กลับมาแล้วครับ ก็ขอเล่าเรื่องภูฏานคร่าวๆ ดังนี้
- ที่ไปครั้งนี้ ก็เป็นการร่วมไปกับคณะเผยแพร่โครงการพระราชดำริด้านการพัฒนาชุมชน ให้ชาวภูฏานทราบและพิจารณานำไปเลือกปรับใช้เข้ากับความต้องการของพวกเขา
- การเดินทางโดย Drukair เป็นสายการบินที่ทันสมัย เวลาเครื่องลงที่ภูฏานอาจหวาดเสียวเล็กน้อย เพราะเป็นประเทศที่มีแต่ภูเขากับภูเขา จะหาที่ราบสร้างสนามบินได้ก็น้อยนิด รันเวย์ก็สั้นมากกว่าปกติ เวลาเครื่องจะลงจึงเหมือนเครื่องกำลังบินชนภูเขา แล้วนักบินก็เลี้ยวหักมุมเป็นมุมฉากเพื่อนำล้อแตะรันเวย์ให้ได้เร็วที่สุด ถ้าช้าไปจะทำให้เวลาไม่พอที่จะเบรค ถ้าช่วงเวลาเบรคไม่ทันเครื่องก็จะชนภูเขา ก็จะต้องรีบนำเครื่องเชิดหัวขึ้นไปใหม่ วันที่ไปก็ลงจอดได้เรียบร้อยดี
- อากาศเย็นสบายและบริสุทธิ์มาก น้ำตามลำธารใสเหมือนน้ำประปาที่ออกจากก๊อกน้ำ ตามเขาเป็นป่าสนเป็นส่วนใหญ่ แต่ได้ไปเห็นหุบเขานึงมีต้นกุหลาบพันปีต้นเท่าต้นมะม่วงขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก และกำลังออกดอกเต็มต้น มีหลาย shade ของชมพู/แดง ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งสุดท้ายของโลกที่กุหลาบพันปียังขึ้นอยู่ตามธรรมชาติโดยยังไม่ถูกทำลาย
- บ้านเมืองก็เป็นอย่างที่เคยเห็นกันในภาพ บ้านและอาคารมีกฎหมายบังคับให้ยึดถือแบบดั้งเดิมของภูฏาน จึงไม่มีอาคารน่าเกลียดแบบตะวันตกให้เห็นเลย ความที่เป็นภูเขาทั้งประเทศ ถนนที่ลัดเลาะไปตามเขาจะค่อนข้างแคบ และน่าหวาดเสียว พวกป้อมปราการ (Dzong) ต่างๆ ในอดีตหลายแห่ง ถูกดัดแปลงเป็นวัดด้วย จีวรสีแดงแบบพระธิเบต แต่รู้สึกว่า หลายวัดจะมีปัญหาเรื่องสุขอนามัย โดยสังเกตจากเณรที่ร่างกายไม่ค่อยสะอาด เป็นโรคผิวหนัง และกลิ่นที่เตะจมูกเวลาเข้าไปในวัด นอกจากนี้ ตามทางก็มีขยะที่ถูกทิ้งเกลื่อนให้เห็นจำนวนมาก
- การแต่งกายของคนทั่วไปแบบที่เคยเห็นน่าจะเป็นเครื่องแบบหรือชุดที่ใส่สำหรับงานพิธี และเป็นชุดนักเรียน ซึ่งจะแยกสีตามโรงเรียน พอวันหยุด ก็เห็นแต่งเสื้อยืดกางเกงยีนส์กันทั้งเมือง ชาวภูฏานหน้าตาออกไปทางคนจีน แต่ผิวคล้ำ (มีแต่พวกมีเชื้อเจ้า ที่จะผิวขาว) หน้าตาผู้คนยิ้มแย้มมีความสุขกันดี คนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก เพราะสอนกันตั้งแต่เด็ก ป้ายตามร้านค้าและสถานที่ต่างๆ ก็มีภาษาอังกฤษกำกับหมด
- อาหารก็เป็นการผสมผสานระหว่างอาหารจีนกับอาหารแขก รสชาติออกเค็มเป็นส่วนใหญ่
- เพลงพื้นเมือง ฟังดูคล้ายเพลงจีน
- ความประทับใจ ก็คงจะเป็นอากาศบริสุทธิ์ น้ำใส ป่าที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองสวยงาม สมกับที่โฆษณาไว้ว่า สวรรค์บนดินแห่งสุดท้ายบนโลก
ฟังแล้วน่าไปชื่นชมบรรยากาศ(จนถึงน่าอยู่)มาก และน่าเศร้าที่ทิศทางของบ้านเราดูจะไปคนละทางกับบ้านเขาโดยสิ้นเชิง...