6
(http://img.ihere.org/uploads/dd7f072088.jpg)

Album : Darkness and Starlight
Artist : The Black Mages

Genre : Symphonic Rock/Metal


วงนี้ฟอร์มขึ้นโดย Nobuo Uematsu คนทำดนตรีฉบับดั้งเดิมให้กับไฟนอล แฟนตาซี และเนื่องจากผมไม่มีความเห็นเป็นอื่นเมื่อเวลาผันผ่าน จึงของก็อบจากที่เคยรีวิวไว้มาดัดแปลงเลย

The Black Mages เป็นวงซิมโฟนิคร็อค/เมทัล ที่เน้นเล่นคัฟเวอร์เพลงจากเกมส์ไฟนอล แฟนตาซีเท่านั้นออกมาอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่สามแล้วครับและสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในอัลบั้มนี้ก็คือการเอาเพลงโอเปร่าจากฉากสำคัญในโรงละครโอเปร่าในภาค 6 มาทำในแบบฉบับ The Black mages เป็นเพลงยาว 15 นาทีชื่อเดียวกับอัลบั้มคือ Darkness and Starlight

แต่กลายเป็นว่าพอลองฟังแล้วกลับไม่โปรดซะงั้น ไปชอบเพลงอื่นเสียมากกว่าเพราะข้อแรกคือ...โอเปร่าที่ร้องด้วยภาษาญี่ปุ่นมันไม่เวิร์กเอาซะเลยข้อต่อมาคือเสียงร้องยังไม่ถึงขั้นแฮะ น่าจะดีกว่านี้ดนตรีและบรรยากาศโอเค (ปรับจากเสียงอิ๊ด ๆ อ๊อด ๆ แบบเกมส์ยุคนั้นได้ดี)

แม้ The Black Mages จะเป็นร็อค/เมทัล แต่ดูเหมือนว่าคีย์บอร์ดจะเป็นพระเอกแทบทุกเพลงคอยเดินเมโลดี้ทั้งไพเราะและบางเพลงก็ซับซ้อนจนมีคนเทียบเป็น Progressive ได้ (เคยได้ยินว่า บางเพลงในไฟนอล Nobuo แกได้แรงบันดาลใจมาจากวง ELP ด้วย)

Darkness and Starlight จึงเป็นร็อคเมโลดี้เจ๋ง ๆ ที่คีย์บอร์ด/ออร์แกน เป็นผู้กล้า กีต้าร์เป็นจอมเวทย์ Support เท่านั้น จะมีก็เพลง Kurayaminokumo (Cloud of Darkness) ที่กีต้าร์มีบทบาทออกลุยบ้าง

อ้อ !ไม่ได้มีเพลงแนวบุกป่าล่ามังกรอย่างเดียวนะครับ เพลง Distant Worlds ก็เป็น Instrumental Ballad ที่ เพราะโคตร!! (และติด Nostalgia หน่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยเล่นภาคของเพลงนี้เลยนะ)

เพลง Life ~in Memory of Keiten~ นี้ Nobuo บอกว่าแกเขียนให้กับเด็กชายคนหนึ่งที่เป็นโรคหนังเกาหลี (ลูคิเมีย) ตั้งแต่เด็กแกเป็นแฟนตัวยงของไฟนอล แฟนตาซี และเคยมาดูคอนเสิร์ทของ The Black Mages ซึ่งจากเดิมที่เด็กคนนี้เคยดูอ่อนแอกลับดูมีพลัง มีชีวิตชีวาขึ้น ใครจะคิดล่ะว่าแกกลับมาเสียชีวิตในเดือนมกราปีนี้เอง ลุง Nobuo แกเลยแต่งเพลงสั้น ๆ ปิดท้ายอัลบั้มเพลงนี้ให้


อันดับที่ 5
(http://img.ihere.org/uploads/cd35fe9530.jpg)

Album : Parade
Artist : Chihara Minori

Genre : J-Pop , Seiyuu


"Forgive me...I'm now really into it"

บางอัลบั้มฟังแล้วตกหลุมรักแรกพบ แต่กับบางอัลบั้มมันต้องใช้เวลากว่าจะรักอย่างลึกซึ้ง (ขโมยวิธีการเปรียบเปรยของคุณ Analog Kid มา แฮ่ ๆ) โดยเฉพาะพวกซึนเดเร่ (ปากไม่ตรงกับใจ) ที่กำลังฮิตกันในการ์ตูนยุคนี้ ก็ต้องอาศัยเวลากันหลายตอน บางทีข้ามซีซั่นไปสองสามซีซั่นแล้วกว่ามันจะรักกับพระเอกได้ (นี้ตูกำลังเขียนอะไรอยู่เนี่ย)

ที่ซึนเดเร่ไม่ใช่อัลบั้มนี้ครับ แต่เป็นตัวผมเอง (เหวอ ! โมเอะอิ๊บอ๋ายเป็นชายทั้งดุ้นมาทำซึนเดเร่) ฟังตอนแรกก็เหอ เหอะ ๆ สู้ อัลบั้ม Contact ไม่ได้ร็อก อัลบั้มนี้ก็ขายอะไรเดิม ๆ อีกสินะ เห็นไหมดนตรีแบบนี้อีกแล้ว ฯลฯ

แต่พอลองฟังหลาย ๆ รอบแล้วกลับพบว่ายิ่งรักอัลบั้มนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ (ส่วนมิโนรินคนร้องนี้รักแกอยู่แล้วล่ะครับ นักพากษ์การ์ตูนบ้าอะไรฟะหน้าอย่างกับนางเอกหนังกำลังภายใน...จริง ๆ รักน้อยกว่า Mamiko Noto ฮ่า ๆ) หลายเพลงนี้โดดเด้งกว่า Contact มาก ถึงจะมีดนตรีแบบมิโนริ้น~~~ มิโนริน ที่อาศัยอิทธิพลจาก Contact เป็นพื้นฐานแล้วต่อยอดไปจนเป็นป็อบที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้

เพลงอย่าง Aoi Kotou นี้น้อง ๆ จะเป็น Crossover Prog เลยอย่างไงอย่างงั้น เพลงโปรโมททั้งหลายทำได้ดีมากอย่าง Paradise Lost , Voyager Train และต้องไม่ลืม Ameakari no hana yo sake ที่แสนสดใส และเป็นน้อยเพลงที่แกร้องด้วยเสียง "น่ารัก"

น้ำเสียงของมิโนรินหลายคนคงพอแบ่งได้แล้วว่ามีเสียงแบบซีเรียสในเพลงช้า ๆ เสียงแบบอีพิกในเพลงที่มีจังหวะจะโคนหน่อย กับเสียงแบบ "น่ารัก"  ถ้าให้พูดถึงรวม ๆ แล้ว Parade มันคือ Contact ที่บวกเพิ่มพลังลงไปในดนตรีและลดความ "น่ารัก" ลง เลยอาจไม่ปิ๊งในสดับแรก แต่มาได้ปลื้มเอาเมื่อลองฟังมากกว่าหนึ่งรอบแล้ว



อันดับที่ 4
(http://img.ihere.org/uploads/8dcf903dd4.jpg)

Album : Good Thing Going
Artist : Rhonda Vincent

Genre : Contemporary Bluegrass


ครับ Bluegrass ที่ค่อนข้างมีคนฟังเฉพาะกลุ่ม ดนตรีที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของคันทรี่และโฟลค์ยุโรป  อัลบั้มนี้ก็เป้นอลบั้ม Bluegrass ที่ดีและเหมาะแต่การพักผ่อนกายใจ

(ด้วยความขี้เกียจส่วนตัว ขอก็อบที่เคยรีวิวมาไว้ก่อนหน้านี้เลยแล้วกัน ฮ่า ๆ)

