Agent Fox Mulder - Solo Live Acoustic
Harvest Moon - An Evening with Words & Music of Neil YoungIntroductionก่อนอื่นต้องกล่าวขอบคุณพี่สิทธิ์ก่อนเลยครับ ที่ให้โอกาสและเคยชักชวนผมให้แสดงแบบอคูสติกแบบนี้ ความจริงแล้วพี่สิทธิ์เคยเสนอให้ผมเล่นแสดงสดอคูสติกแบบนี้มาก่อนแล้วตั้งแต่มีตติ้งคราวก่อน แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นไม่ค่อยเอื้ออำนวย ผมเลยคิดว่ายังก่อนดีกว่า จนมาถึงมีตติ้งคราวนี้ที่พี่สิทธิ์ก็ยังเสนอให้โอกาสผมเล่นแบบนี้อีกครั้งนึง เลยคิดว่าน่าจะถึงเวลาและโอกาสแล้ว เลยไม่ขอปฏิเสธสำหรับคราวนี้ครับ
โชว์ของผมคราวนี้ส่วนหนึ่ง ตั้งใจให้มีสีสันตัดกับโชว์ของฟิวและกิตที่จะเล่นหลังจากนั้น จากที่ได้ฟังน้องๆ เล่นดนตรีด้วยอุปกรณ์ไฮเทค หวือหวา สร้างซาวน์ประหลาด ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผมจะพาทุกท่านกลับไป Back to Basic ด้วยอคูสติกกีตาร์และเปียโน กับบทเพลงของ Neil Young ที่คัดออกมาจากอัลบั้มมาสเตอร์พีซในช่วงปลายยุค 60's ต้นยุค 70's แทบจะล้วนๆ พร้อมด้วย Message และข้อคิดจากบทเพลงของเขา ให้ได้ขบคิดกันต่อ
วันนี้เราลืมกันหรือเปล่า ว่าดนตรีคืออะไร? ทำไมต้องมีใครซักคนมาเล่นอคูสติกกีตาร์ ร้องเพลง พร้อมกับสิ่งที่เขาต้องการบอกเรา ผ่านมาทางเนื้อร้อง? เรากำลังฟัง "เสียง" หรือเรากำลังฟัง "ดนตรี" กันแน่? เราจะฟังแค่เสียงที่เขาสร้างไปทำไม ถ้าปราศจากความเข้าใจในสิ่งที่เค้าต้องการสื่อ? สุดท้ายแล้ว ดนตรี มันคืออะไรกันแน่นะ?
Solo Acoustic?ปรกติผมเล่นดนตรีตามงานเล็กๆ ทั่วไปนั้น มักจะเล่นในรูปแบบวงดนตรี ที่มี กีตาร์ เบส กลอง คีย์บอร์ดมากกว่า ซึ่งปรกติอย่างที่ทราบๆ กันว่าผมเป็นมือกีตาร์บลูส์ ที่เล่นในสไตล์ของ Eric Clapton และ David Gilmour เป็นหลัก แต่นอกนั้นบางทีผมอยู่ว่างๆ ก็ชอบที่จะเล่นอคูสติกกีตาร์หรือเปียโน คลอไปกับเพลงที่เราชื่นชอบของศิลปินประเภท Singer/Songwriter จากยุค 70's อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากมายนัก ผมรู้สึกว่าการเล่นแบบนี้ให้อารมณ์ที่แปลกและแตกต่างไปจากการเล่นกีตาร์ใน Band เนื่องจาก ทุกอย่างมันแทบจะ "เปลือยเปล่า" เราต้องร้องไปด้วย เล่นไปด้วย เราต้องพยายามคุมทุกอย่างให้อยู่ในอุณหภูมิที่ดีตลอดเวลา ซึ่งต่างจากการเล่นวงที่หากไม่ใช่ช่วงเวลาของกีตาร์โซโล่ เราก็สามารถจะเล่นริธึ่มกีตาร์แบบชิวๆ ผ่อนคลายไปตามอารมณ์เพลงได้ ทำให้การเล่นแสดงสดแบบโซโล่อคูสติกนั้น ต้องใช้สมาธิสูงกว่า เนื่องจากเสียงทุกเสียงที่เราสร้างขึ้น จะวิ่งไปให้ผู้ฟังโดยตรง ตรงนี้ต้องขอออกตัวเลยว่า ผมไม่เคยเล่นแสดงสดในลักษณะนี้มาก่อน ต้องขออภัยล่วงหน้าในข้อผิดพลาดที่ (คงจะ) เกิดขึ้นด้วยนะครับ โดยเฉพาะเปียโน ซึ่งไม่ใช่เครื่องดนตรีหลักที่ผมเล่นอยู่โดยปรกติ ยิ่งมาเล่นไปด้วย ร้องไปด้วยแบบนี้ ยิ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ เลยครับ
