Set 20: The Enid LPs

1. In The Region Of The Summer Stars (England)
2. Aerie Faerie Nonsense (England)
3. Touch Me (Japan + Obi)
4. Live at Hammersmith Vol. 1 (Japan + Obi)

Solo Album from Robert John Godfrey
- The Fall Of Hyperion (Japan + Obi)

Set 19: Jethro Tull LPs

1. Stand Up (USA)
2. Aqualung (audiophile, MFSL)
3. Thick As A Brick (audiophile, MFSL)
3. Thick As A Brick (Japan + Obi)
4. A Passion Play (USA)
4. A Passion Play (Japan + Obi)
5. Living In The Past (Double LP) (USA)
6. Bursting Out (Live Double LP) (USA)
7. Broadsword And The Beast (audiophile, MFSL)

Set 18: Manfred Mann's Earth Band LPs

1. Glorified Magnified (Germany)
2. Messin' (England)
3. Solar Fire (England)
4. Nightingale & Bombers (England)*
5. The Good Earth (England)
6. The Roaring Silence (USA)
7. Angel Station (Germany)
8. Watch (Germany)
9. Chance (Germany)
10. Somewhere In Afrika (USA)

Set 17: Jean-Michel Jarre LPs

1. Oxygene (Japan + Obi)
1. Oxygene (France)
2. Equinoxe (France)
3. Magnetic Fields (France)
3. Magnetic Fields (Japan + Obi)
4. The Concerts In China (Double LP) (Japan + Obi)**
5. Zoolook (Japan + Obi)
6. In Concert Houston-Lyon (Japan + Obi)

ผมเห็นว่า อัจฉริยภาพของ JMJ นั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่า Mike Oldfield เลย ในแง่ความคิดสร้างสรรค์ ถึงกับมีคนนำศิลปินทั้งสองคนนี้ไปเปรียบมวย เอ๊ย เปรียบเทียบกันอยู่บ่อย ๆ แต่ JMJ เอาดีในด้านเครื่องเคราอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ MO นั้นเน้นกีตาร์ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโปรดของเขา (แต่เขาก็ยังเล่นเครื่องดนตรีอื่นอีกหลายชิ้นได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะพวกคีย์บอร์ด) คอลเล็คชั่นแผ่นเสียงของ JMJ ที่ผมมีอยู่ยังเป็นคอลเล็คชั่นเล็ก ๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะผมเห็นว่าผลงานของเขายังหาง่าย และขอหมายเหตุสั้น ๆ ไว้ว่า ผลงานของ JMJ ในยุคแรก เช่น Oxygene, Equinox, Magnetic Fields ที่ออกโดยสังกัด Dreyfus ในประเทศฝรั่งเศส บ้านเกิดของ JMJ นั้น มีคุณภาพเสียงดีมากครับ ดังนั้น หากมีแผ่นฝรั่งเศสอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาเวอร์ชั่นจากที่อื่นมาเก็บ

Set 16: Tangerine Dream LPs

1. Alpha Centauri (Japan + Obi)**
2. Atem (Japan + Obi) **
3. Phaedra (Japan + Obi)
4. Rubycon (Japan + Obi)**
5. Stratosfear (Japan + Obi)
6. Sorcerer, OST (promotional copy, Japan + Obi)
7. Encore (Live Double LP) (Japan + Obi)**
8. Cyclone (Japan + Obi)
9. Force Majeure (Japan + Obi)
10. Tangram (Japan + Obi)**
11. Logos Live at the Dominion (Japan + Obi)
12. White Eagle (Japan + Obi)
13. Hyperborea (Japan + Obi)
14. Le Parc (promotional copy, Japan + Obi)
15. Zeit (double LP, Japan + Obi)**
16. Tyger (Japan + Obi)
17. Electronic Meditation (Japan + Obi)
18. Thief (OST, Germany)

