Tony Williams ไซด์แมนวัย 18 ปีที่เข้ามาร่วมวงกับ ไมล์ส ในฐานะมือกลองที่มีลีลาร้อนแรง วิลเลียมส์ มีพลังแห่งวัยหนุ่มอย่างมหาศาล ซึ่งอำนวยต่อลูกวงที่เหลือในการก้าวข้ามไปสู่การเป็น Free Bop ซึ่งไม่มีรูปแบบที่ตายตัวขอของธรรมเนียมนิยม และยังสามารถจะแทรกรูปแบบของสวิงเข้าไปได้อีกในเวลาเดียวกัน Ron Carter รับหน้าที่เล่นเบส คาร์เทอร์จบการศึกษามาจากโรงเรียนดนตรี Rochester เป็นโรงเรียนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดในการคีตปฏิภาณอย่างกว้างขวาง คนถัดมา Herbie Hancock มือเปียโนที่ต่อมาไม่นาน เขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในหัวหอกคนสำคัญในการรังสฤษฎ์แจ๊ซแนวใหม่ โน้ตเพียงไม่กี่ตัวจากเปียโนของเขา มันช่างงดงามเกินกว่าจะปฏิเสธ (ฟังจากเพลง Seven Steps To Heaven ในคอนเสิร์ตปี 1964 ถ้าคุณอยากพิสูจน์!)
อัลบัมบันทึกการแสดงสดชิ้นต่อมาของทางวง (ซึ่งก็คือ The Complete Live At The Plugged Nickel 1965 อัลบัมสำคัญสุดยอดชุดหนึ่งที่ควรมีไว้เป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณทางต้นสังกัดที่อุตส่าห์ออกอัลบัม Hilights ออกมาอีกรอบเพื่อเอาใจแฟนเพลงเบี้ยน้อยหอยน้อยด้วย) Wayne Shorter ผู้ซึ่งเข้ามาเป็นมือแซ็กอย่างเป็นทางการ ได้รังสรรค์เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร รวมทั้งทักษะในการเล่นอันเยี่ยมยอดทั้งโซปราโนและเทเนอร์แซ็ก (ชอร์เทอร์ได้สร้างสมเครดิตในการเล่นของตัวเองมาแล้วในการร่วมวงกับ Maynard Ferguson และ Joe Zawinul รวมไปถึงวงของ Art Blakey ด้วยเช่นกัน) และในตอนนั้น ไมล์ส ก็ได้ตระหนักถึงการเล่นอันเกินจะบรรยายของชอร์เทอร์ (ลองฟังวลีเริ่มต้นของเพลง Milestones จากแผ่นที่ 3 ของอัลบัม The Complete Live At Plugged Nickel 1965 ดูก็จะรู้เลย) ทำให้ ไมล์ส ได้ชื่อว่าเป็นกูรูแห่งดนตรีแจ๊ซอย่างแท้จริง ทั้งด้วยตัวของเขาเองและลูกวงฝีมือจัดจ้านแต่ละคนที่เขาได้ปลุกปั้นสรรหามา
อัลบัม E.S.P. (บันทึกในต้นปี 1965) ทางวงได้ตัดสินใจที่จะเลิกนำเพลงสแตนดาร์ดมาบันทึกเสียง โดยพวกเขาเลือกที่จะแต่งเพลงใหม่ๆ ออกมาบันทึกเสียงมากกว่า อัลบัมนี้เป็นเหมือนภาคต่อของ Kind Of Blue ที่ขยับขยายขอบเขตของการจินตนาการออกไปอีกด้วยผลงานการประพันธ์ 2 ชิ้นของ ชอร์เทอร์ 3 ชิ้นของ คาร์เทอร์ ไมล์ส มีส่วนในการออกเค้าโครงไอเดียด้วย 2 เพลง และอีกหนึ่งจาก แฮนค็อก E.S.P. ปรากฏโฉมออกมาด้วยการใช้โหมดอันหลากหลายในทางดนตรี อย่างเพลง Eighty-One เขาและ ชอร์เทอร์ สร้างเสียงที่หลอกหลอนด้วยความคิดสร้างสรรค์และความเข้าขากันของพวกเขา ในการคิดแนวทางทำนอง ประกอบกับลูกเคาะลูกตีของ วิลเลียมส์ และเสียงดีดสายเบสของคาร์เทอร์
ตุลาคม 1966 วงดนตรี 5 ชิ้นวงนี้ก็กลับเข้าสตูดิโออีกรอบ เพื่อบันทึกเสียงอัลบัม Miles Smiles ชอร์เทอร์มีส่วนร่วมในอัลบัมนี้ถึงครึ่งหนึ่ง พวกเขาได้ก้าวมาสู่จุดสูงสุดที่พึงจะก้าวขึ้นมาได้ เสียง 5 เสียงจากชาย 5 คน เล่นสอดประสานกันอย่างลงตัวด้วยจิตวิญญาณของการเป็นนักดนตรี เหมือนกับที่ ไมล์ส บอกไว้ในเพลง Circle ว่า ดูสิว่าคุณรู้สึกยังไงกับเพลงพวกนี้
Sorcerer คืออัลบัมต่อมา ชอร์เทอร์โชว์ฝีมือไว้ถึง 4 เพลงด้วยกัน ซึ่งเปรียบเสมือนภาคต่อของอัลบัมที่แล้ว มันเต็มไปด้วยความขรึม ขลัง จริงจังอย่างสุดโต่ง แฮนค็อกเล่นเปิดในหลายเพลงด้วยท่วงทำนองที่สละสลวย อันเป็นผลมาจากการเจริญรอยตามเสียงทรัมเป็ตของ ไมล์ส เมื่อลองฟัง Sorcerer แล้ว ราวกับจ้องมองภาพวาดญี่ปุ่น ที่ลวงตาคุณจากเส้นสายธรรมดาให้กลายเป็นภาพหลากมิติ ที่สามารถดึงความสนใจของคุณได้
และความสำเร็จก็มาเยือนพวกเขาอย่างสง่างาม ด้วยอัลบัมต่อมา Nefertiti สิ่งที่เราคาดหวังจากเพลงชื่อเดียวกับอัลบัมก็น่าจะเป็นเพลงเพราะๆ เมโลดีงามๆ สักเพลง แต่เมื่ออ่าน Liner Notes ของ Bob Belden ในแผ่นเวอร์ชัน Reissue ปี 1998 เขาเขียนไว้อย่างเลอเลิศว่า สิ่งที่ออกมาจากงานของ ไมล์ส แผ่นนี้คือการเล่นที่เยี่ยมยุทธ์ และการเล่นที่เยี่ยมยุทธ์นั้น นำมาซึ่งงานประพันธ์!! ตลอดทั้งอัลบัม โทนี วิลเลียมส์ โชว์ฝีมือการตีกลองอย่างน่าทึ่ง แน่นอน เขาไม่ได้โชว์เดี่ยวแน่ ยังคงมีวลีเด็ดๆ จาก ไมล์ส ในเพลง Fall หรือวลีพลิ้วๆ จาก แฮนค็อก ในเพลงเดียวกัน โดยมี ไมล์ส และ ชอร์เทอร์ ปูพื้นคลออยู่ข้างหลังตลอด และ ชอร์เทอร์ ยังปล่อยโซโลเด็ดของอัลบัมในเพลง Madness อีกต่างหาก
ด้วยความไฟแรงและความสร้างสรรค์ทั้งหลายแหล่อันพึงจะมีในตัวของ ไมล์ส ก่อให้เกิดรูปแบบและทิศทางใหม่ ก็ปรากฏออกมาเป็นอัลบัม Bitches Brew สันปันน้ำของแนวดนตรีที่เรียกว่า แจ๊ซร็อค
ก่อนจะเป็น Bitches Brew
แล้วความเปลี่ยนแปลงก็มาเยือน เมื่อ ไมล์ส คิดริเริ่มที่จะทำงานหินขึ้น เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง จึงได้เกิดอัลบัม In A Silent Way (1969) ขึ้นมา หลังจากที่ในปี 1968 มีอัลบัม Filles De Kilimanjaro และ Miles In The Sky เป็นการปูทางเริ่มต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ของวง 5 ชิ้นวงนี้ของ ไมล์ส Circle In The Round และ Directions อัลบัมรวมผลงานของเขาที่ออกมาในยุค 70 อันเป็นช่วงพักผ่อนนั้น ก็ได้รวมเอาเพลงที่บันทึกเสียงในช่วงนี้เข้าไป คุณจะได้ฟังเสียงกีตาร์สะกดอารมณ์จาก Joe Beck ในเพลง Circle In The Round ซึ่งบันทึกในช่วงปี 1967 (หลังจากนั้นอีกเดือนครึ่ง George Benson ก็เข้ามาบรรเลงกีตาร์เพลง Paraphenalia ในอัลบัม Miles In The Sky) ประกอบกับอีก 2 หน่อคือ แฮนค็อก และ วิลเลียมส์ ซึ่งกระหน่ำฟังค์และอาร์แอนด์บีในเพลง Stuff เพลงเปิดของอัลบัมนี้ และมีความยาวถึง 16 นาทีทีเดียว!
