Music In A Doll's House (1968)เป็นอัลบั้มที่น่าสนใจมาก สำหรับผลงานที่ผลิตขึ้นในยุคนั้น ทุกเพลงเต็มไปด้วยความหลากหลายและแสดงถึงจินตนาการอันกว้างไกลของทีมแต่งเพลง Roger Chapman/John 'Charlie' Whitney การแสดงสดของ Family เป็นปรากฎการณ์ที่น่าประทับใจยิ่ง
นักดนตรีแต่ละคนมีลีลาในการเล่นดนตรีที่ชวนติดตามประกอบกับเสียงร้องของ Roger ที่แปลกไม่เหมือนใครและดนตรีและการเรียบเรียงเสียงประสานของพวกเขาถือว่าเป็นดนตรีมีระดับและโดดเด่นกว่าวงอื่นๆในรุ่นราว
คราวเดียวกัน นอกจากเสียงดนตรีของพวกเขาจะไม่เหมือนใครแล้วยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่พอฟังแล้วก็รู้ได้ทันที Rick Grech ซึ่งเล่นเบสและไวโอลิน เป็นปรากฎการณ์ใหม่สำหรับวง Rock สมัยนั้นที่ใช้ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีหลีกในการแสดงสด เสียงเครื่องเป่าของ Jim King ซึ่งช่วยร้องประสานด้วย ช่วยเพิ่มสีสันที่ฟังดูหรูหราและมีเสน่ห์ เสียงกีตาร์ 2 คอของJohn 'Charlie' Whitney ก็ไม่น้อยหน้าใครในวงการ Rob Townsend เล่นกลองด้วยความคล่องแคล่วรอบตัว เขาสามารถปรับเสียงจากเพลงที่เน้นอะคูสติคไปสู่เพลงที่ออกร็อคหนักๆ หรือโอนเอียงไปทางแจ๊สได้อย่างไม่ขัดเขินและที่ขาดเสียมิได้คือเสียงแผดร้องแบบสั่นระรัวมาจากคอหอยของRoger Chapma (ชื่อเล่นว่า Chappo) นอกจากสไตล์การร้องที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครแล้ว ท่าทางในการประกอบการร้องเพลงของเขายังแหวกแนวไม่เหมือนใครอีกด้วย บางครั้งดูเหมือนว่าเขาตกอยู่ในภวังค์ ลูกตากลอกกลิ้งไปมา หัวกระตุก เกร็งคอจนเส้นปูนขึ้น ราวกับมีหนอนไต่อยู่ภายใต้ผิวหนัง แขนที่บิดเบี้ยวผิดทิศทางอย่างกระทันหัน และการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดธรรมชาติ เช่นการกระตุกอย่างรุนแรงหรือนิ้วมือที่พุ่งชี้ไปยังทิศต่างๆ (การแสดงของเขาได้รับการขนานนามว่า "การเริงระบำของคนบ้า") เสียงร้องอันแปลกประหลาดของเขาเปรียบประดุจเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งที่ทำให้คนฟังต้องทึ่ง ผู้ที่ได้ชมการแสดงสดของ Family ในยุคนั้นนับว่าโชคดีที่สุดในชีวิตที่ได้ชมการแสดงที่เต็มไปด้วยจินตนาการอันล้ำลึก
ความริเริ่มสร้างสรรค์ รวมทั้งความเป็นจุดสุดยอดของวง
ความสำเร็จของ Music In A Doll's House มิได้ทำให้ Family หยุดอยู่กับที่ นอกจากการยอมรับสถานะใหม่ของการเป็นวงดังแล้ว พวกเขายังมุมานะที่จะทำให้ดียิ่งๆขึ้นอีก ไม่ทันที่แฟนเพลงที่ชมการแสดงสดของพวกเขาจะเบื่อเพลงเก่า พวกเขาก็นำเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ซึ่งยังไม่ได้บันทึกเสียงออกแสดงแทนเพลงเก่า และนี่คือเอกลักษณ์หนึ่งของ Family ที่ดูเหมือนไม่ค่อนสนใจกับความสำเร็จในอดีต พวกเขาชอบหลีกเลี่ยงความจำเจ โดยการโละเพลงเก่าๆออกจากรายการแสดงเพื่อบรรจุเพลงใหม่ๆเข้าไปแทนอันเป็นวิธีการที่ทำให้ แฟนเพลงของพวกเขาได้รู้จักกับผลงานใหม่ๆของพวกเขาจากการแสดงสดมากกว่าจากอัลบั้มในสตูดิโอ พวกเขาจึงดูประหนึ่งว่าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งพร้อมๆกับการเพิ่มพูนมาตรฐาน ของวงให้สูงขึ้นจากการออกแสดงสดในระยะนั้น Family ได้ออกทัวร์ร่วมกับศิลปินดังๆอย่าง Jimi Hendrix, Tim Hardin, Ten Years After, Fleetwood Mac และ Fairport Convention
