Mellotron Scratch - The Story of Mellotron
Written by Agent Fox Mulder
บทนำคอโปรแกรสสีฟหลายๆ ท่าน คงจะรู้จักเครื่องดนตรีชิ้นนี้กันเป็นอย่างดี มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในดนตรีโปรแกรสสีฟอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะกับวงดนตรีโปรแกรสสีฟชั้นแนวหน้าอย่าง The Moody Blues, King Crimson, Genesis และ Yes พอพูดอย่างนี้แล้วหลายๆ คนคงนึกถึงแทร็กโปรดประจำวงของที่ได้กล่าวมา แน่นอนว่ามันเป็นเครื่องดนตรีที่น่าทึ่งและน่าพิศมัยเหลือเกิน ถึงกระนั้นก็มีข้อมูลที่เขียนเกี่ยวกับมันไว้น้อยนิด โดยเฉพาะในรูปแบบของภาษาไทย วันนี้ได้ฤกษ์ดีเป็นช่วงวันหยุดสงกรานต์ ประกอบกับผมใช้เวลาทำการบ้านมาบ้างพอสมควร จึงได้ลงมือเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมาเสียที เพื่อหวังว่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้รู้จักเครื่องดนตรีชิ้นนี้มากขึ้น และฟังเสียงเมโลตรอนได้สนุกสนานยิ่งขึ้นกว่าเดิมครับ
เมโลตรอนคืออะไร?ความจริง จะเรียกเมโลตรอนว่าเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ก็คงจะใช่ แต่แท้ที่จริงแล้ว เมโลตรอนคือเครื่องเล่นเทปแม่เหล็กชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในรูปแบบของคีย์บอร์ด หรือจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษให้ชัดเจน มันคือ Tape Replay Keyboard กล่าวคือคีย์บอร์ดชนิดนี้ ใต้ของคีย์ทุกคีย์จะมีหัวอ่านเทปและสายเทปอยู่ เมื่อเรากดคีย์ใดคีย์หนึ่งหัวเทปก็จะทำการอ่านสายเทปออกมาเพื่อให้เกิดเป็นเสียงตามสายเทปเส้นนั้นๆ ซึ่งจากคุณสมบัตินี้ทำให้มันสามารถทำงานคล้ายๆ กับคีย์บอร์ดประเภทเปียโน และออร์แกน แต่สามารถให้เสียงออกมาเป็นเครื่องดนตรีสารพัดชนิดตามแต่ Tape Set ที่ถูกบรรจุอยู่ภายในนั่นเอง
มันสำคัญอย่างไร?ย้อนกลับไปเมื่อกลางยุค 60's ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อระหว่างดนตรี "New Rock" กับ Oldies Music ในยุคสมัยนั้น เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่ใช้ในการบันทึกเสียงหลักๆ มีอยู่เพียงไม่กี่ชนิด เปียโน ออร์แกนและตู้ลำโพงเลสลี่ ออร์แกนไฟฟ้า เปียโนไฟฟ้า เครื่องดนตรีประเภทซินธิไซเซอร์ที่เป็น Monophonic เพิ่งถูกพัฒนาขึ้น และเริ่มต้นนำมาใช้กับดนตรี Popular Music ทำให้ข้อจำกัดของเครื่องดนตรีประเภทนี้ยังมีอยู่มาก หากใครต้องการเสียงของเครื่องสาย ไวโอลิน เชลโล เสียงของวงเครื่องสาย เสียงของเครื่องเป่าทองเหลือง หรือเสียงประสานแบบไควร์ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือคุณต้องออกไปหานักดนตรีที่เล่นเครื่องดนตรีเหล่านี้ มาบันทึกเสียงจริงๆ ซึ่งมันยุ่งยากและเต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล การมาถึงของเมโลตรอน เครื่องดนตรีที่เป็นลักษณะของ Sample-Playback ชิ้นแรกของโลก รวมถึงเป็นคีย์บอร์ดประเภท Polyphonic ชิ้นแรกของโลกอีกด้วย ทำให้ข้อจำกัดที่กล่าวมาทั้งหมด ถูกทำลายจนหมดสิ้น ด้วยคีย์บอร์ดเครื่องนี้เครื่องเดียว คุณสามารถสร้างเสียงไวโอลิน เชลโล เครื่องเป่าทองเหลือง เครื่องเป่าลมไม้ เสียงประสานไควร์ และอื่นๆ ได้ด้วยนักดนตรีเพียงคนเดียวเท่านั้น ด้วยความที่มันสะดวกสบายและเป็นเครื่องดนตรีที่ล้ำยุค (ในสมัยนั้น) ทำให้มีศิลปินมากมายนำมันไปใช้กับงานดนตรีของตนเอง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นมาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มตั้งแต่ศิลปินคลาสสิคร็อคมากมายในช่วงปลายยุค 60's จนไปพีคเต็มที่กับศิลปินโปรแกรสสีฟร็อคในยุค 70's และศิลปินบางส่วนก็ยังนำเมโลตรอนมาใช้ในงานดนตรีจนถึงทุกวันนี้ ด้วยเนื่องจากความคลาสสิคของเครื่องดนตรีชนิดนี้ไม่เคยเสื่อมคลายลง เช่นวงอย่าง Anekdoten ยังใช้เมโลตรอนเป็นเครื่องดนตรีหลักในการบันทึกเสียงและออกทัวร์อยู่เสมอ
- Nicklas Barker นักร้องนำ/มือกีตาร์/มือคีย์บอร์ดของวง Anekdoten กำลังเล่นเมโลตรอนในคอนเสิร์ตงาน Melloboat 2008 ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม ปี 2008
- Tony Banks บนเวทีคอนเสิร์ตในช่วงยุค 70's กับเมโลตรอนรุ่น M400 ตัวสีขาวที่วางอยู่ทางด้านซ้ายมือของเขา (ตัวล่าง)
- ภาพที่อยู่ภายในของ Booklet อัลบั้ม The Six Wives of Henry VIII ของ Rick Wakeman ซึ่งภาพนี้แสดงให้เห็นถึงคีย์บอร์ดหลายชนิดที่เขาใช้ในการเล่นบันทึกเสียงในอัลบั้มนี้ สังเกตดีๆ จะเห็นเมโลตรอนรุ่น M400 สีขาวสองตัววางอยู่ใต้ Minimoog ทางด้านขวามือของริก
- Paul McCartney, John Bradley และ Martin Smith กับเมโลตรอนรุ่น FX Console
- Mike Pinder กับเมโลตรอนรุ่น Mark II ในช่วงยุคแรกเริ่มของวง Moody Blues
มันแตกต่างจากเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดอื่นๆ อย่างไรบ้าง?เจ้าเมโลตรอนนี้เป็นเครื่องดนตรีประเภท Sampler ชิ้นแรกของโลก ซึ่่งมันทำงานด้วยระบบกลไลแบบแมคคานิคล้วนๆ ต่างจากคีย์บอร์ดประเภท Sampler ที่ใช้กันอยู่ดาษดื่นในยุคสมัยนี้ ซึ่งการทำงานจะขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิตอลทั้งหมด อุปกรณ์ภายในเป็น Chipset ไดโอด ทรานซิสเตอร์ คาปาซิสเตอร์ เมมโมรี่ต่างๆ ในขณะที่เมโลตรอนนั้น จะมีก็แค่สายเทป หัวอ่าน ล้อหมุน และระบบกลไกแมคคานิคที่ทำงานเพื่อใ้ห้สายเทปสามารถสัมผัสกับหัวอ่านได้ สิ่งที่แตกต่างกันชัดเจนจึงมีหลายประการ ประการแรกคือเสียงของเมโลตรอน จะมีลักษณะขุ่นและไม่นิ่งเหมือนกับคีย์บอร์ด Sampler ในยุคปัจจุบัน เปรียบเทียบได้กับเสียงที่เล่นจากแผ่นซีดีกับเสียงที่เล่นจากแผ่นเสียง ซึ่งซีดีจะให้เสียงที่คมชัด สดใส และแน่นอน ในขณะที่เสียงจากแผ่นเสียงจะมีความอุ่น มีเสียงสั่นและเสียงรบกวนเล็กน้อย เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถเจาะจงได้หรอกครับว่า เสียงแบบไหนที่ดีกว่ากัน เสียงของเมโลตรอนที่ขุ่นและสั่น สามารถให้ความอภิรมย์กับผู้ฟังในแบบที่คีย์บอร์ดปัจจุบันทำไม่ได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากคุณต้องการความสดใสและชัดเจนของตัวโน๊ต คีย์บอร์ด Sampler ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องของความเสถียร เนื่องจากระบบการทำงานเป็นกลไกแมคคานิคแทบทั้งหมด ปัญหาต่างๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้จากการสึกหรอ การกระแทก หรือแม้แต่อุณหภูมิ ซึ่งจะกล่าวถึงอย่างละเอียดในหัวข้อต่อไป
ข้อจำกัดและปัญหาของเมโลตรอน?การขนย้ายเมโลตรอนเพื่อใช้ในการนำไปเล่นออกทัวร์ถือเป็นฝันร้ายอย่างหนึ่งเลยทีเดียว ปัญหาหลัีกๆ ของมันมีอยู่ด้วยกันสามประการด้วยกัน ประการแรกคือเนื่องจากกลไกทางแมคคานิคของมัน การขนย้ายจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ใ้ห้เกิดการกระแทก ทำให้เมโลตรอนเสียหาย แต่ปัญหานี้ถือว่าเป็นปัญหาที่เบาที่สุด เมื่อเทียบกับสองปัญหาสองอย่างที่เหลือ ปัญหาต่อมาของมันคือขนาดและน้ำหนัก เมโลตรอนรุ่นแรกๆ อย่างรุ่น Mark I/II หรือ M300 มีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัมต่อตัว โดยเฉพาะรุ่นแรกๆ มีน้ำหนักถึง 150 กิโลกรัมเลยทีเดียว ทำให้การขนย้ายเป็นไปอย่างยากลำบากมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลังจากรุ่น M400 เป็นต้นมา น้ำหนักของมันก็ลดลงเหลือเพียงประมาณ 50 กิโลกรัม แต่ถึงกระนั้นมันก็ถือเป็นเครื่องดนตรีที่มีน้ำหนักมากอยู่ดี สำหรับ Mark I/II หรือ M300 เป็นรุ่นที่มักจะถูกใช้งานในสตูดิโอเท่านั้น ไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้าย ในขณะที่รุ่นหลังๆ อย่าง M400 เป็นต้นมา สามารถพอที่จะเคลื่อนย้ายไปใช้ในการออกทัวร์ได้
ปัญหาอย่างสุดท้ายคือเรื่องของความไวต่ออุณหภูมิของมัน เนื่องจากสายเทปอาจจะยืดได้ เมื่อตัวเมโลตรอนอยู่ในอุณหภูมิที่สูงมากๆ เป็นเวลานาน (คล้ายๆ กับเทปเพลงยืด) และเมื่อตัวสายเทปยืด มันจะส่งผลให้ Pitch ของเสียงผิดเพี้ยนไป ทำให้เมื่อเวลาเล่นร่วมกับเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ จะเพี้ยน หรือสายเทปอาจจะยืดจนไม่สามารถใช้เล่นเลยก็เป็นได้ Blue Weaver มือคีย์บอร์ดของวง Strawbs กล่าวว่า ในคอนเสิร์ตหนึ่งของวง Strawbs เขาเตรียมเครื่องดนตรีทิ้งไว้บนเวทีแต่เนิ่นๆ บนเวที เมโลตรอนถูกวางแช่ทิ้งไว้ตากแดดตั้งแต่ตอนช่วงบ่ายๆ เมื่อคอนเสิร์ตเริ่มขึ้น เขาเดินขึ้นไปบนเวที แสงไฟค่อยๆ ฉายมาที่เขา และเขาก็กดคอร์ดลงบนเมโลตรอน แต่ว่าสายเทปยืดเสียแล้ว ทำให้เสียงออกมาเพี้ยนไปหมด ทำให้เขารู้สึกอับอายเป็นอันมาก มือคีย์บอร์ดของวง Tangerine Dream กล่าวว่า เมโลตรอนเป็นเครื่องดนตรีที่เพี้ยนง่ายมาก ทำให้ต้องจูนมันบ่อยๆ แทบจะเป็นสิบครั้งต่อหนึ่งรอบการแสดง ภายในเวลาสองชั่วโมง ส่วนวง King Crimson นั้นเคยขนเมโลตรอนออกทัวร์ไปด้วยถึงห้าตัวด้วยกัน แต่สุดท้ายมันก็เสียหายจนใช้การไม่ได้ทั้งหมด
