Thai Progressive Rock Community

การจะเสพดนตรีให้ได้อรรถรส จะต้องมีเครื่องเสียงดี ๆ สักชุดหนึ่งเท่าที่พอจะหาได้ตามกำลังทรัพย์ของตนเอง ผมเป็นคนหนึ่งที่รักการเล่นเครื่องเสียงพอ ๆ กับการสะสมงานดนตรี การเล่นเครื่องเสียงเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยเยาว์เลยทีเดียวว่า สักวันหนึ่ง เมื่อโตขึ้น มีงานมีการทำ เราจะต้องมีเครื่องเสียงดี ๆ ไว้ฟังเพลงที่เราชื่นชอบให้ได้

ณ ขณะนี้ ความฝันอันสูงสุดในการเล่นเครื่องเสียงยังมิได้บรรลุผลเสียเลยทีเดียว เนื่องจากข้อจำกัดหลายด้าน ปัจจัยที่สำคัญคือกำลังทรัพย์ ยิ่งมีครอบครัวและมีภาระส่วนตัวที่จะต้องรับผิดชอบด้วยแล้ว การจะทุ่มทุนเล่นเครื่องเสียงอย่างสุดตัวจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การจะมีเครื่องเสียงใหม่ ๆ สักชิ้นเข้ามาอยู่ในซิสเต็มจึงต้องคำนึงถึงโอกาส กำลังทรัพย์และความเหมาะสม และโดยนิสัยส่วนตัว ไม่ใช่เป็นคนที่เปลี่ยนอะไรง่าย ๆ เป็นว่าเล่น คือ จะซื้อเครื่องใดมาใช้สักชิ้น จะต้องใช้ให้คุ้มค่าและนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่าง integrated amp. เครื่องเก่าที่ผมมีอยู่ก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องใหม่ ผมใช้มันมาร่วมสิบกว่าปีจึงเปลี่ยนเครื่องใหม่ เรียกว่าต้องเล่นกันให้คุ้มทุกหยาดหยดให้สมกับที่ได้ลงทุนกันไปเลยทีเดียว

อุปนิสัยอีกอย่างหนึ่งในการเล่นเครื่องเสียงของผมคือ ชอบซื้อของที่ราคาไม่แพงแต่ได้ประสิทธิภาพคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เราต้องจ่ายออกไป หรือชอบซื้อของประเภท best buy นั่นเอง ของดี ของแพง ของ hi-end น่ะใคร ๆ ก็อยากได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ในเมื่อไม่ใช่เศรษฐีเงินถุงเงินถัง เราคงจะใช้ของแพงไม่ได้ จึงต้องใช้ของให้เหมาะสมกับฐานานุรูปของตนเอง และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อมีโอกาส

ซิสเต็มที่ยกมาให้ดูข้างล่างนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่ ณ ปัจจุบันนี้คือ ซิสเต็มที่ค่อนข้างจะถาวร ซึ่งหมายความว่า ได้อยู่กับผมมานานแล้ว คือ เกินห้าปีขึ้นไป และบางชิ้นก็มีอายุการใช้งานเกินสิบปีกันเลยทีเดียว โดยผมจะขอแจกแจงรายการซิสเต็มแต่ละชิ้นโดยคร่าว ๆ ก่อน แล้วจึงค่อยลงลึกในรายละเอียดของแต่ละชิ้นพร้อมรูปภาพประกอบในโอกาสต่อไป

ชุดเครื่องเสียงเล็ก ๆ และต่ำต้อยของผมที่มีอยู่ในขณะนี้ คือ

1. Harman/Kardon HK 670 integrated amplifier กำลังขับ 75 watts rms (กำลังคิดจะเปลี่ยนเป็น int. amp. ของ McIntosh, Roksan หรือ Krell ในอนาคต)

2. DUAL CV 5650 high-current integrated amplifier ไม่ระบุกำลังขับ แต่คิดว่าคงราว ๆ 85 watts rms

3. Denon DCD 2560 GL CD player (gold limited edition)

4. Turntable System
- Audio Linear TD-4001 turntable (อยากเปลี่ยนแท่นเป็นพวก vintage อย่าง Micro Seiki โดยคง tonearm เอาไว้)
- Dynavector DV-505 tonearm
- Moving Coil Cartridges: Ortofon MC 15 Super Mk II, Dynavector DV 10x5, Audio-Technica AT 33 PTG (Prestige Model)

5. Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono preamp (regular version)

6. TEAC V-1010 3-head cassette deck (ตอนนี้ไม่ได้เล่นแล้ว เมื่อหลายปีก่อนนี้เอาไว้ฟังแต่เทปตลกอย่างเดียว)

7. Wharfedale EM 93 bookshelf two-way speakers

8. Cables
8.1 Speaker cables: Supra Ply 3.4 (bi-wired)
8.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: Supra
- From phono preamp. to amp.: van Den Hul The Source Hybrid
- From cassette deck to amp.: Audioquest Indigo

9. A hi-end reel-to-reel tape recorder (มีโครงการซื้อเครื่องเล่นเทปแบบโอเพ่นรีลเข้ามาใช้ในซิสเต็มในอนาคต)

10. Accessories
- Disc Doctor record cleaning fluid น้ำยาล้างแผ่นเสียง
- Radioshack record cleaning cloth ผ้าเช็ดแผ่นเสียง
- Decca and Clearaudio record cleaning brushes แปรงปัดทำความสะอาดแผ่นเสียง
- Audio-Technica & LAST stylus cleaning fluids น้ำยาล้างปลายเข็ม
- Shure stylus force gauge เครื่องชั่งน้ำหนักแรงกดหัวเข็ม
- Nagaoka record cleaning roller ลูกกลิ้งทำความสะอาดแผ่นเสียง
- Onzow stylus cleaner ที่ทำความสะอาดปลายเข็ม (ยกเอาปลายเข็มไปวางแตะเจ้านี่แล้ว ปลายเข็มจะสะอาดเอง)
- Spirit level (ระดับน้ำสำหรับปรับระนาบการตั้ง turntable)
- Stylus cleaning brush แปรงปัดปลายเข็ม
- Brittannia CD cleaning kit ชุดทำความสะอาดแผ่นซีดี

จากรายการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าซิสเต็มหรือชุดเครื่องเสียงของผมนั้นช่างเรียบง่ายและสามัญจริง ๆ เมื่อเทียบกับชุดใหญ่ของนักเล่นระดับ audiophile หรือพวกระดับโปรทั้งหลาย เนื่องจากผมถือว่า simple is the best เรียบง่ายเข้าไว้นั่นแหละดี ครับ

ถ้าของคุณปีศาจเล็กๆและต่ำต้่อยแล้วล่ะก็ ของผมคงเป็นแค่จุลภาคแล้วครับ  :D

+1  :D

บ้านผมมีแต่ลำโพงคอม กะมินิคอมโป้.... เศร้า :'(

โทรศัพท์มือถือ - ข่าว
คอมพิวเตอร์ - ที่ทำงาน, บ้าน
ipod - เดินทางที่ไม่ได้ขับรถ
มินิคอมโป - ชั้นล่าง
Turntable, Cd Player - ชั้นสอง
ิเครื่องเสียงรถ - เช้า, เย็น
ทีวี ดีวีดี - ค่ำ, วันหยุด

 :D

รอมานาน ในที่สุดก็เผยโฉม
    เท่าที่เล่ามา ก็ถือว่าใช้ได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนอะไร ถ้าฟังแล้วพอใจนะครับ

+1200  ;D

เจ๋งครับ  :D
ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย
ดูภาคอานาล็อกแล้ว ทุ่มทุนลงไปเยอะเลยนี่ครับ ขอคารวะ

ถ้าชุดของคุณปีศาจจะว่าเล็ก ก็เล็กครับ
ลำโพงยังเล็กไปหน่อย สำหรับเพลงร็อคนะ หรือว่ามีซับช่วยเอ่ย

เรื่องเครื่องเสียงนี่พูดยาก เพราะเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล
คุณปีศาจอุตส่าห์เสียสละเวลา บอกเล่าให้ฟังก็ขอบคุณครับ

ส่วนจุดสมดุลระหว่างเรื่อง "เครื่องเสียงที่ดี กับ ดนตรีที่ดี" มักมีกับดักและหลุมพรางให้พลาดเสมอ
คิดว่าท่านปีศาจฯคงจะผ่านมาแล้ว

ผีซิยังไม่เจอเลย ดูดไฟล์มาเป็นกะตั๊กๆๆ แต่ไม่ได้ฟังเลยอ้า.. มัวแต่ดู เพลินเรื่อยเปื่อย ;)

อัพเดทล่าสุด 27/02/52

แอมป์ Harman/Kardon HK670 ของผมอาการไม่ค่อยดีเสียแล้ว วอลลุ่มมีเสียงคร่อกแคร่ก คงเนื่องเพราะฝุ่นจับ ให้เพื่อนมาช่วยฉีดสเปรย์ไล่ฝุ่นและทำความสะอาดให้ก็ไม่หาย คิดว่าคงจะต้องถึงมือช่าง

ดังนั้น จึงเปลี่ยนเอาแอมป์ Dual CV-5650 มาเล่นแทนไปพลาง ๆ ก่อน -- เจ้าตัวนี้เป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของผมตลอดเวลาประมาณ 18 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ทิ้งกันไม่ลงก็แล้วกัน นาน ๆ ที พอไม่สบายหรือเกเรเกตุงขึ้นมาก็ต้องพาไปหาหมอสักที กลับมาฟอร์มก็ยังสดเหมือนเดิม ถึงแม้ไม่ใช่แอมป์ไฮเอนด์หรือแอมป์ราคาแพง แต่พละกำลังของมันนั้นก็เร้าใจน่าดู

แอมป์อีกตัวหนึ่งคือ Musical Fidelity B1 ซึ่งเพื่อนยกมาให้ยืมฟังแบบระยะยาว เพราะเขาไปทำงานที่เมืองนอก (ลาว) จะกลับมาหรือไม่กลับ ไม่เคยใส่ใจที่จะติดต่อมาเอาคืนไป -- โทรมาบอกว่าจะมาหา แต่ไม่มาสักที -- เราก็เลยได้ฟังยาวไปเลย อาจจะถือโอกาสขู่ว่า ถ้าไม่มาเอาคืนก็ไม่ต้องมา จะขอซื้อต่อเลย แล้วจะโอนเงินไปให้ (ฮา) เจ้าแอมป์ตัวนี้ภายนอกดูเล็กและบอบบาง แต่กำลังขับภายในนั้นน่าดูชมเลยทีเดียว เพราะบิดวอลลุ่มไม่เท่าไร เสียงก็ออกมาให้ได้ยินครบถ้วนเต็มพื้นที่ฟังแล้ว เป็นแอมป์ที่น้ำเสียงอวบอิ่มครบบริบูรณ์ ในขณะที่ Dual CV-5650 ออกจะเน้นความถี่ย่านกลาง-แหลมมากไปหน่อย (เสียงสดและคมชัด)

อีกตัวหนึ่งที่จะต้องเอาไปเข้าคิวให้หมอเช็คอาการเร็ว ๆ นี้ คือ Denon CD Player เพราะความที่ไม่ค่อยได้เล่นมันนัก เสียงเลยสะดุดบ่อยและกลไกของถาดซีดีออกจะติด ๆ ขัด ๆ ชอบกล

ยังไม่มีเวลาถ่ายรูปมาลงเลย พอถ่ายแล้วจะต้องหาวิธี crop อีก คงต้องค่อย ๆ ศึกษาสักระยะครับ 

ช่วงนี้มีวันหยุดหลายวัน ประกอบกับภรรยาได้ซื้อกล้องถ่ายรูปมาให้ ว่าง ๆ ก็เลยซ้อมมือ ถ่ายรูปซิสเต็มของตัวเองมาลงให้ดูกัน แต่ภาพที่เห็นด้านหลังอาจไม่ค่อยน่าดู เพราะผนังห้องด้านล่างสุดนั้นสีลอก (เนื่องจากความชื้น) ยังไม่ได้ทาสีใหม่ครับ

ลำโพงที่เห็นคือ Wharfedale EM 93 ส่วนแร็คเครื่องเสียงที่อยู่ตรงกลางระหว่างลำโพงนั้นมีสี่ชั้น เครื่องเสียงที่วางอยู่ เรียงลำดับจากล่างขึ้นบนมีดังนี้

Dual CV 5650 integrated amplifier (เล่นทดแทน Harman/Kardon HK 670 ที่ส่งไปซ่อม)
TEAC V-1010 3-head cassette recorder (ทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้เล่นนานแล้ว), Lehmann Black Cube Phono Preamp (กล่องเล็ก ๆ ที่อยู่หลังเครื่องเล่นเทป)
Denon DCD 2560 GL CD Player
Audio Linear TD-4001 turntable + Dynavector DV-505 + Ortofon MC 15 Super Mk II MC Cartridge

