ไม่ทราบว่าชอบดนตรีพวกโฟล์คอังกฤษที่มีกลิ่นอายของ pagan dance หรือเปล่าครับ เมื่อปีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสฟังเพลงของวง The Owl Service เข้า น่าเสียดายที่หลังจากนั้นได้ไม่นาน พวกเขาก็ถอดเพลงที่ผมชอบ อย่างเพลง A Lyke Wake Dirge ออกจาก MySpace หมดเลยครับ แต่โชคดีที่ผมเพิ่งทราบว่าตอนนี้มันมี playlist ใน MySpace ให้ได้ฟังเพลงนี้อีกครั้ง ผมก็เลยขออนุญาติเอาข้อมูลของวงนี้ที่เคยเขียนไว้ในบอร์ดอื่นมาแปะอีกสักครั้งนะครับ ลองฟัง A Lyke Wake Dirge (เพลงที่สาม) ได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างเลยครับ
ต้องเรียนให้ทราบก่อนนะครับว่าตอนที่ผมเขียนรีวิวนี้ ผมไม่ทราบว่าวง Pentangle และวงโฟล์คอื่นๆก็เคยนำ A Lyke Wake Dirge มาร้องไว้นานแล้ว
The Owl Service
http://music.myspace.com/index.cfm?fuseaction=music.singleplaylist&friendid=83337182 คงต้องกล่าวถึงวงนี้เป็นพิเศษแล้วครับ นานๆจะได้เจอวงที่เล่นโฟล์คได้ถูกใจเสียที เพราะในช่วงหลังๆมานี้ผมไม่ค่อยได้ฟังดนตรีโฟล์คเลย นั่นก็คงเป็นเพราะพักนี้ผมมัวแต่ไปฟังดนตรีอิเลคโทรนิค จนชักเริ่มไม่ค่อยคุ้นกับเสียงธรรมชาติไปเสียแล้ว ผมคงต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ชอบความรู้สึกเย็นชาที่ได้รับจากเสียงสังเคราะห์เหล่านั้นมากกว่าบรรยากาศแบบไอดินกลิ่นหญ้าของดนตรีโฟล์ค ที่เล่นออกมาจากพวกเครื่องดนตรียุคเก่าที่ยังทำขึ้นจากไม้ ผมยังคงรู้สึกว่าบรรยากาศแบบเทาๆที่ชวนให้หม่นหมองของเมืองใหญ่ยังมีเสน่ห์น่าหลงไหลมากกว่าความอบอุ่นอันน่าอึดอัดแบบชนบท
แต่ว่าหลังจากมึนๆกับดนตรีแนว minimal techno มาเป็นอาทิตย์ แล้วยังจะดนตรีอิเลคโทรนิคแบบหลุดโลกของ Autechre อีก มันก็ชักเริ่มจะไม่ไหวแล้วครับ จำเป็นต้องหาดนตรี organica แบบตรงข้ามมาฟังเพื่อให้หูได้ปรับสภาพสมดุลย์ ก็ได้มาเจอกับ The Owl Service เข้า (ใช่แล้วครับ เป็นชื่อเดียวกับงานเขียนของ Alan Garner ที่ผมยังไม่เคยอ่านเลย) ดีใจมากเลยครับที่ได้มาเจอกับพวกเขาตอนที่กำลังรู้สึกเต็มที่กับดนตรีอิเลคโทรนิคอยู่พอดี ถ้าเป็นในเวลาอื่น ผมอาจจะมองข้ามดนตรีของพวกเขาไป และมันคงต้องเป็นอาชญากรรมที่ผมไม่อาจจะให้อภัยตัวเองได้แน่นอนครับ
เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเพิ่งจะออก LP อัลบั้มแรกของพวกเขา ในชื่อ "A Garland of Song" ครับ ซึ่งนักวิจารณ์หลายคนได้พูดไว้ว่า นี่คือผลงานดนตรีโฟล์คแบบอังกฤษที่น่าตื่นเต้นที่สุด นับตั้งแต่ปี 1970 ที่ Fairport Convention ได้ออกผลงานที่ชื่อ Liege and Lief เลยทีเดียวครับ ก่อนหน้านั้น The Owl Service ก็มีผลงานออกมาในรูป EP สองชุดด้วยกัน คือ "Wake The Vaulted Echo" กับ "Cine" ซึ่งดูเหมือนว่าจะออกเป็นซีดีขนาดสามนิ้ว และ EP ทั้งสองชุดของพวกเขามีการปั๊มออกมาใหม่ให้สั่งซื้อกันได้แล้วครับ เพราะในครั้งแรกพวกเขาจะปั๊มซีดีออกมาขายในจำนวนจำกัด และก็ขายหมดอย่างรวดเร็วเสียด้วยสิครับ