ในเดือนมิถุนายน 1968 Filles De Kilimanjaro ก็ออกมาเป็นอัลบัม โดยมี Chick Corea และ Dave Holland มาเล่นแทนที่ แฮนค็อก และ คาร์เทอร์ 2 เพลง (กรุณาตั้งอกตั้งใจฟัง Mademoiselle Mabry เพลงสุดท้ายของอัลบัม ที่เปรียบเหมือนประตูที่พาเอาธารแห่งดนตรีไหลหลากออกมาอย่างไม่บันยะบันยัง ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1969 ที่บันทึกอัลบัม In A Silent Way John McLaughlin ได้สร้างตำนานมหากพย์แจ๊ซร็อคและฝากฝีมือกีตาร์ของเขาไว้ด้วยพร้อมๆ กัน ยังไม่พอแค่นั้น ไมล์ส ยังได้สร้าง 3 เสือแห่งเปียโนไฟฟ้าประกอบไปด้วย แฮนค็อก, คอเรีย และ Josef Zawinul อีก ทั้ง 4 คนนี้ก็ได้สร้างตำนานในวงการแจ๊ซร็อคต่อยอดออกไปอีกในยุค 70 ด้วยการสรรค์สร้างวงใหม่ๆ อย่าง The Mahavishnu Orchestra, Headhunters, Return To Forever และ Weather Report ตามลำดับ) และด้วยการทำงานกับ ไมล์ส คนนี้ พวกเขาก็สามารถที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของคนทั้งโลกมาหาตัวเองได้ไม่ยากเลย
ยุคพีคกับงานแอ็บแสตร็ก Bitches Brew และอื่นๆ
ไม่ว่า ไมล์ส จะบรรเลงอัลบัมใด เจ๋งแค่ไหนมาก่อนก็ตาม แต่เมื่อ Bitches Brew มา
. หลบไปซะ แล้วอัลบัมนี้ก็เป็นอัลบัมเดียวที่ ไมล์ส สามารถพามันปีนป่ายสู่อันดับ Billboard Top 40 ได้ในปี 1970 สถานีดนตรีร็อคก็เล่นเพลงจาก Bitches Brew ได้ไหลลื่นยังกับว่ามันเป็นเพลงร็อคยังไงยังงั้น ครั้งแรกที่ได้ฟังนั้นเป็นเพลง Miles Runs The Voodoo Down จากสถานีวิทยุเพลงใต้ดินท้องถิ่น และดีเจเล่นเพลงนี้ต่อจากเพลง Machine Gun ของ Jimi Hendrix!! ไมล์ส คงชอบใจมากเลยหากรู้เรื่องการจับคู่เพลงของดีเจคนนี้!!
Bitches Brew เริ่มต้นด้วย Pharoahs Dance จากการสนับสนุนของ ซาวีนัล ชวนให้รำลึกถึง In A Silent Way เสริมด้วยเสียงเบสคลาริเน็ตของ Bennie Maupin แล้ว ไมล์ส ก็เริ่มร่ายมนตร์มายาด้วยทรัมเป็ตของเขา ด้วยแนวทำนองที่จะทำให้คุณตกตะลึงพรึงเพริดจนลืมสิ่งรอบข้าง แล้วยังมีลูกวงคนอื่นๆ มาร่วมสร้างความอะเมซซิงด้วยกัน และวงวงนี้เองกระมังที่แทบจะกล่าวได้ว่า เป็นที่รวบรวมนักดนตรีสุดยอดฝีมือมากที่สุดเอาไว้ด้วยกันเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา ในปี 1998 มีอัลบัมรวมเซสชัน The Complete Bitches Brew Sessions ออกมา ซึ่งได้เก็บรวมรวมเอาแทร็คเล็กแทร็คน้อยที่บันทึกในช่วงนั้นเข้าไว้ด้วยกัน
เพลงที่สองมีความยาว 27 นาที แสดงให้เห็นถึงทักษะการใช้เสียงสะท้อนในการเป่าทรัมเป็ตของ ไมล์ส ได้อย่างดี รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นคนที่ตามยุคตามสมัย และไม่ล้าในเรื่องเทคโนโลยี เมื่อเพลงเริ่มบรรเลงไปราว 4 นาที โทนเพลงเริ่มเปลี่ยนไปเป็นฟังกี้ เจือจังหวะบลูส์!! เปิดโอกาสให้ ไมล์ส ได้แสดงการเป่าแตรคู่ชีพด้วยเป็นช่วงยาว ที่น่าสนใจคือมีบางคนบอกว่า นี่แหละ ไมล์ส แบบเดิมๆ แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่า ถ้าหากมีใครสักคนเอาเสียงอิเล็คทรอนิกส์ในอัลบัมนี้ออกไป เขาคนนั้นก็จะได้ท่อนฮุคท่อนฮิตในเพลงของตัวเองอีกเพลง อย่าง My Funny Valentine เป็นต้น ทั้งหมดที่อยากจะบอกคือไม่น่าพลาดอัลบัมนี้ด้วยประการทั้งปวง หากคุณรักที่จะฟัง ไมล์ส
