เพลงที่ผมจะเพิ่มคราวนี้ก็อย่างเคยแหละครับ เป็นเพลงที่ได้ฟังจากรายการ Choking on Cufflinks with Michael Goodstein ของสถานี WFMU ครับ จึงไม่ต้องสงสัยว่า นอกจากวงใหม่ๆแล้ว วงที่เหลือ ถ้าไม่เป็น post punk ก็จะเป็น new wave จากช่วงปลายยุค 70s กับต้นยุค 80s นั่นแหละครับ
De!Nial
http://www.myspace.com/de_nialวงนี้เป็นวง electro-punk หน้าใหม่จากญี่ปุ่นครับ ได้ฟัง Tokyo Dance School ในรายการ ตั้งแต่ต้นเพลงก็เหมือนกับเข้าไปอยู่หนังของ Takashi Miike เลยครับ บรรยากาศทางดนตรีเหมือนกับเป็นสวนสนุกที่มีทุกอย่างไว้สนองความมันของเด็กวัยรุ่นในช่วงอายุที่เริ่มรู้จักเซ็กส์ แม้ว่าเสียงของโน๊ตแต่ละตัวจะคมชัดและสะอาดแบบเสียงที่มาเครื่องดนตรีอิเลคโทรนิคควรจะเป็น แต่การจู่โจมด้วยเมโลดี้ที่หยาบแต่สั้นกระชับ ประกอบไปด้วยเสียงที่ดีไซน์เหมือนจะให้มีฤทธิ์กัดกร่อน เพลงของพวกเขาจะให้อารมณ์ที่ดิบเถื่อนได้ไม่แพ้ดนตรีพังค์เลยครับ
นอกจากลิ้งค์ MySpace ของพวกเขาแล้ว ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับ De!Nial! จากแหล่งอื่นไม่ได้เลยครับ เท่าที่ได้อ่านจากบางความเห็นเกี่ยวกับพวกเขาในรายการที่ออกอากาศในวันนั้น พวกเขาน่าจะได้รับอิทธิพลทางดนตรีจากวงญี่ปุ่นรุ่นพี่อย่าง Plastics กับ Polysics พอผมลองเข้าไปเช็คเพลงของวงทั้งสองใน YouTube ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกว่ามีอะไรร่วมกันสักเท่าไร ไปๆมาๆผมว่าซาวด์ดนตรีของพวกเขามันทำให้ผมนึกถึงวงอย่าง Das Wanderlust จากอังกฤษมากกว่าครับ ถ้าอยากทราบว่าคล้ายกันมากแค่ไหน ผมเขียนเกี่ยวกับ Das Wanderlust และก็แปะลิ้งค์ MySpace ของพวกเขาไว้ในกระทู้รวมลิงค์ (
http://sameskyboard.com/index.php?showtopic=18163&st=25 ) ความเห็นที่ 40 ครับ
The Honeymoon Killers
http://www.myspace.com/thehoneymoonkillersครั้งแรกที่ได้ฟังแทร็ค "Histoire a Suivre" ผมรู้สึกสะดุดหูกับภาคดนตรีที่เต็มไปด้วยความแหลมคมในสไตล์ดนตรี post punk ของฝั่งอังกฤษ แต่เมื่อประกอบเข้ากับเสียงร้องในภาษาฝรั่งเศสของ Veronique Vincent แล้ว บรรยากาศล้ำๆในดนตรีที่ควรจะออกโทนเทาหม่นกลับแฝงไว้ด้วยสีสันอันสดใสมีชีวิตชีวาในแบบดนตรีป๊อปฝรั่งเศสขึ้นมาทันทีเลยครับ ในตอนนั้นผมก็เลยเข้าใจผิดไปว่า วงดนตรีวงนี้คงต้องเป็นวงฝรั่งเศสจากต้นยุค 80s ที่เป็นที่รู้จักกันแค่เฉพาะในหมู่แฟนเพลงชาวยุโรปเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว The Honeymoon Killers หรือ Les Tueurs de la lune de miel ชื่อเดิมภาษาฝรั่งเศสในความหมายเดียวกัน เป็นวงจากเบลเยี่ยมที่ก่อตั้งวงมาตั้งแต่ปี 1974 โน่นแน่ะครับ