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/017-1-1.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/035.jpg)

Audio Linear TD-4001 + Dynavector DV-505 + Ortofon MC 15 Super Mk II

กำลังเล่นอัลบั้มชุด Illusions On A Double Dimple ของ Triumvirat (Harvest Germany label) อยู่ครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/042-1.jpg)

turntable system อีกสองสามรูปครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/033-1.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/037-1-1.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/049-1.jpg)

หัวเข็มมูฟวิ่งคอยล์ (MC) Ortofon MC 15 Super Mk II ซึ่งเป็นหัวเข็มที่คุ้มค่าคุ้มราคาเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ โดยให้สมดุลเสียงทุกย่านความถี่เป็นกลางดีมาก ไดนามิคน่าประทับใจ และสามารถเข้ากับดนตรีได้ทุกแนว ราคาซื้อเมื่อประมาณห้าหรือหกปีก่อนไม่ถึงเจ็ดพันบาท คุ้มจริง ๆ ครับ

ดูบทวิพากษ์หรือรีวิวเกี่ยวกับหัวเข็มรุ่นนี้ได้ที่นี่

http://www.thaiavclub.org/forums/index.php?topic=2734.0

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/018-1.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/041-1.jpg)

Lehmann Audio "Black Cube" Phono Preamp

เนื่องจากไม่ค่อยพอใจภาคขยายหัวเข็ม (โฟโน อินพุท) ที่มีอยู่แล้วในแอมป์ ก็เลยซื้อเจ้าตัวนี้มาเพื่อขยายสัญญาณหัวเข็มจาก turntable ก่อน แล้วจึงค่อยต่อเข้าช่อง line input ของ amp ต่อไป phono preamp หรือ phono stage รุ่นนี้คุ้มค่ามาก สามารถขยายได้ทั้งหัวเข็มแบบ MM และ MC และสามารถปรับ load impedance ให้เหมาะกับ spec หัวเข็ม (โดยเฉพาะพวก MC) ได้พอสมควร

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/027-1.jpg)

Dual CV 5650 อินทิเกรตเตด แอมปลิฟายเออร์สัญชาติเยอรมัน ให้กำลังขับได้ "ปึ้ก" มาก ไม่แพ้แอมป์ร้อยวัตต์ทั่วไป สามารถรับแหล่งสัญญาณได้หลากหลาย รวมทั้งสัญญาณจากหัวเข็มแผ่นเสียงทั้ง MM และ MC ด้วย ผมครอบครองแอมป์ตัวนี้มาเป็นปีที่ 17 แล้ว ไม่คิดจะขายทิ้ง เมื่อเสียก็ซ่อมมาใช้ใหม่ ยังดีที่มีตัวแทนจำหน่ายดูแลให้อย่างดี คุ้มค่ามากครับ ตอนนี้นำมาเล่นเป็นมวยแทน Harman/Kardon HK 670 ที่ส่งไปซ่อม

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/019-1.jpg)

TEAC V-1010 Cassette Recorder เครื่องเล่นเทปคาสเสทแบบสามหัวเทป ซึ่งตอนนี้ตั้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้เล่นนานแล้วครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/023-1.jpg)

Denon DCD-2560 GL (Gold Limited Edition) CD Player เครื่องเล่นซีดีที่มากด้วยคุณภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งตกรุ่นไปนานมากแล้ว แต่ยังคงความคลาสสิกอยู่ ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ยังมีคนเสาะแสวงหาเครื่องเล่นซีดีรุ่นนี้ในสภาพมือสองอยู่ครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/025-1.jpg)

ตู้แผ่นเสียงของผมครับ ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้แผ่นเสียงในตู้มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร และมีโครงการจะซื้อตู้เก็บเพิ่มอีกหนึ่งตู้ (แต่ยังไม่รู้ว่าจะเอาไปตั้งไว้ที่มุมไหนดี) เพราะแผ่นเสียงที่ล้นออกมายังหาที่ใส่ไม่ได้เลย นอกจากเก็บใส่ลังเอาไว้ก่อนครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/my_audio_system063.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/my_audio_system003.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/my_audio_system004.jpg)

Accessories อุปกรณ์ประกอบในการเล่นแผ่นเสียง (บางส่วน) โดยมีรายการไล่เรียงกันมาดังนี้

แถวหลังสุด จากซ้ายไปขวา
- น้ำยาล้างแผ่นเสียง Disc Doctor
- แปรงปัดแผ่นเสียง clearaudio และ Decca Fibre Brush 2+2

แถวกลาง จากซ้ายไปขวา
- ที่ทำความสะอาดปลายเข็ม Onzow Zerodust
- น้ำยาล้างปลายเข็ม Audio-Technica
- ระดับน้ำเพื่อเช็คแนวระนาบของเครื่องเล่นแผ่นเสียง
- LAST stylus cleaner เอาไว้ล้างปลายเข็ม
- LAST Stylast ล้างปลายเข็มแล้วก็เอาเจ้านี่ทาเคลือบปลายเข็มไว้

แถวหน้า
- Shure Stylus Force Gauge เอาไว้ตั้งแรงกดของหัวเข็ม

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/001.jpg)

ระดับน้ำนี่ใช้ยังไงครับ

เอาแผ่นเสียงวางบน platter แล้วเอาระดับน้ำนี้ครอบ spindle กลางแผ่น เช็คฟองอากาศบนระดับน้ำดูว่าอยู่ระดับอ้างอิงตรงกลางเป๊ะหรือไม่ ถ้าเบี้ยวหรือไม่ได้ศูนย์ก็แสดงว่า turntable ไม่อยู่ในแนวระนาบขนานกับพื้นโลก (ซึ่งมีผลต่อคุณภาพเสียงที่ได้จาก turntable) ก็ให้ปรับขาตั้ง turntable ทั้งสี่จุดจนกว่าจะได้แนวระนาบ โดยคอยเช็คดูที่ระดับน้ำว่าได้ที่แล้วหรือยังครับ

อัพเดทล่าสุด 30/12/52

ได้ขายหัวเข็ม Dynavector DV10x5 ให้ผู้ที่สนใจไปแล้ว และให้รางวัลแก่ตัวเองในปลายปีนี้ (ในฐานะที่ได้โบนัสอันน้อยนิด) ด้วยการไปซื้อหัวเข็ม Dynavector รุ่น DV20x (high output) ซึ่งเป็นรุ่นที่สูงขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่งมาไว้ฟังสลับกับ Ortofon MC 15 Super Mk II ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนภาพและคอมเม้นท์หลังจากการติดตั้งและทดลองฟังนั้น ผมจะนำมาเสนอในลำดับต่อไปครับ

จำได้ว่า Ortofon MC 15 Super Mk II เป็นหัวเข็ม MC ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกเมื่อประมาณสิบปีมาแล้ว ในครั้งนั้น ด้วยค่าตัวเพียงสองร้อยกว่าเหรียญ (ขึ้นอยู่กับแหล่งที่คุณซื้อหาด้วย) ยากนักที่จะมีหัวเข็มราคาพอ ๆ กันหรือสูสีกันที่สามารถกินหรือคว่ำเจ้าตัวนี้ลงได้ แม้แต่หัวเข็มบางยี่ห้อบางรุ่นที่ราคาสูงกว่าสองหรือสามเท่าตัวยังหืดขึ้นคอเมื่อเจอกับมัน ด้วยคุณลักษณะเสียงที่เรียบแฟล็ตเป็นกลาง รักษาดุลย์ของน้ำเสียงทุกย่านความถี่ได้ดี แรงปะทะหรือไดนามิคยอดเยี่ยม รายละเอียดสูง เสียงแหลมทอดไปไกลโดยไม่มีอาการหยาบกร้านหรือระคายหู และควบคุมเสียงเบสส์ได้ดี แต่ข้อเสียของมันก็คือ ด้วยความที่เรียบแฟล็ตหรือเป็นกลางสูงมาก อาจฟังดูแล้วเสียงเบสส์ออกจะดูแห้งหรือบอบบางไปหน่อย ผมรู้สึกว่านี่คือข้อด้อยของ MC 15 Super Mk II เพียงจุดเดียวที่เห็นได้ชัด นอกนั้นสอบผ่านตามเกณฑ์ของ audiophile ได้หมด

อีกอย่างหนึ่งที่จะบอกก็คือ เนื่องจากหัวเข็มรุ่นนี้เป็นแบบ low output moving coil ดังนั้น ก่อนจะนำมาใช้งาน จะต้องตรวจสอบดูว่าแอมป์ของท่านนั้นมีภาคขยายหัวเข็ม MC low output หรือท่านมีภาคปรีโฟโนหรือโฟโนสเตจหรือ head amp สำหรับหัวเข็ม MC ชนิด low output อยู่แล้วหรือไม่ การตั้งค่า load impedance ของหัวเข็มรุ่นนี้ให้ตั้งไว้ที่ 100-200 ohms กำลังดี ส่วนค่าแรงกดหัวเข็มนั้นอยู่ที่ 2.2 กรัม กำลังพอเหมาะครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/002-5.jpg)

ผมรู้สึกมานานแล้วว่าเสียงเบสส์ที่ได้จาก Ortofon MC 15 Super Mk II โดยเล่นผ่านเทิร์น Audiolinear TD-4001 และอาร์ม Dynavector DV-505 นั้น มันออกจะดูบอบบางไปสักหน่อย สาเหตุหนึ่งก็น่าจะมาจากตัวแท่น (plinth) ของ Audiolinear ซึ่งทำมาจากอะคริลิค (เพราะโดยทั่วไป แท่นเครื่องที่ทำจากอะคริลิคมักให้เสียงที่คมชัด ใส และรายละเอียดสูง) ดังนั้น จึงได้มองหาหัวเข็มที่เป็นทางเลือกตัวใหม่มาลองเล่นเปรียบเทียบดู ก็สบโอกาสได้หัวเข็ม Dynavector DV-20X (High Output) มาลองฟังเมื่อก่อนสิ้นปี หัวเข็ม DV-20X นี้มีสองเวอร์ชั่น คือ แบบ high output ซึ่งใช้ได้กับภาคขยายหัวเข็มแบบ MM ทั่วไป และแบบ low output ซึ่งจะต้องต่อผ่าน MC phono input ที่มีคุณภาพสูง ส่วนรุ่นที่ผมใช้อยู่นี้เป็นแบบ high output ซึ่งได้มาในราคาไม่แพงจากเจ้าของเดิมที่ขายหัวเข็มนี้ให้ผมเพราะหันไปเล่นแบบ low output แทน

โดยความเห็นส่วนตัวของผม สำหรับ DV-20X ไม่ว่าจะเป็นแบบ low หรือ high output ต่างก็ได้รับคำยกย่องจากนักวิจารณ์ว่ามีคุณภาพเสียงยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับราคา โดยรุ่นนี้เป็นรุ่นสูงกว่ารุ่น DV-10X ขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น ราคาซื้อใหม่จากตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราก็อยู่ที่สองหมื่นกลาง ๆ ซึ่งแพงกว่ารุ่นน้องเล็ก (DV-10X) อยู่หนึ่งหมื่นบาท ส่วนจะดีและคุ้มค่าสมราคาหรือไม่ คงจะต้องทดลองฟังเสียงกันดูครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/003-6.jpg)


จับสองพระเอกใส่ headshell มาประชันโฉมกัน

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/001-4.jpg)

ผมได้ติดตั้งหัวเข็ม DV-20X เข้ากับเฮดเชลล์สำรองของอาร์ม Dynavector DV-505 แล้วนำไปประกอบใส่เข้ากับอาร์ม ปรับตั้งมุม overhang และ offset โดยใช้แผ่น cartridge mounting plate เฉพาะของอาร์ม DV-505 เอง ตั้งค่าแรงกดของหัวเข็มไว้ที่ 2.0 กรัมโดยใช้ Shure Stylus Force Gauge ตรวจเช็คและปรับมุม SRA/VTA ของหัวเข็ม และแขวนตุ้มน้ำหนัก anti-skating ให้สอดคล้องกับค่า VTF ตลอดจนปรับค่า load impedance หัวเข็มที่โฟโนสเตจไปที่ 47 กิโลโอห์ม (สำหรับหัวเข็ม MM หรือ MC high output) เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี พร้อมฟังได้แล้วครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/003-6.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/004-5.jpg)