- ภาพถ่ายของ Robert Fripp กับเมโลตรอนรุ่น M400 ในช่วงปี 1972
ประวัติความเป็นมาและการพัฒนาเมโลตรอนในช่วงแรกเริ่มในช่วงปลายยุค 40's ในแคลิฟอเนียร์ บุรุษนาม Harry Chamberlin ได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องดนตรีชนิดแรกที่ใช้หลักการของเทปบันทึกเสียง เครื่องดนตรีชิ้นนี้มีชื่อโมเดลว่า 100 Rhythmate ซึ่งมันประกอบไปด้วยเทปที่บันทึกเสียงลูปของแพทเทิร์นกลองในหลายๆ แพทเทิร์นเอาไว้ เจ้าเครื่องนี้เองอาจถือเป็นบรรพบุรุษของเครื่องดนตรีประเภท Sampler และ Drum Machine ในปัจจุบัน และในรุ่นโมเดลต่อมา 200 ไม่ได้ใช้แค่เพียงเทปบันทึกเสียงเท่านั้น แต่มันยังมีตัวแป้นคีย์บอร์ด ซึ่งสามารถให้เสียงได้หลากหลายทั้ง ฟลุ๊ต ไวโอลิน ไวบราโฟน และอื่นๆ และในรุ่นโมเดลต่อๆ มา (300/350, 400, 600/660...) ได้นำเอาเทปขนาด 3/8 นิ้ว จำนวนสามแทร็คมาใช้ เนื่องด้วยเทปขนาดเฉพาะนี้เองทำให้ Harry Chamberlin ได้กลายมาเป็นผู้จำหน่ายเทปในขนาดเฉพาะเพื่อใช้กับเครื่องดนตรีของเขาเท่านั้น ในรุ่นโมเดล 600 Music Master ต่อมา ถือเป็นรุ่นที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของเมโลตรอน เนื่องจากเป็นโมเดลแรกที่มีคีย์บอร์ดจำนวนข้างละ 35 คีย์ ถูกแบ่งแยกออกเป็นซ้ายและขวา โดยคีย์ทางฝั่งขวาจะใช้สำหรับเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ (เช่น ฟลุ๊ต, ไวโอลิน..) ส่วนฝั่งซ้าย ใช้สำหรับควบคุมภาคจังหวะ (เช่น บอซซ่า โนว่า, ชะ ชะ ช่า...) และระบบเดียวกันนี้เองถูกนำมาใช้ในอีกไปกี่ปีต่อมา กับเมโลตรอนรุ่นแรก Mark I
การผลิตอย่างจริงจังของ Chamberlins เริ่มต้นในช่วงต้นยุค 50's Harry Chamberlin ว่าจ้างชายคนหนึ่งที่ชื่อ Bill Fransen มาเป็นพนักงานขายเครื่องดนตรีของเขา หน้าที่ของ Bill คือช่วยเพิ่มยอดขายของสินค้า แต่อย่างไรก็ตามระบบการทำงานของเครื่องดนตรีของเขาก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์มากนัก เนื่องจากตัวกลไกยังไม่มีความเสถียรมากพอ และการผลิตก็ยังทำแบบที่เป็นสเกลขนาดเล็กอยู่ Bill Fransen จึงได้นำเอาเครื่อง Chamberlins 600 Music Master จำนวนสองตัว ไปที่ประเทศอังกฤษ เพื่อหาบริษัทหรือโรงงานผลิตที่สามารถจัดการกับหัวเทป Replay Head จำนวน 70 หัวเทปได้ Bill ได้พบกับพี่น้อง Bradley (Frank, Norman และ Leslie) ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท Bradmatics ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงปี 30's ผู้เชี่ยวชาญในด้านแมคคานิค แอมพลิฟลายด์ และหัวเทป Replay Head หลังจากตกลงกันแล้ว Bradmatics ก็ได้สร้างหัวเทป