วงนี้ก่อตั้งโดย Yvon Vromman กับ J.F Jones Jacob และ Gerald Fenerberg ช่วงแรกๆก็จะเล่นกันแคในบรัสเซล สไตล์การเล่นดนตรีในยุคแรกๆของพวกเขาจะทั้งเย่อหยิ่งและตลกขบขันได้ในเวลาเดียวกัน ส่วนดนตรีก็จะนำเอาดนตรีแนวต่างๆ ตั้งแต่ rockabilly ไปจนถึงพังค์และพวกเพลงมาร์ชมาสังหารหมู่เข้าด้วยกันกับ free jazz และเพลงประสานเสียงของฝรั่งเศสที่เรียกกันว่า French chanson
จนเมื่อถึงปี 1980 ที่ได้ Veronique Vincent มาร้องนำให้ทางวง ชื่อเสียงของพวกเขาก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วยุโรป เพลง "Route Nationale 7" ที่พวกเขานำเพลงของ Charles Trenet มาร้องก็ได้รับความนิยมจนเปิดกันทั่วเบลเยี่ยมและฝรั่งเศส ส่วนอัลบั้มชุดที่สองในชื่อ Les Tueurs de la lune de miel ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในฝรั่งเศส เยอรมัน หรือแม้กระทั่งในอังกฤษที่ไม่บ่อยนักอัลบั้มที่ไม่ได้ร้องเป็นภาษาอังกฤษจะได้ถูกกล่าวถึงตามหน้านิตยสารชั้นนำอย่าง NME
น่าเสียดายที่พวกเขายุบวงในปี 1985 และในปี 1989 Yvon Vromman ก็เสียชีวิต ทิ้งไว้แต่ผลงาน อย่างอัลบั้ม Les Tueurs De La Lune De Miel ที่นิตยสารชั้นนำเกี่ยวกับดนตรีร็อคของเบลเยี่ยมอย่าง Mofo ก็ยกให้อัลบั้มชุดนี้เป็นอัลบั้มร็อคของเบลเยี่ยมที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลครับ
ADN' CKRYSTALL
http://www.myspace.com/adn39ckrystallนี่ก็เป็นอีกวงที่ทำให้ผมเข้าใจผิด เพราะเพลง deutsch napalm นี่นอกจากชื่อเพลงแล้ว ซาวด์ดนตรียังฟังดูเป็นเยอรมันเอามากๆเลยครับ มีไอเดียใหม่ๆ ซาวด์ดนตรีดีไซน์ล้ำๆ อันน่าตื่นเต้นที่ถูกนำเสนอพร้อมกับบรรยากาศอันหนักอึ้ง แต่ที่พลาดไม่ได้เด็ดขาดก็คือเสียงคีย์บอร์ดช่วงท้ายเพลงที่โซ๊ยกันได้มันสุดๆเลยครับ พอผมไปอ่านข้อมูลของวงนี้ดูอีกที มันกลายเป็นว่า ADN' CKRYSTALL ไม่ใช่วง แต่เป็นโปรเจ็คของ Erick Moncollin นักดนตรีชาวฝรั่งเศสครับ
โปรเจ็ค ADN' CKRYSTALL เริ่มก่อตัวขึ้นในฤดูร้อนปี 1977 ตอนที่ Moncollin ได้มีโอกาสร่วมแจมกับ Vangelis และ Tim Blake โดยเขาเล่นกับคีย์บอร์ดที่เป็นตัวต้นแบบของ Korg ms-20 คีย์บอร์ดรุ่นที่ในเวลานี้กลายเป็นตำนานไปแล้ว เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาด้านดนตรีจากวิทยาลัยศิลปะใน Toulouse ในปี 1978 เขาก็เริ่มเอาโปรเจ็คเล็กๆของเขาไปเปิดแสดงดนตรีตามคลับ พร้อมๆกับทำการทดลองใหม่ๆทางดนตรีไปด้วยกัน ในปี 1982 เขาก็ได้ออกอัลบั้มแรก "jazz'mad" เป็นแผ่นไวนิล อีกสองปีต่อมา เขาก็ออกแผ่นอีพีในชื่อ 'IN-Edit'7"ep ซึ่งได้รวมแทร็ค 'Deutsch Napalm' ที่กล่าวถึงข้างต้นในอีพีชุดนี้ ในเวลานี้ก็ได้กลายเป็นที่เสาะแสวงหาสำหรับแฟนเดนตายที่เป็นนักสะสมไปแล้วครับ (ราคาใน e-bay ตอนนี้ก็ 230 ยูโร ส่วน jazz mad ก็ 90 ยูโร)