อัพเดทล่าสุด 22/03/53

1. ได้ส่งแอมป์ Harman/Kardon HK 670 เข้าศูนย์เช็คสภาพร่างกายแล้ว ต่อไปก็จะถึงคิวเครื่องเล่นซีดี Denon DCD-2560 GL เสียที
2. ซื้อ integrated amp เก่า ยี่ห้อ Creek CAS 4040 (รุ่นเก่า 30 วัตต์ RMS หน้ากากดำ ฝาครอบด้านบนเป็นไม้) ไว้ให้ภรรยาฟัง tuner ในห้องนอน
3. ซื้อ digital stylus force gauge (ทศนิยม 2 ตำแหน่ง) มาไว้ใช้วัดแรงกดหัวเข็มแทนเครื่องวัด Shure SFG-2 แบบอะนาล็อกที่มีอยู่เดิม (ยังเก็บของเดิมไว้อยู่)
4. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันแบริ่งใน turntable ทำให้ turntable หมุนเรียบยิ่งขึ้น (รู้สึกว่าฟังเพลงเพราะขึ้นอีกหน่อย)
5. เปลี่ยนสายลำโพง จาก Supra Ply 3.4 เป็น Black Rhodium รุ่น Jive ข้างละ 2 เมตร ซึ่งให้เสียงเบสส์และปลายเสียงแหลมดีกว่า Supra อย่างเห็นได้ชัด
6. กำลังจะเปลี่ยนสาย tonearm cable ของ Dynavector DV-505 เพราะสายเดิมที่ติดมากับอาร์มมันเก่ามากแล้ว ขณะนี้กำลังเปรียบเทียบเช็คราคาและ spec อยู่

 ;) เจ๋งครับ  สักวันผมจะมีบ้าง

      ใช้ creek ฟังวิทยุในห้องนอนช่างน่าอิจฉาเสียจริงๆ
      อ้อ แล้วใช้จูนเนอร์กับลำโพงอะไรล่ะครับ

ลำโพงกำลังเลือกอยู่ระหว่าง Wharfedale Diamond 10.1 กับ Mordaunt Short รุ่นเล็กกะทัดรัด ส่วน tuner ตอนนี้มีตัวเลือกสองตัว ระหว่าง NAD กับ TEAC น่ะครับ (ราคาไม่ถึงหมื่น)

     ขออนุญาตแสดงความเห็นหน่อยนะครับ
     จูนเนอร์ NAD ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องรับสัญญานได้ไกล และรับสัญญานอ่อนๆได้ดี ขอเสนอ
     ออนเกียว กับมารานซ์ ให้พิจารณาด้วยครับ
     ถ้าอยากให้ห้องมีบรรยากาศโรแมนติคขึ้นขอเสนอ B&W แต่ไม่ทราบว่าจะเกินงบไปหรือเปล่า

ขอรับความเห็นเรื่อง NAD ไว้พิจารณาครับ เพราะผมเองก็ชอบ ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ B&W นี่ท่าทางจะเกินงบ และไม่ค่อยชอบท่าทีในการให้บริการของเจ้านี้ครับ (เคยเจอมาด้วยตนเองแล้ว)

  


   
ขอรับความเห็นเรื่อง NAD ไว้พิจารณาครับ เพราะผมเองก็ชอบ ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ B&W นี่ท่าทางจะเกินงบ และไม่ค่อยชอบท่าทีในการให้บริการของเจ้านี้ครับ (เคยเจอมาด้วยตนเองแล้ว)
[/quote]

   ถ้าลำโพงยี่ห้อนี้เปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายคงขายดีขึ้นอีกมากเลยครับ เสียดายคุณภาพจริงๆ
   ได้ยินหลายคนพูดถึง ผมไม่เคยเจอกับตัวเองแต่เคยอยู่ในเหตุการ์ณ (มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง
   ชี้ไปที่ลำโพงตั้งพื้นแล้วบอกว่าขอลองฟังหน่อย คนขายมองด้วยสายตาเหยียดๆแล้วบอก
   ว่า ลำโพงตัวนี้แพงนะ)

Mordaunt Short รุ่นเล็กกะทัดรัด น่าสนใจนะครับ ผมชอบดีไซน์เรียบหรูของเขาด้วย  :)

อัพเดทล่าสุด 29/04/53

1. ในที่สุด ผมก็ได้สาย tonearm cable ยี่ห้อ The Ultimate Cables Silver C-4 ของแคนาดามาใช้เพื่อเปลี่ยนสายเดิมของโทนอาร์ม Dynavector DV-505 แล้ว เป็นสายทองแดงเคลือบเงิน โดยหัวแจ็คที่ท้ายอาร์มเป็นแบบ DIN 5-pin ส่วนแจ็คที่เข้าภาคปรีโฟโนนั้นเป็นยี่ห้อ Vampire สายสำเร็จชุดนี้ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับสายของยี่ห้อ Dynavector เอง (9000 กว่าบาท) แต่ในเมื่ออาร์มตัวนี้เอื้อให้หาซื้อสายสัญญาณดี ๆ มาเปลี่ยนได้ ผมก็จะลองดูยี่ห้ออื่นอีกสักสองสามยี่ห้อ รวมทั้งของ Dynavector เองด้วย แต่ตอนนี้ขอใช้ The Ultimate Cables ไปก่อนครับ

2. สายสัญญาณ interconnects จากปรีโฟโนเข้าแอมป์ ผมได้เปลี่ยนจาก Audioquest Topaz II เป็น Black Rhodium รุ่น Coda ซึ่งก็ได้เสียงเบสส์ที่อวบใหญ่และกลางแหลมเป็นชัดเจนมากขึ้น (ในขณะที่แต่ก่อนรู้สึกว่าสาย Audioquest มันออกจะเรียบแฟลตไปหน่อย) และสายสัญญาณจากซีดีเข้าแอมป์ ผมใช้ van den Hul D-103 III Hybrid เหมือนเดิมครับ

3. ซื้อน้ำยา Kristaline มาทำความสะอาดแท่น plinth อะคริลิกของเทิร์นเทเบิ้ล และยังสามารถทำความสะอาด platter หรือแป้นหมุนได้ความเงางามขึ้นอีกด้วยครับ

ผมขอถามคุณปีศาจลายคราม เรื่องน้ำยาkristaline หน่อยครับเอามาเช็ดพวกอะคริลิก
ไม่ทำให้ผิวเป็นรอยใช่ไหมครับ ถ้าจะเอาไปทำความสะอาดเครื่องเล่นซีดีของผมซึ่งตัวเครื่อง
ทำด้วยอะคริลิดสีดำใช้ได้หรือไม่ครับ แล้วน้ำยาซื้อที่ไหนครับ

ผมใช้ Kristaline เช็ดแท่นอะคริลิกก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ น้ำยานี้ผมซื้อจากอีเบย์ครับ ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้เลยครับ

http://cgi.ebay.com/KRISTALINE-ACRYLIC-POLISH-Plexi-CDs-DVD-Aircraft-/330378048172?cmd=ViewItem&pt=LH_DefaultDomain_0&hash=item4cec10f2ac

ขอบคุณครับ ตามปกติพวกอุปกรณ์ของเล่นต่างๆของคุณปีศาจลายคราม ซื้อจากอีเบย์เป็นหลักหรือครับ

ถ้าเป็นของแปลก ๆ ดี ๆ ที่ไม่มีขายในบ้านเมืองเราผมก็ต้องสั่งซื้อจากอีเบย์ครับ ส่วนใหญ่เกิดจากการเสิร์ชหาเจอโดยบังเอิญมากกว่าครับ

Last Update on My Audio System 06/05/10

1. Harman/Kardon HK 670 integrated amplifier

2. DUAL CV 5650 high-current integrated amplifier

3. Creek CAS 4040 integrated amplifier

4. Denon DCD 2560 GL CD player (Gold Limited Edition)

5. Turntable System
5.1 Audio Linear TD-4001 turntable
5.2 Dynavector DV-505 tonearm, with The Ultimate Cables Silver C-4 tonearm cable
5.3 Moving Coil Cartridges: Ortofon MC 15 Super Mk II & Dynavector DV 20X

6. Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono preamp (regular version)

7. TEAC V-1010 3-head cassette deck

8. Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers

9. Cables
9.1 Speaker cables: Black Rhodium Jive 
9.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van den Hul D-103 Mk III Hybrid
- From phono preamp. to amp.: Black Rhodium Coda
- From cassette deck to amp.: Audioquest Topaz II

10. Accessories
- Disc Doctor record cleaning fluid น้ำยาล้างแผ่นเสียง
- Radioshack record cleaning cloth ผ้าเช็ดแผ่นเสียงเคลือบน้ำยาเคมีเพื่อรักษาแผ่นเสียง
- Decca 2+2 and Clearaudio record cleaning brushes แปรงปัดทำความสะอาดแผ่นเสียง
- Audio-Technica & LAST stylus cleaning fluids น้ำยาล้างปลายเข็ม
- Shure SFG-2 stylus force gauge เครื่องชั่งน้ำหนักหรือแรงกดหัวเข็ม
- Digital stylus force gauge (ทศนิยม 2 ตำแหน่ง)
- Nagaoka record cleaning roller ลูกกลิ้งทำความสะอาดแผ่นเสียง
- Onzow stylus cleaner ที่ทำความสะอาดปลายเข็ม (ยกเอาปลายเข็มไปวางแตะเจ้านี่แล้ว ปลายเข็มจะสะอาดเอง)
- Spirit level (ระดับน้ำสำหรับปรับระนาบการตั้ง turntable)
- Stylus cleaning brush แปรงปัดปลายเข็ม
- Brittannia CD cleaning kit ชุดทำความสะอาดแผ่นซีดี
- Kristaline น้ำยาทำความสะอาดอะคริลิกและโลหะ (สำหรับทำความสะอาดแท่นและแพลตเตอร์เครื่องเล่นแผ่นเสียง)
- Clearaudio turntable bearing oil น้ำมันหล่อลื่นแกนแบริ่งเทิร์นเทเบิ้ล
- SRM Tech turntable belt & drive cleaning fluid น้ำยาทำความสะอาดสายพานและส่วนขับหมุนเทิร์นเทเบิ้ล

 
  อุปกรณ์เกี่ยวกับแผ่นเสียงในข้อ 10 นี่ หมดตลาดหรือยังครับ

  เครื่องเล่นแผ่นเสียงจะโดดออกมาจากชิ้นอื่นมากเลยนะครับ

- ยังไม่หมดตลาดหรอกครับ ของผมแค่นี้ถือว่าจิ๊บ ๆ ของนักเล่นมือโปรที่แท้จริงผมคิดว่าต้องมีมากกว่านี้ อย่างน้อยที่ผมยังขาดอยู่ตอนนี้ก็มีเครื่องล้างแผ่นเสียงและปืนขจัดไฟฟ้าสถิตน่ะครับ (โดยเฉพาะเครื่องล้างแผ่นเสียงนี่ราคาสองหมื่นกว่า ๆ คิดแล้วคิดอีก ทำใจลำบาก ในขณะที่แผ่นเสียงนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนขี้เกียจจะนั่งหลังขดหลังแข็งล้างด้วยมือแล้วสิครับ)

- ผมให้ความสำคัญกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงมากที่สุด และเป็นส่วนที่ลงทุนมากที่สุดด้วย เพราะเล่นแผ่นเสียงมากกว่าซีดีครับ

   เครื่องเล่นแผ่นเสียงดี อุปกรณ์สนับสนุนสมบูรณ์ แผ่นเสียงเยอะ ฟังเพลงมาก
   ถ้าอัพเกรดแอมป์กับลำโพงได้ นับว่าคุ้มมากๆเลยนะครับ

กำลังคิดอยู่เหมือนกันครับ แต่ก็ต้องทยอยอัพเกรดตามโอกาสและงบประมาณน่ะครับ

ผมสนับสนุนเลยครับกับเครื่องล้างแผ่นเสียง ผมว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากนะครับ
เพื่อแลกกับการรักษาแผ่นเสียงที่แสนรักของคุณปิศาจลายคราม
หลังจากที่อัพเกรดลำโพงแล้ว ตามความคิดของผมเอาแอมป์ทั้งสามตัว
ไปขายแล้วเปลี่ยนแอมป์ใหม่เป็นแอมป์คุณภาพสูงขึ้นดีๆเลยครับ

เก็บ ครีก 4040 ไว้ได้ครับ
เสียงดี+กำลังขับ เกินตัว
(http://i242.photobucket.com/albums/ff185/mr-valljud/Samling/Creekpas4040inside1.jpg)

ปกติผมมักจะเก็บเครื่องเสียงเก่าไว้เสมอ ไม่ได้ขายทิ้งดอกครับ เผอิญโชคดีที่ไม่ค่อยเปลี่ยนเครื่อง บ้านก็เลยไม่ค่อยรกเกะกะไปด้วยเครื่องเก่าเท่าไรครับ