Solo Album(s) from TD (Ex)Members

1. Edgar Froese
- Aqua (Japan + Obi)
- Ypsilon In Malaysian Pale (Japan + Obi)

2. Klaus Schulze
- Timewind (Japan + Obi)
- Black Dance (Japan + Obi)
- Mirage (Japan + Obi)

Tangerine Dream เป็นศิลปินแนว electronic progressive rock จากเยอรมันที่เก่าแก่วงหนึ่ง โดยย้อนหลังไปในยุคซิกส์ตี้ส์ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มตั้งวงและยังเล่นดนตรีในแนวร็อคแอนด์โรลล์โดยได้รับอิทธิพลของวงร็อคชื่อดังรุ่นพี่อย่าง The Beatles อยู่ พอเมื่อมาถึงยุคนี้ก็เป็นยุครุ่นลูกของ Edgar Froese แกนนำของวง (ซึ่งลูกชายของ Edgar Froese นั้นชื่อ Jerome Froese) TD ก็ยังคงอยู่ มีผลงานออกมามากมายตั้งแต่ต้นยุคเซเว่นตี้ส์จนถึงตอนนี้จนนับและตามเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นสติวดิโออัลบั้ม ผลงานแสดงสด หรือแม้กระทั่ง original soundtrack ซึ่งออกกันมาอย่างดาษดื่น TD ถือเป็นวงร็อคที่มีชื่อเสียงในด้านการออกผลงานคอนเสิร์ตมากอีกวงหนึ่ง ดังนั้น ใครที่คิดจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ TD คงจะตามเก็บงานของพวกเขากันเหนื่อยหน่อย เพราะมีมากมายจริง ๆ แต่คนที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ (ซึ่งรวมถึงผมด้วย) คงจะต้องเลือกสรรคัดเก็บแต่ผลงานที่เป็นแก่นหรือหัวกะทิของ TD เท่านั้น หากคัดกรองออกมาดี ๆ ก็คงจะเหลืออยู่ประมาณสิบกว่าชุดที่พอจะให้ตามเก็บได้ หากยังไม่แน่ใจว่าจะเก็บงานของ TD หรือไม่ ก็ลองฟังศึกษาจากผลงานรวมเพลงซีดีบ็อกซ์เซ็ตชุด Tangent ของ TD ดูก่อนก็ได้ครับ

แผ่นเสียงคอลเล็คชั่นนี้ยังขาดอีกหลายชุดที่ควรจะเก็บ แต่ผมก็ยังคงหามาเติมอยู่เรื่อย ๆ ตามแต่โอกาสครับ

Set 15: Starcastle LPs

1. Starcastle (self-titled) (USA)
2. Fountains Of Light (Japan + Obi)***
2. Fountains Of Light (USA)
3. Citadel (USA)
3. Citadel (promotional copy, Japan + Obi)
4. Real To Reel (USA)

แม้ผลงานของ Starcastle วงร็อคจากอเมริกา จะโดนสับแหลกจากนักวิจารณ์บางคนว่าลอกทางเพลงหรือเป็นวงโคลนนิ่งของ Yes แต่เราในฐานะนักฟังเพลงจะไปแคร์อะไร ตราบใดที่บทเพลงนั้นยังสามารถสร้างความอิ่มเอิบแก่โสตประสาทของเราได้อยู่ ในเมื่อ Yes ได้พักวงไปชั่วคราวหลังจากปี 1975 จากนั้น Starcastle ก็ได้ก้าวเข้ามาด้วยผลงานชุดแรกในปี 1976 ซึ่งฟังแล้วทำให้นึกถึงผลงานของ Yes ในยุคแรกได้เป็นอย่างดี แต่ความเป็น symphonic prog ในแบบของ Yes ยุครุ่งเรืองนั้นจะหาฟังได้จากผลงานชุด Fountains Of Light ซึ่งถือเป็นงานชิ้นเอกของวง ดังนั้น ใครก็ตามที่เป็นแฟนเพลงของ Yes และยังรู้สึกไม่อิ่มเอมกับผลงานของพวกเขาที่หยุดออกไปชั่วคราวในช่วงปี 1975-1977 ผลงานของ Starcastle จะสามารถเติมเต็มช่องว่างในช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี

Set 14: Caravan LPs

1. In The Land Of Grey And Pink (Japan + Obi)
2. For Girls Who Grow Plumps In The Night (Japan + Obi)
3. Waterloo Lily (Japan + Obi)
4. Cunning Stunt (Japan + Obi)

ผลงานของวง Caravan ที่ออกในญี่ปุ่นนั้นมักมีราคาแพงถึงแพงมาก ผมเริ่มสะสมงานของวงนี้จากชุด In The Land Of Grey And Pink ซึ่งโดยทั่วไปถือเป็น masterpiece ของวง แต่ยังขาดสองชุดแรกก่อนหน้า In The Land Of Grey And Pink ซึ่งก็คงจะค่อย ๆ ตามเก็บและรอจังหวะที่จะได้มา

Set 13: The Moody Blues LPs

1. Days Of Future Passed (Japan + Obi)
1. Days Of Future Passed (audiophile, MFSL)
2. In Search Of The Lost Chord (Japan + Obi)
3. To Our Children's Children (Japan + Obi)
3. To Our Children's Children (audiophile, MFSL)
4. On The Threshold Of A Dream (audiophile, MFSL)
4. On The Threshold Of A Dream (audiophile, Nautilus)
5. Every Good Boy Deserves Favour (Japan + Obi)
6. A Question Of Balance (Japan + Obi)
7. Seventh Sojourn (Japan + Obi)
8. Octave (Japan + Obi)
9. Long Distance Voyager (Japan + Obi)
10. The Present (Japan + Obi)
10. The Present (audiophile DMM, Germany)
11. The Other Side Of Life (Japan + Obi)