เมษายน ปี 1997 สังกัดโคลัมเบียปล่อยอัลบัมนี้ออกขายในอเมริกา แผ่นบันทึกการแสดงสดของวงดนตรี 6 ชิ้นของ ไมล์ส ใช้ชื่ออัลบัมว่า Black Beauty Miles Davis At Fillmore West ในอัลบัมนี้มีการสอดแทรกเวอร์ชันออร์เคสตราในเพลง Bitches Brew ด้วย Steve Grossman มาแทนที่ ชอร์เทอร์ ส่วน คอเรีย และ ฮอลแลนด์ ยังคงอยู่เป็นลูกวง โดยมี Jack DeJohnette (กลอง) และ Airto Moreira (เพอร์คัสชันนานาชนิด) มาช่วยเติมเต็มให้กับวงในภาคริธึ่ม และมันก็ถูกเติมเต็มอีกครั้ง ด้วยการเข้ามาร่วมวงของ Keith Jarrett ในตำแหน่งออร์แกน จาร์เร็ตต์เคยสะกดคนฟังมาแล้วจากการเป็นสมาชิกวงของ Charles Lloyd Quartet 2-3 ปีก่อนหน้านี้ และเขาก็สามารถเล่นเข้ากับแนวทางวงของ ไมล์ส ได้เป็นอย่างดี ไมล์ส เล่นอย่างดุเดือดในงานชุดนี้ แต่ก็ถูกเกลาอีกครั้งก่อนที่จะบันทึกออกมาให้ฟังกัน โดยฝีมือของ Teo Macero แต่จริงๆ แล้วอยากจะฟังเวอร์ชันแบบดิบๆ บนเวทีคอนเสิร์ตมากกว่า
ถัดมา A Tribute To Jack Johnson เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ไม่เคยมีใครได้ชมมาก่อน แต่คงไม่มีใครสนแล้วหละ เพราะเพลงมันน่าสนกว่าเยอะ!! อัลบัมนี้บันทึกกัน 2 เซสชันในช่วงปี 1970 และเป็นงานที่เพลงร็อคที่ ไมล์ส ต้องการทำมาตั้งนานแล้วตั้งแต่เริ่มเป็นนักดนตรีอาชีพ แต่ไม่สามารถทำได้ จนกระทั่งเขาลดขนาดวงจนเหลือขนาดเล็กเท่าวงร็อควงหนึ่ง แม็คลอฟลินทำหน้าที่ของเขาได้ดีมาก จนแทบจะพูดได้ว่าเขาเป็นฮีโร่ของอัลบัมก็ว่าได้ ส่วน Billy Cobham มือกลองก็หวดเต็มที่ผ่านปลายไม้ Michael Henderson ก็กระแทกเบสฟังค์ได้เจ๋งไม่หยอก แฮนค็อกเล่นออร์แกน คนนี้คงไม่ต้องพูดถึงฝีมือเขากันแล้ว กรอสแมนคนนี้น่าจับตามองในฝีมือการเป่าแซ็ก ขณะเป็นลูกวงให้กับ ไมล์ส
8 วันหลังจากบันทึกเสียงเพลง Right Off ในอัลบัม A Tribute To Jack Johnson แม็คลอฟลินก็มาทัวร์คอนเสิร์ตกับวงของ ไมล์ส ที่ Cellar Door ในวอชิงตัน ซึ่งก็ได้ก่อกำเนิดเป็นอัลบัม Live Evil ที่มีเพลงจาก Bitches Brew ที่บันทึกในช่วงหลังๆ มาเล่นด้วย นับเป็นอัลบัมแสดงสดที่ทรงคุณค่าอีกอัลบัมหนึ่งของ ไมล์ส
Funky Funky Miles
อัลบัมแจ๊ซร็อค Bitches Brew ได้รับเสียงชื่นชมกันอย่างหนาหูจากทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์ แต่ก็นั่นแหละ หลังจากนั้นก็ยังคงไม่มีใครเดาออกว่างานชิ้นต่อไปของ ไมล์ส จะออกมาอีท่าไหน เขาบอกในตอนนั้นว่าอยากจะทำ ดนตรีคนดำ และแล้วสิ่งที่เขาทำออกมาก็คือดนตรีแร็ป จังหวะหนัก เคลือบเคล้าด้วยฟังกี ในอัลบัม On The Corner และอัลบัมนี้ก็ยังคงความคลาสสิกเรื่อยมาจนถึงยุค 2000 ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะได้รับคำวิจารณ์ไม่ถึงกับดีมากก็ตาม อัลบัมเปิดตัวด้วยเสียงกีตาร์จังหวะกลางๆ ของ John McLaughlin พร้อมๆ กับ Billy Hart หรือไม่ก็ Jack DeJohnette (หรือทั้งคู่!) กระหน่ำหนังกลองยังกับรัวปืน แล้วก็ยังทะบลาของ Badal Roy ซีตาร์ของ Collin Walcott และเสียงเครื่องเคาะของ Don Alias ส่วน Herbie Hancock กับ Chick Corea ก็อยู่ในวงนั้นด้วยเช่นกัน ในตอนที่อัลบัมนั้นออกวางจำหน่าย นักดนตรีทุกคนที่ร่วมวงไม่ได้มีรายชื่ออยู่ในปกแผ่นเลย ปล่อยให้ทั้งแฟนเพลงและทั้งนักวิจารณ์งงไปตามๆ กันว่าใครมาร่วมสังฆกรรมกับ ไมล์ส ในงานชุดนี้บ้าง แต่อย่างน้อยฝีมือกีตาร์ของจอห์น แม็คลอฟลินก็โดดเด่น มีเอกลักษณ์จนไม่น่าที่จะเดาผิดว่าเป็นเขา และแล้วในสัปดาห์ถัดมา นักดนตรีเซ็ตนี้ก็บันทึกเพลง Ife (มีอยู่ในอัลบัมคู่ Big Fun) เพลงที่กินความยาวกว่า 21 นาที อาจจะด้วยความเข้าขากันของบรรดานักดนตรีเหล่านี้ คุณจะได้ยินเสียงหลอกหลอนของทรัมเป็ต แน่นอน เป่าโดย ไมล์ส เจ้าเก่าควบคู่คละเคล้าไปกับเสียงให้จังหวะของนักดนตรีแบบนานาชาติ อย่าง Al Foster, บิลลี ฮาร์ต, บะดัล รอย และ Mtume
ไม่นานหลังจากนั้น ไมล์ส ก็ออกตะลอนทัวร์ คราวนี้เป็นทัวร์ใหญ่กว่าที่เคยบันทึกในงาน Live-Evil เสียอีก และออกมาเป็นอัลบัม Miles Davis In Concert บันทึกเสียงในเดือนกันยายน 1972 ที่ฟิลฮาร์มอนิก ฮอล ในเมืองนิวยอร์ก ที่นี่เองที่ ไมล์ส ใช้วาห์วาห์เพื่อให้เกิดเสียงเอฟเฟ็กต์ตลอด เช่นเดียวกับ Reggie Lucas มือกีตาร์ ดังนั้นอัลบัมนี้เลยกลายเป็นผจญภัยในวาห์วาห์ไปเลย เฮนเดอร์สัน กับ บะดัล รอย ยังคงเล่นประจำเครื่องเล่นของตนเองคือเบสกับทะบลา Khalil Barakrishna เล่นซีตาร์ไฟฟ้า อัล ฟอสเตอร์ กับกลอง และ ทูม กับเครื่องเคาะ Cedric Lawson ช่วยแต่งแต้มเสียงสังเคราะห์ประหลาดๆ กับซินธิไซเซอร์ของเขา และคนสุดท้าย Carlos Garnett กับโซปราโนแซ็กโซโฟน เป็นวงที่มีประสิทธิภาพมากเลยทีเดียว ฟังก์กันเข้าไส้! ถ้าอยากจะฟังอัลบัมแสดงสดที่ได้รสชาติ งานในยุคนี้น่าจะสนองความต้องการได้มากโข มีอยู่ 2 เพลงเท่านั้นที่บันทึกในปี 1973 คือ Calypso Frelimo และ Red China Blues ซึ่งอยู่ในอัลบัม Get Up With It เพลง He Loved Him Madly กับ Calypso Frelimo เวอร์ชันยาวก็ถือว่าเป็นเพลงสำคัญที่ต้องฟังเหมือนกัน ที่เหลือก็คืออัลบัมสะสม 3 อัลบัม Dark Magus, Agharta และ Pangaea (สองลำดับหลังเป็นงานที่บันทึกเสียงในวันเดียว
.ไม่รู้ทำได้ไง
.แล้วก็เป็นที่ท้ายๆ ที่ ไมล์ส เล่นเคอนเสิร์ตก่อนที่เขาจะหยุดพักยาว) เป็นอัลบัมที่ควรค่าแก่การฟังด้วยความที่มันอัดแน่นไปด้วยคุณภาพในงานของ ไมล์ส เอง และยังเป็นงานที่เต็มไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ในการเป่าทรัมเป็ตนำของเขาอีกด้วย สิ่งที่หายไปคือการทดลองอะไรใหม่ๆ ตามประสา ไมล์ส แต่สิ่งที่ได้มาคือการบรรลุถึงเป้าหมายสุดยอดของอัลบัม On The Corner ที่คุณต้องหามาฟังไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ไมล์ส กับชีวิตที่ฟื้นคืน
หลังจากยุคฟังก์กระจายในอัลบัม Pangaea ยังจะมีอะไรอีกไหมหนอที่ ไมล์ส จะสรรค์สร้าง นอกจากการพักผ่อน? ความเงียบจากตัวเขาเองดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ชัดที่สุด ไมล์ส พักยาวไปหลายปีด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการกรำงานที่ผ่านมา ทั้งไม่แต่งเพลง ไม่บันทึกเสียง และก็ไม่แสดงดนตรีที่ไหนอีก สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ไมล์ส ไม่พูดไม่ทำอะไรสักอย่างกับใคร ทุกคนก็เลยอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเดาใจเขา นี่มันถึงจุดจบแล้วหรือ?
ป่วยการจะมานั่งเดา ในระหว่างนั้น อัลบัมรวมงานเพลงต่างๆ ของ ไมล์ส ก็ทยอยไหลอกมาเป็นสายน้ำ อย่าง Circle In The Round และ Directions รวมงานที่ไม่เคยออกวางจำหน่าย ในช่วงนั้นก็ข่าวต่างๆ นานาว่าเขาป่วย บางแหล่งบอกว่าเขาได้รับอุบัติเหตุรถยนต์ ทำให้ข้อเท้าหัก จากนั้นเขาก็เงียบหายไป แล้วก็ต้องมาผ่าตัดตะโพกข้างหนึ่ง แต่เสียงข่าวลือข่าวเล่าก็ต้องจางหายไป เมื่อ ไมล์ส ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับอัลบัม The Man With The Horn ในปี 1981 แฟนเพลงต่างพาตกตะลึงกับการกลับมาครั้งนี้ ไม่ใช่ตะลึงแค่ที่เขากลับมาเท่านั้น แต่งานเพลงสิที่เปลี่ยนไป ความกระตือรือร้น กระหายแบบวัยหนุ่ม อย่างในช่วงกลางยุค 70 มันเหือดหาย แต่สิ่งที่ทดแทนก็คือความสุภาพ สุขุม นุ่มลึก บางทีเหตุผลของการนอกคอกเมื่อวัยหนุ่ม ก็นำมาซึ่งความสุขุมเมื่อก้าวต่อมา
ระหว่างที่ ไมล์ส เงียบหายไป แน่นอนว่าเทคโนโลยีหรืออะไรต่างๆ นานามันก็ต้องก้าวหน้า พัฒนาขึ้นตามลำดับ ซับซ้อน หรูหรา อลังการมากกว่าเก่า เขาคงรู้สึกเหมือนกับเด็กน้อยในร้านขายขนมยังไงยังงั้น ยังไงก็ตาม The Man With The Horn ก็เป็นงานที่มีรสชาติชวนชิม มีนักดนตรีลูกหม้อเก่าคนเดียวเท่านั้นที่มาร่วมงานต่อ นั่นคือ อัล ฟอสเตอร์ นอกนั้นมี Barry Finnerty เล่นกีตาร์ Bill Evans (คนละคนกับมือเปียโนเจ้าของอัลบัมอมตะ Waltz For Debby) เป่าโซปราโนแซ็ก ไมล์ส ดูสงบนิ่ง บางทีเขาเป่าเบาบางไปสักหน่อย แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมของตัวเองได้ดี