ส่วน Creek CAS 4040 ผมกะว่าจะเอาไว้ให้ภรรยาฟัง tuner ในห้องนอนน่ะครับ

อัพเดทล่าสุด 03/06/53

1. สั่งซื้อ Lyra SPT (Stylus Performance Treatment) มาไว้ใช้เพื่อทำความสะอาด (และเคลือบ) ปลายเข็มเล่นแผ่นเสียง ผมเคยถามหาผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จากตัวแทนในเมืองไทยนานแล้ว แต่ได้รับแจ้งว่าไม่ได้สั่งเข้ามาขาย ถ้าจะซื้อก็ต้องสั่งเข้ามาให้เป็นกรณีพิเศษ และราคาก็ค่อนข้างสูง ผมก็เลยสั่งซื้อเองทางอีเบย์ ซึ่งได้ราคาถูกกว่ามากครับ

2. สั่งซื้อสายพานเครื่องเล่นแผ่นเสียง Audio Linear TD-4001 โดยตรงจากเว็บไซต์แห่งหนึ่งในต่างประเทศ มาเป็น spare เก็บไว้ หลังจากได้สอบถามหาซื้อสายพานอะไหล่นี้จากร้านต่าง ๆ ในกรุงเทพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้านอมรฯ (ดิโอลด์สยาม), ร้านต้นฉบับ, ร้านแถวบ้านหม้อ คลองถม ฯลฯ แต่ไม่ได้เรื่องเลยสักแห่ง เพราะร้านพวกนี้มีแต่สายพานแบนสำหรับเครื่องเล่นแผ่นเสียงจากญี่ปุ่นเท่านั้น พอพวกเขาเห็นตัวอย่างสายพานที่ผมนำไปให้ดูแล้วต่างพากันส่ายหน้า บอกว่าไม่มีสายพานแบบนี้และขนาดเท่านี้หรอก เพราะมันออกแบบมาโดยเฉพาะจริง ๆ (รู้อย่างนี้คงไม่เดินหาซื้อให้เมื่อยหรอก หาซื้อเอาในอินเตอร์เน็ตสบายกว่ากันเยอะ) ผมก็เลยซื้อเอาทางอินเตอร์เน็ตทีเดียวสองเส้นเลย

ดังนั้น สำหรับท่านที่มีเทิร์นเทเบิ้ลยี่ห้อและรุ่นที่ exclusive และ vintage ไม่ใช่เครื่องเล่นแผ่นเสียงตลาดทั่วไปแบบเครื่องญี่ปุ่นราคาต่ำ ๆ อย่าไปเดินหาซื้อสายพานจากร้านค้าในกรุงเทพให้เมื่อยเปล่าเลยครับ ถ้าไม่มีให้หาซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายที่ถูกต้องก็ให้สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต ชัวร์กว่าครับ

(http://store.acousticsounds.com/images/medium/S_SPT__9462__01152009112426-6790.jpg)

แนะนำด้วยความหวังดีว่า ท่านปีศาจควรจะเปลี่ยน Amp และลำโพงได้แล้วครับ รับรองว่าอยากฟังเพลงมากกว่าเดิมแน่นอนครับ

    ตามความเห็นผม Amp ต้องเปลี่ยนก่อนเป็นอันดับแรก ที่มีอยู่น่าจะขายให้หมด
       ซื้อเป็นเครื่องมือสองสภาพดีๆก็ได้
        ตัวอย่างเช่น NAD Silverline  S100/S200  หรือ S300 ก็ได้

    ส่วนลำโพงก็ควรเป็นลำโพงตั้งพื้น มีหลายยี่ห้อให้เลือก แล้วแต่ชอบยี่ห้อไหน


       

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
ใจจริงตอนนี้ก็อยากเปลี่ยนทั้งแอมป์ทั้งลำโพงนั่นแหละครับ แต่ปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องงบประมาณ ก็คงต้องรออีกสักระยะน่ะครับ

ตอนนี้ผมกำลังเตรียมงบไว้ไม่เกินห้าหมื่นบาทสำหรับ integrated amp ระดับ mid-end สักตัว ก็พบตัวเลือกที่ชอบที่สุดในตอนนี้คือ Roksan Kandy K2 แอมป์จากอังกฤษซึ่งมีขุมพลังขับที่ 125 w/ch ที่โหลด 8 โอห์ม โดยส่วนตัว ผมให้เครดิต Roksan สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงทุกอย่าง โดยเฉพาะเครื่องเล่นแผ่นเสียง เพราะของเขานั้นคุณภาพยอดเยี่ยมจริง ๆ ครับ

ครั้นจะขยับไปเล่นอินทิเกรทเตดไฮเอนด์อย่างของ Pass Labs รุ่น INT-150 หรือ McIntosh รุ่น MA 7000 ก็คงจะต้องมีเงินอยู่ในมือสักสองแสนกว่า ๆ และยอมรับว่ามันเกินฐานะของผมตอนนี้จริง ๆ ดังนั้น จึงตัดสินใจว่า ในขั้นนี้จะค่อย ๆ ปลดระวางแอมป์และลำโพงเก่าออก เพราะเล่นมาหลายปีแล้วและก็น่าจะคุ้มแก่เงินที่ได้ลงทุนไป (บางตัวอายุเกือบยี่สิบปี) และเปลี่ยนเอาของใหม่เข้ามาใช้ด้วยงบระดับ mid-end และจะใช้ชุดนี้ต่อไปอีกสักสิบปี พอถึงตอนนั้น ถ้าโชคอำนวยมีลาภไหลมาเทมาหรือมีเงินเก็บอีกสักก้อน แล้วจึงค่อยขยับไปหาเครื่องระดับไฮเอนด์ต่อไป (โดยเฉพาะเครื่องเล่นแผ่นเสียง vintage ที่สวยสง่าและเสียงดี ผมตั้งใจว่าจะครอบครองมันให้ได้สักเครื่องในที่สุด)

อีกตัวเลือกหนึ่งก็คงจะเป็นแอมป์ของ NAD Silverline Series ที่เป็นของมือสอง ตามที่คุณ The Black Tulip ได้แนะนำไว้ครับ

ส่วนลำโพงก็คงต้องค่อย ๆ เฟ้นหาไป เพราะมีมากมายหลายยี่ห้อจริง ๆ โดยจะเน้นลำโพงอังกฤษที่งบประมาณทัดเทียมกับแอมป์ครับ

http://www.stereophile.com/integratedamps/roksan_kandy_k2_integrated_amplifier/

  ยินดีด้วยครับที่โผงบประมาณคลอดแล้ว แอมป์อังกฤษคงให้รายละเอียดและความนุ่มนวล
  มากขึ้นกว่าเดิมเยอะพอสมควรล่ะครับ
  ถ้าห้องเอาไหวอยากให้คุณปีศาจลายครามลองเล่นลำโพงตั้งพื้นดูบ้าง ฟังเพลงได้หลากหลายดี
  โดยเฉพาะเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีมากชิ้น

ใจจริงอยากได้ Pass Labs INT-150 แล้วเล่นยาวไปอีกสัก 20 ปีเลยครับ แต่เห็นราคาตั้งขายที่ US$ 6500 แล้ว ไม่ไหวจริง ๆ ครับ (กิเลสหนา แต่ส่วนบุญยังน้อยอยู่)

(http://www.positive-feedback.com/Issue40/images/int150.jpg)

หรือไม่ก็ ถ้าได้เจ้าตัวนี้ ก็เล่นยาวไปอีกนานโดยไม่มีกำหนดเลยครับ (คิดว่าราคาก็ก็จะพอ ๆ กับ Pass Labs)

McIntosh MA 7000 Integrated Amp (250 w/ch @ 8 ohms)

(http://www.tonepublications.com/media/mcintosh-ma7000.jpg)

สรุปว่า ตัวที่พอเอื้อมถึงได้หน่อยตอนนี้ก็คือ Roksan Kandy K2 ครับ แต่ถ้าหา NAD Silverline Series ที่เป็นเครื่องมือสองได้ ก็คงจะพิจารณาด้วยเช่นกันครับ

(http://www.sevenoakssoundandvision.co.uk/images/product/roksan_k2_large.jpg)

 มีตัวเลือกอีกตัวคือ Integrated Amp รุ่นเก่าของ McIntosh  รุ่น MA6900  200watts/8 Ohm มี phono MM ในตัวด้วย ถ้ามีมือสองก็น่าสนใจครับ
 ตัวนี้เป็น Solid State ครับ

 see link

 http://www.mcintoshlabs.com/products/979.asp


รุ่น MA7000 ราคาของใหม่ที่ราคา $8000
รุ่น MA6900 ราคาของใหม่ที่ราคา $5000

ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล โดยเฉพาะผมเพิ่งทราบว่า McIntosh มี int. amp. รุ่น MA 6900 อยู่อีกรุ่นหนึ่งด้วย (โดยไล่เรียงกันตั้งแต่ 6300, 6500, 6900 และ 7000 ตามกำลังขับจากน้อยไปหามาก)

กับแนวเพลงที่ฟังเป็นหลัก ผมชอบแอมป์ solid state มากกว่าแอมป์หลอดครับ

ตอนนี้มีงบประมาณอยู่ก้อนหนึ่ง -- ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยจนเกินไป -- กำลังสองจิตสองใจอยู่ว่าจะเปลี่ยนแอมป์หรือจะซื้อโทนอาร์ม SME Series IV ดี เพราะแอมป์ก็เป็นหัวใจสำคัญของระบบเครื่องเสียง ประกอบกับแอมป์ตัวเดิมผมก็เล่นมาหลายปีจนคุ้มค่าแล้ว จึงสมควรจะถึงเวลาเปลี่ยนใหม่เสียที ในขณะที่อาร์ม SME IV ก็มีราคาน่าเล่นมากในตอนนี้ (สั่งซื้อจากเมืองนอก) ผมกะว่าจะซื้อมาเก็บไว้เพื่อรอหาเทิร์นเทเบิ้ลที่เป็นเนื้อคู่ของมันอีกทีในอนาคต หรือไม่ก็ใช้แทนอาร์ม DV-505 ไปก่อนก็ได้ แต่เพื่อนคนหนึ่งแนะนำว่าน่าจะเปลี่ยนแอมป์ก่อนดีกว่า (ในขณะที่เขาก็เห็นด้วยว่าราคาของอาร์มตัวนี้น่าเล่นมาก)

ถ้าผมจะเปลี่ยนแอมป์ ก็คงจะได้แค่ Roksan Kandy K2 (กำลังขับ 125 วัตต์ RMS) เพราะแอมป์ตัวอื่นที่เป็นตัวเลือกข้างต้นนั้นเกินงบที่มีอยู่ไปมาก ตอนนี้ก็เลยขอร้องให้คุณอั๋น501ลองดูแอมป์ไฮเอนด์มือสองที่อยู่ในงบประมาณที่ผมมีอยู่อีกทางหนึ่งด้วย ก็หวังว่าอาจมีโอกาสได้เล่นของดีราคาไม่แพง

และผมได้มีโอกาสไปลองฟังเสียงของแอมป์ Roksan ดูแล้ว ปรากฏว่าเสียงน่าประทับใจมาก

ตอนนี้ก็เลยต้องรอไปอีกสักนิด เผลอ ๆ ถ้าโบนัสออกอีก อาจมีโอกาสได้ทั้งแอมปลิฟายเออร์ตัวใหม่และโทนอาร์ม SME IV ทั้งคู่เลยก็ได้ครับ (งานนี้มีลุ้น) :D

(http://www.sevenoakssoundandvision.co.uk/images/product/roksan_k2_large.jpg)

(http://www.sme.ltd.uk/uploads/images/series4big.jpg)

  ซื้อได้ราคาเท่าไรบ้างครับ

ไม่เกินห้าหมื่นในแต่ละรายการครับ (ส่วนอาร์ม SME IV คิดว่ามีทอนอยู่สองสามพัน)
ตอนนี้ผมคงจะซื้อแอมป์ก่อนตามที่เพื่อนแนะนำ ส่วนอาร์มที่อยากจะได้มาเก็บไว้ก่อน เอาไว้อีกสักพักก็ได้ครับ

ถ้าสามารถหา Arm SME  series V ได้ น่าสนใจมากครับ แม้ราคาจะสูงกว่าสัก 10k

ตอนนี้ผมคงไม่ไหวหรอกครับ SME V ราคาตั้งสามพันกว่าเหรียญยูเอส ในขณะที่ SME IV ผมสามารถหาซื้อได้ในราคาเพียงพันกว่าเหรียญเท่านั้น (ของใหม่) แต่เขาว่าได้ประสิทธิภาพ 70% ขึ้นไปของ SME V