ก็เช่นเคยครับ ผมเจอชื่อวงนี้ก็ตอนที่เข้าไปเช็ครายชื่อเพลงในรายการ Freak Zone ของ Stuart Maconie ก็มีอยู่รายการเดียวแหละครับที่มีเสียงดนตรีแปลกๆไว้คอยรองรับแทบจะทุกอารมณ์ ในลิสต์มีเพลงของวงนี้อยู่สองเพลง Daniel/Take Me To Your Lover กับ Marianne สองเพลงนี้ก็ไม่ได้เปิดในช่วง University of Strange ที่บ่อยครั้งผู้จัดรายการมักจะเปิดเพลงของศิลปินบางกลุ่มสองเพลงขึ้นไป เพื่อประกอบการเสวนาแบบเจาะลึกกับแขกรับเชิญขาประจำ Prof. Justin Spear ในเรื่องดนตรีบางประเภทในบางยุคเป็นการเฉพาะ
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าในวันนั้น The Owl Service ได้มาเป็นแขกรับเชิญของทางรายการ หรืออาจเป็นเพราะ Stuart ตั้งใจเปิดเพลงของวงนี้ติดกันสองเพลง ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร มันก็ย่อมแสดงว่าดนตรีของพวกเขาคงต้องมีบางอย่างที่ยอดเยี่ยม พอผมเข้าไปใน MySpace ของพวกเขา ก็น่าเสียดายครับที่ไม่มีเพลงที่เปิดในรายการ แต่พอได้ฟังเพลงแรกในเพจของพวกเขา "The Rolling of the Stones" บรรยากาศอันขมุกขมัวของดนตรีโฟล์คอังกฤษขนานแท้ก็ฟุ้งตลบขึ้นจมูกมาทันทีเลยครับ
บรรยากาศในดนตรีของพวกเขาจะเป็นการนำเอาองค์ประกอบอันหลอนประสาทของดนตรีไซคีเดลลิคมาใส่ลงไปในดนตรีโฟล์คแบบดั้งเดิมของอังกฤษ บางครั้ง ฟังเพลงของพวกเขาก็ชวนให้นึกไปถึงบรรยากาศในพิธีบรวงสรวงของพวก Pagan ได้เหมือนกันครับ แทร็คที่ผมชอบเป็นพิเศษจะเป็น "A Lyke Wake Dirge" โดยเฉพาะท่วงทำนองที่หวานเศร้า อารมณ์เพลงจะมีกลิ่นของยุค medieval ในโทนเทาหม่นแบบอังกฤษแท้ๆ ภาษาที่ใช้ก็ดูเหมือนจะเป็นภาษาอังกฤษโบราณ ที่ออกเสียงกันแบบโบราณเสียด้วย
จนผมได้มาทราบภายหลังว่า เพลงของพวกเขาเกือบทั้งหมด จะนำเอาเพลงพื้นบ้านดั้งเดิมมาเล่นใหม่ ดูจากรายชื่อเพลงของพวกเขา ผู้ที่คุ้นเคยกับดนตรีโฟล์คดั้งเดิมของอังกฤษคงจะรู้จักเพลงเหล่านี้กันดี แต่ The Owl Service จะเรียบเรียงดนตรีเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ ทั้งด้วยเครื่องดนตรีพื้นบ้านอันหลากหลายประกอบเข้ากับเสียงกีตาร์ที่บิดเบี้ยว เพลงเหล่านี้ครุกรุ่นไปด้วยเสน่ห์อันเร้นลับของเรื่องราวเหนือธรรมชาติ เป็นอารมณ์ที่คล้ายๆกับการได้ดูหนังแนวลึกลับจากยุค 60s เลยครับ
ที่เป็นเช่นนั้น ก็คงเป็นเพราะ The Owl Service ตั้งวงขึ้นมาจากกลุ่มนักดนตรีที่ชื่นชอบดนตรีโฟล์ค และภาพยนตร์จากยุค 60s โดยแกนนำหลักของวงก็คือ Steven Paul Collins เขาเป็นชาว Leigh-on-Sea (Essex) โดยกำเนิด เมื่อออกผลงานเพลงแต่ละครั้ง เขาจะเป็นผู้รวบรวมสมาชิกในวงจากนักดนตรีในท้องถิ่น และยังเป็นผู้สรรหานักร้องนำที่มีน้ำเสียงสอดคล้องกับเพลงในแต่ละเพลงอีกด้วยครับ