Why Neil Young?คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมต้องเป็น Neil Young? โดยปรกติผมเป็นคนที่ฟังเพลงในช่วงยุค 60's-70's เป็นหลัก ซึ่งศิลปินประเภท Singer/Songwriters หรือ Acoustic Folk/Rock ที่เป็นท๊อปลิสต์อันดับต้นๆ ของผม ก็คงหนีไม่พ้น Bob Dylan, Neil Young, Crosby, Stills & Nash, Jackson Browne, Carole King ตอนแรกนั้นผมคิดว่าจะให้โชว์ของผมเป็นการนำเพลงจากศิลปินที่ผมชื่นชอบหลายๆ คนมาเล่นรวมกัน โดยอาจจะแซมเพลงของศิลปินอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายข้างต้น แต่เป็นศิลปินที่สมาชิกหลายๆ ท่านรู้จักและชื่นชอบ อย่าง The Beatles, Eric Clapton, Pink Floyd ลงไปด้วย แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าทำให้โชว์ขาดความเป็นเอกภาพ โดยส่วนตัวแล้วคนที่เคยเล่นดนตรีกับผมจะทราบดีว่า ผมชอบเล่นอะไรที่มันเป็นคอนเซปต์ เป็นธีม ไปในทางเดียวกัน เนื่องจากคิดว่า Message ที่เราจะสื่อไปถึงผู้ชมผู้ฟังจะได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า
เหตุที่ผมเลือกเล่นคัฟเวอร์เพลงของ Neil Young ในโชว์ไลฟ์อคูสติกนี้เป็นเพราะว่า Neil Young เป็นศิลปินที่ผมชื่นชอบที่สุดในกลุ่มนี้ ผลงานของเขาก็พอย่อยได้ไม่ยากจนเกินไป เทียบกับกรณีของ Bob Dylan ที่เมโลดี้ของตัวเพลงอาจเป็นจุดอ่อน ทำให้ใครหลายๆ คนที่ไม่ได้เป็นแฟนเพลงของ Bob Dylan อาจจะเบือนหน้าหนี รายของ Crosby, Stills & Nash นั้น ถ้าหากปราศจากเสียงร้องประสานแล้ว มันจะเป็นเพลงของ CS&N ไปได้ยังไง? ส่วนกรณี Jackson Browne นั้น ดูเหมือนเครื่องดนตรีหลักของเขาคือเปียโน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ผมยังไม่สามารถที่จะประคองเล่นไปตลอดรอดฝั่งทั้งโชว์ สุดท้ายแล้ว Neil Young จึงเป็นตัวเลือกแรกสุด ด้วยความสนิทสนมและความชื่นชอบส่วนตัว บวกกับการเล่นที่ไม่ยากจะเกินไปนักสำหรับในส่วนของอคูสติกกีตาร์
Warm Up Listeningเพลงที่ผมเลือกนำมาเล่นในโชว์นั้น ถูกเลือกมาจากผลงานจากอัลบั้มคลาสสิคระดับตำนานในช่วงปลายยุค 60's และต้นยุค 70's เป็นหลัก และแน่นอนว่าจากชื่อของโชว์ อัลบั้มที่ผมเลือกเพลงมาคัฟเวอร์เป็นจำนวนเพลงมากที่สุด ก็คือ Harvest ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ของอัลบั้มโปรดที่สุดตลอดกาลของผม นอกนั้นก็จะเป็นผลงานเพลงเด่นๆ ของ Neil Young ในช่วงยุคสมัยนั้นเป็นหลัก