(http://www.sme.ltd.uk/uploads/images/seriesvbig.jpg)

ได้เล่นแค่ Series IV ก็ถือว่าหรูสำหรับผมแล้วครับ (แม้อาจต้องยอมทนกินมาม่าต่อไปอีกหลายเดือนก็ตาม) :D

(http://www.sme.ltd.uk/uploads/images/series4big.jpg)

มีใครเคยลองฟัง Creek 5350se กันแล้วบ้างครับ? ตัวนี้กำลังขับ 85 w/rms (น้อยกว่ายี่ห้อและรุ่นที่เล็งไว้) และเคยติด Stereophile Class A ด้วย
เห็นราคามือสองแล้วน่าเล่นจัง ถ้าดีจริงก็จะได้ประหยัดสตางค์ไปเยอะครับ :D

(http://www.stereophile.com/images/archivesart/creek5350.jpg)

เมื่อหลายเดือนก่อน มีคนขาย arm SME series V  มือสอง ราคา 50k กว่าๆ     มี 2 ชุด แต่ผมไม่ได้ซื้อ

ผมเคยฟังทั้งรุ่นนี้และที่เป็นเพาเวอร์แอมป์  ราคาของใหม่รุ่นนี้ถ้าจำไม่ผิดเกือบแปดหมื่นบาท  ผมไม่ค่อยชอบน้ำเสียงเท่าไรแต่คุณปิศาจลายคราม
อาจจะชอบก็ได้นะ  ถ้าราคามือสองถูกๆก็น่าสนใจเหมือนกัน

ถูกกว่าซื้อใหม่ตั้งเกือบครึ่ง น่าเสียดายจัง
คุณ The Black Tulip น่าจะเอาเก็บไว้อัพเกรดสักชุด แล้วค่อยปล่อย SME IV ให้ผมก็ได้ครับ (ฮา) ;D

เล่นแอมป์มาสองสามตัวแล้ว ขอสารภาพตามตรงว่าแต่ละยี่ห้อที่เคยเล่นมา ผมไม่เคยลองฟังเสียงดูก่อนเลย ถ้าถูกใจปั๊บก็ซื้อเลย เหมือนรักแรกพบ อยู่กันไปนาน ๆ แล้วก็รักกันเอง (แล้วก็อยู่ด้วยกันนานจริง ๆ เสียด้วย) :D
ไม่ทราบว่ากำลังขับของ Creek ตัวนี้ใช้ได้หรือเปล่าครับ? (ผมอยากเผื่อเอาไว้ขับลำโพงตั้งพื้นด้วย)

ใช้ได้เลยครับ ถ้าเอามาขับลำโพงตั้งพื้นขนาดไม่ใหญ่สเป็กไวๆหน่อย(87 dbขึ้นไป) ว่าแต่ราคามือสองเท่าไรครับ
อันที่จริงแล้วการซื้อเครื่องเสียงไม่ว่าจะเป็นแอมป์,เครื่องเล่นซีดี,เครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือลำโพง ถ้าเราได้เอามาลองฟังกับชุดซีสเต็มของเราก่อน
จะเป็นการดีที่สุด

สามหมื่นครับ แต่ผมยังไม่ได้ต่อรองราคาเลย และเพื่อนผมคนหนึ่งบอกว่าแพงไปหน่อย เพราะเครื่องนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2002 แล้วครับ

   อายุ 8 ปีถ้าเป็นแอมป์ธรรมดาสมัยนี้ก็มากเอาเรื่องอยู่ บางเครื่อง 4- 5ปีก็ไม่ค่อยดีแล้ว
   ถ้าเป็นแอมป์ระดับ มิดเอ็นด์ - ไฮเอ็นด์ ก็ไม่น่ามีปัญหา ผมเคยเห็นหลายคนใช้อยู่อายุ 10 - 30 ปี
 ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาจเป็นเพราะสมัยนี้ของแพงขึ้นก็เลยลดต้นทุนต่างๆลง
   ส่วนเรื่องเสียงผมว่าแอมป์ระดับนี้แล้วเสียงดีแน่นอน แต่จะถูกใจเราหรือเปล่าต้องลองไปฟังดูครับ
 ผมอยู่ไกลกว่าคุณปีศาจฯและไม่ค่อยมีเวลาด้วย ยังต้องหาทางไปฟังให้ได้ทุกครั้งก่อนซื้อเลยครับ  :D

สงสัยเป็นคนละรุ่นกับที่ผมเคยฟัง  Creek ซีรีส์ Destiny เป็นรุ่นใหม่ออกมาครบทั้งอินทีเกรท,เพาเวอร์แอมป์,ปรีแอมป์และเครื่องเล่นซีดี
ถ้าเป็นรุ่นที่คุณปีศาจแผ่นเสียง พูดถึงน่าจะเป็นรุ่นเก่าก่อนรุ่นDestiny ผมเคยฟังมาบ้างหรือเปล่าจำไม่ได้เหมือนกัน  ถ้าดูจากราคาสามหมื่น
น่าจะต่อรองราคาได้อีก

ฟันธง ราคานี้ ไม่น่าสนใจครับ สำหรับ amp Creek ตัวนี้ น่าจะสะสมเงินทุน เพิ่มเงินอีกหน่อย ซื้อชุดที่ดีกว่านี้ไปเลยดีกว่า ซื้อเมื่อพร้อม

คุณหมอว่าไว้ก็มีเหตุมีผล  ถ้าเราเพิ่มเงินขึ้นไปอีกหน่อยซื้อแล้วเล่นยาวเลย  ก็น่าจะมองข้ามอินทีเกรทCreek ไปเพราะลักษณะการเล่น
เครื่องเสียงของคุณปิศาจแผ่นเสียงนั้น เล่นแล้วเล่นยาวไม่ได้คิดจะเปลี่ยนเครื่องเสียงบ่อยๆประเภทรักเดียวใจเดียว  ก็น่าจะเล่นชุดที่ดีกว่านี้
อาจจะต้องจ่ายมากขึ้นกว่าที่วางงบไว้แต่แรก  ซึ่งผมว่าคุณปิศาจแผ่นเสียงไม่ใช่เป็นมือใหม่หัดขับ เป็นมือเก่าลายครามเหมือนดังชื่อ 

ผมขอแนะนำร้านมิสเตอร์บาลานซ์ของพี่อั๋นครับ
ซื้อแล้วถ้าไม่ดี ก็เปลี่ยนใหม่ได้ ตลอดเวลา

ถ้าซื้อ ต้องเอาให้ดี สุดๆ เท่าที่เราไปถึง
ถ้าไม่ยังงั้น มันจะเสียเงิน หลายรอบครับ

ไม่ซื้อ ก็ดี เก็บตังค์รอจังหวะบวก โป้งเดียวน็อค ได้ของดี-ราคาไม่แพง
รีบซื้อ ก็ดี ได้ฟังเร็ว มีความสุขวันนี้ วันหน้า อาจจะหูหนวก ตาฝ้าฟาง ความสุขไม่เต็มที่ ก็เป็นได้
ผมทราบดี..  :'( :'( :'( :'(

ยังไม่มีเวลาไปดูของที่ร้าน Mr. Balance เลย ทั้ง ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของผมมากนัก
ผมคงต้องเลือกแอมป์ตัวนี้ ตามคอนเส็พท์ My Small and Humble System ที่เรียบง่าย และจะได้เจียดงบไว้ซื้ออาร์ม SME และหัวเข็มใหม่ที่อยากได้ด้วย
ซื้อของใหม่ สบายใจ ใช้ไปอีกสักสิบปี ตอนนี้เอาแค่ entry-level hi-end ไปก่อน พอถึงตอนนั้นอาจมีเงินเก็บพอให้ขยับไปเล่นในระดับสูงขึ้นไปได้ครับ

(http://www.sevenoakssoundandvision.co.uk/images/product/roksan_k2_large.jpg)

ร้านมิสเตอร์บาลานซ์ไม่ได้เป็นของผมนะพี่ผี  อยากให้เป็นเหมือนกันแต่ต้องถามมิสเตอร์พอดี ก่อนว่ายอมยกร้านให้ผมหรือเปล่า
แต่ทำไมพี่ผีถึงได้รู้เรื่องหูหนวก ตาฝ้าฟางดีล่ะ ก็ผมเคยเตือนๆเพื่อนๆสว.ไว้แล้วระวัง! ให้ดีมัวจะรีรออยู่นั่นอะไรที่ชอบๆก็หามาเล่นซักตอนนี้เลย
ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน วันข้างหน้าจะเป็นอะไรบ้างก็ไม่รู้ ของชอบๆก็เล่นซะไม่ต้องรอถึงตอนนั้นมีเงินอาจจะไม่ได้เล่นของชอบก็ได้ใครจะรู้นะโยม


เล่นอินทีเกรทแอมป์Roksan ของเฮียฉ่างก็ไม่เลว  ถ้าชอบคุณปิศาจแผ่นเสียงเล่นเลยครับ อย่างน้อยๆก็ดีกว่าอินทีเกรทตัวเก่าที่ใช้อยู่แน่ๆ

^^^
คิดว่าคงดีกว่าเก่าแน่นอนครับ พอหลังจากนี้ไปแล้วผมจะซื้ออาร์ม SME Series IV
ไม่ทราบมีใครพอจะทราบราคาขายเทิร์นเทเบิ้ล Roksan TMS 3 ตัวนี้บ้างครับ?

(http://pds.exblog.jp/pds/1/200807/12/27/d0122127_23261123.jpg)

ค้นดูใน Google  ราคาประมาณ $18000  หรือ GBP 10000 ครับ

ราคาแค่ 10000 บาทเท่านั้น! คุณปิศาจแผ่นเสียงอย่ารอช้าสอยเลยครับ

เฮียอั๋นวางยา..
ยังงี้มันก็ hubble ซิ ไม่ใช่ humble แล้ว
ลอยไปสุดจักรวาลเลย ไอ้ร็อกแซนตัวเนี้ย..

+1

เคยเห็นนิตยสารเครื่องเสียงของไทยรายหนึ่งอ่านชื่อ Roksan ว่า "ร็อกแสน" คงหมายความว่าต้องมีเงินเป็นแสนจึงจะซื้อเทิร์นเทเบิ้ลของเขาได้ครับ :D

ตอนนี้มาดูรูปโฉมโนมพรรณของน้อง Kandy เมื่อผมอุ้มเข้าบ้านเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมากันดีกว่าครับ

สภาพกล่องยังไม่ได้แกะ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/067.jpg)


ข้างกล่องมีใบรับประกันสินค้า

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/069.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/072.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/073.jpg)

แกะกล่องมาก็เจอรีโมทและคู่มือการใช้งาน พร้อมสายไฟเอซีสีดำที่เหมือนจะใช้ปลั๊กคอมพิวเตอร์มากกว่า (ผมเปลี่ยนแทนด้วยสายเอซีรุ่น PowerLink 300 ของ Monster)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/075.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/097.jpg)

รีโมทคอนโทรลแบบ learning มีจอดิสเพลย์และไฟแบ้คไล้ท์ด้วย

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/084.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/096.jpg)

บั้นท้ายและด้านหน้าของ Kandy

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/077.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/081.jpg)

เซ็ตอัพเข้าชุด โดยร่วมเล่นกับ
ลำโพง Wharfedale EM-93
เทิร์นเทเบิ้ล Audio Linear TD-4001 อาร์ม Dynavector DV-505 และหัวเข็ม Ortofon MC15 Super Mk II
ซีดีเพลเยอร์ Denon DCD-2560 GL (Gold Limited Edition)

เสียงหวานเนียนนุ่มชวนฝัน รายละเอียดดี และไม่อ่อนล้า ฟังกับเพลงได้หลากหลายแนวครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/087.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/089.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/093.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/094.jpg)

ตัวจริงดูสวยกว่าในรูป เนื่องจากด้านหน้าเครื่องส่วนหนึ่งมีแผ่นสะท้อนเป็นมันวาวคล้ายกระจก ทำให้ถ่ายรูปค่อนข้างยากครับ

อัพเดทซิสเต็มที่เล่นอยู่ขณะนี้

1. Roksan Kandy K2 integrated amplifier กำลังขับ 125 watts/ch

2. Denon DCD 2560 GL CD player (gold limited edition)

3. Turntable System
- Audio Linear TD-4001 turntable
- Dynavector DV-505 tonearm
- Moving Coil Cartridges: Ortofon MC 15 Super Mk II, Dynavector DV-20X (high output)

4. Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)