Replay Head จำนวน 70 หัวเทป ตามความต้องการของ Bill ได้สำเร็จ แต่พี่น้อง Bradley ก็ยังคงสงสัยว่าหัวเทปเหล่านี้จะถูกนำไปใช้งานยังไง Bill จึงได้แสดงเครื่อง Chamberlins สองเครื่องให้พวกเขาดู และก็เสนอให้พวกเขาช่วยเข้ามาพัฒนาเครื่องดนตรีชิ้นนี้ให้มีความเสถียรมากขึ้นและทำให้มันกลายเป็นสินค้าแบบ Mass Product พี่น้อง Bradley ตอบตกลงในทันที โดยที่ Bill ไม่รู้ว่าพวกพี่น้อง Bradley กำลังพยายามที่จะ "ขโมย" ดีไซน์และไอเดียต่างๆ ของ Harry Chamberlin ไป และหนึ่งปีหลังจากนั้น Chamberlin เริ่มรู้ข่าวและเดินทางไปที่ประเทศอังกฤษ ท้ายที่สุดเขาตกลงขายดีไซน์และไอเดียของเครื่องดนตรีชิ้นนี้ให้กับพี่น้อง Bradley ด้วยราคา 30,000 ปอนด์
- Bill Fransen (ซ้าย) และ Norman Bradley (ขวา)
- สามพี่น้องตระกูล Bradley เริ่มจาก Norman (ซ้าย), Frank (กลาง) และ Leslie (ขวา)
ประวัติและรายละเอียดของเมโลตรอนรุ่นต่างๆในปี 1963 เมโลตรอนรุ่นแรก Mark I ไำด้ถือกำเนิดขึ้น โดยชื่อของ "Mellotron" นำมาจากคำว่า "MELOdy ElecTRONics" มันใช้ระบบการทำงานเดียวกับเครื่อง Chamberlin แป้นคีย์บอร์ดถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านหนึ่งใช้สำหรับเป็นเสียงเครื่องดนตรีนำ ส่วนอีกด้านใช้สำหรับเสียงที่ให้จังหวะอื่นๆ ส่วนเทปที่ใช้เป็นเทป 3 แทร็คขนาด 3/8 นิ้ว
ในเดือนกันยายน เมโลตรอนถูกนำไปลงในสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อที่จะหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับการผลิต Eric Robinson ผู้นำของวงออเครสตร้า, David Nixon นักมายากล และนักธุรกิจอีกบางส่วน ได้ร่วมกันมาลงทุนในธุรกิจเมโลตรอนนี้
พี่น้อง Bradley ได้ย้ายไปอยู่ที่เมือง Bimingham เพื่อเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่นั่น และตั้งชื่อโรงงานและกิจการใหม่ว่า Streetly Electronics
ในขณะเดียวกัน Eric Robinson ก็ได้เิปิดสำนักงานขายในลอนดอนในชื่อ Mellotronics เขายังรับหน้าที่ในการบันทึกเสียงมาสเตอร์เทปที่ใช้กับเมโลตรอนอีกด้วย เครื่องโอนถ่าย-แปลงเทป ถูกสร้างขึ้นสองเครื่องเพื่อที่จะโอนถ่ายเทปให้กลายเป็นเทปขนาด 3/8 นิ้ว เพื่อใช้สำหรับเครื่องเมโลตรอน โดยตัวหนึ่งอยู่ที่ร้าน Mellotronics ในลอนดอน ส่วนอีกตัวหนึ่งอยู่ที่โรงงาน Streetly Electronics
ถึงแม้ว่าเมโลตรอน Mark I จะเป็นรุ่นปรับปรุงของเครื่อง Chamberlin แต่มันก็ยังคงไม่ค่อยมีความเสถียรมากเท่าที่ควร
ในปี 1964 รุ่น Mark II ก็ได้ออกวางจำหน่าย ซึ่งมันก็คือเวอร์ชั่นปรับปรุงของรุ่น Mark I นั่นเอง
