ยังไม่มีโอกาสได้ฟังชุดใหม่เลย มีใครฟังบ้างแล้วครับ ช่วยวิจารณ์หน่อยสิครับ
จากผู้จัดการออนไลน์
-----------------------------------------------------------------------------------
ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทีเดียวสำหรับผลงานชุดที่แล้วอย่าง Inhuman Rampage หลังจากเพลงสุดมัน Through the Fire and Flames ที่ไปอยู่ในเกมดัง Guitar Hero III: Legends of Rock จนได้รับขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่เล่นยากที่สุดของซีรีส์จากจำนวนโน้ตอันมโหฬารในเพลงที่ยาวกว่า 7 นาที จนทำให้ชื่อของ DragonForce เป็นที่จดจำในทั้งในหมู่แฟนเพลงและคอเกมไปพร้อมๆ กัน
ขณะที่แฟนเกมหลายคนยังโค่นเพลงดังกล่าวไม่ทันได้ พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งในผลงานชุดใหม่ Ultra Beatdown เป็นที่เรียบร้อย
ชุดนี้ทางวงได้กลับไปใช้บริการ Karl Groom โปรดิวเซอร์มือกีตาร์ของวง Threshold ที่เคยโปรดิวช์สุดที่ 2 ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ถูกดันกลับไปเป็นซาวด์เอ็นจิเนียร์ในชุดที่ 3 จนชุดนี้กลับมาร่วมโปรดิวซ์กับวงร่วมกับ 2 มือกีตาร์อีกครั้ง
เรื่องโปรดักชันชุดนี้ถือว่าเนียบกว่าชุดก่อนอย่างเห็นได้ชัดทั้งซาวด์ดนตรีโดยรวมไปจนถึงการบันทึกเสียงร้องของ ZP Theart ที่ฟังดูละเอียดกว่าชุดที่แล้ว
แต่สิ่งที่แฟนเพลงคาดหวังจากวงที่มีสมาชิกฝีมือขนาดนี้ก็คือความหลากหลายของตัวเพลง ซึ่งตรงนี้อาจจะผิดหวังซักหน่อยเพราะพวกเขายังคงยึดมั่นในแนวทาง เพาเวอร์ เมทัล ในสไตล์ของพวกเขาอยู่เช่นเดิม ทุกเพลงจึงออกมาดูยิ่งใหญ่,รวดเร็ว,หนักหน่วง คอรัสที่สดใสและปิดท้ายเพลงอย่างเริ่ดหรูเหมือนกันหมดทุกเพลง เช่นเดียวกับซาวด์ที่ได้อิทธิพลมาจากวิดีโอเกมต่างๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่พวกเขาใช้มาตั้งแต่ผลงานชุดแรกจนถึงปัจจุบัน
แต่ที่เน้นเป็นพิเศษในชุดนี้จนสังเกตได้ก็คือ ในท่อน Bridge ที่ใช้เชื่อมแต่ละท่อนของเพลงนั้นพวกเขาจะเน้นซาวด์ที่ละเมียดละไมเพื่อใส่ความแปลกใหม่ให้กับเพลงที่เน้นความเร็วเป็นหลัก ซึ่งพระเอกงานนี้ตกเป็นของ Vadim Pruzhanov มือคีบอร์ดคนเก่งของวงนั้นเองที่โชว์ทั้งไลน์เปียโนที่ไพเราะและซาวด์เครื่องสายที่สวยงาม ซึ่งข้อได้เปรียบของวงเพาเวอร์อย่าง DragonForce คือการมีมือคีบอร์ดตัวจริงประจำตำแหน่งสมาชิกของวง ที่พร้อมจะใส่ความแปลกใหม่ให้กับเพลงได้เสมอๆ
เปิดอัลบั้มกันด้วย 2 เพลงสไตล์ DragonForce แท้ๆ ที่รวดเร็วและหนักหน่วง เพื่อเปิดโอกาสให้สองมือกีตาร์คู่ Ibanez อย่าง Herman Li และ Sam Totman ได้โชว์ความเหนือมนุษย์กันเต็มที่ ทั้ง Heroes of Our Time ซิงเกิลแรกของวงที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ และ The Fire Still Burns
