ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
การค้นหาขั้นสูง

149686 กระทู้ ใน 4435 หัวข้อ- โดย 847 สมาชิก - สมาชิกล่าสุด: axlrose

05 พฤษภาคม 2024 | 09:31:25 AM
Thai Progressive Rock CommunityThaiProgKeep Talkingกิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums
หน้า: 1 [2] 3 4
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: กิจกรรม : Thaiprogers Top 2008 Albums  (อ่าน 46239 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
panyarak
The Snow Goose
**********
กระทู้: 9716



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2008 | 06:24:37 AM »


เอ๊ะ!! ใครสอนพี่เค้าแปะรูปนะ
เอาไป 1+


ต้องขอบคุณ คุณ Polotoon ครับ
บันทึกการเข้า

panyarak
The Snow Goose
**********
กระทู้: 9716



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2008 | 08:55:52 AM »

ดูพี่ panyarak จะเป็นแฟนตัวยงเพลง cover เลยนะครับ  ยิ้มกว้างๆ

ที่ซื้อมามีสมหวังสัก 1% ได้ครับ
บันทึกการเข้า

อาโนลด์ เลนย์
Oxygene
********
กระทู้: 2539



ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2008 | 09:17:31 AM »


เอ๊ะ!! ใครสอนพี่เค้าแปะรูปนะ
เอาไป 1+


ต้องขอบคุณ คุณ Polotoon ครับ

+1
อย่างนี้พวกเราก็มีโอกาสได้ชมของสวยๆจาก คุณpanyarak แล้วครับ... ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
panyarak
The Snow Goose
**********
กระทู้: 9716



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2008 | 09:26:27 AM »


เอ๊ะ!! ใครสอนพี่เค้าแปะรูปนะ
เอาไป 1+


ต้องขอบคุณ คุณ Polotoon ครับ

+1
อย่างนี้พวกเราก็มีโอกาสได้ชมของสวยๆจาก คุณpanyarak แล้วครับ... ยิ้มกว้างๆ

แต่คุณ Polotoon ยังไม่ได้สอนวิธีใช้กล้องดิจิตอลกับการนำภาพที่ถ่ายเองมา upload ครับ
บันทึกการเข้า

.. polotoon ..
The Snow Goose
**********
กระทู้: 18602



ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 03 ธันวาคม 2008 | 01:01:45 PM »


เอ๊ะ!! ใครสอนพี่เค้าแปะรูปนะ
เอาไป 1+


ต้องขอบคุณ คุณ Polotoon ครับ

+1
อย่างนี้พวกเราก็มีโอกาสได้ชมของสวยๆจาก คุณpanyarak แล้วครับ... ยิ้มกว้างๆ

แต่คุณ Polotoon ยังไม่ได้สอนวิธีใช้กล้องดิจิตอลกับการนำภาพที่ถ่ายเองมา upload ครับ
คราวหน้าพบกัน พี่ช่วยนำกล้องติดตัวมาด้วยนะครับ  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า

♫ phil_wc ♫
Phi
Blade Runner
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 2083


นักดนตรีบ้าบอ

chupawicht@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: 04 ธันวาคม 2008 | 12:51:35 AM »

Top Non-Prog Album 2008
By phil_wc
   
   นานๆจะได้เขียนรีวิวทีนะครับ และผมเป็นคนที่ฟังเพลงไม่ค่อยเยอะด้วย เพิ่งมาฟังเยอะช่วงหลังๆนี่เองครับ(โหลดกระจาย) การจัดอันดับในครั้งนี้นั้นของผมส่วนใหญ่จะเป็นเพลงแนว Ambient, Electronic, new age และมีวงเพลงคันทรี่ผ่านเข้ารอบมาด้วยวงนึง การรีวิวครั้งนี้จะตามใจการฟังของผมนะครับ แล้วเลือกยากเสียด้วย เพราะเพลงเพราะๆออกมาเยอะมาก และรับรองรีวิว11วงต่อไปนี้จะไม่มีอัลบั้มเพลงที่หนวกหู (ไม่มีเพลงบ้าๆแบบที่ผมชอบฟัง) แน่นอนครับ เป็นเพลงที่ฟังสบายซะส่วนใหญ่ครับ พร้อมแล้วก็ไปชมกันเลย



1. Tipsy – Buzzz
   Genre : Acoustic/Downtempo/Lounge/Electronic
   วงนี้เป็นวงที่ผมนำขึ้นอันดับหนึ่งเพราะว่าเป็นเพลงที่ฟังสบายมาก บวกกับจังหวะสนุกๆแนวLounge ที่ให้ความรู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่ในบาร์ จิบไวน์ และคุยกันอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว อัลบั้มนี้จึงเป็นอัลบั้มที่ผมนำมาเปิดบ่อยที่สุดของปี2008  ตัวเพลงมีการใช้ซาวน์แบบเสียงกุ้งกิ้งหน่อย แบบเพลงจังหวะในบาร์(ไม่ใช่ผับนะ 0 . 0)  และมีจังหวะเป็นอิเล็กโทรนิก



2. Gaelic Strom - What's The Rumpus?
   Genre : Celtic, Irish, folk, Celtic rock, Irish folk
   นี่แหละครับ แนวที่ผมชอบมากๆเอาเสียด้วย ด้วยเพลงแนวคันทรี่พื้นบ้านของทางฝั่งไอริช ทำให้ผมอดหยุดดิ้น(เต้น)ไม่ได้ (จริงๆครับ เต้นหน้าคอม) เพราะเพลงมันสนุกมากเกินคำบรรยาย คล้ายๆกับเพลง Moonshine ใน Tubular bell II เลยด้วย เล่นด้วยกีต้าร์คลาสสิก กับพวกเครื่องเคาะ กลองหนัง และเขย่าไข่ (เรียกถูกรึเปล่า) พร้อมด้วยเสียงร้องแบบสนุกๆทำให้คุณลืมความทุกข์ได้ชั่วขณะเลยทีเดียว วงนี้ขอแนะนำ!!



3. Amethystium – Isabliss
   Genre : New Age
   เป็นอัลบั้มที่ให้ความรู้สึกสบายๆ ผ่อนคลายในแนวNew Age นะครับ เป็นNew Age แบบล่องลอยหน่อยๆ เพราะมากครับ เหมาะสำหรับฟังเวลาผ่อนคลาย อัลบั้มนี้ไม่รู้จะอธิบายอะไร (เอ่อ..ลองฟังในเพลงตัวอย่างดูนะครับ.)


4. Safri Duo – Origins
   Genre : World Music/Modern Classic/Instrumental/New Age
   เป็นวงที่เล่นได้ไพเราะมากครับ แบบแนวเพลงฟังสบายๆ วงนี้มีคนแต่งและเล่นแค่2คนมาจากประเทศเดนมาร์ค โดยเล่นพวกเครื่องเคาะ(Percussion) เองและมีหลายชิ้น และแต่งซาวน์เพิ่มด้วยSynthesizer เป็นเพลง New Age แบบฟังสบายๆอีกวงที่ผมชอบ ในบางเพลงจะมีการร้องประสานไปด้วยครับ


5. Loopa Scava Meets Cayetano – Up and Down
   Genre : Downtempo/Trip-Hop/Lo-Fi
   วงนี้เป็นวงใหม่ และเพิ่งออกอัลบั้มแรกครับ มีสมาชิกคนเดียว(แต่Feat.เยอะ) จากประเทศกรีกครับ ดนตรีจะเป็นแนวTrip-Hop ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายเพลงแรกของVietrio ของไทย โดยที่มีจังหวะพื้นเป็นซาวน์อิเล็กโทรนิกส์  แบบโยกๆ สนุกดีครับ


6. Library Tapes – A Summer Beneath the Threes
   Genre : Ambient/Modern Classical
   เป็นเพลงแนวแอมเบี้ยนโดยชาวสวีเดนคนเดียวนะครับ โดยเพลงในแต่ละเพลงส่วนใหญ่จะเล่นด้วยเปียโนเป็นธีมหลัก และซาวน์ลอยๆเป็นพื้นหลังบางเพลงมีเครื่องสายมาเล่นด้วยครับ เป็นวงที่เหมาะฟังก่อนนอนครับ ฟังทีทำให้หลับได้เลย เพราะเพลงช้าๆสบายๆครับ


7. Kirsty Hawkshaw – The Ice Castle
   Genre : Ambient/Meditative/Electronic
   มาถึงอัลบั้มนี้ เป็นอัลบั้มที่แต่งและร้อง(แต่อัลบั้มนี้ไม่มีร้องนะ)โดยผู้หญิงเพียงคนเดียวครับเป็นชาวอังกฤษ เป็นเพลงแนวแอมเบี้ยนฟังสบายอีกอัลบั้มหนึ่งเลย เพลงจะลอยกว่าอัลบั้มอื่นๆที่รีวิวมานะครับ อัลบั้มนี้ฟังก็ทำให้หลับได้เหมือนกัน แต่ฟังสบายเหมือนกัน


8. Telepath – Contact
   Genre : Downtempo/Dub/World/Breakbeat/Electronic
   อัลบั้มนี้จะคล้ายๆกับ Loopa Scava Meets Cayetano นะครับ มีสมาชิก3คนในวง ตัวอัลบั้มนี้เพลงจังหวะโยกสนุกครับ ซึ่งผมฟังทีก็จะโยกตามเพลงไปด้วย และมีจังหวะแขกๆอาหรับๆซึ่งแนวนี้เพลงก็เหมาะเข้ากับจังหวะสนุกๆของตัวเพลงได้อย่างดีเลยล่ะครับ



9. Miwon – A to B
   Genre : Electronic/IDM/Techno
   เป็นวงอิเล็คโทรนิกแอมเบี้ยนจากเยอร์มันครับ เล่นคนเดียว เพลงแนวผ่อนคลายครับ โดยมีความเป็นอิเล็กโทรนิคป๊อปผสมอยู่ เพลงที่ทำใช้ซินทิไซเซอร์ส่วนใหญ่ เป็นเพลงสบายๆที่เหมาะกับการฟังตอนพระอาทิตย์กำลังตกดินและจิบชาสบายๆครับ



10. John Zorn - Filmworks XIX The Rain Horse
   Genre : soundtrack\experimental
   จริงๆอัลบั้มนี้ก็เพราะมากครับ Filmworksของ John Zorn นี่เพราะทุกอัลบั้มครับ เป็นเพลงบรรเลงช้าๆหลากหลายอารมณ์ แนวๆคลาสสิก ผมอยากจะจัดในอันดับที่ดีกว่านี้ด้วย แต่มันจัดยากแฮะ ถ้ามีอันดับซ้ำๆกันกันได้ คงจะจัดได้หลายแล้วล่ะครับ แต่ถ้าเกิดคุณเผลอไปฟังอัลบั้มอื่นของJohn Zorn เข้าโดยอัลบั้มนั้นมีแนวเขียนกำกับว่าAvantgardeนั้น(บางอัลบั้ม) คุณจะได้ฟังเพลงของเขาแบบบ้าๆโดยที่ไม่ค่อยจะได้ฟังที่ไหนบนโลกครับ



11. Dan Wilson - Free Life
       Genre: Piano/Acoustic/Folk-Rock
       ขอยัดเข้าไปอีกอัลบัมละกันนะครับ ผมชอบอัลบัมนี้เอาเสียมากๆ เป็นเพลงโฟล์กร็อกเพราะๆมีเนื้อเพลงฟังสบายหูให้ความรู้สึกเหมือนกับGlen Hansard อีกคนเลย คือฟังแล้วโดน สบายหูจริงๆครับ เรียกได้ว่าผมติดอัลบัมนี้มากๆ


ผมก็ขอจบtop 11 ในดวงใจแต่เพียงเท่านี้ครับ อาจจะรีวิวไม่ค่อยดีมาก เพราะวงที่ผมฟังในนี้เป็นวงที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็มาโหลดฟังนี่แหละจึงรู้จัก

ฟังเพลงตัวอย่างได้ที่นี่เลยครับ อัพไว้ให้แล้วครับ http://phil-wc.exteen.com/20081213/top-album-of-2008 (จะอัพโหลดพร้อมกับอัลบัมที่รีวิว)
จบแล้วครับ

ปล.ยังไม่ได้ฟังEnya เดี๋ยวถ้าฟังแล้วฃอบอาจจะยัดเข้ามาอีกอัลบัมก็เป็นได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 มกราคม 2009 | 01:42:12 PM โดย phil_wc » บันทึกการเข้า

Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #21 เมื่อ: 05 ธันวาคม 2008 | 11:33:53 AM »



11. สมรสและภาระ - อพาร์ตเมนต์คุณป้า

เมื่อวงการเพลงไทยยังมีหวัง.......