ความภาคภูมิใจของผมในการได้เก็บผลงานของ The Moody Blues ครั้งแรก คือ การได้แผ่น Days Of Future Passed ที่ออกโดย MFSL หรือ Mobile Fidelity Sound Lab ซึ่งในสมัยก่อนค่ายนี้ถือเป็นผู้ผลิตแผ่นเสียงแบบ audiophile เจ้าแรก ๆ และมีชื่อเสียงในด้านการนำเอาผลงานเพลงร็อคจากศิลปินดังทั่วโลกมา reissue, แผ่นเสียงที่ผลิตโดย MFSL ในยุคแรก ตั้งแต่ประมาณปี 1977 เป็นต้นมา นั้น พิมพ์แผ่นด้วยเนื้อไวนิลบริสุทธิ์ที่ประเทศญี่ปุ่น (แต่บริษัทแม่ของ MFSL อยู่ในอเมริกา) ดังนั้น จึงเป็นที่เชื่อถือได้ในเรื่องคุณภาพเสียงของแผ่นที่ออกมาโดยส่วนใหญ่ แต่แผ่นรุ่น anadisq 200 นั้นเป็นรุ่นที่ผลิตในอเมริกา ไม่ได้ผลิตในญี่ปุ่นครับ

อัลบั้มของ The Moody Blues ที่ย้อนออกโดย MFSL นั้นมีอยู่ด้วยกันสี่ชุดคือ Days Of Future Passed, To Our Children's Children, On The Threshold Of A Dream และ Every Good Boy Deserves Favor โดยเฉพาะสามอัลบั้มหลังนี่ออกมาเป็นรุ่นแผ่นที่มีน้ำหนัก 200 กรัม หรือเรียกเป็นภาษาเฉพาะของ MFSL ว่า anadisq 200 ซึ่งผลิตในอเมริกา ไม่ได้ผลิตในญี่ปุ่นครับ

ส่วนอัลบั้มชุด On The Threshold Of A Dream นั้น ก็ยังมีออกมาเป็นแผ่น audiophile โดยค่าย Nautilus อีกด้วย ซึ่งให้สุ้มเสียงได้ไม่เลวและไดนามิคเหลือล้นเลยทีเดียว

Set 12: Rush LPs

1. 2112 (Japan + Obi)
2. A Farewell To Kings (Japan + Obi)
3. Hemispheres (Japan + Obi)
4. Permanent Waves (Japan + Obi)
5. Moving Pictures (Japan + Obi)**
6. Exit...Stage Left (2LP) (Japan + Obi)**
7. Signals (Japan + Obi)
8. Grace Under Pressure (Japan + Obi)
9. Power Windows (Japan + Obi)
10. Hold Your Fire (Japan + Obi)

Set 11: Marillion LPs

1. Script For A Jester's Tear (Japan + Obi)
2. Fugazi (Japan + Obi)
3. Fugazi (UK)
4. Misplaced Childhood (UK)
5. Clutching At Straws (Japan + Obi)
6. Real To Reel (Promo, Japan + Obi)

Set 10: Mike Oldfield LPs

1. Tubular Bells (Japan + Obi)****
2. Hergest Ridge (Japan + Obi)
3. Ommadawn (Japan + Obi)**
3. Ommadawn (England)
4. Incantations (Japan + Obi)
4. Incantations (England)
5. Platinum (Japan + Obi)**
5. Platinum (England)
6. QE2 (Japan + Obi)**
7. Five Miles Out (Japan + Obi)**
7. Five Miles Out (England)
8. Crises (Japan + Obi)
8. Crises (England)
9. Discovery (Japan + Obi)
9. Discovery (DMM, Germany)
10. Islands (Japan + Obi)
11. Exposed (Live) (Japan + Obi)
11. Exposed (Live) (England)
12. The Complete Mike Oldfield (Japan + Obi)**
13. The Singles (Japan + Obi)
14. Tubular Bells II (Germany)