Rhonda Vincent อัลบั้มนี้คุมโทนดนตรีลงตัวดีมากครับ ไม่หวือหวาเท่าวงอย่าง Nickel Creek (ที่เขาบอกว่าจะยุบแยกย้ายกันไปชั่วคราว T-T) และอาจไม่หวานเยิ้มขนาด Alison Krauss แต่ก็ฟังสบาย ๆ ดีครับ มีท่าทีแบบ Traditional มาปน ๆ กับความร่วมสมัยได้กลมกลืนมาก บางเพลงก็ได้จังหวะจะโคนหน่อย เครื่องสาย ดีดสีอะไรทั้งหลายทำหน้าที่ได้ไม่บกพร่อง ไม่ขาดไม่เกิน

อันดับที่ 3
(http://img.ihere.org/uploads/f9f2b6e34a.jpg)

Album : Viva La Vida or Death and all his friend
Artist : Coldplay

Genre : Britpop / Alternative


"Don't care what you musculine apes said. What's good is good"

Coldplay อาจโดนอะไร ๆ หลายข้อหา แต่ไม่ทำให้ศรัทธาของผมเสื่อมลงเลย กับอัลบั้มป็อบที่มีเนื้อหนังในยุคนี้ บางวงอาจมัวพยายามรีโทรหาของเก่า หรือไม่ก็พยายามทดลองแบบเกินตัว (ไม่เมพเลยท่าน ไม่เมพเลย) ผลออกมาคือน่าเบื่อทั้งคู่ แต่ Coldplay ก็ยังเป็น Coldplay ทดลองอะไรจิ๊ด ๆ พอไม่ให้ถูกด่า (แต่ก็โดนด่าอยู่ดี ฮ่า ๆ) โดยไม่ลืมว่าคนจะฟัง Coldplay นั้นเขาจะฟังอะไร

โอเคว่ามันไม่หวาน (สำหรับบางคนอาจเป็นเลี่ยน) แบบ X&Y ไม่ สะแด่วโจ๋เท่าอีกสองอัลบั้มที่เก่ากว่า หรือไม่ว่าจะเจอข้อหาลอกอะไรมาก็ตาม ก็ขอบอกว่า ไอ่คริส เอ็งลอกได้เจ๋งมาก (ไม่ได้ประชด) จากเมโลดี้กะหลั่ว ๆ ของวงที่ไม่มีใครรู้จักมาเป็นเพลงที่สุดแสน Uplift ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ และฟังได้ไม่รู้เบื่ออย่าง Viva La Vida หรือถ้ารังเกียจรังงอนอคติเพลงนี้นัก อย่าลืมว่า Lovers in Japan ก็ช่างแสนสุขสมระทมใจ (ความรู้สึกนี้จริง ๆ นะ แม้คำมันจะดูลักลั่นย้อนแย้ง) และ 42 แม้จะไม่จิ๊ดเท่า Radiohead แต่ก็เอาความเรียบง่ายมาทำให้มีมิติ น่าสนใจกว่าป็อบทั่ว ๆ ไป จะเกลียดก็ไอ่เพลง Lost! ที่รู้สึกมันมาอยู่ผิดที่ผิดทางเหลือเกิน

มีฝรั่งจากอิงงึลันโดะ (อังกฤษ-กรุณาออกเสียงแบบ Ana Coppola ใน Ichigo Mashimaro) บอกว่า ฉานม่ายชอบโคลด์เพลย์ มันเหมือนเด็กพู่หยิง

ขออภัยที่ยุคนี้แม้แต่สาวดุ้นก็ยังมีชัย (มุขโอตาคุ ไปจำเขามาใช้ อย่าถือสา) เด็กผู้หญิงที่ฉกาจกว่าเหล่าชายอกสามตารางวา-ยาราไนก้า ก็มีอยู่ถมไป และ Coldplay ก็เป็นหนึ่งใน "เด็กผู้หญิง" เหล่านั้น ลืมลิงขั้วโลก เสียเถิด พระเจ้า H ให้อภัย NME แล้ว


อันดับที่ 2
(http://img.ihere.org/uploads/f1cb9550db.jpg)

Album : Payment of Existence
Artist : Communic

Genre : Eclectic Metal


"Sacrifice! Sacrifice!"

บางคนกำลังจะยกมือถามว่า "อาจารย์ครับ/เคอะ อัลบั้มนี้มันมาได้ไงครับ/เคอะ" มันมาของมันแล้วล่ะครับ พูดถึงเมทัลแล้วปีนี้มัวหาของเก่าฟังซะเยอะรู้ตัวอีกที "อ้าวแม่ม...เหลืออยู่จ่อยร่อยที่เป็นอัลบั้มปี 2008" อัลบั้มอื่นที่ฟังมันก็อะไรก็ไม่รู้ครับ เลยไม่ค่อยคิดถึงมันเลย มีเจ้า Payment of Existence นี้แหละที่พอจะฉุดจากความสิ้นหวังได้ อย่างน้อยก็พูดได้ว่าเป็นดนตรีที่มีการก้าวไปข้างหน้า

จาก Conspiracy in Mind ที่โดนคณะตรวจสอบประเมินว่า "เนเวอร์มอร์ ! เนเวอร์มอร์!" มาถึง Waves of Visual Decay ที่หลุดร่องหลุดรอยไปหน่อย แต่ก็มีความพยายามที่จะออกจากเงาวงรุ่นก่อนได้อย่างน่าชื่นชม (โดยส่วนตัวผมไม่เคยเห็นว่าวงนี้มันจะเนเวอร์มอร์ตรงไหนเลย เสียงร้องเด็ดกว่าด้วยซ้ำ)

Payment of Existence ได้ทำให้เห็นว่าดนตรีของ Communic มีแนวทางที่ชัดเจนขึ้น ความมันส์ที่กระหน่ำอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ก็ไม่ใช่ดนตรีที่ขาดมิติ ว่างโหวง มันกลบอัดแน่นไปด้วยพลัง ทั้งการสอดประสานสามชิ้นที่เด็ดดวง บวกกับ element ของ Progressive ที่ยังไม่มัวเล่นกับความซับซ้อนจนลืมใส่อารมณ์ความรู้สึกเต็มเหนี่ยวลงไป ทั้ง On Ancient Ground และ Stone Carved Eyes ต่างฉีกกระชาก ปลดเปลื้องโทสะได้อย่างมีชั้นเชิง เพลงที่เล่นในระดับกลาง ๆ ก็ยังชวนให้ฟังได้ไม่เบื่อ

จะฟังเอาโยกหัวก็ได้ หรือจะฟังแบบดื่มด่ำเอาความหนักแบบข้นลึกก็ดี อาจไม่ลึกเท่าวง Prog. Metal เพียว ๆ แต่ก็ทดแทนไปได้หลายน้ำ ปลดเปลื้องความสิ้นหวังด้วยโทสะที่มีมิติ เป็นที่มาให้มันมาอยู่ในอันดับสองของลิสท์ ShadowServant ปีนี้


อันดับที่ 1
(http://img.ihere.org/uploads/d7c8e4d5e8.jpg)

Album : Darling
Artist : Horie Yui

Genre : J-Pop , Seiyuu



"Who dare to say anime music and Seiyuu music have no soul? WHO DARE!?"