ในช่วงปีที่ผ่านมามีอัลบั้มเพลงไทยใหม่ๆ ผ่านเข้าหูผมมาไม่มาก โดยส่วนตัวก็ไม่เคยคิดจะขวนขวายไปหาผลงานจากศิลปินแปลกๆ มาฟังซักเท่าไหร่ เว้นแต่ว่าจะเป็นอัลบั้มของศิิลปินที่ผมสนใจเป็นพิเศษอยู่แล้วจริงๆ อย่างวงอพาร์ตเมนต์คุณป้าที่ผมติดใจจากปีที่แล้วด้วยอัลบั้ม Romantic Comedy ติดใจจนต้องตามไปหาฟังอัลบั้มก่อนๆ ของพวกเขาเสียด้วย ผมไม่เคยฟังเพลงไทยที่มีซาวน์และเอกลักษณ์ดีขนาดนี้มาก่อน ดนตรีมีเอกภาพ เนื้อหาคมคายทั้งในเชิงความหมายและเชิงวรรณศิลป์ เสียงกีตาร์วินเทจเนื้อๆ ที่คงหาฟังได้ยากสำหรับดนตรีในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าหลังจากที่ "ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ" ถูกแกรมมี่นำไปคัฟเวอร์ อพาร์ตเมนต์คุณป้าคงมีฐานแฟนเพลงเพิ่มขึ้นมาอยู่พอสมควร เพลงนี้ยอดเยี่ยมขนาดไหนผมคงไม่ต้องสาธยาย แค่สัมผัสคล้องจองในท่อนฮุคก็ชวนให้นึกถึงเพลง Like A Rolling Stone ของ Bob Dylan ได้ทันที ที่มีการเล่นคำคล้องจองในทุกๆ ประโยคต่อกันเป็นชุดๆ ได้ขนาดนั้น

สมรสและภาระ เป็นอัลบั้มที่อพาร์ตเมนต์คุณป้าลดความดุเด็ดเผ็ดมันส์ลงมาจากอัลบั้มก่อนๆ พอสมควร เราจะไม่ได้เห็นเพลงร็อคสับคอร์ดมันส์ๆ เดินเบสดุ่มๆ อย่าง โทรธิปไตย หรือ ผลิตภัณฑ์นี้รับประกันร้อยปี แต่จะถูกแทนที่ด้วยเพลงจังหวะกลางๆ ดนตรีเอื่อยๆ เรื่อยๆ แทนเสียมากกว่า สิ่งที่ยังไม่เคยหายไปก็คือเสียงกีตาร์วินเทจเนื้อๆ และเนื้อหาอันสุดแสนจะคมคาย สะื้ท้อนวัฒนธรรมและสังคมอันผิดเพี้ยนในปัจจุบัน แค่เพลงเปิดอัลบั้ม "ดึกแล้วคุณขา" เนื้อเพลงก็โดนเสียแล้ว "อุดมการณ์ คือ สงครามแห่งเหตุผล เด็กน้อยลืมตาร้องไห้เพื่อการดิ้นรน ความสุขคงหายไปจากใจคน" "ลิปสติกบนลิปสติก" ซิงเกิ้ลที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ มาในเวอร์ชั่นมิกซ์ใหม่ที่สมดุลมากขึ้น เสียงไควร์นักร้องสาวในแบบกอสเปลโดดเด่นเสียจนอยากจะฟังเพลงนี้ในแบบที่มีเสียงไควร์อย่างเดียว เสียงกีตาร์มาถูกที่ถูกเวลาและลงตัวเป็นอย่างยิ่ง ออร์แกนช่วยเสริมบรรยายกาศได้อย่างดี คำร้องก็เต็มไปด้วยสัมผัสวรรณศิลป์และการใช้สัญลักษณ์มากมาย ถือเป็นเพลงบัลลาดชั้นเยี่ยมกันเลยทีเดียว "เป็นไปได้ไง" เสียดสีการเมืองไทยได้อย่างยียวน ฟังแล้วแทบอดขำเล็กๆ ไม่ได้ "Backstage Love" เป็นเพลงร็อคเด่นด้วยริฟฟ์กีตาร์ กรู๊ฟชัดเจน เนื้อร้องเหมือนไหลไปได้เรื่อยๆ ฟังแล้วเพลินหูดีเหลือเกิน "สมรสและภาระ" ไตเติ้่ลแทร็คที่ตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นของบลูส์ พี่บอลเล่นกีตาร์ได้ฟีลของความเป็น Tele ได้ดีเหลือเกิน เนื้อหาช่างโดนใจและน่าคิด ชวนให้ไม่อยากแต่งงานทันทีหลังจากฟังเพลงนี้ แถมด้วยประโยคที่ผมชอบที่สุดในอัลบั้มนี้ "ต้องใช้เิงินแบบไทยส่งลูกเข้าเรียนอินเตอร์ เพื่อจะได้เจอแต่ฝรั่ง … ที่ เดิ้น กว่า พ่อ มัน" เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้กับชีวิตของครอบครัวสมัยใหม่ ที่ต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนอินเตอร์ให้ได้ ไม่รู้เป็นอะไรกัน "ปรากฎการณ์" เป็นเพลงช้าที่โดดเด่นด้วยเสียงสไลด์กีตาร์ ได้บรรยากาศร็อคยุค 70's

หลายๆ คนอาจชื่นชมกับทิงนองนอยของ Modern Dog เคียงคู่ไปกับอัลบั้มนี้ แต่สำหรับผม "สมรสและภาระ" ดูจะเข้าหูผมมากกว่า ซาวน์ได้ใจมากกว่า ที่สำคัญคือเนื้อหาที่คมคายเกินกว่าเพลงไทยธรรมดาทั่วไปในตลาดอย่างมาก และนี่คืออัลบั้มเพลงไทยชุดเดียวที่ผมเลือกให้เป็น 1 ใน 20 ของ Top 2008 Albums ของผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 มกราคม 2009 | 03:28:04 PM โดย Agent Fox Mulder » บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
Fog
Blade Runner
*******
เพศ: ชาย
กระทู้: 2071



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #22 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2008 | 11:50:23 AM »

ทำเสร็จนะขอรับ ว่างๆเชิญชมได้ที่ http://inner.exteen.com
บันทึกการเข้า

Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #23 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2008 | 08:59:47 PM »

Agent Fox Mulder's Top 2008 10 Blues Albums/DVDs



1. One King Favor - B.B. King

เมื่อปี 2007 โปรดิวเซอร์ระดับกูรู T-Bone Burnett ทำผมอินกันแบบข้ามปีกับอัลบั้ม Raising Sand ผลงานร่วมระหว่าง Alison Krauss และ Robert Plant ที่ทีโบนร่ายมนต์มหัศจรรย์ลงบนการเรียบเรียง ซาวน์ และบทเพลงในอัลบั้มนั้นให้กลายเป็นสิ่งที่สเน่ห์น่าหลงไหลที่ผมอินได้มาข้ามปี จนถึงตอนนี้ต้นปี 2009 แล้วผมยังเปิดอัลบั้ม Raising Sand ฟังอยู่ทุกอาทิตย์เลยครับ ปี 2008 นายทีโบนก็ไม่พลาดที่จะโปรดิวซ์อัลบั้มของปู่ทวด B.B. King ให้กลายเป็นอัลบั้มชั้นยอดอีกชุด One King Favor เป็นอัลบั้มชั้นยอดของปู่บีบีที่ดีที่สุดในยุคหลังๆ ถึงขนาดนิตยสาร Rolling Stone ชมว่า "This isn't just B.B. King's best album in years, it's one of the strongest studio sets of his career, standing alongside classics such as Singin' the Blues and Lucille." อย่างนี้ย่อมเป็นเครื่องการันตีได้ว่ายอดเยี่ยมจริงๆ งานนี้ปู่บีบีใช้บริการจากมือปืนรับจ้างฝีมือระดับพระกาฬล้วนๆ Dr. John ในตำแหน่งเปียโน Nathan East (จาก Fourplay และ Eric Clapton) ในตำแหน่งเบส และ Jim Keltner ในตำแหน่งกลอง กับบทเพลงบลูส์คลาสสิคชั้นดี การสร้างซาวน์ "ขลัง" ตามแบบฉบับของ T-Bone Burnett กีตาร์บลูส์ระดับตำนานจากฝีมือของปลายนิ้วของปู่บีบี ซาวน์กีตาร์ในอัลบั้มนี้ฟังดูออกไปทางคลีนใสสะอาด และฟังดูเก๋าๆ เสียงไวบราโตจากกีตาร์ Lucille ที่เป็นเอกลักษณ์ กับเสียงร้องของนักร้องบลูส์ระดับตำนาน ทำให้อัลบั้มนี้กลายเป็นสตูดิโออัลบั้มในยุคหลังที่อยู่ในระดับมาสเตอร์พีซของ B.B. King นี่อาจจะเป็นงานที่ดีที่สุดชุดสุดท้ายของปู่บีบีก็เป็นได้นะครับ



2. Two Men With The Blues - Willie Nelson and Wynton Marsalis

นานๆ ทีจะได้ฟังเพลงบลูส์ที่มีรสชาติที่แตกต่างจากเพลงบลูส์ทั่วไปที่ฟังจนชินชา Two Men With The Blues เป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดของสองศิลปินรุ่นใหญ่ Willie Nelson ตำนานคันทรีโฟล์คเวสเทิร์นจ๋า กับ Wynton Marsalis มือทรัมเป็ตชาวอเมริกันซึ่งผมเองก็เพิ่งได้ยินชื่อเหมือนกัน ที่มาร่วมกันเล่นแสดงสดที่ Lincoln Center ในนิวยอร์ค เมื่อต้นปี 2007 โน่นแน่ะ แต่ตัวอัลบั้มเพิ่งออกมาในช่วงกลางปี 2008 นี้เอง ภาพรวมของอัลบั้ม Two Men With The Blues คือดนตรีลูกผสมหลากหลาย ทั้งบลูส์ แจ๊ส คันทรี ในบรรยากาศเสมือนอยู่ในคลับบรรยากาศดีๆ ซักแห่งนึง สิ่งที่น่าสนใจคือเพลงบลูส์หลายๆ เพลงที่ถูกนำมาเล่นในแบบของสแตนดาร์ดแจ๊ส โซโล่เครื่องเป่ากันอย่างเต็มที่ เบสก็เป็นดับเบิลเบส เสียงอุ่นๆ เปียโนแจ๊สจ๋าๆ ผสมกับเสียงกีตาร์สายเอ็นและเสียงร้องเก๋าๆ ของ Willie Nelson สำหรับคนกีตาร์บลูส์ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้หาบลูส์ในรสชาติที่แปลกใหม่และแตกต่างจากรสชาติเดิมๆ ที่คุณเคยฟัง มาเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง รับรองว่าแทบจะสำลักเครื่องเป่ากันเลยทีเดียวครับ เพราะมีให้ฟังกันอย่างเต็มอิ่มจริงๆ