ที่ผมหวั่นๆ นิดนึงก็คือ สมาชิกรุ่นเล็กของบอร์ดเราส่วนใหญ่ อาจไม่คุ้นกับผลงานของ Neil Young มากนัก หรือแม้กระทั่งสมาชิกบางท่าน ที่ฟังเพลงโปรเกรสสีฟร็อค หรือเพลงเมทัล เป็นหลัก อาจเกิดอาการ "ชา" กับเพลงของ Neil Young ที่ถูกอัดยาวๆ เป็นสิบเพลงรวดได้ เนื่องจากไม่คุ้น/ไม่เคยฟังผลงานของ Neil Young หรือศิลปินประเภท Singer/Songwriter มาก่อน รวมถึงแฟนเพลงของ Neil Young ขาจรบางท่าน ที่อาจจะไม่ได้ฟังเพลงของ Neil Young มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นผมจึงขอแนะนำอัลบั้มสำหรับการ "Warm Up" ให้ได้ฟังกันอย่างคุ้นหู เป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนครับ ซึ่งก็จะเป็นอัลบั้มที่ผมเลือกเพลงในชุดนั้นมาเล่นในโชว์แหละครับ
อัลบั้มเหล่านี้แทบเรียกได้ว่าเป็นอัลบั้มตำนานของวงการดนตรีร็อคอเมริกัน และสร้างอิทธิพลให้กับศิลปินในยุคหลังมากมายพอที่จะเรียกมันได้ว่าเป็น "มรดก" ไม่ต่างกับอัลบั้มมาสเตอร์ระดับตำนานอย่าง Dark Side of the Moon, Sgt. Peppers หรือ IV (Led Zeppelin) เลยเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่มันจัดเข้าข่ายอยู่ในประเภทจำพวก Folk Rock, Country Rock หรือ Singer/Songwriter เรียกได้ว่าเป็น Milestones ของดนตรีในแนวนี้เลยก็ว่าได้ ประกอบด้วย 4 สตูดิโออัลบั้ม 1 อัลบั้มไลฟ์ และ 1 อัลบั้มรวมเพลง สำหรับผู้ที่อาจจะไม่มีเวลาหาสตูดิโออัลบั้มของ Neil Young มาฟังแบบเต็มๆ ก็พอหาอัลบั้มรวมเพลงชุดสุดท้าย มาฟังแก้ขัดก่อนได้ครับ
Harvest ~ 1972Best-selling album of 1972, Ranked #78 in Rolling Stone's The 500 Greatest Albums of All Time & Include "Heart of Gold" #1 single on U.S. Billboardอัลบั้มที่ติด 1 ใน 10 ของอัลบั้มที่ผมชื่นชอบตลอดกาลบนโลกใบนี้ ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทั้งความเป็น Commercial กับความเป็น Art อัลบั้มนี้เป็น Most Commercially Successful Recording ของ Neil Young ด้วย ภาพรวมของอัลบั้มเป็นการผสมผสานระหว่างดนตรี Folk, Rock, Symphony Orchestra และ Country เข้าด้วยกัน มีความเป็น Drama เข้มข้นอย่างเหลือเชื่อทั้งที่ไม่ได้เป็นคอนเซปต์อัลบั้ม ทุกเพลงเหมือนมีชีวิตและมีเรื่องราวของมันเองอย่างจับต้องได้ ส่วนหนึ่งต้องยกให้เพลงสไตล์ Symphony Broadway Musical อย่าง A Man Needs A Maid และ There's A World ที่ไ่ด้วง London Symphony Orchestra มาเล่นเครื่องสายวงใหญ่ได้อย่างงดงามอ่อนช้อยและยิ่งใหญ่ ขยายขอบเขต Over-Scaled ของอัลบั้มนี้ให้กว้างไกลขึ้นไปอีก ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือฝีมือ Pedal Steel ของ Ben Keith ในเพลงอย่าง Out on the Weekend และ Old Man ที่เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจอันทำให้ผมพยายามหัดเล่นเครื่องดนตรีประเภทนี้ในเวลาต่อมา เพลงโฟล์คคันทรีระดับตำนานอย่าง Heart of Gold และ Old Man ก็สมบูรณ์แบบด้วยเสียงร้อง Backing ของ James Taylor และ Linda Ronstadt แบนโจใน Old Man โดดเด่นและให้ฟีลของความเป็น Country อย่างเต็มเปี่ยม เพลงไตเติ้ลแทร็ค Harvest ก็เป็นอคูสติกโฟล์ค Lullaby นุ่มนวลชวนฝันด้วยเปียโนเพราะพริ้ง The Needle and the Damage Done อคูสติกโฟล์คที่กล่าวถึง Heroin Addiction เป็นอีกเพลงหนึ่งที่เป็น Trademark ของ Neil Young ไปแล้ว ปิดท้ายด้วย Words (Between the Lines of Age) เพลงร็อคซาวน์ Vintage เก๋าๆ เล่นกับ Time Signature แปลกๆ อันมีกลิ่นอายที่หอมหวลที่สุดในโลกใบนี้ ด้วยซาวน์กีตาร์ Gretsch White Falcon ผ่านแอมป์ Fender 1957 Tweed Deluxe ฝีมือ Neil Young แบ๊คอัพด้วยวง The Stray Gators ที่โชว์เพอฟอร์มแมนซ์ไว้ได้อย่างร้อนแรงมากในแทร็คนี้ เพื่อนๆ สามคน David Crosby, Graham Nash และ Stephen Stills ก็มาช่วยร้อง Backing กันอย่างครบครัน Harvest ไม่ได้เป็นแค่อัลบั้มชุดนึง แต่มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตผม!!!
After the Gold Rush ~ 1970Ranked #72 in Rolling Stone's The 500 Greatest Albums of All Time & The All-TIME 100 Albumsน่าจะเป็นอัลบั้มที่เป็น Highest Rated ของแฟนเพลงและนักวิจารณ์ทั่วโลก อัจฉริยะภาพของ Neil Young มาถึงจุดสูงสุดในแง่ของ Songwriting ด้วยอัลบั้มนี้ งดงามทั้งในแง่ของการประพันธ์ดนตรีและคำร้อง โทนดนตรีบาลานซ์ได้สมดุลเหมาะเจาะระหว่างความ Dark และความ Bright ทุกเพลงเข้าขั้นมาสเตอร์พีซอย่างไร้ข้อกังขา Neil Young นำเอาอิทธิพลของดนตรีอคูสติกโฟล์คที่ได้มาจากการเข้าไปร่วมงานและบันทึกเสียงอัลบั้ม Deja Vu กับทีม Crosby, Stills & Nash มาผสมผสานกับฝีมือการเขียนเพลงและดนตรีร็อคในแบบของตนเอง ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับอัลบั้ม Harvest คืออัลบั้มชุดนี้หนักไปทางโทน Folk Rock แทบจะล้วนๆ โดยไม่มีสีสันของดนตรี Country เข้ามาเอี่ยว ฝรั่งคนหนึ่้งในเว็บ Amazon เปรียบเทียบอัลบั้มนี้กับ Harvest ไว้ได้อย่างชัดเจนว่า "Harvest may have been bigger, but ATGR is deeper, more introspective. One listen and you'll feel you've stuck it rich." ถือเป็นอัลบั้มที่เข้มข้นและอุดมไปด้วยโปรตีนมากที่สุดของ Neil Young เลยก็ว่าได้