ในช่วงเวลานี้ Mike Pinder ได้ทำงานอยู่ที่โรงงาน Streetly Electronics เป็นเวลาทั้งสิ้น 18 เดือนด้วยกัน หน้าที่ของเขาคือคอยตรวจสอบและควบคุมคุณภาพในการผลิตเมโลตรอน รวมไปถึงการทดสอบเครื่องเมโลตรอนด้วย ในที่สุดเขาก็ตกหลุมรักเสียงของเมโลตรอน และตัดสินใจนำมันไปใช้กับวงดนตรีที่เขาฟอร์มขึ้นมาหลังจากที่เขาออกจาก Streetly Electronics วงนี้คือวง The Moody Blues เพลงฮิตที่พวกเขาบันทึกเสียงด้วยเมโลตรอนเป็นเพลงแรกคือเพลง Love and Beauty ในปี 1967 และเมโลตรอนก็ได้กลายมาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับดนตรีของ The Moody Blues ภายในเวลาต่อมา
Mike Pinder มีไอเดียที่จะนำเทปเสียงของเครื่องดนตรีนำแบบที่อยู่ื่ทางแป้นคีย์บอร์ดฝั่งขวา ไปใส่เพิ่มแทนเทปเสียงที่ให้จังหวะทางแป้นคีย์บอร์ดทางฝั่งซ้าย ผลลัพธ์ที่ได้คือมันสามารถให้เสียงของเครื่องดนตรีหลายชนิดรวมกันได้ 36 ชนิดเครื่องดนตรี
Mike Pinder ยังเป็นผู้แนะนำวงเดอะบีทเทิลส์ให้รู้จักกับเมโลตรอนด้วย หลังจากที่เขาพบกันครั้งแรกกับ จอห์น, พอล, จอร์จ และริงโก้ พวกเขาก็มีเมโลตรอนประจำเป็นของพวกเขาเอง เพลงของเดอะบีทเทิลส์ที่โด่งดังที่สุดที่มีการนำเมโลตรอนมาใช้งานคือเพลง Strawberry Fields Forever ในปี 1967 ซึ่งมีอินโทรเป็นเสียงของฟลุ๊ตที่เล่นด้วยเมโลตรอนด้วยฝีมือของพอล แมคคาร์ทนี่ย์
ในปี 1965 วง Graham Bond Organization ถือเป็นวงดนตรีแรกที่บันทึกเสียงซิงเกิ้ล Lease on Love และอัลบั้ม There's a Bond Between Us ด้วยเมโลตรอน อีกซิงเกิ้ลที่มีการนำเมโลตรอนมาใช้ในช่วงยุคแรกๆ เป็นของ Manfred Mann's Semi-Detached ในปี 1966 และต่อมาภายหลัง ก็มีวงดนตรีชื่อดังอีกหลายวงที่นำเอาเมโลตรอนไปใช้ในการบันทึกเสียง เช่น The Rolling Stones, The Kinks และ Pink Floyd
ถือเป็นครั้งแรกที่เครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวสามารถให้เสียงที่ใกล้เคียงกับเสียงของวงเครื่องสาย วงเครื่องเป่าทองเหลือง ไวบราโฟน และอื่นๆ ได้ และยิ่งไปกว่านั้น เสียงของมันถือเป็นเสียงประเภท Polyphonic ล้วนๆ ซึ่งในขณะนั้นคีย์บอร์ดประเภทอื่นๆ ก็จะมีแค่ ออร์แกนไฟฟ้า (Hammond, Vox, Farfisa,...) เปียโนอคูสติกและเปียโนไฟฟ้า (Rhodes, Wurlitzer,...) และซินธิไซเซอร์แบบ Monophonic รุ่นแรกๆ เท่านั้น
แม้แต่ BBC ก็ยังมีความสนใจในเมโลตรอน จึงได้มีการผลิตเมโลตรอนรุ่น FX Console ขึ้นมาในปี 1965 โดยมันเป็นเวอร์ชั่นที่มีการปรับปรุงทางเทคนิคเพิ่มขึ้นไปอีกจากรุ่น Mark II มันสามารถให้เสียงซาวน์เอฟเฟคต์ได้มากถึง 1260 เสียง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาใช้ให้เสียงประกอบในรายการทางวิทยุและโทรทัศน์
ในปี 1968 โมเดลใหมรุ่นต่อมาได้ถือกำเนิด M300 เมโลตรอนรุ่นนี้มีแป้นคีย์บอร์ดทั้งหมด 52 คีย์ และไม่ได้ถูกแบ่งส่วนเป็นสองฝั่งดังเช่นรุ่นก่อนๆ ทั้งสองส่วนร่วมกันเป็นส่วนเดียว มันมี Library เทปชุดใหม่ซึ่งให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเดิม ถึงแม้ว่ามันดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเมโลตรอนรุ่นเก่าที่แสนจะจุกจิกและมีน้ำหนักมากอย่างรุ่น Mark II แต่ M300 ก็จะยังมีน้ำหนักที่ค่อนข้างมากอยู่ดี (137 กิโลกรัม!) ซึ่งลำบากต่อการขนย้าย และยิ่งไปกว่านั้น มันมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับระบบกรอเทป ทำใ้ห้เกิดปัญหาตามมามากมาย และในท้ายที่สุดมันถูกผลิตออกมาเพียงแค่ 60 ตัวเท่านั้น