3. Where The Light Is : Live In Los Angeles - John Mayer

อัลบั้มไลฟ์กับดีวีดีของมือกีตาร์บลูส์หนุ่มสุดหล่ออันดับสองของโลก (มือกีตาร์บลูส์หนุ่มสุดหล่ออันดับหนึ่งของโลกคือ Agent Fox Mulder หมายถึงนับอันดับจากความหล่ออย่างเดียวนะ ไม่ได้ันับเรื่องฝีมือกีตาร์) จอห์น เมเยอร์ถือเป็นมือกีตาร์คนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้มีกีตาร์ Fender Signature กับทาง Fender ในปัจจุบัน สิ่งนี้น่าจะเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนว่าเขาคือตัวจริง ไม่ได้มาแล้วก็จากไปในเวลาอันรวดเร็วเหมือนกับศิลปินหน้าใหม่รายอื่นๆ ผมมองว่าจอห์นก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วมาก ใช้เวลาไม่ถึง 5 ปี ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นระดับแถวหน้าๆ ของวงการได้ ในยุคแรกๆ ผมมองว่าเค้าเดินตามรอยของ SRV มาตลอดในเรื่องของการเล่นกีตาร์ แต่หลังๆ ก็เริ่มเห็นแล้วว่าเขามีสไตล์เป็นของตัวเองที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และยังคงพัฒนาฝีมือได้ดี อัลบั้มไลฟ์และดีวีดีชุดนี้แบ่งออกเป็นสามเซ็ท เซ็ทแรกคืออคูสติกที่จอห์นนั่งกีตาร์อคูสติกกับมือกีตาร์อีกคนนึง พร้อมเล่นและร้องอย่างเรียบง่าย เซ็ทที่สองคือ John Mayer Trio ที่จอห์นเคยออกอัลบั้มไลฟ์ในนามวงนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง  กลับมาคราวนี้ต้องถือว่าเป็นท็อปฟอร์มของวงแล้วครับ โดยเฉพาะ Steve Jordan ที่หวดไม้กลองได้เมามันส์และโฉ่งฉ่างมาก ส่วนเซ็ทที่สามเป็นการเล่นกับแบ๊คอัพเต็มวง สำหรับผมแล้วไฮไลท์ของอัลบั้มชุดนี้คือเซ็ทที่เป็น Trio เพอฟอร์มแมนซ์ของทั้งวงเยี่ยมยอดไร้ที่ติ เปิดด้วยเพลงบลูส์เก่าระดับขึ้นหิ้ง Everyday I Have The Blues ที่ B.B. King เคยใช้เป็นเพลงเปิดอัลบั้มไลฟ์ระดับตำนานอย่าง Live At The Regal ตามติดด้วย Wait Until Tomorrow เพลงคัฟเวอร์ของเฮนดริกซ์ที่มาจากอัลบั้ม Axis: Bold As Love เสียงกีตาร์โซโล่ของจอห์นฟังแล้วแทบขนลุึก เพราะเราจะได้ยินวิญญาณของเฮนดริกซ์อยู่ในนั้น โดยเฉพาะเอฟเฟคต์ Uni-Vibe ที่ฟังแล้วอดคิดถึงเสียงกีตาร์ของเฮนดริกซ์ในอัลบั้ม Band of Gypsys เสียไม่ได้ หรือจะเป็นสโลว์บลูส์คีย์ D อย่าง Out Of My Mind ก็กลมกล่อมเสียจริงๆ ปิดท้ายเซ็ทนี้ด้วย Bold As Love งานคัฟเวอร์ระดับขึ้นหิ้ง ใครที่ชมในรูปแบบของดีวีดีจะได้เห็นทั้งวงใส่สูทกันหล่อๆ อีกด้วย จากแฟนพันธุ์ทางของจอห์น เมเยอร์ ทำให้ผมกลายมาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของจอห์นไปแล้วครับ นี่คืออัลบั้มไลฟ์และดีวีดีจากฝีมือของมือกีตาร์บลูส์ร่วมสมัยที่น่าจับตามองที่สุดในวงการขณะนี้ครับ



4. Live from Nowhere in Particular - Joe Bonamassa

พูดถึงคนนี้ หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จัก ความจริงแล้วสถานภาพของเ้ค้าคล้ายๆ กับ John Mayer มากเลย คือเป็นมือกีตาร์บลูส์ลูกผสมดาวรุ่งพุ่งแรงที่ยังอายุไม่มากเหมือนกัน ฝีมือก็อยู่ในอันดับต้นๆ เหมือนกัน มีความเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวที่โดดเด่นทั้งคู่ แต่สิ่งที่ต่างกันคือ โจ โบนามอสซาจะออกไปทางฮาร์ดร็อคมากกว่า และเล่นกีตาร์ Les Paul Standard ซาวน์ฮาร์ดร็อคเป็นหลัก ในขณะที่จอห์น เมเยอร์์ เล่นกีตาร์ Stratocaster และมีความเป็นป๊อบสูงกว่าเยอะ ที่สำคัญหน้าตาดีกว่ามาก ด้วยปัจจัยสองอย่างนี้ทั้งในด้านของความเป็นป๊อบและหน้าตาอันหล่อเหลา จึงทำให้จอห์น เมเยอร์ดังกระโดดไปไกลจนไม่เห็นฝุ่น อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มไลฟ์ชุดแรกของโจ ภาพรวมของอัลบั้มเป็นดนตรีฮาร์ดร็อคบลูส์ที่โดดเด่นด้วยเสียงกีตาร์ดุเด็ด เผ็ดมันส์สไตล์ Les Paul ซาวน์และการเล่นของโจให้อารมณ์ประมาณ แคลปตันยุค BEANO ผสมแกรี่ มัวร์นิดๆ บวกกับจิมมี่ เพจอีกซักหน่อย แต่มีความโมเดิร์นผสมอยู่ด้วยมากพอดู (โจมีกีตาร์ Les Paul รุ่น Signature ของตัวเองที่ออกกับ Gibson เช่นเดียวกับจอห์น เมเยอร์เช่นกันครับ) นอกจากอิเล็กทริกเซ็ทแล้วก็ยังมีอคูสติกเซ็ทให้ฟังกันอีกในช่วงต้นของซีดีแผ่นที่สองอีกด้วย แถมบางเพลงยังมีแอบใส่บางท่อนของเพลง Dazed And Confused ของ Zeppelin ไปผสมอีกต่างหาก ใครที่ชอบซาวน์กีตาร์ Les Paul บลูส์ร็อคแบบดุๆ มันส์ๆ ควรหาอัลบั้มไลฟ์ชุดนี้มาฟังอย่างยิ่งครับ เสียงกีตาร์ฟังมันส์และสนุกมาก ฟังแล้วได้อารมณ์จริงๆ ครับ



5. Mess of Blues - Jeff Healey

อัลบั้มรวมเพลงบลูส์จากมือกีตาร์ตาบอดผู้ล่วงลับ เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และฝีมืออันน่าทึ่ง อัลบั้มรวมเพลงชุดนี้รวมเพลงคัฟเวอร์บลูส์จากทั้งเวอร์ชั่นที่เป็นไลฟ์ที่บันทึกเสียงในคลับแบบสดๆ และบันทึกเสียงในสตูดิโออีกส่วนหนึ่งเข้าด้วยกัน แต่โทนโดยรวมของอัลบั้มต้องบอกว่ากลมกลืนและมีความสดของเพอร์ฟอร์มแมนซ์อย่างเต็มเปี่่ยม เพลงส่วนใหญ่ที่เลือกมาคัฟเวอร์ในอัลบั้มก็เป็นเพลงที่ชาวบลูส์ทุกคนคงจะรู้จักคุ้นหูกันเป็นอย่างดี เช่น I'm Tore Down ของ Freddie King ที่แคลปตันเคยนำมาคัฟเวอร์ในอัลบั้ม From The Cradle, How Blue Can You Get ของ B.B. King, เพลงเด่นของ Holin' Wolf อย่าง Sittin' On Top Of The World ก็ไม่พลาด รวมถึงเพลงที่ "ไม่บลูส์" แต่นำมาปรุงแต่งด้วยฟีลบลูส์ได้อย่างน่าฟัง เช่น Jambalaya ของ Carpenters หรือจะเป็นเพลงเก่งของ Neil Young อย่าง Like A Hurricane นี่คืออัลบั้มทิ้งทวนชุดสุดท้ายของ Jeff Healey ที่สมศักดิ์ศรีและเปี่ยมไปด้วยความสดและความเป็นธรรมชาติของเพอฟอร์มแมนซ์อย่างไร้ที่ติ



6. Skin Deep - Buddy Guy

เมื่อก่อนผมไม่ชอบ Buddy Guy เลยสิครับ มีความรู้สึกว่าพี่แกเหมือนเล่นมั่วๆ ตามใจตัวเองยังไงชอบกล ดูไม่ละเมียดละไมกับการเล่นกีตาร์เอาเสียเลย บางทีโซโล่อยู่ก็เหมือนหยุดลงไปดื้อๆ เสียอย่างนั้น ร้องเพลงก็เหมือนกับตามอารมณ์ตัวเองมาก พอฟังนานๆ เข้าถึงเพิ่งเริ่มรู้ว่า เนี่ยแหละคือสเน่ห์ของลุงเค้าล่ะ ความจริงต้องถือว่า Buddy Guy เป็นมือกีตาร์บลูส์ที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ดนตรีบลูส์คนหนึ่ง และเป็นมือกีตาร์บลูส์ยุคแรกๆ ที่นำกีตาร์ Stratocaster มาใช้กับดนตรีบลูส์ ซึ่งต่างจากมือกีตาร์ไฟฟ้าบลูส์ส่วนใหญ่ในสมัยแรกเริ่ม ที่มักจะใช้พวก Gibson Semi-Hollow เล่นกันเสียมากกว่า แล้ว Buddy Guy ก็เป็นคนที่เล่นบลูส์ด้วย Stratocaster ได้สำเนียงเผ็ดร้อนและดุดันมากๆ คนหนึ่ง อัลบั้มชุดนี้ผมตั้งใจฟังมากกว่า Bring 'Em In อัลบั้มก่อนหน้าที่ออกในปี 2005 อยู่มากพอสมควร ทำให้เก็บรายละเอียดได้เยอะกว่าชุดนั้นซึ่งฟังผ่านๆ ภาพรวมของอัลบั้มเป็นบลูส์ที่ดิบเผ็ดและดิบพอสมควร แน่นอนว่ามีแขกรับเชิญมาร่วมมากมาย เช่น น้าดิเรกกับป้าซูซาน, Robert Randolph และแคลปตันก็มาแจมหนึ่งเ้พลงด้วย เป็นอัลบั้มบลูส์ชั้นดีจากศิลปินระดับปูชนียบุคคลที่ไม่น่าพลาดครับ



7. Bad for You Baby - Gary Moore

ถ้าพูดถึงต้นตำหรับเพลงบลูส์ร็อคสไตล์จิ๊กโก๋อกหัก ต้องคนนี้เลย แกรี่ มัวร์ ถึงแม้ว่าหลังๆ พี่แกจะออกอัลบั้มมาถี่มากเลย คือออกได้ทุกปี แต่ส่วนใหญ่ก็มีมาตรฐานที่โอเค ไม่ได้เลวร้ายอะไร สันนิฐฐานว่าคงมีฐานแฟนเพลงที่เหนียวแน่่นพอสมควร ถึงทำได้ขนาดนี้ อัลบั้มใหม่นี้ปกสวยงามมาก รูปเท่ห์ชะมัด แม้จะดูเว่อร์ๆ ไปนิดก็ไม่เป็นไร ภาพรวมของอัลบั้มยังเป็นเพลงบลูส์ร็อคผสมผสานกับฮาร์ดร็อค ที่เน้นขายเสียงกีตาร์สำเนียง Gibson Les Paul ปี 1959 มันทั้งหวาน ดุดัน เศร้า ดิบ และเซ็กซี่ได้ในเวลาเดียวกัน ที่น่าสนใจในอัลบั้มนี้คือมีเพลงบลูส์ช้าๆ ที่ยาวถึง 9-10 นาที อยู่ด้วยกันถึงสองเพลงคือ I Love You More Than You'll Ever Know เพลงเก่าของ Blood, Sweat & Tears ที่ถูกขยายให้ยาวกลายเป็นถึงสิบนาทีครึ่ง โซโล่ได้ยาวเหยียดเต็มที่ และ Trouble Ain't Far Behind สโลว์บลูส์สไตล์ปีเตอร์ กรีนที่อาจดูอืดๆ เชยๆ ไปนิดนึง แต่ก็หาฟังอะไรแบบนี้ยากแล้วในปัจจุบัน ส่วนเพลงอื่นๆ เป็นบลูส์ร็อคผสมฮาร์ดร็อคดิบๆ ขายเสียงกีตาร์แผดๆ เผ็ดๆ ตามสไตล์ของแกรี่ มัวร์ เอาเป็นว่าใครชอบเสียงกีตาร์ Gibson Les Paul รุ่นปีเก่า ชอบเสียงแอมป์มาแชลแบบแท้ๆ และชอบบลูส์แบบหวานๆ ปนเซ็กซี่ ลองหาอัลบั้มชุดนี้มาฟังครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน



8. Performing This Week...Live At Ronnie Scotts - Jeff Beck

ถ้าพูดถึงงานแสดงสดของ Jeff Beck แล้วล่ะก็ ขึ้นชื่อว่าหาฟังและหาชมกันได้ยากจริงๆ เนื่องจากเจฟฟ์ไม่เคยออกดีวีดีแสดงสดแบบเป็นทางการออกมาเลย แถมอัลบั้มไลฟ์ก็เป็น Official Bootleg ที่ตามหากันยากพอสมควร ส่วนนึงอาจเป็นเพราะเจฟฟ์มีกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ค่อนข้างน้อย มีแต่แฟนพันธุ์ทางค่อนข้างเยอะ แถมการแสดงสดของเจฟฟ์ก็ฟังยากเอาการ เนื่องจากเน้นการอิมโพรไวส์เป็นหลัก ช่วงก่อนหน้านี้มีดีวีดี Crossroads Festival 2007 ที่เจฟฟ์ไปร่วมเล่นด้วยออกมา เพอร์ฟอร์มแมนซ์ในวันนั้นเข้าขั้นสุดยอดมาก แต่พอทำออกมาอยู่ในดีวีดีกลับเหลือแค่สองเพลง เพราะต้องแบ่งโควตาพื้นที่ไปให้ศิืลปินคนอื่นๆ ในงานด้วย หลายคนชมดีวีดีแล้วก็ติดใจฝีมือของเจฟฟ์และวงมาก อัลบั้มแสดงสดชุดนี้เลยสามารถตอบข้อเรียกร้องของหลายๆ คนได้ดี เป็นการแสดงสดที่คลับของ Ronnie Scotts ในลอนดอน เมื่อช่วงปลายปี 2007 ซึ่งความจริงตัวอัลบั้มนี้ก็เป็นการตัดเพลงมาจากฟุตเตจวีดีโอที่ออกอากาศทางทีวีมาอีกที แขกก็เจ๋งๆ ทั้งนั้น อย่าง Joss Stone มาร้องเพลง People Get Ready ในสไตล์โซลได้อารมณ์ยิ่งนัก แปลกใจที่พอร้องจบเพลงอยู่ๆ ก็เดินลงจากเวทีไปทันทีเลย จะรีบไปไหนกันเนี่ย เจฟฟ์จะเรียกคนดูให้ปรบมือให้ก็เลยเก้อไปเลย Imogen Heap เธอคือใครผมไม่รู้จัก และจำไม่ได้ด้วยว่าร้องเพลงอะไร ส่วนแขกคนสุดท้ายนี่คือแคลปตันนั่นเอง มา้ร้องเพลง You Need Love และร่วมโซโล่ด้วย นอกจากนี้ยังมี "คนพิเศษ" ซ่อนอยู่ในกลุ่มผู้ชมอีกสองคนด้วย เป็นใครลองไปดูกันเอาเองนะครับ ผมแนะนำว่าให้หาวีดีโอมาดูจะดีกว่า เพราะว่าตัวอัลบั้มไลฟ์ชุดนี้ช่วงที่เป็นแขกรับเชิญถูกตัดออกไปหมด เหลือแต่เพลงบรรเลงของเจฟฟ์ล้วนๆ เต็มอัลบั้ม ซึ่งฟังแล้วอาจเกิดอาการเลี่ยนเอาได้


9. From the Reach - Sonny Landreth

เอาอีกแล้วกับอัลบั้มประเภท "เชิญแขก" ที่เชิญแขกระดับบิ๊กๆ มาช่วยกันแจมกันอุดตลุด สำหรับ From the Reach ชุดนี้ของ Sonny Landreth ก็เข้าข่ายอยู่ในกรณีนี้ด้วยเช่นกัน ความจริงนี่ก็เป็นอัลบั้มชุดแรกของ Sonny Landreth ที่ผมได้มีโอกาสฟังเต็มๆ เพราะเพิ่งมาทำความรู้จักอย่างจริงจังครั้งแรกก็เพราะการปรากฎตัวของเขาในดีวีดี Crossroads Festival 2007 ของแคลปตันนั่นแหละครับ Sonny เป็นมือสไลด์กีตาร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วคนนึง เทคนิคการเล่นของเขาค่อนข้างมีความเป็นร็อคและแพรวพราวกว่าน้าดิเรกอยู่พอสมควร โดยเฉพาะการเล่นคอร์ด และการเล่นแบบกระจายโน๊ตเป็นชุด ซึ่งคนที่จะสามารถเล่นออกมาเป็นแบบฉบับของตัวเองได้ขนาดนี้นี่คือต้องไม่ธรรมดาแล้วครับ ขนาดแคลปตันยังเคยบอกว่า เขาชอบฟังผลงานของ Sonny มากๆ อัลบั้มชุดนี้ Sonny จึงไม่พลาดที่จะชวนแคลปตันมาร่วมเล่นด้วยถึง 2 เพลง นอกนั้นก็มีแขกรับเชิญระดับแม่เหล็กอีกมากมาย อย่าง Mark Knopfler, Eric Johnson, Vince Gill, Robben Ford และ Dr. John ภาพรวมของอัลบั้มเป็นเพลงบลูส์ร็อคร่วมสมัยจังหวะกระฉับกระเฉงที่เน้นการโชว์ฝีมือการสไลด์กีตาร์และการแจมกีตาร์เป็นหลัก อัลบั้มนี้จึงคุ้มค่าแน่นอนสำหรับการได้ฟังเสียงสไลด์กีตาร์ระดับปรมาจารย์ร่วมกับฝีมือกีตาร์ของแขกรับเชิญระทับเทพอีกมากมายคับคั่ง แต่ตัวเพลงก็ไม่ได้ดีหรือโดดเด่นมากเท่าไหร่นัก ข้อเสียของอัลบั้มนี้คือมีความรู้สึกว่ามิกซ์เสียงแปลกๆ ยังไงชอบกล โดยเฉพาะเสียงร้องเหมือนกับโดนปรุงแต่งมามาก อีกประการหนึ่งคือเนื่องจากอัลบั้มนี้เน้นที่กีตาร์เป็นหลัก จนบางครั้งมันเหมือนว่าเราจะสำลักเสียงกีตาร์กันเลย เพราะไม่มีช่วงที่เครื่องดนตรีอื่นๆ โดดเด่นหรือน่าสนใจเลย ตลอดทั้งอัลบั้ม


10. Back To The River - Susan Tedeschi

อัลบั้มของเคน-ธีรเดชและหน่อย-บุศกรแห่งวงการดนตรี ติดใจในตัวสามีมากกว่าภรรยา แต่ก็ตามมาฟังอัลบั้มของภรรยาจนได้ เพราะสามีมาช่วยเล่นกีตาร์ในหลายๆ แทร็ก แถมยังช่วยโปรดิวซ์ในบางเพลงอีกเสียด้วย พร้อมทั้งหอบหิ้วเอาเพื่อนซี้จากทัวร์ในปี 2006-2007 ของแคลปตัน นายดอยล์หัวฟู มาช่วยเล่นกีตาร์และโปรดิวซ์ในบางเพลงอีกเช่นกัน เสียงร้องของภรรยาแหบแห้ง แต่ก็มีสเน่ห์น่าฟังตลอดอัลบั้ม เสียงร้องของเธอติดกลิ่นของความเป็นโซล มาอยู่พอสมควร ตัวเพลงอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก ภรรยามีส่วนร่วมในการเขียนเพลงด้วยแทบทุกเพลง ดนตรีโดยภาพรวมเป็น Comtemporary Blues ผสมผสานกับหลายๆ แนว ถือเป็นอัลบั้มอุ่นเครื่องชั้นเยี่ยม ก่อนที่จะได้ฟังผลงานใหม่ของ Derek Trucks Band อัลบั้ม Already Free ที่จะออกในต้นปีหน้า ใครชอบเพลงบลูส์ลูกผสม เสียงร้องติดกลิ่นโซล และหลงไหลในเสียงกีตาร์ของน้าดิเรก ควรหามาฟังครับ
ป.ล. ใครอยากทราบว่าทำไมผมเปรียบน้าดิเรกกับซูซานเป็นเคน-ธีรเดชกับหน่อย-บุศกร ลองหาข้อมูลดูนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 มกราคม 2009 | 09:04:44 PM โดย Agent Fox Mulder » บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
Analog Kid
Three of a Perfect Pair
******
กระทู้: 1513



ดูรายละเอียด
« ตอบ #24 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2008 | 09:14:06 AM »

ไม่ค่อยได้ฟังงานที่ออกในปี 2008 มากเท่าไหร่ เอาเท่าที่ได้ก็แล้วกันครับ





อัลบั้ม Overlook ของวง Fromuz

เป็นงานของวงจากประเทศ Uzbekistan เล่นในแนว Fusion ที่ผสมควมเป็นซิมโฟนิคเข้าด้วย
ฟังเผินๆอาจจะนึกถึงวงอย่าง King Crimson บ้าง เสียงกีตาร์ก็อาจจะทำให้นึกถึง Pink Floyd บ้าง
แต่โดยรวม ไม่ได้รู้สึกว่า เป็นการก็อปปี้ แต่น่าจะเป็นอิทธิพลมากกว่า
เพราะมีความน่าสนใจในการนำเสนอที่ค่อนข้างออริจินอลพอควร

ที่น่าสนใจคืออัลบั้มนี้มี 5 เพลง และทุกเพลงเกิน 10 นาที แต่ไม่รู้สึกว่ายืดเยื้อ หรือยาวเกินไปเลย
และวงแต่งเมโลดี้ได้น่าติดตามตลอดด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ธันวาคม 2008 | 09:16:06 AM โดย Analog Kid » บันทึกการเข้า
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #25 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2008 | 08:36:08 PM »