5. TEAC V-1010 3-head cassette deck

6. Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers

7. Cables
7.1 Speaker cables: Supra Ply 3.4
7.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III
- From phono pre-amp to amp: Black Rhodium "Coda"
- From cassette deck to amp: Audioquest Topaz
7.3 A/C Cables
- For Integrated Amp: Carol (Krell)
- For phono pre-amp: Monster PowerLink 300

(http://www.hifix.co.uk/graphics/pics/normal/109797_SWATCH.jpg)

ผมดูบั้นท้ายแล้ว
ไม่น่ามีปัญหาเรื่องปลั๊กRCA นะครับ
เว้นแต่ เล่นหัวปลั๊กใหญ่
ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ควรชิดโดนกัน
มีเรื่องการเหนี่ยวนำสนามฯ และอ็อกซิเดชั่นครับ  :D

สาย Black Rhodium และ van Den Hul ที่ใช้อยู่ไม่มีปัญหาครับ
แต่พอจะใช้สาย Monster M1000i ขั้ว RCA ทรงป้อม ๆ ป่อง ๆ ของมันทำให้หน้าสัมผัสของสายทั้งสองขั้วเบียดกันพอดีเลย
จะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?
เสียดายสาย Monster M1000i น่ะครับ
อยากเล่น และซื้อมาแล้วด้วย :D

  ของผมใช้กระดาษแข็งมาคั่นครับ
  แต่เคยลองเอากระดาษแข็งเข้า-ออก ก็ไม่เห็นผลต่างของเสียงอย่างไร

แอมป์จากอังกฤษเท่าที่ผมเคยเล่นผ่านมามักจะใช้ขั้วต่อRCA หรือขั้วลำโพงแบบธรรมดามากๆไม่ค่อยสมราคาเลยครับ
และจะไม่มีขั้วต่อแบบXLR ให้มาด้วยแม้แต่เครื่องระดับไฮเอ็นด์จากอังกฤษก็เหมือนกัน

เห็นด้วยครับในเรื่องนี้ แม้แต่แอมป์อังกฤษหรือแอมป์ยุโรปชั้นดีดูจะไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องรายละเอียดหยุมหยิมแบบนี้สักเท่าไร บางเครื่องงานฝีมือภายนอกก็ดูปานกลางถึงหยาบ ไม่สมราคาจริง ๆ ครับ :D

ขอแสดงความยินดีที่พบเนื้อคู่ครับพี่ :D

ขอบคุณครับ :D

ผมเองกว่าจะขยับไปได้กับเขาสักหน่อยก็เล่น integrated amp มาเพียงสองเครื่องในระยะเวลาเกือบยี่สิบปี (ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงเปลี่ยนไปไม่รู้จักกี่เครื่องแล้ว)

ผมจ้องจะเล่น Kandy มาตั้งแต่เวอร์ชั่น L III ก่อนหน้านี้แล้วครับ เพราะน้ำเสียง ราคา และงบประมาณลงตัวหมด (ตามฐานะ) แต่ตอนนั้นยังติดปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อยู่ แถมมัวแต่ซื้อแผ่นเสียงอย่างเมามันอีกต่างหาก ก็เลยลากยาวมาอีกสามหรือสี่ปีประมาณนี้ จน Roksan คลอดเวอร์ชั่น K2 ซึ่งเป็นพัฒนาการที่เหนือกว่า L III เกือบทุกด้าน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า โดยรวมแล้วดีกว่าเวอร์ชั่นก่อนแน่นอน

(http://www.roksan.co.uk/images/awards2006whathifi.jpg)

มีริวิวทั้งของไทยและเทศอยู่ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้

เครื่องนี้ดูเหมือนจะติดอันดับ Class B Recommended Components ของ Stereophile ด้วยครับ

http://www.audio-teams.com/aureview/integrated/roksan_kandyK2/1.shtml

http://www.stereophile.com/content/roksan-kandy-k2-integrated-amplifier

คล้ายๆกันครับพี่ ถ้าได้ของถูกใจแล้วก็ไม่อยากจะเปลี่ยนให้วุ่นวาย มันใช้ได้ดีก็จะใช้ยาวเลย
แล้วผมมันประเภทคิดนานด้วยครับ  กว่าจะตัดสินใจซื้อเครื่องเสียงดีๆมาใช้ได้ คนอื่นเค้าเลิกฟังกันจะหมดแล้ว :P
อีกอย่างคือมัวแต่เอาเงินไปทำอย่างอื่นหมดด้วย ไม่งั้นป่านนี้คงมีแอมป์รุ่นใหญ่ๆไว้ใช้ฟังเพลงแล้วครับ  ;D

ดูตาม spec แล้ว Roksan ตัวนี้ก็น่าสนใจ มี Headphone Amp และ Prephono (MM) ด้วย ในกรณีที่หัวเข็มเป็น MC ก็หา Step Up Transformer มาต่อก็ใช้ได้ด้วย  เลือกลำโพงที่ไวสูง เช่น AR / PSB / Vienna ก็น่าจะเสียงดีมากแล้วครับ

ถ้าคิดนานหน่อยก็ต้องเล่นเครื่องมือสองครับ ถ้าได้ของดี สภาพดี ๆ และเป็นเครื่องที่เราชอบด้วย ผมว่าประหยัดสตางค์กว่าซื้อใหม่เยอะเลยครับ :D

ภาคโฟโน MM ของ Roksan เสียงใช้ได้เลยครับ เพราะยี่ห้อนี้เขาเริ่มต้นจากการสร้างเครื่องเล่นแผ่นเสียงและอุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่แล้ว ตอนนี้ผมกำลังมองหา step-up transformer ดี ๆ และราคาไม่แพงจากอีเบย์อยู่ และก็กำลังเล็งลำโพงรุ่นตั้งพื้นของ PSB อยู่ ตามที่คุณ The Black Tulip แนะนำครับ :D

QUAD 22L ราคา และ spec น่าสนใจครับ ถ้าสนใจลองฟัง ลองยก amp ไปลองที่ร้าน KS World อาจต่อรองราคาได้อีก เพราะร้านนี้ ผมก็เป็นลูกค้า เคยซื้อ Wilson Sasha

http://www.audio-teams.com/aureview/speaker/quad22L/1.shtml

ผมแนะนำลำโพงยี่ห้อTriangle ให้เพิ่มอีกยี่ห้อคุณปีศาจแผ่นเสียงลองฟังลำโพงยี่ห้อนี้ดู  เป็นลำโพงที่เสียงดีมากแต่ไม่ค่อยดังในบ้านเรา
มีให้เลือกหลายรุ่นหลายราคาตั้งแต่ซีรี่ส์ถูกๆยันแพง เป็นลำโพงไวเล่นง่ายเอาอินทีเกรทRoksan มาขับได้สบายๆ ลองมองหาพวกซีรี่ส์Esprit Esw
ลำโพงตั้งพื้นรุ่นAlteaหรือAntal ราคาไม่แพงด้วยครับ ลำโพงTriangle แบ่งลำโพงออกเป็นซีรี่ส์ๆแต่ละซีรี่ส์ก็ยังแบ่งเป็นรุ่นๆอีกอย่างเช่นซีรี่ส์Esprit
ก็จะมีแบ่งเป็นรุ่นAltea ,AntalและCelius (บ้านเราบริษัทAudio Excellence เป็นตัวแทนจำหน่าย)ซีรี่ส์ที่ผมแนะนำนี้เป็นลำโพงตั้งพื้นด้วยครับ
ผมเคยเล่นซีรี่ส์Stratos รุ่นSolis 260 เป็นลำโพงวางหิ้งสามทางขนาดใหญ่ความไว91 db 8 ohm ใช้แอมป์อะไรขับก็ได้เล่นง่ายมาก ลำโพงTriangle
ทุกซีรี่ส์ทุกรุ่นสเป็กเล่นง่ายหมดครับ  ซีรี่ส์Stratos รุ่นSolis 260 ที่ผมเคยเล่นนั้นเป็นลำโพงวางหิ้งแต่ถ้าเป็นรุ่นNaia , Luna ,Australe ,Volante
จะเป็นรุ่นตั้งพื้นซีรี่ส์นี้ราคาจะแพงครับและยังมีซีรี่ส์อื่นๆมีมากลองหาฟังดู

ลืมบอกไปเป็นลำโพงTriangle เป็นลำโพงของประเทศฝรั่งเศษ  เป็นบริษัทที่ผลิตตัวดอกลำโพงเองทั้งหมดไม่ได้ใช้ดอกลำโพงของยี่ห้ออื่นๆ
อย่างลำโพงยี่ห้อดังๆส่วนมากจะจ้างบริษัทอื่นทำดอกลำโพงให้หรือไม่ก็ใช้ดอกลำโพงที่ทำออกมาขายเลยครับ  ถ้าคุณปิศาจแผ่นเสียงหามือสองได้
จะดีมากๆเพราะราคายิ่งถูกลงอีกแยะ (ผมเคยเห็นมือสองซีรี่ส์Esprit )

บังเอิญไปเจอมีคนไทยอยากขาย Roksan TMS 1.5 ราคา 175,000 บาท

http://www.thaiaudioclub.net/board/index.php?topic=6387.40

ขอบคุณครับ
บังเอิญผมก็หมดงบพอดีเช่นกัน :D
จะเปลี่ยนลำโพงเป็นอันดับต่อไปก่อนครับ

(http://www.uppiczz.com/pic/is/sdc12917.jpg) (http://www.uppiczz.com/pic/show.php?id=b76211d9767f6f9c2f77d12ee381ade2)

ของชอบคุณปิศาจแผ่นเสียง ยี่ห้อTEAC รุ่น A-2340R สภาพใช้ได้เขาบอกว่าไปตรวจเช็คเครื่องเรียบร้อยแล้ว

ขอบคุณครับ เครื่อง vintage มากเลยครับ แต่น่าจะเล่นกับ reel ขนาดสูงสุด 7 นิ้วเท่านั้น ผมอยากได้รุ่นที่ใหม่กว่านี้และเล่นกับ reel ขนาด 10 นิ้วครึ่งได้น่ะครับ

เครื่องเล่นซีดี Denon ของผมอาการชักไม่ค่อยเข้าท่าอีกแล้ว สงสัยคงจะต้องพาไปส่งหมอเยียวยาที่มหาจักรฯอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ เพราะความที่ไม่ค่อยได้เล่น ก็เลยอ่านแผ่นตะกุกตะกักและเปิดถาดไม่ค่อยออก

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/025-1.jpg)

ผิดกับเครื่องเล่นแผ่นเสียง Audio Linear TD-4001 ซึ่งเล่นมาแล้วแปดปีกว่า ยังแข็งแรงสบายโก๋ ทั้ง ๆ ที่อายุของมันจริง ๆ นับแต่ที่ออกใหม่เมื่อยุค 80's ก็ปาเข้าไปเกิน 25 ปีแล้ว

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/042-1.jpg)

เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ดีส่วนใหญ่ถูกสร้างมาเพื่อให้มีความคงทนและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน บางเครื่องอายุ 40-50 ปี ทุกวันนี้ก็ยังใช้งานได้อยู่ อย่างยี่ห้อเก่าแก่ เช่น Garrard, Dual เป็นต้น

อย่างเครื่อง Sansui ของคุณ blueframe นั่นก็ คะเนอายุไว้ก็คงพอ ๆ กับของผม เพราะน่าจะออกมาเมื่อประมาณช่วงปี 80 หรือยุคที่ระบบ direct drive กำลังเฟื่อง

นี่อาจถือได้ว่าเป็นความคุ้มค่าในระยะยาวกับการลงทุนกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงสักเครื่องหนึ่งก็ได้ครับ

ถ้าสนใจ Oracle Delphi Mk II (พร้อม Tonearm SME 309) ที่บ้านผม อาจขายให้ราคากันเอง ภายในปีนี้ เพราะอาจซื้อTurntable ชุดใหม่เร็วๆนี้ (ซื้อของใหม่เลย) กำลัง Deal เรื่องราคากันอยู่ น่าจะสรุปได้ภายในเดือนนี้ และรอของอีกประมาณ 3 เดือน เพราะ Made By Order (เบื่อเรื่องหาซื้อของมือสองแล้ว)


  http://www.audiofederation.com/catalog/turntables/

พี่ปีศาจแผ่นเสียงเอาเลยครับ  เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นที่พี่ปีศาจฯต้องการมานานแล้วไม่ใช่หรืออย่าปล่อยโอกาสดีๆอย่างนี้ให้หลุดไป

มาร์ค ทู นี่น่าจะฟังวงดีพ เพอร์เพิ้ล ดีนะครับ  ;D
(เกี่ยวกันไหมเนี่ย 55+)
มาเชียร์คับ..