ในปี 1970 เป็นปีแห่งการมาถึงของรุ่น M400 เมโลตรอนรุ่นที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดของบริษัท Streetly Electronics เมโลตรอนรุ่นนี้ถือเป็นเมโลตรอนรุ่นแรกที่มีความเหมาะสมกับการขนย้ายได้ และทางกลไกก็มีความซับซ้อนน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ และเสียงของมันก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ชุดเทป Library ที่ติดตั้งมากับตัวเครื่องอีกต่อไป เนื่องจากมันใช้ระบบ Tape Frame ที่สามารถถอดเปลี่ยนชุดของเทปได้ โดยแต่ละ Tape Frame สามารถให้เสียงที่แตกต่างกันได้ 3 เสียง ถ้าหากต้องการเปลี่ยน Library สิ่งที่ต้องทำก็คือทำการเปลี่ยน Tape Frame และท้ายที่สุดคือปัญหาเรื่องความไม่เสถียรของระบบก็ถูกแก้ไขให้หมดไปแทบหมด
ตั้งแต่ช่วงปลายยุค 60's เป็นต้นมา เมโลตรอนถูกนำมาใช้งานแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะกับวงอย่าง Genesis, Yes และ King Crimson ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวงที่กำลังอยู่ใน Trend ของแนวดนตรีแบบใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า "Progressive Rock" และด้วยความที่เมโลตรอนเป็นเครื่องดนตรี Polyphonic ซาวน์ของมันทั้งให้อารมณ์เคลิบเคล้ม เศร้าโศก เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงไหล และมีความเป็น Dramatic ทำให้เสียงของเมโลตรอนเข้ากันกับดนตรีแนวนี้ได้เป็นอย่างดี
และด้วยความสำเร็จของมันทำให้เมโลตรอนถูกนำไปขายในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1972 ด้วย โดยบริษัท Dallas Arbiter (ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Dallas Music Industries)
ในปี 1975 เมโลตรอนรุ่น Mark V ออกว่าจำหน่าย ซึ่งมันคือเมโลตรอนรุ่น M400 สองตัวที่ถูกจับรวมเข้ากันไว้ในตู้ใบเดียว และเพิ่ม Spring Reverb เข้าไป
และด้วยสาเหตุปัญหาทางด้านการเงิน Dallas Arbiter ได้ล้มละลายไปในปี 1977 และนำมาซึ่งการปิดตัวของ Mellotronics ที่กรุงลอนดอนในเวลาต่อมา และเนื่องด้วยปัญหาทางด้านกฎหมายในการแย่งชื่อของเมโลตรอนกัน Streetly Electronics จึงต้องยอมเสียชื่อเมโลตรอนไป และในภายหลังได้ทำการผลิตเมโลตรอนออกวางจำหน่ายภายใต้ชื่อใหม่ "Novatron" ในขณะที่เจ้าของเก่าของบริษัท Dallas Arbiter นาม Bill Eberline ได้สร้างบริษัทที่ชื่อ Sound Sales ขึ้นมาใหม่และดำเนินการขายเครื่องดนตรีชนิดนี้ต่อไปภายใต้ชื่อ "Mellotron" !