We Want Miles แผ่นคู่แสดงสดในช่วงก่อนหน้านั้นก็ได้ออกมาด้วย และก็ยังตามด้วยอัลบัมที่ดีเยี่ยม มันได้รับรางวัลแกรมมีในปี 1982 ในสาขา Best Jazz Instrumental Performance By Soloist ต่อมา Star People ก็ออกมาในปี 1983 อิ่มเอิบไปด้วยอิเล็คทรอนิก บลูส์ มี Mike Stern กับ John Scofield มาร่วมเล่นกีตาร์ นี่เป็นทีมเสริมที่ดีที่สุดของ ไมล์ส ในช่วงยุค 80 ทีเดียว นี่เป็นอีกอัลบัมที่สมควรอย่างยิ่งแก่การสะสม
อีกสองอัลบัมที่ตามมา ปี 1984 กับอัลบัม Decoy และปี 1985 กับ Youre Under Arrest นำเสนอด้านที่นุ่มนวลกว่าของ Star People แม้ว่า ไมล์ส , เอแวนส์, สโกฟิลด์ และ ฟอสเตอร์ ยังคงพอใจที่จะเล่นกัน ก็ยังมี Branford Marsalis มาช่วยใน 3 เพลง คือ Decoy, Code M.D. และ Thats Right แม้ว่าบางคนอาจจะบอกว่า Youre Under Arrest นั่นมันอ่อนหวานเหลือเกิน ทั้งยังมีการนำเพลงร่วมสมัยอย่าง Human Nature และ Time After Time มาถอดความใหม่ สำหรับความคิดคำนึงในช่วงบั้นท้ายชีวิตของเขาแล้ว ใครล่ะจะกล้าบ่น?
ปลายยุค 80 ไมล์ส ย้ายจากโคลัมเบียที่เคยอยู่มา 30 ปี หันมาซบอกวอร์เนอร์ และออกอัลบัม Aura (บันทึกเสียงในปี 1985 แต่วางขายในปี 1989), Tutu (1986) และ Amandla (1989) 3 สตูดิโออัลบัมสุดท้ายของเขา งานชุด Aura เป็นอัลบัมที่เอานักดนตรียุโรปอย่าง Palle Mikkelborg มาร่วมเล่น แจมด้วย จอห์น แม็คลอฟลิน งานชุดนี้เป็นอีกชุดหนึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในงานที่ดีของเขา ถึงแม้ว่าฟังครั้งแรกอาจจะไม่ชอบ แต่การฟังครั้งต่อๆ ไปจะมีความหมายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการประพันธ์ของมิกเกลบอร์ก แล้วคุณจะหลงรักเพชรเม็ดนี้ของ ไมล์ส อีกทั้งมันยังได้รับรางวัลแกรมมีสาขา Best Jazz Instrumental Performance By A Soloist On A Jazz Recording ส่วน Tutu และ Amandla (โดยเฉพาะ Tutu) ได้รับอิทธิพลทางดนตรีจากนักดนตรีหนุ่มไฟแรงอย่าง Marcus Miller งาน Tutu เป็นการเรียงลำดับทางอารมณ์ เสียงออเคสตราสังเคราะห์ที่สรรเสริญภาวะครุ่นคำนึงในภาวะปัจจุบันของ ไมล์ส ถึงแม้ว่าความบ้าบิ่นในอดีตจะจางหาย แต่ยังไงก็ตามสัญลักษณ์เสียงทรัมเป็ตที่หลอกหลอนนั้นยังคงอยู่ ชุดนี้ได้รับรางวัลแกรมมี สาขา Best Jazz Instrumental Performace งาน Amandla เป็นงานที่นำเสนอความหลากหลายของดนตรีและการโซโลเดี่ยวของ Kenny Garrett กับอัลโตเเซ็กของเขา (ยังมีอัลบัมที่เป็นงานช่วงท้ายๆ ของ ไมล์ส อยู่อย่าง Siesta เล่นกับมิลเลอร์ Doo-Bop งานที่บางครั้งก็น่าสนใจ บางทีก็อยากจะโยนทิ้ง มันผสมผสานดนตรีฮิปฮอปลงไปด้วย ชุดนี้เสร็จหลังจากที่ ไมล์ส ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว แต่ยังไงก็ตาม อัลบัมชุดนี้ก็ได้รับรางวัลแกรมมี สาขา Best Rhythm & Blues Instrumental Performance และเพลง Fantasy ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี สาขา Best Jazz Instrumental Solo)
บทสุดท้ายของ ไมล์ส เดวิส
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ชายผู้สิ้นสุดอายุขัยกับดนตรีที่ไม่มีวันตาย ความตายของ ไมล์ส ยังผลให้ชาวโลกตกตะลึงเมื่อโรคปอดบวม ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และโรคลมมาคร่าชีวิตของเขาไป
งานอย่างเป็นทางการชิ้นสุดท้ายที่แนะนำให้ฟังคือ Live Around The World งานรวมบันทึกการแสดงสดก่อนกน้าที่ ไมล์ส จะเสียชีวิต แล้วก็ยังวงแบ็คอัพที่เยี่ยมยอด ไซด์แมนดีๆ อย่าง เคนนี การ์เร็ตต์, โฟลีย์ และ Ricky Wellman เพลงส่วนมากมาจากอัลบัมหลังๆ ของ ไมล์ส โดยมีเพลง In A Silent Way เปิดอัลบัม เพลงอื่นๆ ก็ค่อนข้างสดทีเดียว การมีอิทธิพลซึ่งกันและกันของกลุ่มนักดนตรี บ่งบอกให้เห็นว่าพวกเขาสนุกกับการเล่นดนตรีกับ ไมล์ส ขนาดไหน แม้ว่าการเล่นบนเวทีจะบิดผันความเป็นต้นฉบับที่แท้จริงที่คุ้นเคยออกไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพลง Humnan Nature ความยาวเกือบ 13 นาทีก็เป็นเพลงที่น่าชื่นชอบอีกเพลง ไมล์ส เป่าทรัมเป็ตโซโลได้ยาวเหยียด แล้วยังมีช่วงดวลกับการ์เร็ตต์อีกด้วย หลังจบเพลงนี้เขาเรียกการ์เร็ตต์ออกมารับเสียงปรบมือสรรเสริญของผู้ชม
อัลบัม Panthalassa ออกมาเมื่อปี 1998 กับการตีความบทเพลงของ ไมล์ส ใหม่โดย Bill Laswell ตั้งแต่เพลงในปี 1969-1974 (แล้วในปี 1999 ลาสเวลก็ทำออกมาอีกอัลบัม ร่วมกับ DJ Cam, King Britt, Doc Scott, Philip Charles และ Jamie Myerson) ฟังเสียงกีตารหลอนๆ ของจอห์น แม็คลอฟลินในเพลง In A Silent Way แล้ว ต้องซูฮก แต่อีกเพลงที่ไม่น้อยหน้าคือ He Loved Him Madly เพลงเอามาจาก Get Up With It ที่เพิ่งทำออกมาใหม่ (ณ ตอนนั้น) มีพัฒนาการออกมาจากเพลงต้นฉบับอย่างโดดเด่น เหมือนอยู่ในฝัน สงบนิ่ง แล้วเสียงทรัมเป็ตของ ไมล์ส ก็ฉีกเข้ามาในห้วงคำนึง ทุกโน้ตสมบูรณ์แบบ ลื่นไหลอย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
อัลบัมสุดท้ายที่อยากจะแนะนำ Tribute To Miles ออกในปี 1992 เป็นการกลับมารวมตัวกันของซูเปอร์สตาร์ที่เคยร่วมงานกันในยุค 60 อย่าง แฮนค็อก, ชอร์เตอร์, คาร์เตอร์ และ วิลเลียมส์ ร่วมด้วย Wallace Roney เป่าทรัมเป็ต เพียงแค่ชื่อของคนเหล่านี้ แน่ใจได้เลยว่าคุณจะไม่ผิดหวังในตัวงานแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ไมล์ส เดวิส ก็จะยังคงอยู่ในใจของคนฟังเพลงแจ๊ซในทุกยุคทุกสมัย เชื่อได้เลยว่า คนเพิ่งเริ่มหัดฟังแจ๊ซ ยังไงก็ต้องเริ่มด้วยงานของ ไมล์ส ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ตาม เหมือนที่อาจารย์ศิลป์ พีระศรีเคยกล่าวเอาไว้ว่า
ชีวิตคนนั้นสั้น แต่งานศิลปะนั้นยืนยาว ไม่ผิดกับ ไมล์ส และงานดนตรีที่ไม่มีวันตายของเขา ฉันใดก็ฉันนั้น.
หมายเหตุเครดิด
http://www.thaiavclub.org/forums/index.php?topic=1970.0