Harvest Moon ~ 1992Neil Young re-assembled musician team from 1972 to create Sequel of Harvest.หลังจากวนเวียนกับงานดนตรี Rock อยู่หลายปีในช่วงยุค 80's จนเมื่อปี 1992 Neil Young ได้หวนคืนกลับสู่ซาวน์อคูสติกในช่วงต้นยุค 70's ในแบบอัลบั้ม Harvest ด้วยการเรียกสมัครพรรคพวกทีมเดียวกับที่เคยบันทึกเสียงในอัลบั้ม Harvest อันประกอบด้วย วง The Stray Gators และทีมร้อง Backing ระดับตำนาน ที่ Neil เคยใช้บริการจากยุค 70's ทั้ง James Taylor, Linda Ronstadt และ Nicolette Larson (สองคนแรกจากอัลบั้ม Harvest และคนหลังจากอัลบั้ม Comes A Time) มาร่วมสร้างอัลบั้มภาคต่อในชื่อ Harvest Moon ที่น่าจะเป็นอัลบั้มที่หวานละมุนละไมที่สุดของเขา ภาพรวมของอัลบั้ม Harvest Moon เป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลง Acoustic Folk Country ละมุนละไม ดนตรีเดินด้วยอคูสติกกีตาร์เป็นหลัก เสริมด้วยเพดัลสตีล เสียงประสานอบอุ่นไพเราะ ออร์แกน แบนโจ (และไม้กวาดในเพลง Harvest Moon ที่ให้เสียงไพเราะเกินบรรยาย) หลายเพลงให้อารมณ์ออกไปในแนว Lullaby ฟังแล้วแทบเดินไปหยิบหมอนมาหนุนนอนกันไม่ทันเลยทีเดียว ใครชอบดนตรีอคูสติก หวานๆ นุ่มๆ ชวนฝัน ที่มีกลิ่นอายของไอดินกลิ่นทุ่งแบบนี้ ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยนะครับ
Everybody Knows This Is Nowhere ~ 1969Ranked #208 in Rolling Stone's The 500 Greatest Albums of All Time. Include country rock classic.. Down By The River, Cowgirl in the Sand & Cinnamon Girlโซโล่อัลบั้มชุดที่สองของ Neil Young ที่เขาร่วมงานกับวงดนตรี Crazy Horse เป็นครั้งแรก อัลบั้มประกอบไปด้วยแทร็คเพียง 6 แทร็ค ภาพรวมของอัลบั้มเป็น Country Rock/Folk Rock ที่ค่อนข้างดิบหยาบ มีสัดส่วนของเพลง Rock & Roll ซาวน์กีตาร์ดุดัน อย่าง Cinnamon Girl และเพลงร็อคยาวๆ ดิบๆ อย่าง Cowgirl in The Sand และ Down By The River ที่มีความยาวประมาณ 9-10 นาที ทั้งคู่ ผสมผสานกับเพลง Rock & Roll จังหวะกลาง และอคูสติกโฟล์คโทนหม่นทึบ อย่าง Round & Round (It Won't Be Long) ทำให้อัลบั้มนี้มีสเน่ห์บางอย่างที่น่าประหลาดยิ่งนัก แต่อย่างไรก็ดี จุดเด่นของอัลบั้มนี้ก็เห็นจะเป็นการที่มีเพลง Rock ระดับมาสเตอร์พีซที่เป็นเครื่องหมายการค้าของ Neil Young รวมอยู่ด้วยกันถึงสามเพลงเด่น ซึ่งนั่นก็คือ Cinnamon Girl, Down By The River และ Cowgirl in The Sand ซึ่ง Neil Young เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาเขียนเพลง Down By The River และ Cowgirl in The Sand ในขณะที่เขากำลังมีไข้ขึ้นสูงถึง 39 องศา ที่ Topanga Canyon และ Guitar Work ในในสามแทร็คนี้ก็ทรงอิทธิพลกับมือกีตาร์แนว Heavy Rock และ Alternative Rock ในยุคต่อมาอย่างมากมาย เรียกได้ว่าเป็น อีกหนึ่งอัลบั้ม Milestone of Country Rock/Folk Rock อย่างแท้จริง