ผมเริ่มรู้จัก Mike Oldfield เป็นครั้งแรกด้วยเพลง Moonlight Shadow จากอัลบั้มชุด Crises เมื่อประมาณปี 1983 และได้ยินกิตติศัพท์ด้านฝีมืออันฉกาจฉกรรจ์ของเขาซึ่งฝากไว้ในผลงานที่ชื่อ Tubular Bells ต่อมาได้มีโอกาสอ่านงานเขียนของคุณพันณาศิสและคุณปัญญารักษ์ซึ่งได้เขียนลงใน Starpics ในยุคนั้น และได้มีโอกาสซื้อผลงานรวมเพลงชุด The Complete Mike Oldfield มาฟัง ซึ่งชุดนี้ถือเป็นบันไดไต่เต้าไปสู่การฟังผลงานเก่า ๆ ของ Mike Oldfield ได้เป็นอย่างดี เพราะหากคุณได้ซื้อผลงานชุดรวมเพลงนี้มาฟังแล้ว ถ้าชอบก็ติดตามต่อไป ถ้าไม่ชอบก็หยุดอยู่แค่นั้น

นอกจาก Mike Oldfield จะยอดเยี่ยมทั้งฝีมือและจินตนาการแล้ว เขายังมีไอเดียแปลกใหม่ไม่หยุดนิ่งในการทำผลงานอีกด้วย ถึงแม้อัลบั้มของเขาในยุคหลัง ๆ จะเดินตามเงาของ Tubular Bells และหันไปเอาใจตลาดมากขึ้น แต่ผมเห็นว่าในผลงานแต่ละชุดที่เขาทำออกมายังไม่ทิ้งลายของความเป็น Mike Oldfield อยู่ คือยังมีอะไรดี ๆ ที่เป็นความคิดสร้างสรรค์มาฝากแฟนเพลงของเขาเสมอ

Set 9: Camel LPs

1. Camel (self-titled) (Japan + Obi)
2. Mirage (Japan + Obi)
3. The Snow Goose (Japan + Obi)
4. Moonmadness (Japan + Obi)
5. Raindances (Japan + Obi)**
6. A Live Record (Japan + Obi)**
7. Breathless (Japan + Obi)
8. I Can See Your House From Here (Japan + Obi)
9. Nude (Japan + Obi)**
10. The Single Factor (Japan + Obi)
11. Stationary Traveller (Japan + Obi)
12. Pressure Points (Japan + Obi)

Set 8: The Alan Parsons Project LPs

1. Tales Of Mystery and Imagination (audiophile, MFSL)
1. Tales Of Mystery and Imagination (special extended version, Holland)
1. Tales Of Mystery and Imagination (Japan + Obi)
2. I Robot (Japan + Obi)**
3. Pyramid (Japan + Obi)
4. Eve (Japan + Obi)**
5. Ammonia Avenue (Japan + Obi)
6. Vulture Culture (Japan + Obi)
6. Vulture Culture (DMM Direct Metal Mastering, Germany)

Set 7: Genesis LPs

1. Selling England By The Pound (EMI Centenary Audiophile Reissue, UK)
2. The Lamb Lies Down On Broadway (Japan + Obi)**
3. Seconds Out (Live Double LP) (Japan + Obi)

Genesis ไม่ใช่วงโปรดของผมสักเท่าไร ดังนั้น จึงสะสมแค่ผลงานที่สำคัญของพวกเขาเท่านั้น แต่รายการข้างต้นก็ยังคงมีมาเติมเต็มอยู่เรื่อย ๆ

Set 6: Emerson Lake and Palmer LPs

1. Emerson Lake and Palmer (self-titled) (Japan + Obi)**
1. Emerson Lake and Palmer (self-titled) (USA)**
2. Tarkus (Japan + Obi)**
2. Tarkus (audiophile, MFSL)
2. Tarkus (USA)
3. Pictures At An Exhibition (Japan + Obi)***
3. Pictures At An Exhibition (audiophile, MFSL)
3. Pictures At An Exhibition (USA)
4. Trilogy (Japan + Obi)***
4. Trilogy (audiophile, MFSL)
5. Brain Salad Surgery (Japan + Obi)****
5. Brain Salad Surgery (reissued by Castle Communications, UK)
5. Brain Salad Surgery (USA)**
6. Welcome Back My Friends To The Show That Never Ends (Live, Triple LP) (Japan + Obi)****
7. Works Vol. 1 (Japan + Obi)
8. Works Vol. 2 (Japan + Obi)
9. In Concert (Japan + Obi)
10. Love Beach (Japan + Obi)