เขามีผลงานออกมาเรื่อยๆจนถึงต้นทศวรรษที่ 90s แล้วก็เว้นช่วงไปจนถึงปี 2005 ถึงได้ออกแผ่น LP และในปี 2007 เขาก็ได้รวบรวมเอางานอนาล็อกเก่าๆเพื่อมาออกเป็นอัลบั้ม ANNA LOGUE เนื่องในวาระครบรอบ 25 ปี
Il Segno Del Comando -
http://rapidshare.com/files/13215441/il_segno_del_comando-der_golem.rarผมเจอวงอิตาเลี่ยนวงนี้เข้าโดยบังเอิญตอนที่กำลังฟังเพลงประกอบภาพยนตร์โทรทัศน์ของอิตาลีที่ชื่อเดียวกับชื่อวงๆนี้ใน YouTube (
http://www.youtube.com/watch?v=M85LpQ3MrOU ) ไปๆมาๆก็ไปเจอคลิพเพลงของวงนี้เข้า ลองฟังคลิพข้างล่างดูก่อนนะครับ
Il Segno Del Comando - Missa Nigra
http://www.youtube.com/watch?v=K4aI5fYukI0ช่วงต้นเพลง ผมก็นึกว่าเป็นเพลงประกอบอีกเพลงหนึ่งจากหนังเรื่องนี้ บรรยากาศโกธิคช่วงต้นเพลงมันช่างคลาสสิคเสียจนผมนึกว่าเป็นเพลงจากยุค 70s จริงๆ ที่ไหนได้ พอเสียงลีดกีตาร์ในสไตล์เมธัลแผดขึ้นมาในช่วงกลางเพลง ถึงได้รู้ว่าจริงๆแล้ววงนี้น่าจะเป็นวงในยุคหลังๆที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้มากกว่า เพราะการเล่นกีตาร์สไตล์นี้มันเป็นสไตล์แบบที่วงเมธัลเล่นกันตั้งแต่ช่วงกลางยุค 80s ลงมา
พอไปกูเกิ้ลหาข้อมูล ถึงได้ทราบว่า Il Segno Del Comando เป็นหนึ่งในไซด์โปรเจ็คของวง Malombra ซึ่งเป็นวง prog-metal จากยุค 90s ของอิตาลีที่ตอนนี้ได้รับความเคารพเหมือนกับเป็นสถาบันสำหรับแฟนๆดนตรีนอกกระแสไปแล้วครับ ดนตรีของเขาจะเป็นส่วนผสมของความมืดมนแบบ gothic ในสไตล์ของวงรุ่นพี่อย่าง Goblin บวกกับความซับซ้อนของดนตรี progressive ความแปลกประหลาดหลุดโลกของดนตรี avant-garde และความหนักหน่วงของดนตรี metal งานในไซด์โปรเจ็ค Il Segno Del Comando ก็ยังคงส่วนผสมอันศักดิ์ศิทธิ์ไว้เช่นเดียวกัน เคยคิดเหมือนกั้นว่าดนตรีของพวกเขามันช่างเหมาะกับธีมในแบบโกธิคของรายการอย่าง Wm. Berger presents My Castle of Quiet ของสถานี WFMU ได้ดีทีเดียวครับ พอลองไปค้นใน archives ของรายการนี้ดู ก็ปรากฏว่าเคยเปิดเพลงของวงนี้บ่อยๆ ลองฟังบางเพลงที่ไม่มีแปะใน YouTube ที่ลิ้งค์ข้างล่างก่อนนะครับ
Wm. Berger presents My Castle of Quiet
http://wfmu.org/playlists/shows/32392เลื่อนหน้าจอลงไปข้างล่างสักหน่อย ก็จะเห็นตารางรายชื่อเพลง เพลง Funerale a Praga ของพวกเขาจะเปิดเป็นเพลงที่สองนะครับ ปุ่ม play จะอยู่ด้านบนของรูปเด็กที่กำลังถือขวานน่ะครับ ส่วนเพลงที่อยู่ในอัลบั้มที่ผมแปะลิ้งค์ Rapid Share นั้น บรรยากาศทางดนตรีจะอยู่ในธีมที่ประกอบไปด้วยพิธีกรรมของลัทธิบูชาซาตาน ชีวิตหลังความตายและโลกมืด ที่ขับเคลื่อนไปพร้อมๆกับการประลองระหว่างเสียงกีตาร์กับคีย์บอร์ด อารมณ์ดนตรีที่อยู่ภายใต้ความวังเวงแห่งเสียงออร์แกนมันนี่ ผมว่ามันจะเหมาะมากเลยครับถ้านั่งฟังอยู่ในห้องที่มีแต่เสียงเทียนและอบอวลไปด้วยกลิ่นธูปเหมือนบรรยากาศตอนกำลังประกอบพิธีทางไสยศาสตร์