แต่หลังจาก 2 เพลงสุดมันนั้นแล้ว เพลงที่เหลือหลังจากนั้นพวกเขาดูจะพิถีพิถันกับตัวเพลงเพิ่มขึ้น ไม่ได้เน้นตะบี้ตะบันความเร็วใส่หูคนฟังแต่อย่างเดียว เริ่มจาก Reasons to Live ที่เริ่มอินโทรด้วยความไวเหมือนไม่ใช่มนุษย์ แต่จุดเด่นอยู่ที่ท่อนโซโลที่เริ่มด้วยจังหวะที่เชื่องช้าสวยงามสไตล์คลาสสิก สลับกันท่อน odd time signature และตามมาด้วยท่อนโชว์ไลน์กีตาร์คู่ประสานและโซโลคีบอร์ดที่ทั้งสวยงามและซับซ้อน
คล้ายๆ กับ Heartbreak Armageddon ที่มาในจังหวะเนิบๆ ก่อนที่จะซัดกระจายแบบไม่พูดไม่จา แต่มาถึงท่อนโซโลจะได้พบกับทวีนกีตาร์อันบาดลึก สลับกับเสียงกีตาร์ที่ปรับโทนซะหวานซึ้ง และซัดกันต่อจนจบเพลง
แฟนเพลงที่หลงใหลในความเร็วโดยเฉพาะคงต้องชอบแทร็คอย่าง The Last Journey Home ที่ไวปานนรกทั้งภาคริธึมและโซโล ปราบเซียนได้ทั้งในกีตาร์ฮีโร่และกีตาร์จริงๆ
Inside the Winter Storm โชว์จุดเด่นในริฟฟ์กีตาร์ของท่อนโซโลที่ทำให้นึกถึง Iron Maiden ยุคคลาสสิกได้ไม่ยาก ก่อนจะมารับช่วงต่อไปด้วยลีลาสองกีตาร์คู่มังกรปีศาจที่ใส่กันกระจายจนจบเพลง
The Warrior Inside เพลงปิดท้ายอัลบั้ม รวมทั้งเพลงพิเศษอย่าง Strike of the Ninja (เพลงแรกที่วงแต่งออกมาได้สั้นกว่า 5 นาที) Scars of Yesterday และ E.P.M. โชว์อิทธิพลที่เขาได้มาจากวิดิโอเกมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะความหลากหลายของ 2 เพลงท้ายนี้น่าสนใจกว่าหลายๆ เพลงในอัลบั้มเต็มด้วยซ้ำไป
มือแต่งเพลงหลักของวงยังคงเป็น Sam Totman เช่นเดิม ที่ควบทั้งตำแหน่งโปรดิวเซอร์และมือโซโลของวง เช่นเดียวกับอาเฮีย Herman Li มือกีตาร์ความภูมิใจจากฮ่องกง มีหน้าที่โชว์ซาวด์กีตาร์เสียงสุดพิศดารด้วยเทคนิคการใช้คันโยกเฉพาะตัวของเขาเป็นหลัก
แม้ความเร็วจะเป็นจุดขายของวงที่เรียกแฟนๆ เข้ามาดูคอนเสิร์ตของพวกเขาอย่างแน่นเอียดในทุกๆ รอบ แต่ด้วยศักยภาพของวงจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนเพลงจะหวังในสิ่งที่มากกว่าความเร็วจากพวกเขา Ultra Beatdown เป็นผลงานที่ดูดีกว่า Inhuman Rampage ในทุกๆ ทาง แต่กระนั้นมันก็ยังไม่สามารถให้ระดับความตื่นเต้นอย่างที่ Sonic Firestorm เคยให้เอาไว้ได้ เช่นเดียวกับที่ยังไม่มีเพลงไหนในชุดนี้ที่จะมาแทนความยิ่งใหญ่ของ Valley of the Damned ได้เช่นเดิม
แต่เชื่อว่าแฟนเพลงหลายๆ คนยังคงไม่ลืมความสนุกสนานที่ได้รับการคอนเสิร์ตการมาเยือนเมืองไทยครั้งที่ 2 ของพวกเขาเมื่อปีก่อนกันแน่ๆ แม้ระบบเสียงในวันนั้นจะเหลือทน แต่ DragonForce ก็โชว์ให้พวกเราเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขา "ล้น" แค่ไหนในการสร้างการแสดงที่ยอดเยี่ยม ทั้งฝีมือ, ทีมเวิร์ค และความฮา ซึ่ง Ultra Beatdown จะเป็นแหล่งทรัพยากรที่ช่วยเพิ่มความมันในคอนเสิร์ตถัดไป(ในบ้านเรา)ของพวกเขาได้เป็นอย่างดี