Family Entertainment (1969)เป็นอัลบั้มถัดมาที่เปลี่ยนสไตล์ไปจากอัลบั้มแรกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งฟังจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า โดยยังคงความเป็น Progressive Rock ไว้อย่างเหนียวแน่น สำหรับเพลงต่างๆที่ปรากฏในอัลบั้มล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่แฟนของ Family รู้จักจากการแสดงสดมาแล้วอย่างไรก็ดีพวกเขาก็ตั้งตารอคอยอย่างกระวนกระวายใจที่ Family จะนำเพลงเหล่านี้มาบรรจุไว้ในอัลบั้มเพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นเจ้าของความทรงจำอันไม่รู้ลืมเหล่านี้ในรูปของอัลบั้ม
นอกจากนี้ยังมีเพลงใหม่ๆที่ไม่เคยนำออกแสดงให้แฟนเพลงได้รู้จักก่อนอีกหลายเพลง
แต่โชคไม่เข้าข้าง Family เมื่อ Rick Grech ลาออกไปร่วมวง Blind Faith ขณะโปรแกรมทัวร์เพิ่งเริ่มต่นขึ้น การขาดเสียงไวโอลินซึ่งเป็นเครื่องดนตรีหลักของวงโดยไม่สามารถหาคนมาแทนได้ทันกาล
ทำให้การออกทัวร์ประสบกับความหายนะ โดยเฉพาะการแสดงที่ Fill More East ซึ่งแฟนเพลงโห่ไล่
Family ที่แสดงไม่เอาไหน เพื่อที่ Alvin Lee & CO. จะได้ขึ้นไปแสดงแทนทำให้ Chappo โกรธจัดจนต่อว่าคนดูด้วยคำที่ไม่สุภาพแล้วเขาก็เหวียงขาตั้งไมโครโฟนไปโดนผู้จัดรายการ Bill Graham ซึ่งนึกว่า
Chappo ทำไปโดยเจตนาที่จะให้โดนเขา Bill จึงดึง Family ออกจากโปรแกรมในวันต่อไป แต่เมื่อทำ
ความเข้าใจกันได้ Family จึงได้แสดงต่อ อย่างไรก็ดีความหายนะครั้งนี้ถือว่าเป็นลางร้ายของ Family
ในอเมริกาเพราะนับจากนี้ไป Family ไม่สามารถกอบโกยชื่อเสียงในอเมริกาได้อีกเลย
John Weider (อดีต Animals ยุคใหม่) ซึ่งเคยเล่นไวโอลินถูกดึงมา เล่นไวโอลินเพื่อให้การออกแสดงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ได้ซ้อมกันมาก่อนเลย ซึ่งเขาก็ทำได้ดีเกินความคาดหมายของทุกคน จนเป็นตัวจักรสำคัญของวงในเวลาต่อมา
สำหรับการทัวร์ในอังกฤษซึ่งพวกเขานำ Concept จากอัลบั้ม Family Entertainment มา
ประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่โดยการนำตัวตลก นักมายากล นักแสดงผาดโผนมาประกอบช่วงการโซโลดนตรีของแต่ละคน ในครึ่งแรกของการแสดง ส่วนครึ่งหลังเป็นการแสดงของ Family ขนานแท้และดั้งเดิมซึ่งแน่นอนครึ่งของการแสดงได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากแฟนเพลงมากกว่า
ช่วงนี้ Jim King ซึ่งไม่ค่อยมีบทบาทในช่วงหลังได้ออกจากวงไป พวกเขาได้ John ‘Poli’ Palmer ซึ่งเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิดมาแทน