Layla F Mulder
|
|
« เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 01:46:16 PM » |
|
กระทู้นี้เอาไว้คุยเรื่องอุปกรณ์และซาวน์ของ John Mayer กับน้องตองครับ ใครจะร่วมแจมก็เชิญได้เลยครับ พอดีว่าน้องเค้าสนใจซาวน์แบบ John Mayer ซึ่งผมเองก็ชอบนายคนนี้เหมือนกันครับ JM เป็นมือกีตาร์ที่อายุยังน้อยมาก แต่สามารถมีกีตาร์รุ่น Signature ของตัวเองกับ Fender ได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ครับ ฝีมือของกีตาร์ก็ไม่ต้องพูดถึง ผมว่าเค้ามีข้อเสียอย่างนึงนะครับ ตรงที่.... เค้าหล่อน้อยกว่าผมนิดนึง ถ้าพัฒนาตรงนี้ขึ้นมาได้จะเป็นมือกีตาร์ที่สุดยอดมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Layla F Mulder
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 01:53:06 PM » |
|
เอฟเฟคต์บอร์ดของ JM สมัยปี 2005 ตอนที่เค้ายังไม่ใช้ MIDI Control Board ตัวเขียว แถวล่าง ซ้ายสุด Ibanez Tube Screamer TS-808 ตัวสีฟ้าตัวที่สอง แถวล่าง Boss Blues Driver BD-2 Keeley Phat Mod ตัวสีขาว ตัวที่สาม แถวล่าง Keeley Katana Boost ตัวขวาสุด แถวล่าง สีขาว Boss TU-2 Tuner ตัวสีฟ้า แถวบนขวาสุด Way Huge Aqua-Puss Analog Delay เลิกผลิตไปตั้งแต่ปี 2001 แล้วครับ ตัวสีน้ำตาล แถวบน T.Rex Replica Delay และ Wah ของ RMC รุ่นอะไรก็ไม่รู้ ผมดูไม่ออก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Layla F Mulder
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 01:54:13 PM » |
|
ในทัวร์ล่าสุด พี่แกเปลี่ยนมาใช้ MIDI Board Controller แบบนี้แล้วครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Layla F Mulder
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 02:21:46 PM » |
|
กีตาร์เหล่านี้คือตัวที่เค้าใช้ในทัวร์ล่าสุด จะเห็นได้ในดีวีดี Where The Light Is ตัวโทรมๆ นั่น เข้าใจว่าเป็น Heavy Relic นะครับ เพราะถ้ามันเป็นของเก่าจริง คอคงไม่ใหม่ขนาดนี้ ทุกตัวน่าจะมีสเปคใกล้ๆ กับ JM Signature ของเค้า ซึ่งต้นแบบมาจาก Strat ปี 1962 อีกที
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
.. polotoon ..
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 02:33:23 PM » |
|
ผมว่าเค้ามีข้อเสียอย่างนึงนะครับ ตรงที่.... เค้าหล่อน้อยกว่าผมนิดนึง ถ้าพัฒนาตรงนี้ขึ้นมาได้จะเป็นมือกีตาร์ที่สุดยอดมากครับ ถ้าเช่นนั้นล่ะก็ คงไม่มีวันตามทันคุณ Agent แน่เลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
ไอแอมตองสาม
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 06:50:26 PM » |
|
Midi Board Controller นี่เอาไว้ทำอะไรหรอครับ เห็นหลายคนแล้ว มันคืออะหยังครับ เพิ่มเติมนิดหน่อยครับ สำหรับตัวสีเทาๆ ขวาสุดลายแถบ ตัวนั้นมีคนไทยเป็นเจ้าของด้วยครับ ผมเคยเห็นที่บอร์ด Guitarist ผลิตออกมาน้อยมากๆ ครับ ส่วนตัวที่ลายเยอะๆ สวยๆ นั่น ป๋าจอห์นเอาไว้เล่น Waiting On The World To Change ใน Where The Light Is ครับ เสียงจะใสๆ น่าฟังดีครับ มันคือรุ่น Fender Jimi Hendrix Monterey Pop Festival Custom Shop Replica Stratocaster ครับ ผลิตออกมาในปี 1997 ครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ตุลาคม 2008 | 07:01:08 PM โดย ไำอแอมตองสาม »
|
บันทึกการเข้า
|
ขออภัย ต่อไปจะไม่ล่้วงเกิน.
|
|
|
ไอแอมตองสาม
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 06:54:39 PM » |
|
อ้อ เกือบลืม เขามี Signature กับ Martin ด้วยแหละ เหลือเชื่อมาก อายุแค่นี้ มี Signature ถึงสองยี่ห้อ นี่เป็นรุ่น OM-28 เน้อ เขาใช้สาย Ernie Ball Power Slinky เบอร์ .011 นะครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ตุลาคม 2008 | 07:00:04 PM โดย ไำอแอมตองสาม »
|
บันทึกการเข้า
|
ขออภัย ต่อไปจะไม่ล่้วงเกิน.
|
|
|
Layla F Mulder
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 06:59:44 PM » |
|
Midi Board Controller นี่เอาไว้ทำอะไรหรอครับ เห็นหลายคนแล้ว มันคืออะหยังครับ เพิ่มเติมนิดหน่อยครับ สำหรับตัวสีเทาๆ ขวาสุดลายแถบ ตัวนั้นมีคนไทยเป็นเจ้าของด้วยครับ ผมเคยเห็นที่บอร์ด Guitarist ผลิตออกมาน้อยมากๆ ครับ ส่วนตัวที่ลายเยอะๆ สวยๆ นั่น ป๋าจอห์นเอาไว้เล่น Waiting On The World To Change ใน Where The Light Is ครับ เสียงจะใสๆ น่าฟังดีครับ โดยปรกติเอฟเฟคต์บอร์ดทั่วไปจะมีเพดัลอยู่หลายอันใช่ไหมครับ ในแต่ละเพลงก็จะมีการเซ็ทต่างกัน เพลงนี้ใช้ตัวโน้น เพลงนี้ใช้ตัวนี้ผสมกับโน้น เพลงนั้นใช้ตัวนั้นผสมกับตัวนี้ etc.. ทีนี้ถ้าเราใช้เอฟเฟคต์บอร์ดแบบธรรมดา เราต้องจำให้ได้ว่าเพลงไหนจะใช้ตัวไหนบ้าง แล้วก็มานั่งเปิดปิดมันทีละตัวตามที่เราต้องการ ถ้าอยากผสมเสียงก็ต้องมายืนเหยียบปิด/เปิดเองทีละตัว แต่ถ้าเรามี Midi Control Board เราสามารถตั้ง Present เป็น Part หรือเป็นเพลงได้เลย ด้วยการกดเหยียบเพียงครั้งเดียว เสียงก็จะเปลี่ยนไปทั้งหมดเลย(คล้ายกับการตั้ง Memory เซ็ทพวกเครื่องเสียงนั่นแหละครับ) อย่างเดฟตอนทัวร์ปี 1994 ก็ใช้ Midi Control Board เช่นกัน เดฟจะเมมโมรี่ชื่อเพลงเอาไว้ อยากเล่นเพลง Sorrow ก็กดปุ่ม ก็จะมีไฟแสดงตัวหนังสือขึ้นมาว่า "Sorrow" ตามเพลงนั้นๆ เลย ซึ่งข้อดีคือมันสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องมาเปลืองสมองจำเซ็ทติ้ง และไม่ต้องเมื่อยเท้าเหยียบครับ ข้อเสียคือมันไม่ยืดหยุ่นเท่ากับการเหยียบทีละตัว การเปลี่ยนค่าต่างๆ ก็ยุ่งยากครับ เพราะต้องไปเซ็ทเอาที่ Rack ปรกติมือกีตาร์ที่ใช้เจ้านี้มักจะเป็นมือโปรแล้วครับ คือประเภททัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกอะไรอย่างนั้น เพราะยุ่งยากซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูงครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Layla F Mulder
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 07:01:06 PM » |
|
อ้อ เกือบลืม เขามี Signature กับ Martin ด้วยแหละ เหลือเชื่อมาก อายุแค่นี้ มี Signature ถึงสองยี่ห้อ นี่เป็นรุ่น OM-28 เน้อ เขาใช้สาย Ernie Ball Power Slinky เบอร์ .011 นะครับ กีตาร์ Martin รุ่น OM-28 ตัวนี้ผมเคยเห็นตัวจริงแขวนอยู่ในร้าน Music Collection ราคารู้สึกจะอยู่ที่ 115,000 บาทนะ ถ้าจำไม่ผิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ไอแอมตองสาม
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 07:06:08 PM » |
|
Midi Board Controller นี่เอาไว้ทำอะไรหรอครับ เห็นหลายคนแล้ว มันคืออะหยังครับ เพิ่มเติมนิดหน่อยครับ สำหรับตัวสีเทาๆ ขวาสุดลายแถบ ตัวนั้นมีคนไทยเป็นเจ้าของด้วยครับ ผมเคยเห็นที่บอร์ด Guitarist ผลิตออกมาน้อยมากๆ ครับ ส่วนตัวที่ลายเยอะๆ สวยๆ นั่น ป๋าจอห์นเอาไว้เล่น Waiting On The World To Change ใน Where The Light Is ครับ เสียงจะใสๆ น่าฟังดีครับ โดยปรกติเอฟเฟคต์บอร์ดทั่วไปจะมีเพดัลอยู่หลายอันใช่ไหมครับ ในแต่ละเพลงก็จะมีการเซ็ทต่างกัน เพลงนี้ใช้ตัวโน้น เพลงนี้ใช้ตัวนี้ผสมกับโน้น เพลงนั้นใช้ตัวนั้นผสมกับตัวนี้ etc.. ทีนี้ถ้าเราใช้เอฟเฟคต์บอร์ดแบบธรรมดา เราต้องจำให้ได้ว่าเพลงไหนจะใช้ตัวไหนบ้าง แล้วก็มานั่งเปิดปิดมันทีละตัวตามที่เราต้องการ ถ้าอยากผสมเสียงก็ต้องมายืนเหยียบปิด/เปิดเองทีละตัว แต่ถ้าเรามี Midi Control Board เราสามารถตั้ง Present เป็น Part หรือเป็นเพลงได้เลย ด้วยการกดเหยียบเพียงครั้งเดียว เสียงก็จะเปลี่ยนไปทั้งหมดเลย(คล้ายกับการตั้ง Memory เซ็ทพวกเครื่องเสียงนั่นแหละครับ) อย่างเดฟตอนทัวร์ปี 1994 ก็ใช้ Midi Control Board เช่นกัน เดฟจะเมมโมรี่ชื่อเพลงเอาไว้ อยากเล่นเพลง Sorrow ก็กดปุ่ม ก็จะมีไฟแสดงตัวหนังสือขึ้นมาว่า "Sorrow" ตามเพลงนั้นๆ เลย ซึ่งข้อดีคือมันสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องมาเปลืองสมองจำเซ็ทติ้ง และไม่ต้องเมื่อยเท้าเหยียบครับ ข้อเสียคือมันไม่ยืดหยุ่นเท่ากับการเหยียบทีละตัว การเปลี่ยนค่าต่างๆ ก็ยุ่งยากครับ เพราะต้องไปเซ็ทเอาที่ Rack ปรกติมือกีตาร์ที่ใช้เจ้านี้มักจะเป็นมือโปรแล้วครับ คือประเภททัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกอะไรอย่างนั้น เพราะยุ่งยากซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูงครับ โห เจ๋งจริงๆ ครับ อ้อ เกือบลืม เขามี Signature กับ Martin ด้วยแหละ เหลือเชื่อมาก อายุแค่นี้ มี Signature ถึงสองยี่ห้อ นี่เป็นรุ่น OM-28 เน้อ เขาใช้สาย Ernie Ball Power Slinky เบอร์ .011 นะครับ กีตาร์ Martin รุ่น OM-28 ตัวนี้ผมเคยเห็นตัวจริงแขวนอยู่ในร้าน Music Collection ราคารู้สึกจะอยู่ที่ 115,000 บาทนะ ถ้าจำไม่ผิด ถูกดีนะครับ พี่บาสซื้อซักตัวสิครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ขออภัย ต่อไปจะไม่ล่้วงเกิน.
|
|
|
Layla F Mulder
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 07:09:43 PM » |
|
Way Huge Aqua-Puss Analog DelayIntroducing, the Aqua-Puss Analog Delay. This magnificent pedal brilliantly captures the warm, vibrant tones of vintage pedals (think Echoplex), but does away with all of the troubles and worries that plague older units. The Aqua-Puss provides a terrifically smooth delay from 20ms to 300ms; ideally suited for rockabilly and country players. Additionally, the Aqua-Puss is complete with all of the features that you have come to expect from Way Huge Electronics including true bypass switching, LED indicator, rugged aluminum chassis, low noise circuitry, quality parts, and a limited lifetime warranty. Units have blend, feedback, and delay time controls. อนาล็อคดีเลย์ตัวนี้ที่ JM ใช้ในบอร์ดของเค้าครับ เป็นที่น่าสังเกตว่า JM ใช้เอฟเฟคต์ดีเลย์บนบอร์ดถึงสองตัว ทั้งๆ ที่เวลาเล่นเค้าไม่เห็นจะได้ใช้ดีเลย์เท่าไหร่เลยเท่าที่ฟังครับ ตัวนี้เลิกผลิตไปแล้วเมื่อปี 2001 เป็นอนาล็อคดีเลย์ที่ให้เสียงอุ่น คล้ายๆ กับ Echoplex ในยุคโบราณนั่นเองครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kongbei
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2008 | 08:07:19 PM » |
|
Midi Board Controller นี่เอาไว้ทำอะไรหรอครับ เห็นหลายคนแล้ว มันคืออะหยังครับ เพิ่มเติมนิดหน่อยครับ สำหรับตัวสีเทาๆ ขวาสุดลายแถบ ตัวนั้นมีคนไทยเป็นเจ้าของด้วยครับ ผมเคยเห็นที่บอร์ด Guitarist ผลิตออกมาน้อยมากๆ ครับ ส่วนตัวที่ลายเยอะๆ สวยๆ นั่น ป๋าจอห์นเอาไว้เล่น Waiting On The World To Change ใน Where The Light Is ครับ เสียงจะใสๆ น่าฟังดีครับ โดยปรกติเอฟเฟคต์บอร์ดทั่วไปจะมีเพดัลอยู่หลายอันใช่ไหมครับ ในแต่ละเพลงก็จะมีการเซ็ทต่างกัน เพลงนี้ใช้ตัวโน้น เพลงนี้ใช้ตัวนี้ผสมกับโน้น เพลงนั้นใช้ตัวนั้นผสมกับตัวนี้ etc.. ทีนี้ถ้าเราใช้เอฟเฟคต์บอร์ดแบบธรรมดา เราต้องจำให้ได้ว่าเพลงไหนจะใช้ตัวไหนบ้าง แล้วก็มานั่งเปิดปิดมันทีละตัวตามที่เราต้องการ ถ้าอยากผสมเสียงก็ต้องมายืนเหยียบปิด/เปิดเองทีละตัว แต่ถ้าเรามี Midi Control Board เราสามารถตั้ง Present เป็น Part หรือเป็นเพลงได้เลย ด้วยการกดเหยียบเพียงครั้งเดียว เสียงก็จะเปลี่ยนไปทั้งหมดเลย(คล้ายกับการตั้ง Memory เซ็ทพวกเครื่องเสียงนั่นแหละครับ) อย่างเดฟตอนทัวร์ปี 1994 ก็ใช้ Midi Control Board เช่นกัน เดฟจะเมมโมรี่ชื่อเพลงเอาไว้ อยากเล่นเพลง Sorrow ก็กดปุ่ม ก็จะมีไฟแสดงตัวหนังสือขึ้นมาว่า "Sorrow" ตามเพลงนั้นๆ เลย ซึ่งข้อดีคือมันสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องมาเปลืองสมองจำเซ็ทติ้ง และไม่ต้องเมื่อยเท้าเหยียบครับ ข้อเสียคือมันไม่ยืดหยุ่นเท่ากับการเหยียบทีละตัว การเปลี่ยนค่าต่างๆ ก็ยุ่งยากครับ เพราะต้องไปเซ็ทเอาที่ Rack ปรกติมือกีตาร์ที่ใช้เจ้านี้มักจะเป็นมือโปรแล้วครับ คือประเภททัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกอะไรอย่างนั้น เพราะยุ่งยากซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูงครับ The Edge เท่มาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|