Agent Fox Mulder's Top 2008 12 Non-Blues Albums/DVDs



1. Watershed - Opeth

คุณผู้อ่านเคยฟังอะไรที่กลมกล่อมมากๆ ไหมครับ ลองนึกถึงซุปหรือแกงถ้วยโปรดที่ทุกอย่างในนั้นเข้ากันได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะตักตรงไหนทานก็ไม่มีรสชาติที่กระโดดหรือผิดเพี้ยนไปจากองค์รวมเลย Watershed สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 9 ของวงโปรแกรสสีฟเดธเมทัลระดับแนวหน้านี้ ก็คงจะให้ความรู้สึกเดียวกันล่ะครับ ตัวอัลบั้มนี้มีโทนที่ชัดเจนในตัวของมันเองมาก เหมือนกับทุกอัลบั้มที่ทางวงเคยทำมานั่นแหละ เปิดด้วย Coil เพลงช้าที่มีอคูสติกกีตาร์เป็นตัวเดินเรื่อง เสียงนักร้องสาวไพเราะเหลือเกิน แล้วก็อัดคนฟังด้วย Heir Apparent และ The Lotus Eater ก่อนจะถึงเพลงโปรดที่สุดของผม Burden เพลงช้าที่มีเมโลดี้อันแสนไพเราะ อารมณ์หม่นๆ ปรุงแต่งด้วยเสียงเมโลตรอนอันแสนงดงาม ตรงช่วงกลางเพลงมีท่อนโซโล่ออร์แกนสไตล์ Keith Emerson โซโล่กีตาร์คู่ที่ผสมผสานกลิ่นของแจ๊สอันไพเราะ ส่งท้ายด้วยคลาสสิคกีตาร์ที่ค่อยๆ ถูกผ่อนสายลง บรรยากาศชวนสยองมากๆ ต่อด้วย Porcelain Heart เปิดด้วยท่อนริฟฟ์หนักแน่น ตามติดด้วยคลาสสิคกีตาร์อารมณ์หม่น มีท่อนหนักเบาสลับกันตลอดเวลา เพลงต่อมา Hessian Peel มีท่อนอินโทรที่ไพเราะมากๆ กีตาร์กับเครื่องเป่าอะไรซักอย่าง คล้ายๆ ฟลุ๊ต เสียงเครื่องสายจากเมโลตรอน (หรือเปล่า?) ผสมกันแล้วได้กลิ่นหอมหวลเกินห้ามใจ พอถึงช่วยหลังของเพลงก็กระหน่ำซะเต็มที่กันไปเลย ปิดท้ายด้วย Hex Omega ที่ผสมผสานทั้งความอ่อนหวานและความโหดเข้าด้วยกัน เสียงเมโลตรอนยอดเยี่ยมอีกแล้ว สิ่งที่ผมขอชูฮกวงนี้เลยจริงๆ คือเป็นวงดนตรีเมทัลที่มีท่อน "ผ่อน" ไพเราะมากๆ ฟังแล้วแทบละลาย มันอ่อนช้อยงดงามเหมือนสาวสวยกุลสตรีที่หาที่ติไม่ได้ แต่พอจะถึงท่อนโหดก็โหดซะ.... ข้อสังเกตอีกอย่างนึงคือผมต้องขออนุญาตชม Per Wiberg มา ณ ที่นี้ด้วย เพราะเข้าใจว่าเค้ามีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบ "ท่อนผ่อน" ในเพลงของวง สำเนียงคีย์บอร์ดของเค้าทำให้ผมพอเดาทางได้ว่าเค้าน่าจะได้รับอิทธิพลจากวงอย่าง The Moody Blues, ELP, Genesis หรือวง Prog อื่นๆ ในยุค 70's มามากพอสมควร เสียงเมโลตรอนจากหลายๆ เพลงฟังแล้วหลับตานึกถึง Mike Pinder หรือ Tony Banks ได้เลย บทบาทของ Per Wiberg จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วงนี้กลายเป็นวงดนตรีโปรแกรสสีฟเดธเมทัลระดับแนวหน้าของวงการเลยครับ อัลบั้มนี้จึงควรค่าแก่การหามาฟังเป็นอย่างยิ่งครับ จะได้รู้ว่าเดธเมทัลก็สามารถผสมผสานกับความอ่อนช้อย ให้กลายเป็นดนตรีที่แสนจะไพเราะได้ ฟังแล้วอาจจะอินเลิฟกับวงๆ นี้อย่างผมไปเลยก็ได้นะครับ



2. And Winter Came... - Enya

เคยอินกับคริสมาสต์กันไหมครับ? ผมเองไม่เคยอินกับคริสมาสต์เลยซักปี เพราะไม่เห็นมันจะมีอะไรที่แตกต่างมากนัก นอกจากหมวกซานตาครอสสีแดงกับการประดับประดาไฟทั่วกรุงเทพ เพื่อต้อนรับปีใหม่ อีกสิ่งนึงที่ช่วยให้ผมอินเพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึงได้คือเรื่องของอากาศ ถ้าได้เดินนอกบ้านในตอนอากาศเย็นในช่วงสิ้นปีนั่นแหละ แต่ตอนนี้ถ้าใครอยากอินกับคริสมาสต์ปีใหม่และหน้าหนาว ก็ลองหยิบสตูดิโออัลบั้มล่าสุดของ Enya ชุดนี้มาลองฟังดูกันได้ครับ แค่ชื่อก็หนาวแล้ว And Winter Came... อัลบั้มนี้ Enya ยังคงทำหน้าที่เล่นเครื่องดนตรีและเรียบเรียงเองทั้งหมดเช่นเคย ซิงเกิ้ลนำร่องของอัลบั้มนี้คือเพลง Trains and Winter Rains ที่ยังดูห่างไกลจาก Only Time จาก A Day Without Rain อยู่หลายขุม แต่งานของอัลบั้มใหม่ชุดนี้โดยรวมก็ยังยอดเยี่ยม ให้บรรยากาศของ "หน้าหนาว" ได้อย่างชัดเจน ลองเปิดแอร์ในห้องนอนให้หนาวๆ แล้วเปิดอัลบั้มชุดนี้ฟังพร้อมกับซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม รับรองว่าจะดื่มด่ำความไพเราะของอัลบั้มนี้ได้อย่างเต็มที่แน่นอน นี่อาจจะไม่ใช่อัลบั้มระดับมาสเตอร์พีซในระดับเดียวกับ Watermark ที่ Enya เคยทำไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน แต่มันก็ยังเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยอารมณ์และบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม เหมาะเจาะอย่างยิ่งที่จะเปิดฟังในช่วงหน้าหนาวนี้อย่างที่สุดครับ
คำเตือน : อย่าเปิดฟังอัลบั้มนี้ตอนขับรถในขณะที่คุณง่วงจัด เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุจากการหลับในได้ เราเตือนคุณแล้วนะ



3. Shine A Light - The Rolling Stones

"ดิบ สด มันส์" คือคำจำกัดความของอัลบั้มซาวน์แทร็คและภาพยนต์คอนเสิร์ตของ Martin Scorsese นี้ ได้เป็นอย่างดี ภาพยนตร์คอนเสิร์ตนี้เข้าฉายในช่วงเดือนเมษายนของปี 2008 พร้อมด้วยอัลบั้มซาวน์แทร็คที่พูดง่ายๆ ว่ามันถือเป็นไลฟ์อัลบั้มชุดใหม่ของเดอะสโตนส์นั่นแหละ อัลบั้มชุดนี้เป็นอัลบั้มแสดงสดที่สโตนส์อยู่ในช่วงท๊อปฟอร์มระหว่างการทัวร์สนับสนุนอัลบั้ม A Bigger Bang ในปี 2006 บันทึกภาพและเสียงจากการแสดงที่บีคอนเธียเตอร์ในนิวยอร์ค ซึ่งเป็นสถานที่แสดงสดขนาดกลาง ไม่ใหญ่มากจนเกินไปเหมือนในดีวีดี Four Flicks ที่เคยดู ทำให้บรรยากาศของคอนเสิร์ตอยู่ในระดับที่พอดี นอกจากสโตนส์จะขนเพลงฮิตๆ มาอย่างเต็มพิกัดแล้ว ยังพกเอาแขกรับเชิญมาอีกสามคน คือ Jack White, Buddy Guy และ Christina Aguilera เพอร์ฟอร์มแมนซ์ของสองมือกีตาร์คู่ Ronnie Wood และ Keith Richards เล่นได้น่าตื่นตาตื่นหูตลอดทั้งอัลบั้ม แถมยังมิกซ์แยกลำโพงซ้ายขวาได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้าใครดูดีวีดีจะได้เห็นแอมป์ Fender เก่าๆ วางกันเต็มเวทีด้านหลังเลยทีเดียว แถมยังจะได้ดู Mick Jagger ทำปากกว้างร้องเพลงแล้วเต้นไปด้วยอีกต่างหาก (มิกเต้นเก่งมากจริงๆ อย่างที่เค้าร่ำลือกันเลยครับ) นี่คืออัลบั้มแสดงสดที่ดีที่สุดของสโตนส์นับตั้งแต่ Get Yer Ya-Ya's Out! ในปี 1970 เป็นต้นมาครับ


4. All I Intended to Be - Emmylou Harris

ป้าเอมิลูกับอัลบั้มใหม่ล่าสุดในสังกัด Nonesuch ที่บรรจุไปด้วยเพลงช้าอารมณ์อบอุ่นเต็มทั้งอัลบั้ม ดนตรีเป็นคันทรีแบบละเมียดอ่อนหวานที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา โดยเฉพาะเสียงของเพดัลสตีลที่ผมโปรดปราน อคูสติกกีตาร์ก็ฟังสบายหูมากเช่นกัน เสียงดับเบิลเบสนุ่มนวลไพเราะน่าฟัง กลองก็พอเหมาะพอดีไม่ขาดไม่เกิน บวกด้วยเสียงร้องของป้าที่ยังคงสเน่ห์ไม่เสื่อมคลาย บางเพลงก็มีแมนโดลินและกีตาร์โดโบรมาช่วยเสริมบรรยากาศคันทรีได้เหมาะเจาะอีกต่างหาก ป้าเค้าพาแขกมาร่วมด้วยอีกหลายคน ที่ชื่อคุ้นๆ หูหน่อยก็คงจะเป็น Dolly Parton และหนุ่มคันทรีตัวจริงอย่าง Vince Gill ที่มาช่วยร้องในเพลง Gold แทร็กโปรดของผมคือ Old Five and Dimers Like Me ที่มากันครบเครื่องทั้งแมนโดลิน ฟีดเดิล และโดโบร Mike Auldridge มาร่วมร้องคู่กับป้าและเล่นโดโบรได้อย่างไพเราะ นี่ถือเป็นอัลบั้มคันทรีแบบละเมียดที่เหมาะกับการฟังเพื่ื่อผ่อนคลายจากโลกที่วุ่นวายและน่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุด ข้อเสียอย่างเดียวของอัลบั้มนี้คือมันมีแต่เพลงช้าทั้งชุด อาจทำให้คนที่เบื่อหรือไม่ชอบเพลงช้าๆ พาลหลับเอาได้



5. At Kilburn: 1977 - The Who

ดีวีดีบันทึกการแสดงของคณะกายกรรมชื่อดัง จากการแสดงเมื่อปี 1977 ซึ่งแสดงได้ยอดเยี่ยมมาก สมาชิกของคณะกายกรรมนี้มีสี่คนด้วยกัน คนที่ถือไมค์คนนั้นโชว์การควงไมโครโฟนได้ยอดเยี่ยมมาก ส่วนมือกีตาร์ก็โชว์การเตะ การสับขาไปเล่นกีตาร์ไป โชว์เอาหัวเข่าไถลไปตามพื้นเวที บางทีกระโดดเตะแล้วยังไปทำขาตั้งไมค์ของตัวเองล้มอีกตะหาก มือกลองก็โชว์การหวดกลองระดับเซียน สงสัยอยู่แต่ว่ามือเบสคนนั้นนี่เป็นหัวหน้าคณะหรืออย่างไร ทำไมไม่เห็นทำอะไรเลยนอกจากยืนเล่นเบสเฉยๆ พอครับ กลับเข้าเรื่อง ต้องบอกว่าภาพของดีวีดีชุดนี้คมชัดและสวยงามเป็นอย่างมาก รวมถึงเสียงที่ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขาเล่นกันในสตูดิโอมากกว่าที่จะมาจากการบันทึกเสียงสด บางรู้สึกว่ามันเนียนเกินไป ก็เข้าใจว่าคงจะมีการแต่งเติมและปรุงแต่งกันไปมากพอสมควรแหละครับ ทำให้บางครั้งฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ ชอบกล แต่ทางด้านเซ็ทลิสต์ค่อนข้างยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะเพลงเด่นจากอัลบั้ม Who's Next ถูกนำมาเล่นอย่างครบครัน เสียงดายที่ไม่มีเพลงจากอัลบั้ม Quadrophenia ออกมาเลย เพอร์ฟอร์มแมนซ์ก็ค่อนข้างจัดจ้านและร้อนแรงสมกับที่เป็นการแสดงในยุครุ่งเรืองจริงๆ แถมยังจะได้ชมฝีมือกลองในช่วงสุดท้ายของคีธ มูนอีกตะหาก ใครที่เป็นแฟนวง The Who ห้ามพลาดดีวีดีชุดนี้เป็นเด็ดขาดครับ