ไอ่คนเดิมที่ยกมือถามเมื่อครู่หันกลับมาบอกว่า "ตูว่าแล้ววว!!!" อันดับหนึ่งมันไม่หนีไปไหนเลย นอกจากเจ๊คนนี้ ผมขอแก้ตัวสักเล็กน้อย (ปรับไมค์ วิ๊ง ๆๆ วึ๊ง ๆๆ) "เอ่อ ท่านผู้มีเกียรติ์ทั้งหลาย จริง ๆ แล้วข้าพเจ้าอยากให้อันดับหนึ่งเป็น Flower ของ Orikasa Fumiko หรือไม่ก็ Ho? จากเจ๊ Horie คนเดียวกันนี้มากกว่า แต่ปัญหาคือทั้งสองอัลบั้มที่กล่าวมามันออกมานานแล้วข้าพเจ้าดันเพิ่งมีโอกาสได้ฟัง" (บูววว เสียงโห่ไล่จากท่านผู้มีเกียรติ์)

ไม่ได้หมายความว่า Darling จะเช้งวับไม่มีที่ติใด ๆ นะครับ มีบางเพลงที่ผมไม่ค่อยชอบความประดิษฐ์เกินเหตุของมันคือ Time Machine กับ Hikari ที่เปิดมาถึงทีไรจะ Skip ประจำ แต่ถ้าให้เทียบกับความชอบเพลงอื่น ๆ ถือว่าให้อภัยได้ พอเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เอายายไปสวนได้ เพราะหลาย ๆ เพลง  เรียบเรียงออกมาได้ดีมาก ใส่อะไร ๆ ลงไปก็เข้ากันพอเหมาะ ไม่รู้ทำไมไม่ค่อยเจอเพลงจาก Seiyuu คนอื่น ๆ ที่เหมาะเจาะขนาดนี้บ้าง (เท่าที่เจอก็ Minorin กับ Orikasa Fumiko นี่แหละ)

รวม ๆ แล้วอัลบั้มนี้ดีเทียบเท่ากับอัลบั้มแรกของเธอคือ Mizutamari ni Utsuru Sekai ที่ไม่ซีเรียสเท่า Rakuen แล้วก็ไม่หลากสีสันเท่า Ho? มีสัดส่วนของ Pop-Rock ที่พอดิบพอดี เพลงที่เด่นหน่อยก็ Love me do ที่ใส่อะไรมากรก แต่รกได้เบิกบานสราญรมย์มาก เพลงที่ผมชอบมาก ๆ อีกเพลงคือ Lalala Ai No Uta เป็นป็อบใส ๆ ฟังสบายหู เสียง Choir ที่เป็นหลังช่วยเป็นเบาะกันกระแทกจากจังหวะสังเคราะห์ได้อย่างดี Koisuru Tenkizu ก็สดใสรับวันใหม่ อีกเพลงหนึ่งที่เป็นสุดยอดความประทับใจคือ Zutto (แปลว่า ตลอดไป ในความหมายของ "Always") ที่ทุกอย่างร้อยเรียงทั้งจังหวะและท่วงทำนองออกมาเป็นป็อบดี ๆ ที่เน้นความติดตรึงใจไม่จำเป็นต้องแอ็คเท่ดูถูกคนฟัง ยอมรับว่าไม่ได้เจออะไรแบบนี้มานานแล้ว มันหาได้ใน Seiyuu Pop นี่แหละ !


ปล. 1 สมาคมนักเขียนโชริวเคน ขอมอบรางวัล "สมาธิสั้นดีเด่น" ให้กับผู้เขียน
ปล. 1.1 อนึง สมาคมนักเขียนโชริวเคน จนบัดนี้ยังไม่ทราบเลยว่า สมาธิสั้น จริง ๆ แล้วมันแปลว่าอะไร
ปล. 1.2 อ้ะ-สอง บอสใหญ่ของสมาคมนักเขียนโชริวเคน (ผู้ผูกขาดสมาคมเกี่ยวกับนักเขียนในประเทศนี้) ใช้อีเมลล์ไม่เป็น เน้น ! ใช้อีเมลล์ไม่เป็น ฉะนั้นถ้าอยากส่ง Spam มาให้ส่งมาทางไปรษณีย์พร้อมติดแสตมป์ตามกฏหมายอย่างเรียบร้อย  (ตู้ไปรษณีย์ของบอสอัพเกรดแอนตี้ไวรัสแล้ว ไม่ต้องห่วง)


...ก็อบมาทั้งดุ้นจาก Blog ของตัวเอง สนใจเข้าไปฟังตัวอย่างเพลงใน Blog ได้ครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=shadowservant&month=12-2008&date=29&group=1&gblog=40 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=shadowservant&month=12-2008&date=29&group=1&gblog=40)


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: PaNn™ ที่ 05 มกราคม 2009 | 08:01:48 PM
black stone cherry ชุดที่แล้วยังจำได้ไม่ลืมเลือนครับ ชอบมากโดยเฉพาะ lonely train , rain wizard และเพลงปิดท้ายอัลบั้มอย่าง rollin' on


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ท่านผีเพลง ที่ 10 มกราคม 2009 | 12:24:14 AM
ขอร่วมกิจกรรมตามคำสั่งท่านมดครับ

(http://tbn1.google.com/images?q=tbn:LZn9x-9mzuXw3M:http://cache.virtualtourist.com/1/1127127-Glorieta_Insurgentes-Mexico_City.jpg)
Steven Wilson : Insurgentes
หนึ่งเดียวของปี ๒๕๕๑
คือ คำตอบที่ไม่ต้องอธิบาย

แต่ถ้าให้ขยาย อาจบอกได้ว่า
อัลบั้มนี้คือ ความงามของดนตรี ที่ผ่านสุนทรีย์ของโสตเสียงโดยแท้

สตีเฟ่น วิลสันไม่ได้แต่งเพลงให้เรา้ฟัง
หากแต่ประดิษฐ์เสียงอันแสนวิเศษ ห่อหุ้มอนุสติของเราไปพร้อมๆกับบรรยากาศรอบข้าง พาให้เราตกอยู่ในภวังค์อันเคว้งคว้าง ไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ไร้สภาวะ
ลิ้มรสกล่อมกล่อมอย่างบาดคอ
สัมผัสอ่อนหวานจนปวดร้าว

ด้วยลีลาที่หยอกเอินล้อเล่นกับความเป็น"ร็อค"อยู่ตลอดเวลา
ด้วยการเอาใจใส่ต่อรูปแบบของ"เสียง" ในบทบาทของ"สื่อ"
ทำให้เรารู้ได้ว่า นี่คือผลงานที่มาจาก"มันสมอง" ไม่ใช่"คอมพิวเตอร์" อย่างแน่นอน
From Creative to Progressive (or vice versa)

นี่คือผลงานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดในรอบปีนี้ครับ
ไต่ฟ้าคว้าดาวมาประดับให้เธอ

ปล.เดือนก.พ.นี้ เธอจะออกเวอร์ชั่นย่อมเยาว์เบากระเป๋าลงมา แค่ ๑๔ปอนด์ - ห้ามพลาดนะครับ  ;D




หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: .. polotoon .. ที่ 10 มกราคม 2009 | 08:50:22 AM
โอ ยอดเยี่ยมปานนี้เชียวหรือ เห็นทีจะต้องเจกันเร็วๆนี้เสียแล้วสิ  :D


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: TRON ที่ 15 มกราคม 2009 | 02:38:59 PM
มาช้าดีกว่าไม่นะครับ  :D

1. Metallica - Death Magnetic

เอาไปเลยอันดับหนึ่งกับอัลบั้มที่ทวงศักดิ์ศรีของเจ้าพ่อแทรชเมทัลมาได้อย่างงดงาม

2. Sigur Ros - Med Sud I Eyrum Vid Spilum Endalaust

งานที่เปลี่ยนจากซาวนด์ล่องลอยกลายมาเป็นซาวนด์แบบอคูสติกและธรรมชาติ ได้อารมณ์แบบเปลือยเปล่าไร้สิ่งเจือปนเหมือนปกอัลบั้ม

3. Coldplay - Viva La Vida or Death and all his friend + Prospekt March

ค่อยๆเติบโตขึ้นมาอีกระดับ การเรียบเรียงดนตรีระดับวงขึ้นหิ้ง น่าจะเป็นผู้สืบทอดวงยูทูในอนาคตได้แน่นอน

4. David Gilmour - Live In Gdansk

แค่ว่าเป็นงานบันทึกการแสดงสดครั้งสุดท้ายทีมีริคเล่นด้วย ก็ไม่ต้องสาธยายอะไรแล้ว

5. Guns N' Roses - Chinese Democracy

โดยภาพรวมค่อนข้างผิดหวัง แต่อย่างน้อยก็เป็นงานดนตรีที่ดีกว่าหลายๆวงในปัจจุบัน น่าจะเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อเข้่าใจในสิ่งที่ Axl Rose จะสื่อ