ในปี 1981 เมโลตรอนรุ่น 4 Track ซึ่งเป็นเมโลตรอนสัญชาติอเมริกันตัวแรกได้เปิดตัวขึ้น โดยใช้คอนเซปต์เดียวกันรุ่น M400 โดยรุ่น 4 Track มีการปรับปรุงข้อบกพร่องต่างๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ค่อยรุ่นที่ดีนัก สาเหตุเนื่องมาจากเทปบันทึกเสียงที่มีคุณภาพแย่ของมัน
ในช่วงต้นยุค 80's เครื่องดนตรีประเภท Electric Sampler ชนิดแรกถือกำเนิดขึ้น ชื่อของมันคือ Fairlight หรือ Emulator II แต่ถึงแม้ว่ามันจะแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากในยุคนั้น แต่คุณภาพเสียงของมันก็อยู่ในระดับแย่ และมันก็สามารถบันทึกเสียงได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น อย่างไรก็ตามการพัฒนาของมันก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเครื่องดนตรีประเภทนี้ขึ้นมาใหม่อีกมากมาย ที่มีคุณภาพเสียงที่ดีกว่า และราคาถูกลงไปอีก (Akai, Roland,...) ซึ่งนั้นทำให้เมโลตรอนและโนวาตรอนมาถึงจุดจบในที่สุด และ Streetly Electronics ก็ปิดตัวลงในปี 1986
ในปี 1990 David Kean ได้ทำการซื้อชิ้นส่วนอะไหล่และเทปของ Mellotronics ไปทั้งหมด รวมถึงซื้อลิขสิทธิ์ของชื่อ "Mellotron" ไปด้วย เพื่อสร้าง Mellotron Archives สำหรับช่วยเหลือแฟนๆ ของเครื่องดนตรีชนิดนี้ ปัจจุบัน Mellotron Archives ตั้งอยู่ในประเทศแคนาดา
ภายหลังในอีกไม่กี่ปีต่อมา ในชานเมืองของ Birmingham ลูกชายของ Leslie Bradley นาม John Bradley ได้เปิดบริษัท Streetly Electronics ขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อเดียวกับโรงงานแรกที่ผลิตเมโลตรอนในอดีต ร่วมกับเพื่อนของเขาที่ชื่อ Martin Smith ซึ่งบริษัทนี้รับซ่อมแซม ฟื้นสภาพ และขายอุปกรณ์อะไหล่และเทปสำหรับเมโลตรอนทุกรุ่น
Leslie Bradley ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเมโลตรอน เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 15 มกราคม ปี 1997
ในปี 1998 David Kean เจ้าของ Mellotron Archives กับเพื่อนชาวสวีเดนของเขาที่ชื่อ Markus Resch ได้ประดิษฐ์คิดค้นเมโลตรอนรุ่นใหม่ออกมาในชื่อ Mark VI โดยใช้ระบบการทำงานเดียวกับรุ่น M400 แต่มีการปรับปรุงต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย เช่น เปลี่ยนจากปรีแอมป์ที่เป็นทรานซิสเตอร์มาเป็นปรีแอมป์หลอด ตัวเคสไม้ที่มีน้ำหนักเบาลง และมีระบบความคุมสปีดสองระดับของมอเตอร์ด้วย
เมโลตรอนรุ่นที่เป็นแป้นคีย์บอร์ดแบบสองด้านโดยใช้เมโลตรอนรุ่น Mark V มาวางคู่กันในกล่องไม้กล่องเดียวกลับมาอีกครั้ง เมโลตรอนแบบแป้นคีย์บอร์ดคู่นี้ออกวางจำหน่ายในชื่อ Mark VII
เป็นเวลา 20 ปี หลังจากที่การผลิตเมโลตรอนหยุดลงไปในปี 1986 Streetly Electronics เปิดตัวโมเดลใหม่ในเดือนพฤษภาคมของปี 2007 ในชื่อ M4000 โดยที่ M4000 เป็นโมเลตรอนรุ่นแรกในรอบ 40 ปีที่มีระบบวงจรเทปที่หมุนเป็นรอบวงกลม ซึ่งเป็นระบบแบบที่มีในเมโลตรอนรุ่นเก่าๆ เช่น Mark I, Mark II, SFX และ M300 โดยระบบวงจรเทปที่หมุนเป็นรอบวงกลมนี้ถูกเลิกใช้งานไปในรุ่น M400 ในปี 1970 และเมโลตรอนแบบแป้นคีย์บอร์ดคู่ออกวางจำหน่ายตามมาในชื่อ M5000