6. Time the Conquerer - Jackson Browne

ไอหมอนี่มันเป็นใครกันเนี่ย? สวมแว่นตาดำ หนวดเครารกรุงรัง จะบอกว่าลีออน รัสเซลออกอัลบั้มใหม่ก็คงไม่ใช่ ทำไมป๋าแจ๊กสัน บราวน์ของเราถึงเปลี่ยนลุคไปเยอะขนาดนี้ก็ไม่ทราบ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือเสียงร้อง และเพลงของเขาที่ฟังทีไรก็ได้กลิ่นโฟล์คร็อคยุค 70's หอมหวลมาแต่ไกล ประเภทที่ต้องบอกว่า ไม่บอกก็ไม่รู้ว่านี่คืออัลบั้มใหม่ที่ออกในปี 2008 ความจริงในปีนี้ป๋าเค้าก็ออกอัลบั้มไลฟ์ Solo Acoustic, Vol. 2 ออกมาในช่วงต้นปีด้วย แต่เซ็ทลิสต์เป็นรอง Vol.1 อยู่หลายขุมเหมือนกัน สตูดิโออัลบั้มชุดนี้จึงมีความน่าสนใจมากกว่า ตัวเพลงอยู่ในระดับมาตรฐาน ส่วนเนื้อหาก็ยังแฝงแง่คิดคมคายเกี่ยวกับสถานการณ์โลกไว้ด้วย The Drums of War คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการตั้งคำถามกับผู้ฟังถึงเรื่องราวของสงครามอิรักที่ผ่านมา ฟังแล้วชวนให้นึกถึงเพลงที่ใช้วิธีการตั้งคำถามกับผู้ฟังด้วยวลีเด็ดๆ เหมือนกัน อย่าง What God Wants ของ Roger Waters หรืออย่างเพลง Where Were You ที่ตั้งคำถามต่อประธานาธิบดีบุชถึงเหตุการณ์ Hurricane Katrina ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา นอกจากจะเป็นผลงานอัลบั้มที่เต็มไปด้วยความเฉียบขาดทางวรรณศิลป์แล้ว เพลงทุกเพลงก็ยังเต็มไปด้วยเมโลดี้และคุณภาพของดนตรีเต็มเปี่ยม ถึงแม้อาจจะฟังดูเรื่อยๆ ไปนิดนึง อีกอย่างที่ชวนให้ติดใจก็คือเสียงนักร้องสาวแบ๊คอัพอันแสนไพเราะที่ได้ยินอยู่ตลอดทั่วทั้งอัลบั้ม เสียงของเธอไพเราะและเข้ากันได้ดีกับเสียงของป๋าแจ๊กสันของเราจริงๆ ครับ ใครชอบดนตรีโฟล์คร็อคที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของซาวน์ยุค 70's บวกด้วยเพลงดีๆ ที่มีเมสเสจชัดเจนต่อสถานการณ์ต่างๆ ในโลกปัจจุบัน รับรองว่าอัลบั้มใหม่ของแจ๊กสัน บราวน์จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ



7. Viva La Vida - Coldplay

ลองจินตนาการถึงภาพเขียนโมเดิร์นซักภาพ ภาพเขียนที่มีจุดเด่นน่าสนใจอยู่ตรงกลาง เขียนด้วยฝีมือของศิลปินดาวรุ่งแห่งยุคที่ใครๆ ก็รู้จัก วันหนึ่งภาพเขียนนั้นถูกนำมาแต่งแต้มในส่วนของพื้นหลังในแบบของพื้นหลังที่ให้มิติและมุมมองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ด้วยฝีมือของปรมาจารย์ที่สร้างพื้นหลังภาพเขียนได้อย่างลึกล้ำที่สุด ทำให้ภาพเขียนภาพนี้มีทั้งจุดที่โดดเด่นดึงดูดอยู่ตรงกลาง และพื้นหลังที่สุดแสนจะกว้างไกลเกินกว่าใครจะจินตนาการได้สุดขอบเขตของมัน นี่คือ Coldplay ในมาดใหม่ ต้องยอมรับว่าผมเองไม่เคยฟังอัลบั้มเต็มของ Coldplay มาก่อนเลย และนี่เป็นชุดแรกที่ผมได้ฟังเต็มๆ เพราะกระแสของอัลบั้มนี้ในปีที่ผ่านมามันแรงเหลือเกิน จะบอกว่าเป็นอัลบั้มที่โด่งดังที่สุดแห่งปี 2008 ก็คงไม่ผิดนัก Viva La Vida คือการผสมผสานระหว่างเพลงโมเดิร์นป๊อบร็อคสมัยใหม่เข้ากับซาวน์อันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาของ Brian Eno มันมีทั้งความคลาสสิค หรูหรา และโมเดิร์นอยู่ด้วยกัน สิ่งที่ผมชอบโดยส่วนตัวในอัลบั้มนี้คือการให้ความสำคัญกับเครื่องดนตรีประเภท "ปูพื้น" ทั้งหลาย เสียงออร์แกนในเพลง Lost! ให้อารมณ์ที่ยอดเยี่ยม เปียโนและเครื่องสายบรรเลงได้งดงามราวกับเป็นเพลงคลาสสิค กีตาร์ริธึ่มที่น่าจะได้อิทธิพลมาจากสไตล์ของ The Edge มาพอสมควร ไลน์เบสที่สร้างสรรค์และไม่ซ้ำซากจำเจ และที่ขาดไม่ได้คือ Sonic Landscapes จากเจ้าตำหรับ Brian Eno นี่คืออัลบั้มโมเดิร์นป๊อบร็อคที่เต็มไปด้วยจินตนาการ มิติกว้างใหญ่ไพศาล เกินกว่าที่มันจะเป็นอัลบั้มโมเดิร์นป๊อบร็อคเสียอีกครับ



8. The Life Of A Song - Joey + Rory

อัลบั้มชุดแรกของสามี-ภรรยาชาวอเมริกัน Rory Lee Feek และ Joey Martin Feek ที่เข้าไปแข่งขันในรายการเรียลลิตี้ร้องเพลงที่ชื่อ Can You Duet (คล้ายๆ กับ The Star บ้านเรา แต่อันนี้เป็นร้องคู่) ซึ่งคู่นี้ก็ไม่ได้แข่งแล้วที่ชนะเลิศแต่อย่างใด ได้มาที่อันดับสาม แต่เป็นคู่แรกที่ออกอัลบั้มเต็มตามมาหลังจากแข่งขันเลย ตัวภรรยา Joey จะร้องนำ โดยมีสามี Rory ทำหน้าที่เล่นกีตาร์และร้องแบ๊กกิ้ง (ตัว Rory ทำงานเป็นนักดนตรี/นักแต่งเพลงอยู่ในแถบ Nashville อยู่แล้ว) ภาพรวมของอัลบั้มเป็นดนตรีคันทรี/บลูแกรส ที่ค่อนข้างเป็น Traditional พอสมควร เครื่องดนตรีอคูสติกจะโดดเด่นเป็นหลัก ให้บรรยากาศกลิ่นหญ้าดินทุ่งแบบคาวบอย เสียงร้องและดนตรียอดเยี่ยมไร้ที่ติ มีเพลงเร็วอยู่ซักประมาณ 2-3 เพลงในอัลบั้ม นอกนั้นจะเป็นเพลงช้าแทบหมด Sweet Emmylou แทร็คที่สองของอัลบั้ม ไม่รู้ว่าเขียนถึงป้าเอมิลูหรือเปล่า ฟีดเดิล แมนโดลิน เพดัลสตีลไพเราะเหลือเกิน เมโลดี้ก็งดงาม Cheater, Cheater เป็นเพลงที่ถูกตัดออกเป็นซิงเกิ้ล สไตล์บลูแกรสอัพเทมโป กีตาร์ริธึ่มระดับเซียน Rodeo เพลงช้าที่เด่นด้วยเสียงกีตาร์ Dobro แถมยังมีเพลงคัฟเวอร์ของวงเซาท์เทิร์นร็อคระดับตำนาน อย่างเพลง Free Bird ของ Lynyrd Skynyrd ที่เปลี่ยนลุคไปเป็นเพลงช้าจนแทบจำไม่ได้ (สารภาพว่าผมฟังมาหลายรอบแล้วยังไม่รู้เลยครับ ต้องดูชื่อเพลงถึงจะเริ่มรู้) ถือเป็นอัลบั้มคันทรี/บลูแกรสที่ยอดเยี่ยมอีกชุดหนึ่งของปีนี้เลยครับ ใครชอบคันทรี/บลูแกรสที่ออกเป็น Traditional หน่อย ชอบเครื่องดนตรีอคูสติก และชอบเพลงช้าๆ ฟังแล้วได้ไอดินกลิ่นหญ้า แนะนำเลยครับ



9. The Imus Ranch Record - Various Artists

อัลบั้มรวมเพลงคันทรีร่วมสมัยชุดนี้เป็นอัลบั้มการกุศลเพื่อช่วยเหลือนาย Imus Ranch  รู้สึกว่านายคนนี้จะเป็นผู้ช่วยเหลือเด็กที่ป่วยด้วยโรคร้ายเกี่ยวกับมะเร็งและโรคทางเลือดอะไรเนี่ยแหละครับ งานนี้มีศิลปินคันทรีเลื่องชื่อหลายหน้ามาร่วมงานกันคับคั่ง ทำให้ภาพรวมของอัลบั้มมีความหลากหลายและเป็นคันทรีร่วมสมัยที่ไม่ฟังแล้วเลี่ยนจนเกินไป มีเพลงคัฟเวอร์สองเพลงเปิดเป็นเพลงเรียกลูกค้า ซึ่งก็ยอดเยี่ยมทั้งคู่เลยครับ Silver Springs เพลงเก่าของ Stevie Nicks ในเวอร์ชั่นที่ร้องโดย Patty Loveless ถูกแต่งเติมด้วยเสียงแมนโดลิน กีตาร์อคูสติก ฟีดเดิลและอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเวอร์ชั่นที่น่าฟังจริงๆ ครับ Lay Down Sally เพลงเก่าของแคลปตันจากอัลบั้ม Slowhand ร้องโดย Delbert Mcclinton โดดเด่นด้วยเสียงกีตาร์ซาวน์ Twang แบบ Fender จ๋าๆ เล่นเสียงคลีนๆ ฟังแล้วอยากลุกขึ้นไปหยิบกีตาร์มาแจมด้วยทันทีเลย ที่ถูกใจเป็นพิเศษเพลงอื่นๆ นอกจากเพลงคัฟเวอร์ก็อย่าง Life Has Its Little Ups And Downs ร้องโดย Raul Malo ซึ่งถ่ายทอดอารมณ์ผ่านน้ำเสียงได้ดีมาก โดยเฉพาะท่อนฮุค "She wears a gold ring on her finger, And Im so glad that its mine!" เพลงของ Randy Travis, Willie Nelson และ Vince Gill ก็ยอดเยี่ยม ซึ่งผมเข้าใจว่าเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้เป็นเพลงคัฟเวอร์ทั้งนั้น ใครอยากฟังดนตรีคันทรีร่วมสมัยชั้นเยี่ยมจากศิลปินหลากหลาย หลงไหลในเสียงพีดัลสตีล แมนโดลิน และฟีดเดิล The Imus Ranch Record จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ



10. Kiss! Kiss! Kiss! - Buono!

ปีที่ผ่านมานี่ทางค่าย H!P ก็ยังคงขยันออกซิงเกิ้ลของศิลปินในค่ายออกมาอย่างสม่ำเสมอ ผมเองก็ติดตามมาทุกซิงเกิ้ลทั้งจาก Berryz, C-ute และยูนิตเทพที่ร้อนแรงสุดๆ อย่าง Buono! ซึ่งจะว่าไปแล้วจะบอกว่าปีนี้เป็นปีทองของ Buono! ก็ไม่ผิด เพราะซิงเกิ้ลและ PV แทบทุกชิ้นได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางบวกมาตลอด อันที่จริงของ C-ute ก็อยู่ในระดับดีเช่นกัน ไม่เหมือนทางฝั่ง Berryz ที่มีแต่ซิงเกิ้ลและ PV ทุนต่ำออกมา แน่นอนว่าก็ต้องโดนโขกสับไปตามระเบียบ สำหรับ C-ute ผมชอบ Edo no Temari Uta II เพลงสั้นๆ ยาวแค่สองนาทีครึ่ง แต่ทำดนตรีได้น่าสนใจและเปิดโอกาสให้สมาชิกในวงได้โชว์น้ำเสียงเยี่ยมๆ หลายคน ไอริร้องได้น่าประทับใจมาก แถมยังมีโซโล่เปียโน Wurlitzer ส่งท้ายเพลงอีกตะหาก ส่วน PV อยู่ในระดับกลาง (แต่ถ้าเทียบกับ PV ของ Berryz นี่ถือว่าดีมาก) แต่ถ้าพูดถึงซิงเกิ้ลและ PV ของยูนิตเทพอย่าง Buono! แล้วล่ะก็ Kiss! Kiss! Kiss! ต้องได้ตำแหน่งไปครองแน่นอน เพลงเป็นป๊อบร็อคที่มีเมโลดี้ที่ชัดเจน ติดหูง่าย รายละเอียดของดนตรีทำได้ดี ตัว PV ก็มีโปรดักชั่นที่ดีมาก โดยเฉพาะคอสตูมและการจัดแสงสีต่างๆ ที่มีสีสันสดใสมากๆ ท่าเต้นก็น่ารักดี ที่สำคัญไอริขาวมาก!!!  ยิงฟันยิ้ม บิก็อยู่ในระดับสวยเทพสุดๆ สมควรแก่การดู PV ซ้ำซัก 5 รอบเป็นอย่างยิ่งครับ น่าจับตามองมากๆ ครับ สำหรับยูนิตเทพยูนิตนี้ ถือเป็นการจับกลุ่มที่ลงตัวมาก ขออย่างเดียวอย่าให้ซึงคุไปทำดนตรีของ Buono! ออกมาเลย เดี๋ยวจะเสียของน่ะครับ


ขออนุญาตเลื่อนวันกำหนดส่ง จากวันที่ 25 ธันวาคม ไปเป็น 5 มกราคม ปีหน้านะครับ เนื่องด้วยช่วงวันที่ 26-27 ผมสอบกลางภาคพอดี คงไม่ค่อยได้มีเวลามานั่งทำ อีกเหตุผลหนึ่งคือ เพื่อให้สมาชิกของเราที่ว่างในช่วงปีใหม่ พอจะส่งงานเขียนเพิ่มเติมในช่วงนี้ได้

สำหรับสมาชิกท่านใดที่อาจจะไม่มีเวลาเขียนคอมเมนต์อัลบั้ม ก็สามารถส่งแค่ลิสต์ท็อปอัลบั้มกันมาแบบเพียวๆ ก็ได้นะครับ คือแค่ลิสต์มาเท่านั้น ไม่ต้องเขียนอะไรเพิ่มแต่อย่างใด อยากให้ส่งกันมาเยอะๆ นะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 มกราคม 2009 | 07:14:09 PM โดย Agent Fox Mulder » บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ
The Snow Goose
**********
เพศ: ชาย
กระทู้: 8547


nagoya_mega_snake@windowslive.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #26 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2008 | 08:51:18 PM »

Lilium's Top 10 Metal Albums of 2008



1. Kataplexia - Supreme Authority (Brutal Death Metal)
อัลบั้มเต็มชุดที่สามของวงบรูตัลเดธอับจนชื่อเสียงจากประเทศฟินแลนด์ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วสมาชิกยุคก่อตั้งของวงนี้เป็นชาวบราซิลและเอล ซัลวาดอร์ที่อพยพมามาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ดนตรีของพวกเขาจึงเป็นการผสมผสานกันแบบครึ่งต่อครึ่งระหว่างซาวนด์บรูตัลโหดดิบเถื่อนตามสไตล์อเมริกาใต้และเดธเมทั่ลเนียนๆติดเมโลดิกเล็กน้อยตามสไตล์ยุโรป ซึ่งในอัลบั้มชุดที่สามนี้พวกเขาได้ลดเนื้อหาแบบกอร์เลือดสาดแบบอัลบั้มก่อนๆลงและเริ่มเล่นกับเนื้อหาความตายที่เป็นนามธรรมมากขึ้น จึงทำให้ภาคดนตรีในอัลบั้มนี้ถูกขัดเกลามากยิ่งขึ้นด้วย ริฟฟ์กีตาร์ยังคงความหนักหน่วงไว้เต็มเปี่ยมแต่ก็มีการเรียบเรียงที่เป็นระเบียบมากขึ้น รวมถึงความเป็นเมโลดิกที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ภาคริธึ่มของเบสและกลองมีการเปลี่ยนมูฟเมนต์กันบ่อยครั้งทำให้เพลงฟังดูไม่น่าเบื่อ ทางด้านเสียงร้องก็ยังกดต่ำแบบสุดสยองเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ด้วยระบบเสียงที่ชัดเคลียร์กว่างานก่อนๆ งานชุดนี้จึงเป็นเดธเมทั่ลที่ฟังเพลินหูและชวนให้เปิดฟังบ่อยๆเป็นยิ่งนัก



2. Hour of Penance - The Vile Conception (Brutal Death Metal)
ในรอบปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเปิดไปดูเว็บเมทั่ลเว็บใหน ก็มักจะเห็นอัลบั้มของวงจากแดนรองเท้าบู้ตชุดนี้ได้รับคำชมและคะแนนท่วมท้นจากนักวิจารณ์และนักฟังเสมอ ซึ่งเมื่อผมได้ลองสดับฟังแล้วก็เข้าใจดีเลยว่าสิ่งที่ได้อ่านมานั้นไม่ใช่เพียงราคาคุยจริงๆ เพราะผลงานชุดนี้คือบรูตัลเดธระดับคุณภาพที่ไร้รอยตำหนิอย่างแท้จริง! ภาคดนตรีในอัลบั้มนี้จะเป็นบรูตัลเดธที่โอลด์สกูลหน่อยๆ คือจะเน้นจังหวะที่ว่องไวและภาคดนตรีอัดกระหน่ำไม่ขายท่อนโยกมากแบบพวกสแลมมิ่งในยุคนี้ กระเดื่องซอยถี่ยิบเป็นปืนกล ลูกเล่นและความเป็นเทคนิคัลก็มีพอตัว เสียงสำรอกโหดพอประมาณไม่อ้วกหรือกดต่ำมากจนเอียน ฟังแล้วได้บรรยากาศแบบวงรุ่นพี่อย่าง Suffocation หรือ Deeds of Flesh อยู่เหมือนกัน ไม่แปลกใจเลยที่วงนี้จะได้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายเพลงเดธเมทั่ลอันดับต้นๆของโลกอย่าง Unique Leader Records ซึ่งถ้าพวกเขาไม่ใจแตกไปเล่นแนวอื่นซะัก่อน เชื่อแน่ว่าอนาคตของพวกเขาสดใสแน่นอนครับ



3. Revocation - Empire of the Obscene (Technical Death / Thrash Metal)
อัลบั้มเต็มชุดแรกของยอดวงทริโอแบนด์จากบอสตันชุดนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเพลิดเพลินที่ใช้บริหารหูได้ดียิ่งนัก เพราะพวกเขาได้นำแนวทางของเดธเมทั่ลแบบเน้นเทคนิคและสัดส่วนที่ซับซ้อนมาผสมกับความดิบห่ามและลูกโซโล่อันเผ็ดมันส์ของแธรชเมทั่ลได้อย่างลงตัว จนบางทีฟังแล้วก็นึกถึงวงยุคเก่าอย่าง Atheist อยู่เหมือนกัน เสียงร้องในชุดนี้ค่อนข้างหลากหลาย เน้นหนักไปที่การตะคอกแรงๆแบบแธรช แต่ก็มีเสียงสำรอกกดต่ำแซมเป็นระยะอยู่เหมือนกัน กีตาร์ในชุดนี้เล่นได้โดดเด่นเป็นพระเอกเลยทีเดียว เพราะเพียงกีตาร์แค่ตัวเดียวก็สามารถจัดการริฟฟ์หนักโหด เมโลดิกริฟฟ์ และเก็บลูกโซโล่ระดับมหาหินได้แบบไม่มีตกหล่น ภาคกลองก็หวดได้หนักหน่วงสะใจดีมาก ลูกเคาะฉาบแฉแพรวพราวไม่ใช่น้อย สัดส่วนดนตรีในอัลบั้มนี้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา มีผ่อนหนักผ่อนเบาทำให้ไม่น่าเบื่อ ภาพปกอัลบั้มสุดวิจิตรรังสรรค์โดย Par Olofsson ทำให้งานชิ้นนี้ทรงคุณค่าขึ้นเป็นทวีคูณ นี่คือผลงานเมทั่ลรสเข้มข้นที่ชวนให้หลงใหลจริงๆครับ



4. Theocracy - Mirror of Souls (Melodic Power Metal)
ต้องยอมรับว่าในปีนี้มีผลงานเพาเวอร์เมทั่ลจำนวนน้อยรายจริงๆที่ออกผลงานมาแล้วโดนใจผม โดยเฉพาะวงรุ่นใหญ่ทั้งหลายที่ทำผลงานออกทะเลเข้าไปทุกที ส่วนวงรุ่นเล็กหลายๆวงก็ทำผลงานได้จืดสนิทและไร้ความเป็นตัวของตัวโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็มีแต่อัลบั้มล่าสุดของวงคริสเตียน Theocracy นี่ล่ะครับที่พอทำให้ผมใจชื้นขึ้นได้บ้าง ซึ่งวงนี้ถึงจะมีพื้นเพมาจากอเมริกาแต่ซาวนด์ของพวกเขากลับได้อารมณ์ยูโรเปี้ยนเมทั่ลเต็มๆเลยครับ คือจะเป็นเพาเวอร์เมทั่ลที่มีเมโลดี้ติดหู ฟังง่าย ไม่ขยับออกไปเป็นสปีดหรือแธรชแบบวงร่วมชาติส่วนใหญ่ ลีลาของบทเพลงในอัลบั้มนี้ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งเพลงสปีดเพาเวอร์สุดมันส์ (A Tower of Ashes, Absolution Day) เพลงมิดเทมโปทรงพลัง (On Eagles Wings, The Writing in the Sand, Martyr) บัลลาดหวานอ่อนช้อย (ฺำBethlehem) และไตเติ้ลแทร๊คที่เป็นบทเพลงมหากาพย์ความยาวกว่า 22 นาที โดยทั้งหมดมีเมโลดี้และท่อนฮุคระดับผงแม่เหล็กผสมกาวตราช้างเป็นจุดขาย เป็นผลงานเพาเวอร์เมทั่ลที่ครบเครื่องและน่าจะถูกใจคอเมทั่ลสายนี้ทุกคนอย่างแน่นอนครับ



5. Shadow - Forever Chaos (Neo-Classical / Melodic Death Metal)
อย่างที่เคยบอกไปว่าวงดนตรีจากญี่ปุ่นแต่ละวงนั้นจะมีเอกลักษณ์และความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ซึ่งอัลบั้มล่าสุดของ Shadow ยอดวงเมโลดิกเดธวงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ช่วยยืนยันให้คำนิยามข้างต้นน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นไปอีก จุดเด่นลำดับแรกของวงนี้คือ Tokiko Shimamoto นักร้องนำสาวเสียงโหดที่สำรอกได้น่ากลัวยิ่งกว่าผู้ชายอกสามศอกหลายๆคนด้วยซ้ำ  จุดเด่้นลำดับต่อมาคือภาคกีตาร์ที่มีความเป็่นนีโอคลาสสิคสูงมาก เรียกได้ว่าโชว์ฝีนิ้วกันไม่ยั้งเลย ตัวเพลงก็เป็นเมโลดิกเดธที่โหดเหี้ยมใช้ได้ แต่ก็มีเมโลดี้สวยๆคอยเสริมอยู่ตลอด ผลงานชุดนี้ทำให้เราได้รู้ว่าชาวเอเชียเราก็ทำงานเพลงได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้ฝรั่งตาน้ำข้าวเลยครับ โดยเฉพาะเสียงของนักร้องนำสาวที่โหดเหี้ยมไม่แพ้สาวจอมสำรอกชื่อดังอย่าง Angela Gossow แห่งวง Arch Enemy เลยล่ะ



6. Mercenary - Architect of Lies (Melodic Death / Power Metal)
กลับมาอีกครั้งสำหรับวงเมทั่ลลูกผสมรสอร่อยแม่ช้อยนางรำจากแดนโคนมวงนี้ โดยผลงานของพวกเขาขึ้นชื่อจากการนำแนวทางดนตรีหลากหลายมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทั้ง Melodic Death, Power Metal, Modern Thrash แถมยังมีกลิ่นอายความเศร้าหมองของกอธิคและความซับซ้อนแบบโปรเกรสสีฟแทรกซึมอยู่เป็นระยะอีกตังหาก โดยในอัลบั้มล่าสุดนี้อาจจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าอัลบั้มก่อนๆมากนัก แต่มันคงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการได้ฟังเพลงเมทั่ลที่ครบเครื่องทั้งริธึ่มอันหนักแน่น กลองที่หวดหนักแบบลืมตาย ริฟฟ์กีตาร์สไตล์เมโลดิกเดธสุดงดงาม เสียงตะคอกอันก้าวร้าว เสียงร้องคลีนสไตล์เพาเวอร์เมทั่ลอันแสนไพเราะและทรงพลัง รวมถึงท่อนคอรัสที่ติดหูอย่างถึงที่สุด มาผสมผสานกันกลายเป็นบทเพลงเมทั่ลอร่อยหูที่สมบูรณ์แบบลงตัวในทุกด้าน แทร๊คอย่าง Embrace the Nothing และ Isolation (The Loneliness in December) คือบทเพลงสุดชอกช้ำประจำปีนี้เลยครับ



7. Deadlock - Manifesto (Melodic Death / Gothic Metal / Metalcore)
นี่คือวงเมทั่ลสมัยใหม่จากประเทศเยอรมันที่น่าจับตามองที่สุดวงหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยแนวดนตรีที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครแถมยังจับแฟนเพลงรุ่นใหม่ได้ชะงัดอีกด้วย และมีนักร้องนำคู่ชายหญิง ซึ่งสิ่งที่คุณจะได้รับในงานชุดนี้ก็คือดนตรีเมโลดิกเดธที่มีท่อนริฟฟ์สวยงามและหลากหลาย เสริมบรรยากาศกอธิคอันอลังการและมืดมนด้วยคีย์บอร์ด มีท่อนโยกแบบฮาร์ดคอร์เล็กน้อย นักร้องชายสำรอกกดต่ำได้น่ากลัว ทางด้านนักร้องหญิงก็ร้องได้ไพเราะ มีพลัง ถึงแม้จะไม่มีลูกเล่นลูกคอมากนักก็ตาม (ฟังไปก็คล้าย Anette Olzon นักร้องนำคนปัจจุบันของ Nightwish อยู่เหมือนกัน) มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยโดยการแอบใส่เพลงฮิปฮอปเข้าไปในท้ายเพลง Deathrace ด้วย แต่ก็ฟังดูไม่น่าเกลียดอะไร จะว่าไปงานชุดนี้มันก็คล้ายคลึงกับการได้ฟังงานของ Mercenary ที่มีท่อนร้องคลีนเป็นเสียงของนักร้องสาวเสียงใสนั่นเองครับ



8. The Chant - Ghostlines (Gothic Metal / Melancholic Rock)
ผลงานเปิดตัวของวงร๊อคหน้าใหม่แกะกล่องจากดินแดนพันทะเลสาบ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นผลงานเปิดตัวที่ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบมากๆ ดนตรีของพวกเขาจะเป็นร๊อคผสมกอธิคสไตล์ฟินนิชที่ให้อารมณ์หมองหม่น โศกเศร้า มีเสียงคีย์บอร์ดคอยสร้างบรรยากาศอยู่ตลอดเวลา ฟังดูคล้าย Anathema ยุคหลังๆอยู่เหมือนกัน นักร้องนำถ่ายทอดอารมณ์หมองเศร้าผ่านทางน้ำเสียงได้อย่างลุ่มลึก (เวลาตะคอกจะคล้ายๆ James Hetfield) นี่เป็นงานกอธิคที่สวยงามและเข้าถึงได้ง่าย ฟังได้เรื่อยๆดีครับ



9. StormWarrior - Heading Northe (Power Metal)
เพาเวอร์เมทั่ลเท่านั้นที่เราต้องการ!!! คือนิยามของอัลบั้มนี้อย่างแท้จริง เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งสี่ได้บรรเลงบรรลัยดนตรีสปีด/เพาเวอร์เมทั่ลดุดันสไตล์เยอรมันออกมาได้อย่างดุเดือดดุดันราวกับ Gamma Ray สมัยยังกระทงโดยที่ไม่มีเพลงช้ามาเจือปนเลยสักเพลงเดียว ทำให้ความมันส์และความฮึกเหิมมันพุ่งขึ้นไปถึงขีดสุด อัลบั้มชุดนี้เต็มไปด้วยริฟฟ์กีตาร์หักคออันสุดแสนจะเฮฟวี่ ลูกโซโล่แบบทวินลีดอันเพริดแพร้วอร่อยเหาะ รวมถึงริธึ่มเบสกลองที่อัดแน่นหนักหน่วงอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่มีช่องว่างให้หายใจ เสียงร้องของ Lars Ramcke ก็ชวนให้นึกถึง Kai Hansen อย่างช่วยไม่ได้ ถ้าผลงานชุดใหม่ของ Helloween และ Gamma Ray ยังมันส์สะใจไม่พอ Heading Northe ชุดนี้คือคำตอบสุดท้ายครับ!!!!



10. Flowing Tears - Thy Kingdom Gone (Gothic Metal)
สามารถเบียดแซงตัวเก็งอย่าง Origin และ Decrepit Birth ได้อย่างไม่น่าเชื่อครับสำหรับวงกอธิคเมทั่ลเกรดบีลบจากเยอรมันวงนี้ ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงแล้วดนตรีในอัลบั้มนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่สักเท่าไรหรอกครับ แต่ผมติดใจเสียงของ Helen Vogt นักร้องนำสาวคนนี้มาก เสียงร้องของเธอจะออกมาในโทนหนาทุ้มน่าฟังต่างจากนักร้องสายกอธิคส่วนใหญ่ที่เสียงค่อนข้างสูงและใส ทำให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวดีทีเดียว ภาคดนตรีก็ใช้ได้ครับ ริธึ่มเบสกลองที่เข้มแข็งเข้ากันได้ดีกับไลน์กีตาร์เพาเวอร์คอร์ดง่ายๆแต่ทรงพลัง บรรยากาศเพลงมืดหม่นเคร่งเครียดตามสไตล์กอธิคของแท้ ท่อนฮุคในแต่ละเพลงมีเมโลดี้ไพเราะแบบพอดีๆไม่หวานจนเลี่ยนเกินไปนัก ฟังได้เนียนๆทุกเพลง สรุปว่านี่คืองานกอธิคเมทั่ลที่ลงตัวและเข้าท่าที่สุดประจำปีนี้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 มกราคม 2009 | 10:18:31 AM โดย Lilium™ » บันทึกการเข้า


Stay cheap, praise the explicit, embrace the scuzz, be true to art and yourself, eat shit, keep music evil.
lilivm's self-indulgence: https://rateyourmusic.com/~potatahtapapoh
ShadowServant
Images & Words
****
กระทู้: 631


TROLLKASTEL!


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #27 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2008 | 12:19:29 AM »

ตอนนี้ผมจัดอันดับ Non-Prog ได้แล้วแต่ยังเขียนได้ไม่ครบทุกอัน เอาอันดับมาให้ดูก่อน
เครื่องที่บ้านดันโดนมัลแวร์ลงรวนจนใช้ไม่ได้ ต้องมาใช้ข้างนอกอีกแล้ว - -'

10.) "Folklore and Superstition" by Black Stone Cherry
9.) "Dig Out Your Soul" by Oasis
8.) "Perfectly Clear" by Jewel
7.) "Sayonara Zetsubou Sensei Best album - Daisatsukai" by Various Artist (Mainly Zetsubou Sensei's Seiyuu)
6.) "Darkness and Starlight" by The Black Mages
5.) "Parade" by Chihara Minori
4.) "Good Thing Going" by Rhonda Vincent
3.) "Viva la Vida or Death and all his friend" by Coldplay
(Don't care about those artsy musculine apes said what's good is good)
2.) "Payment of Existence" by Communic
1.) "Darling" by Horie Yui

Best Non-2008 and Non-Prog
"Flower" by Orikasa Fumiko

Best EP
"Prospekt's March" by Coldplay

Best Single
"Vanilla Salt" by Horie Yui
บันทึกการเข้า



กลับมาด้วยความเพี๊ยนกว่าเดิม
panyarak
The Snow Goose
**********
กระทู้: 9716



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #28 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2008 | 10:31:29 AM »

ขอแถมด้วย DVD คอนเสิร์ตที่ได้ดูในปีนี้และประทับใจ 12 ชุดครับ (บางชุดอาจจะไม่ได้ออกในปีนี้)
1. Barclay James Harvest featuring Les Holroyd with Prague Philharmonic Orchestra - Live
2. Heart - Dreamboat Annie Live
3. Manfred Mann's Earth Band - Budapest Live
4. Blackmore's Night - Paris Moon
5. Keith Emerson Band featuring Mark Bonilla - Live in Hungary
6. Heaven & Hell - Radio City Music Hall Live
7. Robert Plant & the Strange Sensation - Soundstage
8. Elton John - The Red Piano
9. Boney M - Fantastic on Stage and on the Road
10. HSAS - Live (bootleg)
11. Annie Haslam - Live in Rio de Janeiro 1997 (bootleg)
12. Heart & Friends - Decades Rock Live (bootleg of TV show)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ธันวาคม 2008 | 06:05:56 AM โดย panyarak » บันทึกการเข้า

JKNoremorse
Voyage Of The Acolyte
*********
เพศ: ชาย
กระทู้: 4654


8 years later, woke up with two kids

jknoremorse@hotmail.com
ดูรายละเอียด
« ตอบ #29 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2008 | 09:27:04 AM »

2008 Winner
     Metallica : Death Magnetic
     เกินความคาดหมาย ไม่คิดว่าวงจะกลับมาพร้อมกับพลังที่ล้นเหลือ ให้อารมณ์ทำแอร์กีต้าร์ + โยกหัวได้ตลอด

Runners-up
     Guns N' Roses : Chinese Democracy
     หลากหลายอารมณ์ หลากหลายโซโล่ ทำให้สนใจที่จะกลับไปลิ้มลองงาน "ออเดริฟ์"
     
     Trivium : Shogun
     ทิศทางเริ่มชัดเจน ชุดหน้าถ้าเพิ่มความเป็นแธรชเข้าไป คงน่าสนใจขึ้นเยอะ
     
     Testament : Formation of Damnation
     อารมณ์ฮึกเหิมทั้งอัลบั้ม น่าจะมีเพลงที่ผ่อนหนัก ๆ เนิ่บ ๆ บ้าง
     
     Children of Bodom : Blooddrunk
     ชักหมดไอเดีย เพลงยิ่งทำยิ่งห้วนสั้น ชุดหน้าน่าจะเป็นตัววัดแล้วว่าจะรุ่ง หรือ จะร่วง
     
    Coldplay : Viva La Vida Death & All His Friends
     ไตเติ้ลแทร็คเจ้าปัญหา แต่งานโดยรวมยังน่าสนใจ เอาไว้ถอนตอนเอียนเมทัล

     Arsis : We are the Nightmare
     เพิ่งเคยฟังแนว Technical Daeth ก็ถือเป็นแนวหนึ่งที่น่าสนใจครับ ซับซ้อนใช้ได้

 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ \m/ Merry Christmas to All Thaiprog's Member! Keep Rock!!! \m/ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

     
ปล. เพิ่ม Arsis ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 ธันวาคม 2008 | 09:15:54 AM โดย jknoremorse » บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4
พิมพ์
กระโดดไป:  

ThaiProg.net Ver 4.0 by tisanai,Shineon,kongbei
Top 10 Best Sellers in Kindle eBooks Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers In Automotive Parts And Accessories Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers in Tools and Home Improvement Under $10, Reviewer 2016
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Best Sellers in Clothing
Top 10 Best Sellers in Books reviewer 2017 Top 10 Best Sellers in Books Best Sellers in Books
Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Reviewer 2017 Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Best Sellers In Grocery