6. Nine Inch Nails - Ghosts I - IV

งานทดลองของเจ้าพ่ออินดัสเตรียล ที่เหมือนเป็นการแจมด้วยเครื่องดนตรีจริงๆกับเสียงสังเคราะห์ตามสไตล์ มี Adrian Belew มาร่วมแจมด้วย

7. Avenged Sevefold - Live in the LBC

ได้ดูการแสดงสดชุดนี้แล้วต้องบอกว่ามันส์จริงๆครับ

8. Journey - Revealation

อยากให้เครดิตอัลบั้มนี้ที่ตัวนักร้องคนใหม่ที่มีพลังเสียงใกล้เคียง Steve Perry มากๆครับ

9. Bass Communion - Pacific Codex

ดำิดิ่งไปในทะเลลึกกับ Steve Wilson

10. Keane - Perfect Symmatry

โดยรวมออกจะด้วยกว่า 2 ชุดแรก แต่ก็ยังมีเมโลดี้โดนๆตามสูตรให้ได้ฟังกันครับ

จริงๆน่าจะมีงานอื่นดีๆที่ออกมาในปีนี้อีกมากมาย เพียงแต่ผมยังไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดเท่านั้นครับ งานอย่าง Oasis, Opeth, Steve Wilson คิดว่าดีเหมือนกัน แต่ยังไม่มีเวลาให้พอเลยไม่ได้พูดถึงครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Layla F Mulder ที่ 15 มกราคม 2009 | 02:45:00 PM
ผมหนีงานมาหลายวันแล้วครับ ช่วงนี้ทำแต่โปรเจคต์ รายงาน ก็จะพยายามทำของตัวเองให้เสร็จเรื่อยๆ นะครับ คือว่ามันมีงานเข้ามาตลอดแหละ แต่คิดว่ายังไงต้องพยายามเอาทั้งหมดนี้ลงหน้าเว็บให้ได้ ตอนนี้อยากทำให้มันเป็นไฟล์พวก pdf เก็บไว้ด้วยครับ ทำเป็น Thaiprog Fanzine #1 เลยก็ดี แต่ไม่มีความรู้เลย ถ้าว่างแล้วจะลองมั่วๆ ดูนะครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: Layla F Mulder ที่ 18 มกราคม 2009 | 09:08:24 PM
(http://img243.imageshack.us/img243/5279/berryzdvdsd4.jpg)(http://img236.imageshack.us/img236/3403/cutedvdur0.jpg)

12. Nakayoshi Battle Concert Tour 2008 Haru ~Berryz Kamen vs Cutie Ranger~ - Berryz Koubou & C-ute

เมื่อ Yes และ Genesis แห่งวงการ J-Pop โคจรมาพบกัน


ลองจินตนาการถึงวงโปรแกรสสีฟร็อคระดับตำนานอย่าง Yes กับ Genesis ทั้งสองวงออกทัวร์เล่นคอนเสิร์ตบนเวทีเดียวกัน นำเพลงของแต่ละวงมาช่วยกันร้องและเล่นกันอย่างสนุกสนาน เพอฟอร์มแมนซ์ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ และัแน่นอนว่าเป็นทัวร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนมีดีวีดีบันทึกการแสดงสดตามออกมา.............

เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับวงการดนตรีโปรแกรสสีฟร็อค แต่สำหรับวงการ J-Pop แล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นได้เสมอ (โดยเฉพาะเมื่อวงสองวงอยู่ในค่ายเดียวกัน) และนี่คือ Nakayoshi Battle Concert Tour 2008 Haru ~Berryz Kamen vs Cutie Ranger~ ดีวีดีบันทึกการแสดงสดจากสองสุดยอดวง J-Pop แห่งยุค  ;D (คิดเอาเองหรือเปล่าเนี่ย?)

เมื่อทางช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2008 ทาง H!P ได้เข็น Berryz และ C-ute ออกทัวร์คอนเสิร์ตแพ็คคู่ร่วมกัน งานนี้โปรดักชั่นของทัวร์จึงค่อนข้างใหญ่และลงทุนมากกว่าทัวร์ปกติทั่วๆ ไป สำหรับโอตาคุหลายๆ คนก็เป็นแฟนของสองวงนี้คู่กันอยู่แล้วด้วย งานนี้จึงถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ซึ่้งผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าตั๋วคอนแพงแค่ไหน หลังจากดูดีวีดีไปได้หลายรอบก็ได้แต่นั่งฝันหวานว่า อยากไปดูคอนติดขอบเวทีแบบลุงโอตาคุที่ญี่ปุ่นบ้าง สำหรับสถานที่บันทึกคอนเสิร์ตครั้งนี้ถือว่าใหญ่โตพอสมควร ที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนคือจะมีเวทีอยู่สองฝั่งของฮอลล์ใหญ่ และทั้งสองเวทีจะถูกต่อเชื่อมกันด้วยพื้นที่ยกสูงตรงกลางขนาดใหญ่คล้ายๆ สะพาน เรียกว่างานนี้คนดูที่อยู่แถวๆ โซนกลางฮอลล์คงจะได้สัมผัสน้องๆ แบบใกล้ชิดสุดๆ เลยทีเดียว พอแล้วๆ อิจฉาครับ เข้าเรื่องคอนเสิร์ตกันเลยดีกว่า

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/12af0_resize.jpg)

เิปิดงานด้วย Darling I Love You ซิงเกิ้ลแยกเวอร์ชั่นของทั้งสองวง Berryz ปรากฎตัวในชุดสีฟ้า และ C-ute ปรากฎตัวในชุดสีชมพู ตอนเปิดตัวนี่ผมตื่นเต้นราวกับได้ยินได้ฟัง Speak to Me/Breathe ในการเปิดตัวของคอนเสิร์ตพิงค์ฟลอยด์เลยทีเดียว (เว่อร์ไหม) หลังจากนั้นก็อัดต่อด้วยเพลงมาสเตอร์พีซของทั้งสองวง Special Generation และ Ookina Ai de Motenashite ซึ่งนี่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของคอนเสิร์ตเลยก็ว่าได้ ทั้งสองวงร่วมกันร้องและเต้นเพลงของต่างวงได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นเพลงของวงตัวเอง เต้นกันตรงสะพานกลางฮอลล์นั่นแหละครับ ตอนวิ่งจากเวทีสองฝั่งไปรวมกันกลางฮอลล์นี่เสียงโอตาคุครางฮือกันเลยทีเดียว แถมท่าเต้นในเพลง Special Generation ยังมีการเข้าไปยืนเรียงแถวผสมกันระหว่างสองวงอีกด้วย สุดยอดจริงๆ ครับ ท่าเต้นปล่อยแสง กับกระโดดเหย๋งๆ ดูกี่ทีก็ยังปลื้มทุกที Ookina Ai de Motenashite นี่มีเด็กไข่ออกมาร่วมเต้นด้วยครับ ต้องบอกว่าในช่วงเซ็ทนี้ประทับใจความสวยของบิและความน่ารักของไอริเป็นพิเศษเลยครับ บิทำผมฟูๆ แล้วสวยมาก ส่วนไอรินี่ไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว การร้องก็ทำได้ดีมากๆ ครับ จบเซ็ทนี้แล้วก็มี VTR เปิดตัวแบบฮาๆ ตามคอนเซปต์ Berryz Kamen vs Cutie Ranger ให้ดูกัน ดูแล้วก็ฮานิดหน่อย ไม่ค่อยฮามาก ติที่ตอนแอ๊คท่าถ่ายรูปนี่บางคนไม่น่าเอามาออกเลย ดูแล้วแปลกๆ ชอบกล ฮาที่สุดก็ตอนซากิกินข้าวอยู่แล้วมีโทรศัพท์โทรมาเรียกนั่นแหละครับ