สนใจมากกก...ครับ แต่อยากจะคุยเรื่องราคากันก่อน
กรุณาเก็บไว้ให้ผมก่อนครับ
ขอบคุณครับ
(สงสัยงานนี้คงจะเหนื่อย (หาตังค์) กว่าเก่าซะแล้วเรา) ;D

ใช่ครับ... เป็นหนึ่งในเครื่องเล่นแผ่นเสียงในฝันของผมเลยทีเดียว
เล่น Mk V หรือ Mk VI ไม่ได้ Mk II ก็ยังโอเคครับ ;D

เชียร์แล้วระวังยุขึ้นด้วยนะครับท่าน :D

คุณ The Black Tulip จะเปลี่ยนเป็นยี่ห้ออะไรหรือครับ?
Rockport หรือ Continuum (Oh My God) :o

เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมไปซื้อสาย AC power cord รุ่นน้องเล็กราคาประหยัดของ leGO เพื่อมาใช้กับแอมป์ (โดยเปลี่ยนกับสาย Carol (Krell) ที่ใช้งานอยู่เดิม) ภรรยาเห็นเข้าก็ถามว่า "นั่นอะไร? กล่องใหญ่จัง" ผมตอบว่า "สายไฟ จะซื้อมาต่อกับแอมป์" ภรรยาผมก็ไม่ว่าอะไร แค่พึมพำเบา ๆ ว่า "เป็นเอามาก" ผมก็เงียบ ได้แต่ตอบเธอในใจว่า "เดี๋ยวจะเป็นมากกว่านี้อีก" (ฮา) :D ;D :D

(http://i970.photobucket.com/albums/ae186/iceegg/IeGo_Power_Product/L705308055-11.jpg)

ในทางจิตวิทยา คำว่า "เป็นเอามาก" ถ้ากล่าวด้วยอาการยิ้มแย้ม ร่าเริง บ่งบอกถึงว่าชื่นชมยินดี แบบน่่ารักสนิทสนม แต่ถ้ากิริยาอาการตรงกันข้าม จะหมายถึงความ "เหนื่อยหน่าย เต็มที" (หรือเปล่าครับ)  :D :D :D

คงเป็นความรู้สึกอย่างหลัง (เหนื่อยหน่าย) ที่แฝงด้วยความชินชาน่ะครับ (ฮา) ;D :D ;D

เรื่องสายไฟเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่มีผลเรื่องคุณภาพเสียงได้อย่างมาก

  ถ้าจะลงทุนให้คุ้ม น่าจะเปลี่ยนสาย main มาเข้าห้องฟังเพลงเลย น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก

เนื่องจากไม่มีห้องฟังเฉพาะ ถ้าเปลี่ยนสายเมนก็คงจะเปลี่ยนเฉพาะจุดที่ตั้งเครื่องเสียงไว้เท่านั้น แต่หาช่างที่มีความรู้มาทำลำบากเหลือเกิน เพราะผมอยากจะให้เขาลงกราวน์ดให้ด้วย ส่วนเรื่องสายไฟ ผมลองเล่นลองเปลี่ยนดูแล้ว ไม่ทราบจะอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่เท่าที่สังเกตจากการฟัง ความสะอาดของเสียงที่ได้ยินมันผิดกัน แต่ผมก็ไม่อยากลงทุนมากกับสายราคาแพง เอาแค่พอประมาณก็พอครับ

บ้านรุ่นเก่าๆสายไฟจะไม่มีสายกราวน์ด  แต่สมัยนี้สายกราวน์ดเป็นมาตรฐานของการไฟฟ้าทุกบ้านต้องมีกราวน์ด(บังคับ)
ถ้าคุณปีศาจแผ่นเสียงใช้สายไฟโดยที่ไม่ต่อสายกราวน์ดจะไม่เห็นผลถึงความแตกต่างครับ  ควรที่จะเดินสายกราวน์ดใหม่แยกกราวน์ด
จากเมนไฟสำหรับชุดเครื่องเสียงออกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นๆได้ยิ่งดีเลยครับ

สายไฟAC คุณปีศาจแผ่นเสียงซื้อมาราคาเส้นเท่าไรครับ

ถ้าจะทำก็อยากทำแค่จุดเดียวตรงที่เป็นจุดจ่ายไฟให้เครื่องเสียงนั่นแหละครับ แถวบ้านผมมีแต่พวกช่างไฟพื้น ๆ หาช่างที่มีความรู้เกี่ยวกับการเดินกราวน์ดหรือระบบไฟของเครื่องเสียงสักคนก็ยากเหลือเกินครับ

สายรุ่นนี้ผมได้มาที่ราคาไม่ถึง 3k (จากราคาตั้งที่ 4k กว่า ๆ) และสายรุ่นนี้เคยมีรีวิวอยู่ในหนังสือ Audiophile ด้วย ผมเห็นว่าราคามันสมเหตุสมผลดี ก็เลยซื้อมาลองใช้ดู ส่วนรุ่นใหญ่ (ไม่รู้จะใหญ่สุดหรือเปล่า) เห็นราคาตั้งไว้เกือบ 70k ใครที่มีซิสเต็มแพงระยับก็น่าลองนะครับ

ทำแค่เพียงจุดเดียวก็ได้ครับ  ใช้ช่างไฟพื้นๆก็ทำได้ลงกราวน์ดแท่งทองแดงที่ตรงพื้นบ้านเลยเจาะพื้นเป็นรูพอตอกแท่งทองลง(ช่างไฟจะรู้)
เดินสายกราวน์ดไม่ยากหรอกครับช่างไฟทุกคนทำได้ใช้ปลั๊กไฟและสายไฟดีๆ(สายไฟเบอร์ใหญ่ๆหน่อย)เอาแค่จุดเดียวสำหรับชุดเครื่องเสียง
คงใช้เงินไม่มากนัก

ขอบคุณครับ เดี๋ยวจะลองหาช่างมาทำดูครับ

  ว่าจะทำปลั๊กไฟแยกมาใช้สำหรับเครื่องเสียงและโทรทัศน์
  คุณอั๋นช่วยแนะนำสายไฟ ปลั๊กตัวเมีย และเบรคเกอร์ให้หน่อยซิครับ
  เอาให้สมกับฐานะเลยนะครับ (คือแบบคุณภาพดีและประหยัดตังค์น่ะครับ  :D )

ระดับฐานะอย่างเฮียก็ต้องปลั๊กของยี่ห้อHubbell,WattgateหรือPS Audio ราคาหลักพันบาทขึ้นไป แต่ถ้าราคาสูงไปก็ต้องPass & Seymour,Eagle
รุ่นเก่าๆราคาไม่แพงหลักร้อยขึ้นไป(Eagle เปลี่ยนชื่อยี่ห้อเป็นCooper)หรือของยี่ห้อAcmeเจ้านี้ผมก็ใช้อยู่ราคาไม่แพงคุณภาพใช้ได้
ส่วนสายไฟที่จะเดินจากเมนเบรคเกอร์ก็ใช้ของไทยาซากิก็ได้เอาสายไม่ต่ำกว่าเบอร์ 6 ตามมาตรฐานทั่วๆไปที่ใช้ตามบ้านปลั๊กไฟจะเป็นสายเบอร์2.5
ส่วนสายที่เดินแสงสว่างจะเป็นแค่เบอร์1.5 เท่านั้น แต่ผมจะแนะนำเพิ่มเติมถ้าเราใช้สายไฟที่เดินจากเมนมาที่ปลั๊กให้ใช้เทปตะกั่วเป็นม้วนๆเอาหน้า
กว้างประมาณ 2 นิ้วมาพันรอบตัวสายไฟหุ้มตัวสายไฟไว้ทั้งหมด เพื่อกันคลื่นRF (หาซื้อเทปตะกั่วได้ตามร้านทั่วๆไปราคาม้วนละไม่กี่ร้อยบาท)
เป็นวิธีที่ดีและประหยัด สายไฟดีๆราคาแพงๆก็จะต้องมีหุ้มด้วยแผ่นตะกั่วเหมือนกันแต่อาจจะมีพวกวัสดุอื่นๆหุ้มทับอีก

สายไฟ ราคาไม่แพงที่น่าสนใจ สำหรับผม

 JPS In wall สีแดงแรงฤทธิ์ ราคาของใหม่ประมาณฟุตละ 800-900 บาท

 Furutech ไม่แน่ใจเรื่องชื่อรุ่น (Alpha?) ของใหม่น่าจะราคาประมาณ ฟุตละ 1000-2000 บาท

บางทีเห็นสายไฟราคาเป็นหลักหมื่น บางเส้นก็เป็นแสน (อะไรจะขนาดนั้น) แถมยังมีคนซื้อไปเล่นด้วย สงสัยซิสเต็มของเขาราคาคงเป็นหลักล้านนะครับ ถึงได้ใช้สายแพงมโหฬารขนาดที่ซื้อเครื่องเสียงไฮเอนด์ใหม่ ๆ ยังได้เลย :D

พี่ปีศาจแผ่นเสียงต้องถามคุณหมอนักเพลงของเราว่าทำไมถึงได้ซื้อสายไฟราคาแพงแบบที่พี่ปีศาจแผ่นเสียงสงสัย

ไม่ได้สงสัยอะไรหรอกครับ เพียงแต่อยากจะบอกว่าถ้าราคาสายใกล้เคียง เท่ากับ หรือมากกว่าเครื่องหรือซิสเต็มที่เราเล่น ผมว่ามันไร้สาระแล้วครับ เช่น แอมป์ราคาหนึ่งแสน แต่ใช้สายไฟราคาหนึ่งแสนขึ้นไปนี่ ผมว่าเอาเงินไปซื้อเครื่องเล่นอย่างอื่นดีกว่าครับ :D

ทำงัยได้
ก็ใจมันรักซะแล้วนี่
เสียเท่าไหร่ ก็ยอม

รึว่าคุณพี่ปีศาจ ไม่เคยรักใคร หรือ รักอะไร หรือจ๊ะ ;D
"ความรักทำให้ตาบอด"
"ความรักดั่งโคถึก"
"รักอมตะ คือรักคนตายไปแล้ว" ... คงใช่นะ  ::)

"ความรัก"  มันเกี่ยวกับการซื้อสายไฟด้วยหรือพี่ผี 

เกี่ยวซิครับพี่อั๋นก้อ...

เพราะรัก ทำให้ซื้อทุกสิ่ง
เพราะรัก ทำให้ทิ้งทุกอย่าง

เพียง ณ เวลาหนึ่ง ต้องเลือกเอา

คนที่เขาซื้อ
ก็มีเหตุผลของเขา - ก็เพราะรัก ก็เพราะชอบ

คนที่ไม่ซื้อ
ก็เพราะเหตุผลของเรา ไม่เหมือนของเขา
หรือ เงินเขา ไม่ใช่เงินเรา
และ ...เขาไม่ใช่เรา

ชักยุ่งกันใหญ่..

ตอนนี้ใจมันรักลำโพงอยู่คู่หนึ่งอ่ะครับท่านผีฯ
จะทำไงดีครับ :D ;D :D

เคยเห็นไหมครับ บทความของผู้ที่ทำตัวเป็นกูรูเครื่องเสียงบางคน เขียนไว้ว่าใช้สายยี่ห้อนั้นหรือสายรุ่นนี้แล้วจะทำให้คุณภาพเสียงของซิสเต็มดีขึ้นเกิน 50% ราวกับเปลี่ยนเครื่องใหม่เลยทีเดียว

แต่ประทานโทษเถอะครับ สายสัญญาณคู่นั้นหรือสายไฟเส้นนั้นราคาเป็นหลักหมื่น บางทีก็หลักแสน

ถ้ามูลค่าซิสเต็มของคุณเป็นล้าน หรือหลายล้าน ก็ซื้อมันมาใช้เถอะครับ -- สมน้ำสมเนื้อกันดี -- แต่นี่...