ELP เป็นหนึ่งในศิลปินโพรเกรสสีฟว์ร็อครายแรกสุดที่ผมคิดจะเริ่มสะสมผลงานอย่างจริงจัง เพลงแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักวงนี้คือเพลง Hoedown ซึ่งสมัยก่อนเพลงนี้เป็นจิงเกิ้ลเปิดรายการวิทยุ Top Teen Talent อันลือลั่นของคุณวิฑูรย์ วทัญญู และในสมัยก่อน Peacock ได้ออกเทปผลงานของ ELP มาจำหน่ายอยู่บ้าง แต่ไม่ครบทุกชุด ผมเริ่มสะสมงานของ ELP อย่างจริงจังอีกครั้งเมื่อถึงยุคที่ซีดีกำลังเฟื่องสุดขีด แต่พอได้ฟังซีดีแล้วกลับนึกถึงเสน่ห์มนต์ขลังแผ่นเสียง จึงต้องเริ่มสะสมแผ่นเสียงด้วย ในการเริ่มสะสมแผ่นเสียงงานเพลงของ ELP นั้น ตลาดเพลงแนวนี้ในเมืองไทยหายากมาก ต้องเพียรไปเดินดูของตามร้านแผ่นเสียงและผูกมิตรกับเจ้าประจำเอาไว้ แผ่นมือสองที่มีขายโดยมากมักมีสภาพไม่ค่อยดีจนถึงแย่ แต่ก็นับว่าแผ่นของ ELP ในบ้านเรายังพอหาได้ง่ายอยู่ โดยเฉพาะแผ่นที่ผลิตจากอเมริกา

มีแผ่นเสียงของ ELP ที่เป็น audiophile reissue อยู่สามอัลบั้ม ซึ่งออกโดยค่าย Mobile Fidelity Sound Lab (MFSL) ได้แก่ Pictures At An Exhibition, Tarkus และ Trilogy ซึ่งสองชุดหลังนี้ออกมาในรูปของแผ่นไวนิลหนัก 200 กรัม (รุ่น anadisq 200 ของ MFSL) ส่วนแผ่นที่ออกในญี่ปุ่นจะเป็นแผ่นที่ออกโดย Warner-Pioneer สังเกตว่าสมัยก่อน ELP น่าจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น แต่ละอัลบั้มของพวกเขา โดยเฉพาะอัลบั้มแรก ๆ จะมีการผลิตออกขายในญี่ปุ่นอย่างน้อยสองครั้งหรือสองรุ่น บางอัลบั้มก็ปั๊มออกขายกันถึงสามหนหรือสามรุ่นด้วยกัน

ขอแนะนำอัลบั้ม Pictures At An Exhibition เวอร์ชั่นของ MFSL เป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเสียงดีลื่นหูแล้ว ยังมีรายละเอียดของเสียงบางอย่างที่อาจไม่ได้ยินจากเวอร์ชั่น commercial ทั่วไป อย่างเช่น หางเสียงของ minimoog ที่ Emerson ได้โซโลไว้ในช่วงกลางของเพลง The Gnome เป็นต้น

น่าเสียดายที่แผ่น Brain Salad Surgery ที่ออกในญี่ปุ่นนั้นมี label กลางแผ่นเป็นรูปตัว Manticore ซึ่งดูธรรมดามาก แต่แผ่นที่ออกในสหรัฐกลับเป็นแบบ picture label เป็นรูปหัวกะโหลกเช่นเดียวกับหน้าปกแผ่นเสียง และมี lyric poster แถมมาให้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อได้แผ่นญี่ปุ่นมาแล้ว จะขายแผ่น US ทิ้งก็ใช่ที่ จึงจำต้องเก็บสะสมไว้คู่กับแผ่นญี่ปุ่น และความจริงแล้ว เสียงของแผ่น US หาใช่จะด้อยกว่าแผ่นญี่ปุ่นแต่อย่างใด

ส่วน Brain Salad Surgery ที่ย้อนออกโดย Castle Communications ของอังกฤษนั้นเป็นแผ่นหนาประมาณ 160 กรัม มีแผ่นซิงเกิ้ลเพลง Brain Salad Surgery และมีรายละเอียดที่มาที่ไปของการทำอัลบั้มชุดนี้และเบื้องหลังการออกแบบภาพปกอัลบั้มชุดนี้แถมมาให้อ่านเป็นความรู้อีกด้วย, ผมเคยคิดจะขายแผ่นชุดนี้ทิ้ง เพราะเสียงไม่ค่อยจะเอาไหน (งาน reissue ที่แค่พอฟังได้) แต่กระนั้นก็ขายไม่ลง ด้วยเหตุผลที่ได้เรียนไว้ข้างต้น

ตอนนี้ยังขาดชุด Emerson Lake And Powell อยู่ (ผมเคยมีผลงานชุดนี้ แต่ขายให้เพื่อนไปแล้ว) และคิดว่าคงจะหามาเติมเต็มได้ไม่ยากนัก