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/11ty5_resize.jpg)

หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงต่อไป เซ็ตนี้จะเน้นไปที่ซิงเกิ้ลหลังๆ ของทั้งสองวงเสียส่วนมาก มีสลับกันออกมาวงละเพลงกันไป Namida no Iro สลับด้วย Munasawagi Scarlet แล้วก็ต่อด้วย LALALA Shiawase no Uta ซึ่งช่วงหลังๆ จะมี Berryz ออกมาเต้นโบกไม้โบกมือด้วย แล้วก็มายึดเวทีคืนด้วยเพลงคัฟเวอร์อย่าง Dschinghis Khan แล้ว C-ute ก็ออกมาต่อด้วย Tokaikko Junjou และตามด้วย Tsukiatteru no ni Kataomoi จาก Berryz ซึ่งถ้าเราดูจากเซ็ตนี้จะสังเกตได้ชัดเจนถึง "ความโปร" ในการเต้นของทั้งสองวง ซึ่ง C-ute นั้นดูกระฉับกระเฉงและเต้นได้ออกรสชาติกว่ามาก ในขณะที่ Berryz นั้นดูเต้นกันแบบเด็กๆ ชิวๆ ออกแนวน่ารักเสียมากกว่า อีกอย่างที่สังเกตได้คือความเป็น Leader ที่เด่นชัดของไมมิ เวลาที่ C-ute ร้องและเต้น ไมมิจะฉายแววรัศมี Leader มาแรงมาก ในขณะที่ซากิในตำแหน่งกัปตันนั้นดูแล้วเหมือนหลบๆ อยู่ด้านหลังเสียมากกว่า อาจเป็นเพราะบทบาทของสมาชิกใน Berryz ค่อนข้างเฉลี่ยให้มีเท่ากันมากกว่าทาง C-ute ที่เน้นเฉพาะไมมิกับไอริก็เป็นได้

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/10af8_resize.jpg)

หลังจากจบเพลง Tsukiatteru no ni Kataomoi อินโทรของเพลงช้าสุดโปรดของผมก็ดังขึ้น Very Beauty สมาชิกของ Berryz เดินหันหลังจากเวทีไป เหลือแต่น้องคนที่อั๋นๆ  ::) คนนั้นแหละ นางเอชประจำวง Berryz รี่จังนั่นเอง ร้องโซโล่เพลง Very Beauty ไปได้ครึ่งเพลง นางเอชของวง C-ute ไอริจังก็ออกมารับช่วงต่อ และประสานเสียงกันในช่วงท้ายเพลง อย่าหาว่าผมลำเอียงเลยครับ ผมว่าไอริร้องได้เสียงนิ่งและเสียงดีกว่ารี่จังยิ่งนัก ต่อด้วยเพลง Bokura no Kagayaki ที่มีน้องยู จีจัง มาสะ จีซาโตะ และคันนะ ออกมาร่วมกันร้อง ซึ่งเซ็ตนี้ดูเหมือนเป็นเศษๆ ชอบกล แล้วก็ตามด้วยชุดสุดท้ายในเพลง Sayonara Hageshiki Koi คือคนที่เหลือที่ไม่ได้ออกในสองเพลงก่อนหน้านี้คือ บิ กัปตัน ซากิ(C-ute) โมโม ไมมิ และหนูไมไม ซึ่งเพลงนี้ก็ร้องและเต้นได้น่าประทับใจทุกคน กัปตันในเพลงนี้น่ารักไม่หยอกทีเดียว

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/09th7_resize.jpg)

จบเพลงแล้วก็ถึงคราวของอุเมดะ ออกมาเล่นตลกหรือไงไม่ทราบ เพราะฟังไม่ออก คนดูก็ตอบสนองอย่างดี แล้วเพื่อนๆ ก็มาช่วยอุเมดะร้องเพลง That's the POWER และอุเมดะก็ได้โซโล่เต็มๆ ไปทั้งเพลงใน Dodongadon Ondo ซึ่งออกเหมือนเป็นเพลงญี่ปุ่นโบราณ โดยมีเพื่อนๆ (และเด็กไข่) เดินและรำไปรอบๆ ฮอลล์ เพลงนี้นอกจากจะได้ดูเด็กไข่กันอย่างจุใจแล้ว ยังได้เห็นลุงโอตาคุที่นั่งอยู่บริเวณรอบๆ ฮอลล์อีกด้วย

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/07rc9_resize.jpg)

และแล้วก็ถึงเวลาของยูนิตเทพอย่าง Buono! มากับชุดดำสะท้อนแสง กับสองซิงเกิ้ลสุดฮิตอย่าง Honto no Jibun และ Renai Rider เพลงแรกมีเด็กไข่ 4 คนมาร่วมเ้ต้นรอบๆ ด้วย เพลงแรกรู้สึกจะสั้นๆ ยังไงชอบกล เข้าใจว่าตัดมา ใครที่ติดใจยูนิตนี้ ก็สามารถหาคอนเสิร์ตเต็มของ Buono! ที่ชื่อ Rock'n Buono! มาชมเพิ่มได้ อันนั้นเล่นกับวงดนตรีสดจริงๆ ด้วย ประโยคเดิมๆ ที่ผมจะพูดเกี่ยวกับเซ็ตนี้ คือ บิสวยมาก ไอริน่ารักมาก โดยเฉพาะฟันกระต่ายของไอริ ส่วนโมก็งั้นๆ (ลำเอียงชัดๆ)

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/06dz7_resize.jpg)

ต่อไปก็ถึงเวลาไมมิโชว์เดี่ยวกับเพลงของตัวเอง Natsu DOKI Lipstick โดยมีสองสาวซากิจาก Berryz และ C-ute มาคอยเต้นแบ๊คอัพให้ เพลงนี้ขอบอกว่าดุเดือดมาก ทั้งสองซากิโชว์การเต้นระดับเซียน ไมมิตอนแรกก็เต้นนิดหน่อยยืนร้องเฉยๆ พอถึงท่อนโซโล่ดนตรีไมมิก็โชว์สเต็ปซะ.... ทำเอาสองซากินี่กลายเป็นเด็กๆ ไปเลย คือต้องบอกว่าไมมินี่รัศมีแรงจริงๆ อย่างที่ผมบอกมาก่อนหน้านี้ เวลาดูเค้าถ่าย PB นี่เรียบร้อยเป็นกุลสตรีซะไม่มี แต่เวลาร้องเพลง/เต้นนี่คือว่าเทพมาก

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/05mo1_resize.jpg)

พอจบเพลง Natsu DOKI Lipstick ไมมิก็เรียกเพื่อนๆ ออกมา คราวนี้ใส่ชุดสีเงิน-ทองสะท้อนแสงกันทุกคน ดูแล้วออกแนวลิเก-งานวัดไปหน่อย อัดต่อกันด้วยเซ็ตที่เป็นเพลงมันส์ๆ จังหวะเร็วจี๋ล้วนๆ Massara Blue Jeans ซึ่งพอถึงช่วงหลังของเพลง Berryz ก็ออกมาแจมด้วย ต่อด้วยเพลงโปรดอีกเพลงของผมอย่าง Jiriri Kiteru แล้วก็ตามด้วย JUMP และ Yuujou Junjou oh Seishun เซ็ตนี้เต้นกันเหงื่อท่วมตัวกันแทบทุกคน คนที่เหงื่อท่วมตัวมากที่สุดคือไมมิ เพราะเต้นมาติดๆ 5 เพลงรวด คนที่เหงื่อน้อยที่สุดอาจจะเป็นรี่จัง เพราะดูเหมือนไม่ค่อยยอมเต้นยังไงก็ไม่รู้(อู้) อีกอย่างคือตั้งแต่เซ็ตนี้เป็นต้นไปคนจะเยอะมาก เพราะทั้ง Berryz และ C-ute ออกมาครบทั้งสองวง โอตาคุทั้งกระโดด ทั้งส่งเสียงอย่างเมามัน

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/04up1_resize.jpg)

หลังจากนั้นก็เข้าสู่เซ็ต ปญอ. ที่มีปีศาจออกมารุกราน และแล้วเหล่า Berryz Kamen ก็ต้องออกมาพิทักษ์ความยุติธรรม ก็ออกมาโชว์การแปลงร่าง และก็มีการเล่นจำอวดกันเล็กน้อย (ใครทนดูความ ปญอ. ของเซ็ตนี้ไม่ได้ก็กดข้ามไปก็ได้ครับ)
 
(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/02mg1_resize.jpg)

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/03ps5_resize.jpg)

แล้วเหล่า Berryz Kamen ก็ต่อสู้กับปีศาจร้าย ผลคือไม่สามารถเอาชนะได้ จึงต้องให้คนดูเรียก Cutie Ranger มาช่วย ก็มาเล่นจำอวดกันอีกซักรอบ และแล้ว Cutie Ranger ก็สู้ไม่ได้เหมือนเดิม ทั้งสองทีมจึงต้องรวมพลังกันเพื่อที่จะปราบปีศาจ ซึ่งก็คือมาร้องเพลง Warera! Berryz Kamen & Cutie Ranger ร่วมกันนั่นแหละครับ พอจบเพลงทั้งสองทีมก็ช่วยกันใช้ท่าไม้ตายกำจัดปีศาจร้ายได้สำเร็จ เสร็จแล้วก็มีช่วงทิ้งทายเป็น MC กล่าวอำลาและขอบคุณจากสมาชิกของทั้งสองวงทุกคน ก่อนจะปิดงานด้วย Sakura Chirari แล้วก็เดินบ๊ายบายโอตาคุีอีกประมาณ 5 นาทีรอบฮอล์ คอนเสิร์ตจึงเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์

(http://i237.photobucket.com/albums/ff55/basnaphon/BerryzC-ute/01mf9_resize.jpg)

คอนเสิร์ตนี้ถือเป็นคอนเสิร์ตที่คุ้มค่าจริงๆ สำหรับแฟนของทั้งสองวง หรือแฟนของวงๆ เดียวก็สามารถดูได้อย่างไม่ขัดเขิน เผลอๆ จะได้เป็นแฟนของอีกวงนึงไปด้วยอีกตะหาก ต้องบอกว่าโปรดักชั่นของคอนเสิร์ตนี้ค่อนข้างลงทุนจริงๆ ดูจากหลายๆ อย่าง ทั้งฮอลล์ เวที คนดู รวมถึงเอฟเฟคต์ต่างๆ ก็ใช้ได้ในระดับนึง เซ็ตลิสต์ก็วางไว้อย่างลงตัว มีการสลับไปมาระหว่างเพลงของ Berryz และ C-ute อยู่ตลอด รวมถึงการจับกลุ่มผสมระหว่างสมาชิกของสองวงจึงทำให้ดูกลมเกลียวกันมากขึ้น พระเอกของงานนี้ (ความจริงต้องเป็นนางเอก) หนีไม่พ้นไมมิ ที่ทั้งร้องทั้งเต้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนั้นเธอยังทุ่มเททั้่งกายและใจให้กับการแสดงอย่างมาก สังเกตจากแววตา่ก็พอจะเดาออกว่ามุ่งมั่นขนาดไหน ผิดกับตอนที่เํธอถ่าย PB ที่เป็นหญิงเรียบร้อย อ่อนหวานอย่างมาก คนอื่นๆ ที่ประทับใจก็คือบิที่สวยได้ตลอดเวลาจริงๆ ใครอยากลองของแปลก ลองหาดีวีดีคอนเสิร์ตแผ่นนี้มาชมดูนะครับ อาจจะรับได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ แต่นี่คือดีวีดีคอนเสิร์ตที่น่าดูและเพลินตาที่สุดในปี 2008 ของผมเลยครับ

ขอขอบคุณ - รูปภาพจากสเปซของคุณ loliconmoviemaker และ loveberryz.net แหล่งข้อมูลข่าวสารและไฟล์ทุกๆ อย่างของ H!P ครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ShadowServant ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2009 | 11:14:36 PM
^
^
ความรักทำได้ทุกอย่างจริง ๆ  8)


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ♫ phil_wc ♫ ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2009 | 11:23:49 PM
^
^
ความรักทำได้ทุกอย่างจริง ๆ  8)

กำลังรอคนแซวอยู่พอดีเลย 55


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: winston ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2009 | 11:08:41 AM
เขียนไว้ตั้งแต่พ.ย.นะครับ แต่อันดับก็ไม่เปลี่ยนมากมาย เว้นแค่ Chinese Democracy ที่คงเลื่อนเข้ามาท็อป5

20 Greatest Albums Of 2008

แม้ปี 2008 จะยังไม่จบลงดีนัก แต่10กว่าเดือนที่ผ่านมามันก็เต็มไปด้วยอัลบั้มแนวป๊อบและร็อคที่ยอดเยี่ยมมากมายไม่แพ้ปีก่อนๆ ถึงแม้ยอดขายซีดีจะตกต่ำลงเรื่อยๆ
แต่ก็ดูเหมือนมันจะไม่มีผลกระทบโดยตรงกับการทำงานของศิลปิน และนี่คือ 20 อัลบั้มที่ผมคัดเลือกด้วยความเห็นส่วนตัวว่ามัน “ยอดเยี่ยม” ที่สุดในรอบปีที่ผ่านมาครับ


20.Guns N’ Roses -Chinese Democracy 14 ปีที่รอคอย ถึงตอนที่ท่านผุ้อ่านอ่านอยู่อัลบั้มนี้คงออกมาแล้ว แต่ขณะที่เขียนอยู่นี้ผมเพิ่งได้ฟังแค่ไทเทิลแทร็คเพลงเดียว เมื่อนำไปผูกโยงกับเวอร์ชั่นเก่าๆที่เคยหลุดออกมาเป็นระยะทำให้ผมสรุปออกนอกหน้าและไร้เหตุผลรองรับว่ามันน่าจะเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปีนี้อีกแผ่น

19.Elvis Costello -Momofuku* คอสเทลโลค้นหาไฟในตัวเจออีกครั้ง ถ้าไม่นับเสียงร้องที่อาจจะไม่สดใสเหมือนวัยหนุ่ม นี่คือร็อคเรียบง่ายแต่เปี่ยมพลังเหมือนงานในยุคแรกของเขา โปรดพิสูจน์ฝีมือการเขียนเนื้อเพลงยังคงปราดเปรื่อง และฝีมือกีต้าร์ที่มักจะถูกมองข้าม

  18.Sheryl Crow -Detours* สาวแกร่ง Sheryl กลับไปร่วมงานกับโปรดิวเซอร์คนแรกที่ทำให้เธอโด่งดัง Bill Bottrell Detours เป็นอัลบั้มที่แฟนๆพร้อมจะอ้าแขนรับ มันเป็น classic Sheryl เสียงร้องหวานใส  และดนครีโฟล์คร็อคที่ไม่เคยแห้งแล้งเมโลดี้ แม้เนื้อหาจะหนักอึ้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวทางการเมือง, การเลิกร้างกับแฟนหนุ่ม แลนซ์ อาร์มสตรอง หรือสภาวะจิตใจของเธอขณะรอรับการฉายรังสีรักษามะเร็ง แต่ Crow ก็ยังทำเพลงออกมาได้น่าฟังเสมอ

17.Neil Diamond -Home Before Dark* การร่วมมือกันอีกครั้งของ Neil และ Rick Rubin ดนตรียังคงเป็นในแบบคล้ายที่ Rubin โปรดิวซ์ให้กับ Johnny Cash เน้นกีต้าร์โปร่ง ดนตรีน้อยชิ้น บทเพลงจริงจังตรงไปตรงมา  แตกต่างไปจากยุครุ่งเรืองของ Neil พอสมควร

