ตอนเข้าค่าย ร.ด. ปีสุดท้ายนั้น ปีผมตรงกับหน้าหนาวที่หนาวพอดี เช้ามืดและกลางคืนนั้นหนาวมาก ส่วนตอนกลางวันร้อนจัด อากาศแห้งจนแทบสำลักฝุ่นตายตอนกลิ้งไปมาและวิ่งระหว่างฝึก ตัวผมมีชุด ร.ด. เพียงชุดเดียวเท่านั้น และใช้ติดต่อกัน 5 วัน โดยไม่ได้ซัก ชุดจึงกรอบและแข็งและมีความมันเงา (ถ้านึกไม่ออก ให้นึกถึงกางเกงยีนส์ที่ไม่ได้ซักมาร่วมปี) กลางคืนเวลานอนจึงต้องเอาชุดไปตากนอกเต๊นท์ เพราะกลิ่นนั้นสุดบรรยาย
การฝึกนั้นไม่โหดมาก วันแรกก็ต้องเดินทางไกลเพื่อผ่านด่านต่างๆของครูฝึกเป็นระยะทางไปกลับประมาณสิบกิโล ซึ่งเป็นทางขึ้นลงภูเขาเกือบทั้งหมด มีทั้งปีนกำแพง ลอดลวดหนาม ไต่เชือก ซึ่งระหว่างวันก็มีฝนตกลงมาพรำๆ โชคดีที่ป่าค่อนข้างทึบฝนเลยไม่หยดลงมาโดนหนึกมาก แต่ก็ต้องพึ่งใบตองตึงที่ตกอยู่ตามรายทางช่วยบังฝนไว้ วันที่สองจัดกลุ่มเพื่อซ้อมรบ วิ่งไปมาเหนื่อยมาก เพราะต้องแบกของหนักเหมือนไปรบจริง ที่สำคัญหนวกหูเสียงปืน (จริง) ระเบิด (จริง) ที่เอามาประกอบฉากตอนเรียนให้น่าตื่นเต้น ทั้งยังต้องพรางหน้าสีดำ วันที่สามเรียนทำฐานรบต้องขุดหลุมทำบังเกอร์ มือพองแตกกันเป็นแถว ซึ่งแสบมากๆ และฝึกการลาดตระเวณ ก่อนจะต้องลงไปนอนในหลุมเพื่อฝึกซ้อมรบในคืนวันนั้น ซึ่งไม่ได้นอนหรอก เพราะครูฝึกจะแกล้งจับไปเป็นชเลย วันที่สี่เบาสุดคือสอบทฤษฎีเรื่องการอ่านแผนที่และเรื่องที่อยู่ในหนังสือเรียนเล่มหนาๆนั่นเเหละครับ แล้วก็ต่อคิวกันกระโดดหอ ส่วนวันสุดท้ายก็ไม่มีอะไรมาก ตื่นมาเก็บของ รอติดยศตอนก่อนเที่ยง บ่ายกินข้าวแล้วก็แยกย้ายกันกลับ
เวลากินข้าวนั้น ครูฝึกจะให้แบ่งเป็นกองร้อย และให้เวลากินข้าวกองร้อยละ 5 นาที กองร้อยประมาณ 100 คน ใครจะมาเติมกี่รอบก็ได้ แต่เวลานี้รวมเวลาที่เดินไปเอาข้าวด้วยนะ ดังนั้นกลุ่มที่มีการวางแผนมาล่วงหน้าก็จะได้ข้าวกินกันทั่วทุกคน วันแรกไม่มีการวางแผน คนหลังๆจึงไม่ได้ข้าว ก็จะเห็นน้ำใจเพื่อนที่เอาข้าวมาแบ่งให้ น่ารักดีครับ วันหลังๆรู้แกว ครูฝึกก็ลดเวลาเหลือสี่-สามนาทีครับ
จะสังเกตได้ว่าผมไม่ได้พูดเรื่องอาบน้ำเลย เพราะผมไม่ได้อาบน้ำเลยตลอดห้าวันนั้นครับ ฮ่าๆ