แม่ของผมเล่าให้ฟังว่า เครื่องเล่นเทป Sharp RD-505 นั้น แฟนเก่าของพ่อเป็นคนซื้อให้พ่อเป็นของขวัญ เนื่องในโอกาสที่เธอถูกหวย ราคาในตอนนั้นหนึ่งพันกว่าบาท เงินเดือนของพ่อทั้งเดือนแค่ 400 กว่าบาทเท่านั้น แสดงว่าเทปเครื่องนี้พ่อได้มันมาก่อนที่ผมจะเกิด เพราะคนที่ซื้อให้พ่อไม่ใช่แม่ของผม อ่านแล้วคงไม่งงนะครับ
ก็เป็นอันว่าเครื่องเล่นเทปโอเพ่นรีลที่เคยผ่านมือผมในวัยเด็กนั้นมีอยู่สองเครื่องด้วยกันตามลำดับก่อนหลัง คือ Sharp RD-505 ซึ่งเป็นของพ่อ (ครั้นผมโตพอ พ่อก็ยอมยกมันให้ผมเล่น) และ Sony TC-102 ซึ่งอาคนหนึ่งของผมยกมาให้เล่น หลังจากที่ Sharp RD-505 เสียจนเกินกว่าจะซ่อมแซมได้แล้ว ทั้งสองเครื่องนี้เป็นระบบโมโนและมีภาคขยายและลำโพงอยู่ในตัว ถ้าต้องการเนื้อเสียงที่ "ใหญ่" ขึ้นมาอีกนิด จะต้องหาตู้ลำโพงดอกเดียว (โมโน) ซึ่งต่อพ่วงกับสายแจ๊คเสียบเข้าช่อง External Speaker ข้างเครื่องเล่นเทป เราก็จะได้เสียงที่ฟังดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้นมาจากการขยายเสียงออกลำโพงพิเศษหรือลำโพงภายนอกดังว่า มันเป็นเทคนิคการเล่นเครื่องเสียงตามประสาชาวบ้านในยุคนั้น (40-50 ปีก่อน) ซึ่งเครื่องเสียงระบบสเตริโอยังไม่แพร่หลายและยังมีราคาแพงอยู่ และเป็นเทคนิคการเล่นเครื่องเสียงที่ไม่ซับซ้อนดังเช่นทุกวันนี้
อันที่จริงลำโพงที่ติดมาในตัวเครื่องมันให้เสียงแบน ๆ งุ้งงิ้ง ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร เด็กอย่างผมในตอนนั้นก็ยังรู้สึกได้ พ่อต้องทำลำโพงพิเศษขึ้นมาตู้หนึ่ง (ไม่ใช่คู่หนึ่ง เพราะไม่ใช่ระบบสเตริโอ) เอาแจ๊คเสียบต่อสัญญาณจากเครื่องเข้าลำโพงพิเศษภายนอก เสียงก็ค่อยน่าฟังขึ้นมาหน่อย แต่โลกทรรศน์และประสบการณ์ในการฟังเพลงของผมในตอนนั้นยังแคบและยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก เพราะเทปที่หมุนด้วยสปีด 3 3/4 ips นั้น คุณภาพเสียงสู้เทปที่หมุนด้วยสปีด 7 1/2 ips และ 15 ips ไม่ได้ เทปสปีดยิ่งเร็ว คุณภาพเสียงก็ยิ่งดี แต่ก็ต้องเปลืองเนื้อเทป เพราะเทปจะหมุนด้วยความเร็วมากขึ้นเป็นเท่าตัว มาตรฐานความเร็วในการอัดเพลงไว้ฟังให้ใกล้เคียงกับแหล่งต้นฉบับจะต้องใช้สปีด 7 1/2 ips ส่วนสปีด 15 ips เขามักเอาไว้ใช้ทำมาสเตอร์เทปในห้องบันทึกเสียง และสปีด 3 3/4 ips และ 1 7/8 ips ก็มักเอาไว้ใช้บันทึกเสียงพูดของคน เช่น ในการบันทึกเสียงการประชุม เพราะเทปจะวิ่งด้วยสปีดช้า กว่าเทปจะหมดรีลก็ใช้เวลานาน ดังนั้น ความเร็วที่เราเลือกจึงเป็นตัวบ่งบอกวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
ขนาดรีลเทปมาตรฐานถือตามเส้นผ่าศูนย์กลางคือ 3 นิ้ว, 5 นิ้ว, 7 นิ้ว และ 10.5 นิ้ว ขึ้นอยู่กับเครื่องเล่นเทปว่าออกแบบมาให้เล่นกับรีลขนาดใดได้บ้าง เทปโอเพ่นรีลที่เล่นกันตามบ้านทั่วไปนิยมใช้ขนาดรีล 7 นิ้วเป็นมาตรฐาน ส่วนเครื่องที่เล่นรีล 10.5 นิ้วได้ สมัยนั้นเขาเรียกว่าเป็นเครื่องระดับ professional ซึ่งมักใช้กันในห้องบันทึกเสียง เช่นยี่ห้อ Akai, TEAC, Technics, Revox, TASCAM, Tandberg เป็นต้น แต่ต่อมาเครื่องเล่นเทประดับโปรฯบางยี่ห้อและบางรุ่น เช่น Revox A-77 และ B-77 ได้แพร่เข้าสู่ตลาดระดับ home use ด้วย รีลเทปยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งจุเนื้อเทปและจุเนื้อหาของเพลงได้มาก คุณภาพเสียงของเพลงที่บันทึกลงเทปโอเพ่นรีลและเล่นกลับด้วยสปีด 7 1/2 ips นั้นเหนือชั้นกว่าที่บันทึกด้วยเทปคาสเสทอย่างชัดเจนโดยมิต้องสงสัย แต่ผมแปลกใจที่คนเราพอยิ่งเจริญยิ่งมีวิวัฒนาการมากขึ้นมักจะชอบอะไรที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด (โดยตัดประเด็นเรื่องคุณภาพออกไปก่อน) เทปโอเพ่นรีลเปรียบเสมือนไดโนเสาร์ซึ่งเทอะทะและอุ้ยอ้าย และในที่สุดก็เสียตลาดส่วนใหญ่ให้แก่เทปคาสเสทไป