Live at Massey Hall 1971 ~ Released 2007Classic Neil Young's Live Solo Performance from 1971อัลบั้มแสดงสดที่บันทึกจากการแสดงสดแบบ Solo Acoustic ในปี 1971 จาก Massey Hall ใน Toronto, Canada เมื่อวันที่ 19 มกราคม 1971 ในช่วงของ Journey Through the Past Solo Tour เซ็ทลิสต์เป็นการนำทั้งเพลงเก่าและเพลงใหม่ของ Neil Young ในช่วงเวลานั้นมาผสมผสานเล่นรวมกัน โดยมีอคูสติกกีตาร์และเปียโนเป็นเครื่องดนตรีหลัก เราจะได้ฟังเวอร์ชั่นดั้งเดิมของหลายๆ เพลงที่ภายหลังมาอยู่ในอัลบั้ม Harvest และกลายมาเป็นเพลงดังของเขาในเวลาต่อมา อัลบั้มไลฟ์ชุดนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคุมโทนของโชว์ให้อยู่ในอุณหภูมิที่ดีตลอดเวลาด้วยเพอฟอร์มแมนซ์ที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ โดยเฉพาะฝีมือเปียโนและการ้องในคีย์สูงตามแบบฉบับ อีกทั้งยังจะได้ฟัง Neil Young เล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตและบทเพลงของเขา แทร็ค A Man Needs A Maid/Heart Of Gold (Suite) คือสุดยอดของอัลบั้มนี้จริงๆ นี่คืออัลบั้มที่เป็นต้นแบบของโชว์ของผมอยากตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ ลองฟังอัลบั้มนี้แบบคนเดียวเงียบๆ ดูนะครับ แล้วคุณจะหลงรักการแสดงแบบ Solo Acoustic แน่นอนเลยล่ะ
Greatest Hits ~ Compilation Album Released 2004อัลบั้มรวมฮิตของ Neil Young ที่ออกมาในปี 2004 ชุดนี้ เหมาะที่จะเป็นทางลัดที่จะพาคุณเข้าสู่โลกของ Neil Young ได้ด้วยเวลาที่ไม่มากนัก เพลงที่ถูกรวบรวมมาส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปที่เพลงในช่วงต้นยุค 70's ของเขา โดยเฉพาะจากอัลบั้ม Everybody Knows This Is Nowhere, After The Gold Rush และ Harvest ซึ่งกินพื้นที่ไปถึง 2 ใน 3 ของอัลบั้ม นอกจากนั้นแล้วยังรวบรวมเพลงที่เป็นการร่วมงานกันกับทางทีม CSN&Y ไปด้วยสองเพลง คือ Helpless จากอัลบั้ม Deja Vu และ Ohio ซิงเกิ้ลในนาม CSN&Y ที่ออกในปี 1970 (ไซด์บีเป็นเพลง Find A Cost of Freedom ของ Stephen Stills) ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ Kent State shootings ภายในปีเดียวกันนั้นเอง ฟังอัลบั้มนี้แล้วอย่างน้อยจะรู้จักเพลงที่ผมจะนำมาเล่นในโชว์ครึ่งนึงเป็นอย่างน้อยแน่นอนครับ