ผมมีความคิดอยู่ประเด็นหนึ่ง (ซึ่งบางท่านอาจคิดเหมือนผม) คือ ได้สังเกตมานานแล้วว่า ในการทดสอบเครื่องเสียงเพื่อเขียนบทวิจารณ์ลงในหนังสือหรือสื่อใดก็ตามนั้น นักวิจารณ์แทบจะร้อยละหนึ่งร้อยมักใช้แผ่นเสียงหรือซีดีที่มีคุณภาพการบันทึกเสียงเยี่ยมเป็นตัวอ้างอิงกันทั้งนั้น ผมไม่เคยเห็นนักวิจารณ์คนใดใช้สื่อ (แผ่นเสียง ซีดี) ที่มีคุณภาพเสียงแย่หรือห่วยแตกในการทดสอบเครื่องเสียงเลย ซึ่งอันที่จริงแล้วพวกเขาควรจะใช้สื่อประเภทหลังนี้ในการทดสอบเครื่องเสียงมากกว่า -- ทำไมหรือครับ? -- ก็เพื่อที่เขาจะได้สามารถบอกได้ว่า เครื่องเสียงที่เขากำลังทดสอบและวิจารณ์อยู่นั้นสามารถทำให้แผ่นที่บันทึกเสียงมาไม่ดีกลับดูน่าฟังขึ้นมาได้ (อันนี้ผมว่าน่าจะเป็นความสามารถหลักของเครื่องเสียงที่ดี) ถ้าใช้แผ่นที่บันทึกเสียงดีอยู่แล้ว ถ้าได้เครื่องเสียงดี อะไรทุกอย่างมันก็ยิ่งดีไปใหญ่ ผมคิดว่ามันไม่ท้าทายและไม่ใช่การเผยศักยภาพที่ดีของเครื่องเสียงนั้นเลย เครื่องเสียงที่ดีต้องทำให้สื่อที่บันทึกเสียงมาแย่เกิดเสียงที่น่าฟังขึ้นได้ เพราะในความเป็นจริงเพลงที่เราชื่นชอบและฟังกันส่วนใหญ่ก็บันทึกเสียงมาในยุคที่มาสเตอร์เทปไม่ค่อยจะสมบูรณ์และเทคโนโลยีการบันทึกเสียงไม่ก้าวหน้านัก ผมสงสัยว่าทำไมนักทดสอบและวิจารณ์เครื่องเสียงส่วนใหญ่ไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ชอบที่จะเลือกเอาอัลบั้มเพลงที่มีคุณภาพการบันทึกเสียงดีแต่ไม่ใช่เพลงที่คนทั่วไปชื่นชอบและฟังกัน (ซึ่งมักเรียกกันว่าแผ่นออดิโอฟาย) มาเป็นตัวอ้างอิงในการทดสอบเครื่องเสียงกันนัก? เพราะอันที่จริงแล้ว เครื่องเสียงที่เขากำลังทดสอบและบอกว่าดีนั้นมันควรจะเล่นแผ่นที่คุณภาพเสียงแย่ให้ได้เสียงที่น่าฟังมากกว่า
ใครมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้บ้างครับ?