ใน EP ชุดที่สอง "Cine" เพลงทั้งหมดในอัลบั้มจะนำดนตรีประกอบภาพยนตร์มาเรียบเรียงใหม่ ซึ่งก็จะมีเพลงจาก Psychomania (front title), Girl on a Motorcycle (Daniel/Take Me to My Lover), Die Screaming Marianne (Marianne) และแน่นอนครับ The Wicker Man (Searching for Rowan/Cave Chase) เพลงทั้งหมดถูกเรียบเรียงใหม่ด้วยความพิถีพิถันในรายละเอียดอย่างยิ่งยวด และเปี่ยมไปด้วยความเคารพที่มีให้กับดนตรีในต้นฉบับ นอกจากเสียงดนตรีจะคงไว้ซึ่งเสน่ห์ดั้งเดิมของต้นฉบับแล้ว เสียง fiddle ของ Martyn Kember-Smith เสียงร้องที่ใสดุจผลึกแก้วของนักร้องนำหญิง เสียงระฆังประกอบดนตรี เสียงกลองที่แว่วมาจากระยะไกล ประกอบกันเข้าจนความงามในแบบอาร์ตเฮาส์เกรดบีถูกปลดปล่อยให้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ครบถ้วนทุกองค์ประกอบ ความยอดเยี่ยมของอัลบั้มชุดนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ไม่เว้นแม้แต่จากนิตยสารที่เน้นดนตรีแดนซ์ล้วนๆอย่าง DJ Magazine ทั้งๆที่เมื่อออกวางขายครั้งแรก ก็วางขายด้วยจำนวนจำกัด เพียงแค่ 200 ก็อปปี้เท่านั้นเองครับ
ส่วน "A Garland of Song" อัลบั้ม LP ชุดล่าสุดนี้ นอกจากคิดค้นรูปแบบและเรียบเรียงเสียงทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว Collins จะเล่นเครื่องดนตรีเองเกือบทั้งหมด นั่นหมายความว่าเขาต้องเล่นกีตาร์ เครื่องเคาะ แมนโดลิน glockenspiel รวมไปถึง sitar ส่วนที่เหลือ อย่าง fiddle แบนโจ และ ฮาร์พ ก็จะเล่นโดยสมาชิกที่เหลือ อัลบั้มชุดนี้จะใช้นักร้องนำมากเป็นพิเศษ เพราะเนื้อหาในแต่ละเพลงจำเป็นจะต้องได้เสียงร้องที่มีไว้เพื่อเพลงเหล่านั้นโดยเฉพาะ เพราะบางเพลงจะมีเนื้อหาในแบบเรื่องเล่าพื้นบ้าน บางเพลงจะเป็น murder ballad แต่ละเพลงจะเหมาะสมกับลักษณะเสียงร้องที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็คงต้องชื่นชมกับความพยายามของ Collins ที่สามารถรวบรวมน้ำเสียงอันน่าหลงไหลอย่าง Jo Lepine กับ Diana Collier ที่เข้ามาเป็นสมาชิกประจำของวงไปแล้ว กับนักร้องรับเชิญอย่าง Dom Cooper Nancy Wallace และ Pamela Wyn-Shannon ให้เข้ามาช่วยเพิ่มความลงตัวให้กับเนื้อหาอันหลากหลายเหล่านั้นได้ นอกจากนั้น บางเพลงยังต้องใช้นักร้องประสานเสียงด้วยซ้ำ
ด้วยความปราณีตในการสร้างสรรค์ผลงาน และการเรียงลำดับบทเพลงที่คำนึงถึงความต่อเนื่องทางอารมณ์ การฟังอัลบั้มชุดนี้จึงเปรียบได้กับการเดินทางด้วยการเปิดรับกระแสแห่งอารมณ์อันงดงาม ที่พัดผ่านเข้ามาเป็นระลอกๆ จากชั่วขณะหนึ่งไปสู่อีกชั่วขณะ กลายเป็นความต่อเนื่องทางอารมณ์อันหลากหลาย บางครั้งก็ไร้เดียงสา บางครั้งก็เร้นลับจนดูน่ากลัว นักวิจารณ์หลายคนได้กล่าวถึงอัลบั้มนี้ว่าเป็นความน่าตื่นเต้นของวงการโฟล์คอังกฤษ นับตั้งแต่ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ Liege and Lief ออกวางจำหน่ายเมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้ว
ข้างล่างนี่เป็นเนื้อร้องของเพลงอังกฤษโบราณที่เป็นต้นฉบับของ "A Lyke Wake Dirge" ครับ ผมได้ทราบภายหลังว่า เพลงนี้ไม่ได้รวมอยู่ในอัลบั้มของ The Owl Service เลย แต่เป็นเพลงที่ทางวงแต่งขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อรวมอยู่ในอัลบั้ม compilation CD ในชื่อ The Bitter Night EP ที่ออกร่วมกับศิลปินอื่นๆในสังกัด Hobby-Horse Singles Club