16.Madonna -Hard Candy* ราชินีป๊อบทำอัลบั้มนี้ในแบบ play safe ปิดประตูล้มเหลว ด้วยการจ้างโปรดิวเซอร์ที่ทำงานติดตลาดที่สุด อย่าง Timberland และ Pharrell Williams และแขกรับเชิญงานชุกอย่าง Justin Timberlake มาเป็นหน้าเป็นตาให้ Hard Candy อีกทั้งดนตรีก็เป็นป๊อบสูตรสำเร็จที่คาดเดาได้ กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นงานคุณภาพที่เหนือชั้น เพียงแต่คงไม่มีความจีรังในความทรงจำของแฟนเพลงได้เท่างานเยี่ยมๆของเธอในอดีตอย่าง Ray Of Light หรือ Like A Prayer

15.She & Him- Volume 1* Zooey Deschannel เป็นหนึ่งในดาราหนังไม่กี่คนที่เป็นนักร้องได้อย่างเต็มตัว แถมเธอยังแต่งเพลงเองเสียอีก ‘him’ คือ M.Ward  มือกีต้าร์และโปรดิวเซอร์หนุ่มในทาง alternative country Volume One เต็มไปด้วยเพลงรักในแบบยุคคุณป้ายังสาว wall-of-sound แบบ Phil Spector และป๊อบสนุกแบบ Girl Group ที่โด่งดังในยุค 60’s

14.Kean -Perfect Symmetry* เลิกทำตัวเป็นทริโอเปียโนป๊อบไร้กีต้าร์ แต่หันไปเล่นซินธ์ป๊อบแบบ A-Ha และ Pet Shop Boys แถมใส่ดนตรีแน่นขนัด เสียงร้องของ Tom Chaplin ยังคงอิ่มเอิบเฉียบขาด และ Tim Rice-Oxley ก็ยังคงร่ายมนต์ผลิตเมโลดี้เร้าใจได้มากมายเหมือนเดิม

13.Mariah Carey -E=MC2 สมัยเธอดังขึ้นมาคู่กันมากับ Whitney Houston เราก็ติดตามอยู่ว่าใครจะคงกระพันกว่ากันระหว่างสองดีว่าดำ-ขาว แต่ในขณะที่ Whitney ติดยาหมดสภาพไปแล้ว เจ๊ม้าลายของเรายังอยู่ แม้ว่าจะเคยสติแตกหวิดฆ่าตัวตายไปเหมือนกันในยุคตกต่ำ
แต่เธอก็กลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อในอัลบั้มที่แล้ว The Emancipation Of Mimi อัลบั้มนี้ยังเดินรอยตามเดิมเป็นป๊อบที่กลมกลืนไปกับฮิปฮอปที่เธอโปรดมานานแล้วพร้อมแขกรับเชิญกระจาย เสียงกระบังลมหวีดหวิวของเธอก็ยังตามมาหลอกหลอนเป็นระยะๆ นี่เป็นงานที่ฟังได้เพลินๆและจับตลาดอเมริกันได้อยู่หมัดเหลือเกิน

12.Rolling Stones -Shine A Light ซาวนด์แทร็คจากหนังคอนเสิร์ตอีกเรื่องของสโตนส์จากการแสดงที่ Bacon Theatre ในปี 2006  ด้วยความที่เป็นสถานที่เล็กและต่อหน้าการกำกับของ Martin Scorsese ทำให้การแสดงของพวกเขาเข้มข้นและโฟกัสเป็นพิเศษ ผมได้ชมหนังเรื่องนี้ในการฉาย “กลางแปลง” ที่ Siam Paragon ในวันที่ 1 พ.ย. แม้สุ้มเสียงจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ต้องบอกว่าสนุกมากๆ มันจะเป็นอัลบั้มที่จะทำให้คุณกลับมาหลงรักร็อคแอนด์โรลอีกครั้ง

11.The Last Shadow Puppets -The Age Of Understatement โปรเจ็คเล่นๆของ Alex Turner แห่ง british punk pop ชื่อดัง Arctic Monkeys และ Miles Kane จาก The Rascals แต่ฟังแล้วโปรดักชั่นหรูหราไม่ใช่งานแก้เหงาธรรมดาๆเลย นอกจากน้ำเสียงของ Alex แล้วงานนี้แทบไม่มีอะไรเหมือน the Monkeys อิทธิพลสำคัญคือ symphonic pop ของ Scott Walker และ David Bowie ในยุคก่อนมีชื่อเสียง Alex Turner คือนักดนตรี-นักแต่งเพลงที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน เชื่อว่าอัลบั้มที่สามของ Arctic Monkeys ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

10.Slipknot -All Hope Is Gone* เมทัลหน้ากาก9หน่อจากไอโอวาหาจุดลงตัวของตลาดและความรุนแรงหนักหน่วงของดนตรีของพวกเขาพบในอัลบั้มที่ 4 ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำเพลงในระดับการทำลายล้างขนาดนี้ให้มีท่วงทำนองติดหูได้ด้วย

9. Randy Newman- Harps And Angles * ปลีกเวลาจากงานซาวนด์แทร็คมาทำงานเดี่ยวอีกครั้ง ไม่มีคำว่าฟอร์มตกสำหรับแรนดี้ นิวแมน เขายังทำดนตรีป๊อบที่มีสุ้มเสียงแบบนิวออร์ลีนส์บ้านเกิดได้น่าฟัง หลายเพลงโชว์ฝีมือการเขียนภาคออเคสตร้าราวกับเป็นซาวนด์แทร็คในบทเพลง

8.Ryan Adams and the Cardinals -Cardinology หลังจากเคยออกถึงสามอัลบั้มในปีเดียว ไรอันทิ้งช่วงห่างจาก Easy Tiger งานเดี่ยวของเขาไปถึง 1 ปี รายงานข่าวว่าเขาเอาชนะปัญหาเหล้ายาได้เด็ดขาด และ Cardinology ก็เป็นหนึ่งในงานยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยทำมา ไรอันคือส่วนผสมของแกรม พาร์สันส์ และนีล ยังก์ในวัยหนุ่ม และ Cardinology ก็ยังยืนยันในส่วนผสมนั้น มันคือ classic rock ในแบบที่คนหนุ่มยุคนี้หาใครมือถึงทำได้อย่างนี้แทบไม่มีอีกแล้ว

7.The Ting Tings -We Started Nothing ดูโอจากแมนเชสเตอร์คู่นี้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นวงติงต๊องตลกๆธรรมดา Katie White นักร้องและกีต้าร์ผมบลอนด์น่ารักน่าชังและมือกลอง Jules De Martino กลับทำเพลงออกมาได้อย่างน่าเกรงขาม? ลองฟัง That’s Not My Name ซิงเกิ้ลดัง หนึ่งในเพลงป๊อบที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งปีจากเพลงป๊อบพังค์ที่เหมือนจะเอาสนุกเข้าว่าแบบ Mickey ของ Toni Basilแต่ตอนจบกลับโชว์การ counterpoint กันถึง 4 elements!  ดนตรีของพวกเขานั้นคงจะ started nothing เหมือนกับที่ออกตัวไว้ แต่สิ่งที่เขาและเธอสานต่อนั้นก็เหลือเฟือแล้ว ได้แต่หวังว่าพวกเขาคงจะเป็น New Blondie มากกว่า New Knack ที่จอดแค่ป้ายแรก

6.B.B. King -One Kind Favor* ราชันย์แห่งบลูส์มาในสุ้มเสียงที่สดดิบที่สุดในรอบหลายปี จากการโปรดิวซ์ของ T-Bone Burnett วัย 83 ไม่เป็นปัญหาใดๆแก่คิงทั้งเสียงร้องและการเล่นกีต้าร์ Lucille ยังกรีดเสียงหวานเศร้าได้เหมือนหลายสิบปีที่ผ่านมา ปู่คิงล้อเล่นกับมรณะกาลของตนเองอย่างไม่ยี่หระใน See That My Grave Is Kept Clean และร่ายมนต์บลูส์ปลิดน้ำตาแฟนๆปิดท้ายด้วย Tomorrow Night นี่คืออัลบั้มที่จะเป็นตำนานบลูส์ในอนาคต