เรื่องการทดสอบเครื่องเสียงนั้น ต้นสัญญาณที่บันทึกเสียงที่ดีนั้นมีส่วนสำคัญในการอ้างอิงกับชุดซีสเต็มนั้นๆเหมือนกัน หากว่าใช้ซีดีหรือแผ่นเสียง
ที่บันทึกเสียงมาไม่ได้พอคือแย่ๆแบบที่พี่ปีศาจฯ ว่าไว้เราก็ไม่อาจรู้ว่าเครื่องเสียงชิ้นนั้นๆ มีคุณภาพเสียงที่แท้จริงเป็นเช่นใดในเมื่อต้นทางให้
คุณภาพเสียงไม่ดีมาตั้งแต่ต้น อันนี้จะไม่กล่าวถึงแนวดนตรีที่ผู้วิจารณ์ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว ฉะนั้นเราจะเห็นว่านักวิจารณ์เครื่องเสียงมัก
จะใช้แผ่นซีดีหรือแผ่นเสียงที่บันทึกเสียงมาดีอย่างเช่นแผ่นออดิโอไฟล์ นำมาอ้างอิงเสมอ จึงทำให้แผ่นพวกนี้จะมีราคาแพงเพราะบันทึกเสียงมาดี
บางคนซื้อเพราะแผ่นอัดดี มากกว่าจะชื่นชอบกับตัวผลงานดนตรีด้วยซ้ำไป
ผมจะขอก็อปข้อความที่ผมเขียนโพสต์ไว้ในเฟชบุ๊คเพจ ตาดู-หูฟัง
เปรียบ 3 อัลบั้มที่เป็นผลงาน soundtrack เหมือนๆกัน แต่มีราคาแผ่นที่แตกต่างกันมีเหตุผลง่ายๆเพราะแผ่นที่มีราคาแพงบันทึกเสียงดีกว่าเท่านั้น
นักวิจารณ์หรือคนเล่นเครื่องเสียงมักจะไม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของดนตรีไงล่ะ
อัลบั้ม Casino Royale (1967) - soundtrack
อัลบั้ม Tootsie (1982) Soundtracks
อัลบั้ม An Officer and a Gentleman (1982) Soundtracks
หนังทั้ง 3 เรื่องนี้มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ มาว่ากันเริ่มจาก Casino Royale (1967) คือเรื่อง เจมส์ บอนด์ นิยายตอนแรกของ Ian Fleming ที่เขียนไว้ แต่ไม่ได้ถูกมาสร้างเป็นหนังตอนแรก เพราะเจ้าตัวได้ขายลิขสิทธิ์เรื่องนี้ให้เจ้าอื่นไปก่อนที่ Broccoli จะได้ซื้อลิขสิทธิ์ทั้งหมดมาสร้างเป็นภาพยนตร์ หนังเจมส์ บอนด์ภาคแรกจึงคือเรื่อง Dr. No(1962) นั่นเอง ซึ่งต่อมาเมื่อปี 2006 จึงได้สิทธิ์นำเรื่อง Casino Royale นำกลับมาสร้างพร้อมเปิดตัวสายลับเจมส์ บอนด์ คนใหม่รับบทโดย Daniel Craig แต่เรื่อง Casino Royale เคยถูกนำสร้างเป็นหนังตลกล้อเลียนเจมส์ บอนด์ โดยมีดาราดังๆรุ่นใหญ่ในยุดนั้นมาร่วมแสดงด้วยมากมายอย่างเช่น Peter Sellers, David Niven, Orson Welles, John Huston, Woody Allen, Ursula Andress ฯลฯ เป็นหนังบอนด์ ที่ถูกยำเลอะเทอะที่สุดใครที่เป็นแฟนหนังของบอนด์คงรับไม่ได้ ตัวหนังมีดีเพียงอย่างเดียวน่าจะเป็นดนตรีประกอบโดยเฉพาะอัลบั้ม soundtrack ผลงานของ Burt Bacharach และเป็นเรื่องที่แปลกมีคนมากมายที่ชื่นชอบอัลบั้มชุดนี้โดยที่ไม่เคยดูภาพยนต์เรื่องนี้มาก่อนเลยแฮะ อาจจะเห็นว่ามีนักวิจารณ์เครื่องเสียงชื่นชมกันกันนักหนา Tootsie (1982) หนังของผู้กำกับ Sydney Pollack เรื่องนี้ของจริงเป็นหนังรัก Comedy ที่ได้นักแสดงคุณภาพอย่าง Dustin Hoffman รับบทเป็นดาราประกอบตกงานที่ปลอมตัวเป็นผู้หญิงเพื่อจะหางานแสดงกับบท โดโรธี ของรายการละครทีวีภาคกลาง