แรกเริ่มเดิมทีนั้น Hobby-Horse Singles Club เป็นตราแผ่นเสียงที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อออกผลงานของ The Owl Service โดยเฉพาะ แต่ต่อมาก็ได้ขยับขยายด้วยการออกผลงานของศิลปินกลุ่มอื่นๆที่เคยเข้ามาร่วมงานกับทางวงด้วยเช่นกันครับ ลองเช็คที่ MySpace ของ Hobby-Horse Singles Club ดูนะครับ MySpace ของบริษัทจะอยู่ใน top friends ของ The Owl Service เลยครับ ในนั้นจะมีเพลงของ The Owl Service บางเพลงที่ไม่ได้ใส่ลงใน MySpace ของพวกเขา อย่างเพลง Turpin Hero
ผมลองกูเกิ้ลหาเนื้อร้องของ "A Lyke Wake Dirge" แล้วก็มาเจอเนื้อเพลงนี้เข้า แต่เนื้อร้องในเวอร์ชั่นของ The Owl Service หลังจากช่วงโซโลฟิดเดิ้ล จะมีการดัดแปลงเนื้อร้องให้แตกต่างออกไปจากเนื้อเพลงต้นฉบับ แต่ท่วงทำนองของเพลงนี้ไพเราะและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แบบยุคกลางจริงๆครับ เชื่อกันว่าเนื้อเพลงนี้เขียนขึ้นมาในศตวรรษที่17
A Lyke-Wake Dirge
This ae nighte, this ae nighte,
-- Every nighte and alle,
Fire and fleet and candle-lighte,
And Christe receive thy saule.
When thou from hence away art past,
-- Every nighte and alle,
To Whinny-Muir thou com'st at last;
And Christe receive thy saule.
If ever thou gav'st hosen and shoon,
-- Every nighte and alle,
Sit thee down and put them on;
And Christe receive thy saule.
If hosen and shoon thou ne'er gav'st nane
-- Every nighte and alle,
The whinnes sall prick thee to the bare bane;
And Christe receive thy saule.
From Whinny-muir when thou mayst pass,
-- Every nighte and alle,
To Brig o' Dread thou com'st at last;
And Christe receive thy saule.
If ever thou gav'st silver and gold,
-- Every nighte and alle,
At t' Brig o' Dread thou'lt find foothold,
And Christe receive thy saule.
But if silver and gold thou never gav'st nane,
-- Every nighte and alle,
Down thou tumblest to Hell flame,
And Christe receive thy saule.
From Brig o' Dread when thou mayst pass,
-- Every nighte and alle,
To Purgatory fire thou com'st at last;
And Christe receive thy saule.
If ever thou gav'st meat or drink,
-- Every nighte and alle,
The fire sall never make thee shrink;
And Christe receive thy saule.
If meat or drink thou ne'er gav'st nane,
-- Every nighte and alle,
The fire will burn thee to the bare bane;
And Christe receive thy saule.
This ae nighte, this ae nighte,
-- Every nighte and alle,
Fire and fleet and candle-lighte,
And Christe receive thy saule.