5.AC/DC -Black Ice หายไปหลายปี กลับมาครั้งนี้พวกเขาจับซาวนด์ในแบบ Back In Black ที่ทำให้วงเมทัลออสเตรเลียนนี้กลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีขายดีที่สุดตลอดกาลได้อีกครั้ง ทุกอย่างยังเป็นสูตรเดิมๆ ฮาร์ดร็อคจังหวะกลางๆที่ขายริฟฟ์มันส์ๆ เสียงร้องกรีดเค้น (แต่ในอัลบั้มนี้ Brian Johnson ในวัยนี้กรีดร้องน้อยลงแต่ใส่ความ soulful ที่ไม่ค่อยเคยได้ยินลงไปในเนื้อเสียงของเขาได้อย่างน่าฟัง) และเนื้อหาที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า ปัจจัย4ของร็อคแอนด์โรลล์ แต่คุณคิดว่าสูตรนี้ทำกันได้ง่ายๆหรือ และมีใครทำได้อย่างพวกเขาบ้างล่ะ?
 
4.Fleet Foxes -Fleet Foxes งานเปิดตัวของหนุ่มฮิปปี้หลงสมัย5คนจากซีแอตเติล มันเป็นอัลบั้มที่ฟังแล้วเหมือนบันทีกเสียงกันในหุบผาซอกหินหรือเทือกเขาลำเนาไพรอันซ่อนเร้นสักแห่งในอเมริกาแทนที่จะเป็นห้องบันทึกเสียงสมัยใหม่ พวกเขาเรียกดนตรีโฟล์คร็อคที่เน้นเสียงประสานโหยหวนของพวกเขาว่า “baroque harmonic pop jams” อาจจะเป็นงานที่ไม่ขายนัก แต่เรื่องคำวิจารณ์รับดาวไปหลายตะกร้าจากทุกสำนัก

3.Duffy -Rockferry สาวเวลช์ร่างเล็กที่โด่งดังมาก่อนจะออกอัลบั้ม และเสียงเธอก็สมคำร่ำลือจริงๆ การร้องของเธอคล้ายนักร้องรุ่นใหญ่หลายคนแต่ที่โดดเด่นออกมาคือสไตล์ของ Dusty Springfield และโทนเสียงจัดจ้านแบบ Cyndi Lauper   Bernard Butler อดีตมือกีต้าร์ Suede โปรดิวซ์อัลบั้มนี้ออกมาในแนวดนตรีป๊อบโซลยุค 60’s ในแบบที่เขาถนัด โดยส่วนตัวผมคิดว่าเธอมีเสียงร้องที่น่าทึ่งที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา อย่าแปลกใจว่าทำไมเธอถึงได้มาในอัลบั้มแรกอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ เพราะเบื้องหลังการทำงานใน Rockferry นั้นใช้เวลาย้อนกลับไปถึง 4 ปี จึงไม่ถูกนักถ้าจะเรียกเธอว่าเป็น New Amy Winehouse

2.Coldplay -Viva La Vida or Death and All His Friends Brian Eno ก้าวเข้ามารับบทโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้ แต่น่าจะเรียกเขาว่าเป็นผู้อำนวยการสร้างน่าจะเหมาะกว่า  ไม่มีอีกแล้วสำหรับเพลงอ้อนสาวอย่าง Fix You หรือ In My Place, Viva La Vida เต็มไปด้วยซาวนด์ที่ถักทอสอดประสานหลายซับทับซ้อน มันอาจจะไม่มีเพลงติดหูง่ายๆเหมือนสามอัลบั้มแรก แต่ในภาพรวมของอัลบั้มนี่คือการผจญภัยครั้งใหม่ที่พวกเขาไปใกล้ขอบฟ้ามากขึ้นทุกที เสียงร้องของ Martin ยังทรงเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ของวงเหมือนเดิม

1.Nick Cave and The Bad Seeds -Dig!!! Lazarus Dig!!!*

เจ้าพ่อ Gothic Rock วัยครึ่งศตวรรษ เครื่องติดตั้งแต่โปรเจ็กก่อนที่เขาทำกับวง Bad Seeds ชุดเล็กในชื่อ Grinderman, Dig!!! Lazarus Dig!!! ยังคงเต็มไปด้วยเพลงที่ว่าด้วยเรื่องต้องห้ามของเซ็กซ์ ศาสนา และความหายนะ ที่หาใครในโลกเขียนได้อย่างเข้มข้น(และบางทีก็ขำขัน)ได้เท่า Nick Cave ยาก ดนตรีขับเคลื่อนด้วยเบสอ้วนลึกและคีย์บอร์ดไหลลื่นในแบบ The Doors สมทบด้วยกีต้าร์ดิบร้อนฉ่า นี่คือร็อคที่ไร้กาลเวลาโดยสิ้นเชิง

 



หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: .. polotoon .. ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2009 | 11:19:23 AM
8.Ryan Adams and the Cardinals -Cardinology

ชื่อเหมือนอัลบั้มรวมเพลง ใช่่รวมเพลงไหมครับ  ::)


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: winston ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2009 | 01:36:45 PM
8.Ryan Adams and the Cardinals -Cardinology

ชื่อเหมือนอัลบั้มรวมเพลง ใช่่รวมเพลงไหมครับ  ::)

ไม่ใช่ครับ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ท่านผีเพลง ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2009 | 01:17:01 PM
(http://img243.imageshack.us/img243/5279/berryzdvdsd4.jpg)(http://img236.imageshack.us/img236/3403/cutedvdur0.jpg)

12. Nakayoshi Battle Concert Tour 2008 Haru ~Berryz Kamen vs Cutie Ranger~ - Berryz Koubou & C-ute

เมื่อ Yes และ Genesis แห่งวงการ J-Pop โคจรมาพบกัน


ขอพลัง L จงอยู่กับท่านตลอดไป

เอ่อ..ก็อปเพื่อพี่ด้วยแผ่นนึงคร้าฟ


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: kongbei ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2009 | 10:20:27 PM
ไปหางานของ Duffy มาฟังแล้ว ตอนแรกเริ่มสนใจจากการที่ McCartney เลือกเธอให้มาคัฟเวอร์เพลง Live And Let Die ในอัลบั้ม War Child Heroes และได้อ่านรีวิวของพี่หมอ winston เมื่อฟังแล้วเพราะทุกเพลงจริงๆ เพลงที่ชอบที่สุดคือแทร็คสุดท้าย Distant Dreamer ครับ ช่วงนี้ยิ่งเครียดๆอยู่พอดี เจอเพลงนี้โดนเลย


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: ♫ phil_wc ♫ ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2009 | 11:49:53 PM
http://i-phan.exteen.com/20080714/e-book
แนะนำโปรแกรมทำE-Book ครับ

เผื่อไว้มาทำ Thaiprog Fanzine #1 กัน


หัวข้อ: Re: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
เริ่มหัวข้อโดย: winston ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2009 | 07:42:30 AM
ไปหางานของ Duffy มาฟังแล้ว ตอนแรกเริ่มสนใจจากการที่ McCartney เลือกเธอให้มาคัฟเวอร์เพลง Live And Let Die ในอัลบั้ม War Child Heroes และได้อ่านรีวิวของพี่หมอ winston เมื่อฟังแล้วเพราะทุกเพลงจริงๆ เพลงที่ชอบที่สุดคือแทร็คสุดท้าย Distant Dreamer ครับ ช่วงนี้ยิ่งเครียดๆอยู่พอดี เจอเพลงนี้โดนเลย

เสียงเธอแจ๋นดีนะครับ :D