ดันเกิดตกหลุมรัก จูลี่ เพื่อนนักแสดงสาวสวยรับบทโดย Jessica Lange เมื่อปีนั้นถือว่าเป็นปีทองในอาชีพการแสดงของเธอเลยก็ว่าได้เพราะมีหนังเข้าชิงรางวัลออสก้าร์พร้อมกันทั้ง 2 เรื่อง Frances (1982) หนังของผู้กำกับ Graeme Clifford เธอรับบทเป็น Frances Farmer ดาราดังในอดีตที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ บทบาทที่โดดเด่นมากเข้าชิงนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ผมเคยดูเรื่องนี้จากโรงรอเป็นบูลเรย์อยู่ ตอนนั้นเชียร์อยากให้ เจสสิก้า แลงจ์ ชนะชอบเธอจากเรื่อง The Postman Always Rings Twice มากเล่นประกบแจ็ค นิโคลสัน ฉากเซ็กซ์อันร้อนแรงบนโต๊ะแบบไม่ต้องโป๊จำได้ติดตาอยู่ทุกวันนี้ แพ้กับ Meryl Streep จากเรื่อง Sophie's Choice ต้องยอมเธอรับบทหนักมากเป็นแม่ที่ ต้องเลือกว่าจะเสียลูกชายหรือลูกสาวให้กับทหารฝ่ายนาซีเอาไปฆ่า ตอนที่ดูฉากนี้ที่เธอต้องเลือกว่าจะให้ลูกสาวซึ่งยังเล็กอยู่หรือลูกชายซึ่งโตกว่าหน่อย ใจผมคิดว่าเธอต้องให้ลูกชายเพราะลูกสาวยังเล็กอยู่ หารู้ไม่เธอส่งลูกสาวที่กำลังอุ้มอยู่ส่งให้ทหารนาซีแบบว่าเธอร้องไห้เห็นแล้วน่าสงสารมาก มาเข้าใจที่หลังว่าเพราะลูกสาวยังเล็กไม่สามารถช่วยตัวเองได้ในค่ายกักขังชาวยิวแบบนี้ลูกชายโตกว่ายังพอสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ส่วนบทโดโรธี จากเรื่อง Tootsie ชิลๆเข้าชิงสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ได้รางวัลนี้ไป ส่วนดนตรีประกอบเป็นผลงานของ Dave Grusin ยอดเยี่ยมมาก ที่จะลืมไม่ได้คือเพลง It Might Be You ร้องโดย Stephen Bishop ไพเราะเหลือหลาย ในปีนั้นยังมีหนังที่เป็นคู่แข่งเรื่อง An Officer and a Gentleman หนังของผู้กำกับ Taylor Hackford มาแรงทั้งหนังและดนตรีประกอบเหมือนกัน เป็นหนังแจ้งเกิดให้กับพระเอกสุดหล่อ Richard Gere กับบทนักเรียนนายเรือชุดขาวทั้งหล่อทั้งเท่ห์เรียกว่าสมัยนั้นจัดว่าเป็นขวัญใจของสาวๆ เพลงประกอบนั้นประสบความสำเร็จไม่แพ้ตัวหนัง Up Where We Belong ร้องโดย Joe Cocker กับ Jennifer Warnes แจ้งเกิดให้กับนักร้องสาว Jennifer Warnes เช่นกันหนังได้รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม Louis Gossett, Jr.รับบทเป็นครูฝึกจอมโหดและรางวัลสำคัญคือเพลงยอดเยี่ยมด้วย ทั้ง 3 อัลบั้ม soundtrack ถ้าวัดคุณค่าทางดนตรีย่อมเหมือนๆกัน หากนำตัวหนังมาเปรียบเทียบเรื่อง Casino Royale (1967) นั้นห่วยแตกที่สุด มีเรื่องที่แปลกแต่เป็นเรื่องจริง ว่าทำไมราคาแผ่นเสียงจึงมีความแตกต่างกันคงจะทราบกันอยู่แล้วว่าแผ่นเสียง soundtrack เรื่องใดมีราคาแพงกว่ากันแฮะ
หมายเหตุ: ลงรูปที่โพสต์มาไม่เป็น วานพี่ปีศาจฯ ช่วยหารูปแผ่นเสียง 3 อัลบั้มมาลงประกอบเรื่องด้วย เผื่อหลายๆท่านที่เข้ามาอ่านจะได้
เห็นรูปปกแผ่นเสียงด้วยแฮะ