Jaqui & Jeanette
http://rapidshare.com/files/57053755/Street_to_Street___Vol1.rarอัลบั้มในลิ้งค์ข้างบน Street to Street (1979) A Liverpool Album. Vol 1. จะเป็นอัลบั้มรวมเพลงของพวกวง post punk จากลิเวอร์พูลช่วงปลายทศวรรษที่ 70s นะครับ โดยมีเพลง 194 radio city ของ Jaqui & Jeanette รวมอยู่ด้วย ผมได้ฟังเพลงนี้ก็จากรายการ Choking on Cufflinks with Michael Goodstein จ้าวเดิมอีกนั่นแหละครับ และผทก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเพลงนี้จะหาฟังได้ในสติวดิโออัลบั้มของ Jeanette บ้างหรือเปล่า เพราะ Jaqui & Jeanette เป็นโปรเจ็คเฉพาะกิจที่หาฟังได้ก็แต่ในอัลบั้มรวมเพลงอัลบั้มนี้เท่านั้น ลองฟังเพลงนี้ได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างเลยครับ
have a listen no. 10 "194 radio city"
http://www.wfmu.org/playlists/shows/32194**** เมื่อคลิ๊กเข้าไป จะเห็นตารางรายชื่อเพลง เลื่อนหนัาจอลงไปข้างล่าง เพลงนี้จะเป็นเพลงที่สิบจากเพลงแรก และด้านขวาสุดของตารางก็จะมีให้เลือกว่าจะฟังจาก pop-up หรือจาก real player เมื่อกดไปแล้ว รายการก็จะเริ่มเล่นเพลงจากเพลงนั้น โดยไม่ต้องไปเริ่มฟังตั้งแต่ต้นรายการครับ *****
เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นในช่วง jam session ผู้ที่ริเริ่มไอเดียในเพลงนี้คือมือกีตาร์ Ian Broudie โดยมี Budgie (ที่เคยอยู่วง Big in Japan และตอนนี้เล่นอยู่กับ Slits) เป็นมือกลอง Dave Balfe เล่น keyboards Ambrose เล่นเบส Steve Lindsey กับ Gary Dwyer (มือกลองวง the Teardrop Explodes) ร้องประสานเป็นแบ็คกราวด์ให้กับนักร้องนำหญิง ผลที่ได้ก็คือดนตรีโพสต์พังค์เก๋ๆในจังหวะสกาครับ หลังจากนั้นในเดือนกันยายน ปี 1978 ทั้ง Broudie, Budgie และ Lindsey ก็ได้ร่วมกันตั้งวง Secrets ขึ้น ซึ่งก็เรียกได้ว่า Jaqui & Jeanette เป็นเวอร์ชั่นของวง Secrets ในยุคแรกๆเลยครับ
เพลงอื่นๆในอัลบั้มนี้ก็มี
1. Big In Japan "Match Of The Day"
2. The Id "Julia's Song"
3. Jaqui & Jeanette "194 Radio City"
4. Modern Eon "Benched Down / 70s Sixties"
5. Activity Minimal "Television Game"
6. Dead Trout "The Arab"
7. Tontrix "Clear On Radar"
8. The Accelerators "Radio Blues"
9. Malchix "Crisis"
10. Fun "I Heard You Call My Name"
11. The Moderates "I Don't Want To Go Bald"
12. Echo & The Bunnymen "Monkeys"
ทุกท่านสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเพลงอื่นๆในอัลบั้มนี้ได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างครับ
Street to Street (1979) A Liverpool Album. Vol 1.
http://music-isms.blogspot.com/2007/09/street-to-street-1979-liverpool-album.html