ดูๆไปแล้ว นอกจากเนื้อร้องจะเขียนด้วยภาษาแบบโบราณแล้ว การร้องยังออกเสียงแบบดั้งเดิมที่ต่างๆไปจากการออกเสียงแบบภาษาพูดในยุคนี้อีกด้วยครับ ผมลองพยายามแปลด้วยตัวเองดู แต่ทำไปทำมามันก็ไปไม่ถึงไหนเลยครับ รู้แค่พอลางๆว่าเนื้อเพลงมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับศาสนา ก็โอเคครับเพราะเพลงที่แต่งขึ้นในยุคนั้นก็มักจะมีเนื้อหาแบบนี้ทั้งแทบทุกเพลงอยู่แล้วครับ พอไดไปอ่านบล็อคของ The Owl Service อีกครั้ง ถึงได้ทราบชื่อของนักร้องหญิงที่ร้องนำใน A LYKE WAKE DIRGE เธอชื่อ REBSIE FAIRHOLM ครับ ชอบเสียงร้องของเธอจริงๆครับ และใน MySpace ของเธอ ก็ยังมี A LYKE WAKE DIRGE ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งด้วย เป็นเวอร์ชั่นที่ภาคดนตรีจะออกไปทางอิเลคโทรนิค และเธอก็ได้กล่าวถึงเพลงนี้ในบล็อคของเธอเช่นกันครับ ผมถึงได้ทราบต่อมาว่าเพลงนี้เป็นเพลงพื้นบ้านที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอังกฤษยุคโบราณ เป็นภาษาทีใช้กันในแถบตอนเหนือของอังกฤษ ซึ่ง "Lyke wake" ในที่นี่จะหมายถึง "corpse watch" และเพลงนี้จะร้องในพิธีศพ โดยที่จะร้องก่อนทำการฝัง
เนื้อร้องของเพลงจะใช้ร้องเพื่อการส่งวิญญานให้แก่ผู้ตาย โดยในช่วงแรกที่วิญญานของผู้ตายออกจากร่าง ดวงวิญญานจะต้องผ่านขั้นตอนของการล้างบาป ในเนื้อร้องจะกล่าวถึง purgatory ตามแนวความคิดแบบอังกฤษ ดวงวิญญานของผู้ตายจะต้องเดินทางไปตามเนินเขาที่ชื้นแฉะ และเต็มไปด้วยไม่พุ่มที่มีหนามแหลม โดยที่ไม่ได้สวมรองเท้า เนื้อเพลงจะเป็นการบอกแนวทางให้วิญญานของผู้ตายฝ่าฟันเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนสติให้กับผู้ที่ยังมีชีวิต ให้ปฏิบัติกับคนรอบข้างด้วยความเป็นมิตร เพราะเราอาจจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เคยทำเอาไว้หลังจากที่ตายไปแล้ว ไม่ใช่ว่า ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยไปเผาผีใคร ถ้าตอนยังมีชีวิตอยู่เราเป็นอย่างนั้น ก็คงต้องทำตามที่คุณยอดรักได้ให้คำแนะนำกับพี่เป้า สายัณห์ สัญญา เอาไว้นะครับว่า ก่อนตายก็ให้เตรียมบริจาคร่างกายกับพวกโรงพยาบาลไว้เสียแต่เนิ่นๆ ไม่งั้นอาจจะเวลาที่ตายไปแล้ว อาจจะไม่มีใครมาร้องเพลงส่งศพให้ ยิ่งผมนึกไปมันก็ยิ่งเข้าตัวเองครับ
เพลงอื่นๆของเธอแทบทั้งหมดจะเป็นการนำดนตรีโฟล์คแบบดั้งเดิมของอังกฤษมาเรียบเรียงดนตรีใหม่ เธอยังนำเพลงของ Pink FLoyd ที่ชื่อ Julia Dream ( จากอัลบั้ม Relic ) มาทำดนตรีใหม่ด้วย น่าเสียดายที่เธอไม่ได้ใส่เพลงนี้ลงใน MySpace ของเธฮ เพราะเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงจาก ยุค Pre - Dark Side of the Moon ที่ผมชอบมากเลยครับ ท่วงทำนองช่วงต้นเพลงในเวอร์ชั่นต้นฉบับมักจะทำให้ผมนึกถึงดนตรีประกอบของหนังชอว์บราเดอร์ช่วงปลายยุค 70s ที่หนังทั้งเรื่องจะถ่ายในสติวดิโอ มีการจัดฉากและแสงจนได้บรรยากาศเหมือนกับภาพเขียน ผมอยากรู้จริงๆครับว่าถ้าร้องเพลงนี้ด้วยเสียงร้องของเธอ รวมทั้งการเรียบเรียงดนตรีในแบบของเธอด้วยแล้ว บรรยากาศของเพลงนี้จะออกมาเป็นยังไง