ซิสเต็มราคาไม่กี่หมื่น ดันสะเออะซื้อสายเส้นละหรือคู่ละเป็นหมื่นเป็นแสนมาใช้เพื่ออัพเกรดเสียงให้ดีขึ้นเกิน 50% ดังที่ (ผู้ทำตัวเป็น) กูรูเครื่องเสียงพรรณนาไว้ ผมว่ามันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว (แต่ก็เคยมีคนบ้าซื้อสายแพง ๆ ไปใช้เพื่อแก้ปัญหาเครื่องเสียงแบบนี้จริง ๆ ด้วย ไม่ฮานะครับ)

กรณีนี้... เปลี่ยนเครื่องหรือซิสเต็มใหม่ น่าจะเห็นผลชัดกว่าซื้อสายมาแก้ไขปัญหานะครับท่าน :D

อันที่จริงเรื่องสายไฟกับเครื่องเสียงนั้น  ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการซื้อสายไฟแพงๆมาใช้เท่าไร  เพราะอะไรผมถึงไม่ค่อยเห็นด้วย
บางคนเปลี่ยนสายไฟแพงๆแค่ช่วงเดียวจากเครื่องมาที่ปลั๊กไฟเท่านั้น ช่วงสายไฟจากเมนเบรคเกอร์มาที่ปลั๊กก็ยังเป็นสายไฟธรรมดาๆแค่ขนาด2.5
ผมว่ามันไม่เห็นผลอะไรมากมายนักหรอกครับ  ถ้าจะเอาให้ดีจริงๆต้องเปลี่ยนสายไฟดีๆขนาดใหญ่ๆเอาให้เท่ากับสายไฟขนาดเมนของการไฟฟ้าเลย
เรียกว่าสายเมนไฟขนาดเท่ากับมาจากหม้อไฟการไฟฟ้าเข้ามาที่เบรคเกอร์ใหญ่เลย(แล้วแต่หม้อไฟจะกี่แอมป์ขนาดของสายไฟจะใหญ่ตามหม้อไฟ)
บางคนที่เปลี่ยนสายไฟแพงๆดีๆรู้หรือเปล่าว่าจากปลั๊กไฟหลังเครื่องใช้สายไฟที่ต่อเพื่อเข้าหม้อแปลงในเครื่องเป็นแค่สายไฟธรรมดาๆเท่านั้น
เพราะแอมป์หรือปรีแอมป์นั้นต้องมีหม้อแปลงไฟจากเอซีให้เป็นดีซีครับ(AC/DC)

ถ้าจะเล่นกับระบบไฟจริงๆแบบได้ผลต้องเล่นและจัดการทั้งระบบเลยครับ ว่างๆจะมาขยายความให้อ่าน

ก็กำลังดูอยู่ครับว่าจะแก้ระบบไฟทั้งระบบยังไง เพราะแฟนก็เคยบอกว่าบ้านเก่าแล้ว น่าจะเปลี่ยนสายไฟใหม่ทั้งชุด ผมคงจะถือโอกาสตอนนั้นให้ช่างเขาลงกราวน์ดให้ด้วยเลย บ้านทั้งหลัง ก็น่าจะหลายเงินอยู่ครับ

เป็นสิ่งที่ถูกต้องเลยครับ  ถ้าจะเปลี่ยนสายไฟใหม่ทั้งบ้าน(บ้านเก่าๆอายุหลายสิบปีสายไฟก็ต้องเปลี่ยนใหม่) ถึงตอนนั้นก็ทำให้ดีไปเลย
แยกสายเมนไฟและกราวน์ดของชุดเครื่องเสียงออกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ

อัพเดทล่าสุด 25/02/54

สองเดือนผ่านไปกับการเบิร์นอินแอมป์ Roksan ซึ่งผมคะเนเอาว่าเล่นไปได้จริงประมาณ 80 ชั่วโมงเท่านั้น และผมไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลาอีกสักเท่าไรกว่าเครื่องนี้จะพ้นระยะเบิร์นอิน (น่าจะสักร้อยกว่าชั่วโมงขึ้นไป)

...ก็เล่นมันไปเรื่อย ๆ เพราะเราไม่รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว...

ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เครื่องเสียงดี แม้จะยังไม่พ้นระยะเบิร์นอินหรือยังไม่เข้าที่เข้าทางก็ตาม มันจะส่อแววรักดีตั้งแต่แรกเริ่มใช้งาน กล่าวคือ ให้เสียงที่ดีน่าพอใจในระดับหนึ่ง และเสียงจะค่อย ๆ ดียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเวลาการใช้งานได้ผ่านไป

อินทิเกรตเตดแอมป์ Roksan ตัวนี้ก็เข้าลักษณะดังที่พรรณนาไว้ข้างต้น เพราะเมื่อแกะกล่องออกแล้ว นำมันไปติดตั้ง เชื่อมต่อ และเปิดเล่นร่วมกับเครื่องอื่น ๆ ในระบบ มันก็ฉายแววให้เสียงดีอย่างน่าตกใจในขณะนั้นเลยทีเดียว -- เสียงนุ่มเจือความหวานนิด ๆ สะอาดเกลี้ยงเกลา รายละเอียดดี และมีน้ำหนัก แม้สังเกตได้ว่าบางช่วงความถี่ออกจะเบลอร์ ๆ อยู่เล็กน้อยก็ตาม ผมมั่นใจว่าเสียงย่านนั้นจะดีขึ้นหรือเปิดโล่งอีกแน่นอนเมื่อเวลาผ่านพ้นไป

แอมป์ตัวนี้มีภาคโฟโนแบบ MM มาให้เสร็จสรรพในตัว แต่ผมไม่ได้ใช้งานฟังก์ชั่นนี้ หากแต่เลือกที่จะเล่นแผ่นเสียงโดยต่อผ่านภาคขยายสัญญาณโฟโนของ Lehmann Black Cube ต่างหาก แล้วจึงต่อเข้าช่อง Line ของแอมป์อีกทีหนึ่ง และแอมป์ตัวนี้ไม่มีภาค tone control หรือปุ่มปรับทุ้มแหลมมาให้ ซึ่งก็เหมือนกับแอมป์ไฮเอนด์ทั่วไปที่ไม่มีฟังก์ชั่นนี้ เพราะถือเอาความบริสุทธิ์ของเสียงจากแหล่งกำเนิดโดยปราศจากการปรับแต่งเป็นหลัก ทำให้ผมไม่ต้องกังวลกับการปรับเสียงทุ้มแหลมอย่างที่เคยปฏิบัติกับแอมป์ราคาไม่แพงสองสามเครื่องที่เคยเล่นมา เพราะกับแอมป์เหล่านี้ ถ้าผมกดปุ่มตัดฟังก์ชั่น tone control ออกเพื่อฟังเสียงแบบ flat เมื่อใด เวทีเสียงและความถี่ทุกย่านจะหุบลงทันที ทำให้ฟังแบบ flat ไม่ได้เลย เพราะเสียงมันอับทึบ ฟังแล้วอึดอัด แต่กับแอมป์ Roksan แล้ว เหมือนผู้ผลิตเขาตั้งใจจะจูนเสียงมาดีแล้ว จึงให้เสียงได้ครบทุกย่านโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่งเลย

แอมป์ตัวนี้ทำให้ผมมั่นใจกับแหล่งกำเนิด (source) ที่เล่นร่วมกับมันอยู่ อันได้แก่ เทิร์นเทเบิ้ล (แท่น โทนอาร์ม และหัวเข็ม) และเครื่องเล่นซีดี เพราะด้วยความที่แอมป์ไม่มี tone control เสียงที่มาจากแหล่งกำเนิดต้นทางจะดีหรือเลวอย่างไร แอมป์ตัวนี้บอกได้ เพราะมันมีความเป็นกลางโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่ง แอมป์ตัวนี้ทำให้ผมรู้ว่าว่าทั้งเทิร์นเทเบิ้ลและเครื่องเล่นซีดีที่ใช้งานอยู่นั้น เสียงของมันไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ประการใดเลย มันทำให้การฟังเพลงของผมมีรสชาติและเต็มไปด้วยความสุข จนกระทั่งบางคืนผมเผลอขลุกกับมันอยู่จนดึกจนดื่นเกือบตื่นไปทำงานสายก็มี

ผมจะเบิร์นอินมันต่อไปอีกให้ได้ครบ 150 ชั่วโมง พอถึงตอนนั้นจะกลับมารายงานใหม่อีกทีครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/roksankandyk2.jpg)

My System Update (25/02/11)

1. Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)

2. Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)

3. Turntable System
- Audio Linear TD-4001 turntable
- Dynavector DV-505 tonearm
- Moving Coil Cartridges: Ortofon MC 15 Super Mk II, Dynavector DV-20X (high output)

4. Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)

5. TEAC V-1010 3-head cassette deck

6. Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
 
7. Cables
7.1 Speaker cables: Supra Ply 3.4
7.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III
- From phono pre-amp to amplifier: Black Rhodium "Coda"
- From cassette deck to amp: Audioquest Topaz
7.3 A/C Cables
- For Integrated Amp: IeGO L70530
- For phono pre-amp: Monster PowerLink 300

8. Accessories
8.1 MRZ TVSS (Transient Voltage Surge Suppressor) Model T-6 (ชุดปลั๊กรางระบบป้องกันไฟกระชาก)
8.2 AUDIO ARTS speakers stands
8.3 Turntable rack lamp
8.4 Record brushes, LP cleaning kit, stylus cleaners, stylus force gauges, bubble level, cartridge alignment gauge etc.  

เมื่อขยับซีสเต็มขึ้นมาอีกระดับก็ย่อมให้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นตามลำดับอยู่แล้วครับ  คุณปีศาจฯเบิร์นอินทีเกรทแอมป์ประมาณ 200 ชั่วโมงขึ้นไป
เสียงน่าจะเข้าที่  รายการต่อไปจะขยับอะไรอีกล่ะครับ

ได้ยินกิตติศัพท์ของหัวเข็ม Denon DL-103R ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหัวเข็มประเภท giant killers มานาน ก็เลยลองสั่งมาเล่นดูบ้าง เพราะเห็นว่าราคาไม่ค่อยแพงนัก (แต่ราคาก็สูงกว่ารุ่น DL-103 ธรรมดาอยู่พอสมควร) สินค้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ ผมโดนเรียกไปจ่ายค่าภาษีตามระเบียบ เพราะคนขายดันส่งห่อพัสดุมาเสียใหญ่โต ถ้าห่อให้เล็กกว่านี้ อาจไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ เพราะไม่เป็นที่เพ่งเล็งของเจ้าหน้าที่

กล่องนอกมีรอยยับย่น แต่ตรวจดูกล่องในที่ใส่หัวเข็มแล้วรู้สึกค่อยยังชั่ว เพราะสภาพเรียบร้อยทั้งกล่องและทั้งหัวเข็ม โดยในกล่องนั้นมีคู่มือ แปรงปัดปลายเข็ม และกราฟแสดงค่าการตอบสนองความถี่ของหัวเข็มที่วัดได้จากห้องแล็บฯมาให้ด้วย ก็ถือว่ามีเท่าที่จำเป็น แพ็คเกจไม่หรูหราเหมือนหัวเข็มราคาแพงยี่ห้ออื่น ๆ ผมสันนิษฐานว่า Denon คงลดต้นทุนหีบห่อ แต่ใส่ใจคุณภาพสินค้าที่เป็นเนื้อในมากกว่า ดังนั้น ของดีมีคุณภาพของเขาจึงขายได้ในราคาที่ไม่แพงนัก

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/001.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/002.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/003.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/004.jpg) 

กล่องในที่ใช้บรรจุหัวเข็ม โดย Denon ให้สกรู hardware ติดตั้งหัวเข็มมาเพียงคู่เดียว

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/005.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/006.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/007.jpg)

Denon DL-103R ใช้ทองแดงบริสุทธิ์ 6N ในการพันคอยล์

เนื่องจากสกรูที่แถมมากับหัวเข็มนั้นสั้นเกินไปสำหรับเฮดเชลล์ของอาร์ม ผมจึงใช้สกรูสำรองที่เก็บเป็นอะไหล่เอาไว้ โดยเลือกขนาดความยาวที่เหมาะสมที่สุด จากนั้นก็ติดตั้งและนำไปประกอบเข้ากับอาร์ม ปรับตั้งมุม offset & overhang ด้วย mounting gauge ของโทนอาร์ม ตั้งค่าแรงกดไว้ที่ 2.5 กรัม บวก/ลบ 0.3 (ผมใช้ค่า 2.7 กรัม ถ้าใช้แค่ 2.5 แผ่นเสียงเกาะร่องไม่อยู่และเกิดอาการตกร่อง) ปรับมุม SRA/VTA และ anti-skating force

ที่น่าเป็นห่วงประการหนึ่งคือ ความสูงของบอดี้หัวเข็ม DL-103R น้อยกว่า Ortofon MC 15 Super II ซึ่งเป็นหัวเข็มที่ผมใช้งานอยู่เดิม ดังนั้น เมื่อติดตั้ง DL-103R เข้ากับอาร์ม Dynavector DV-505 และตั้งมุม SRA/VTA แล้ว ปรากฏว่า ท้องของ sub-arm แทบจะประชิดสัมผัสผิวแผ่นเสียงให้ได้เลย (กลัวผิวแผ่นเสียงจะครูดกับท้องของ sub-arm ในขณะที่แผ่นกำลังหมุนอยู่ครับ) ในขณะที่เมื่อเทียบกับบอดี้ทรงสูงของ Ortofon MC 15 Super II แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าท้องของ sub-arm จะแตะผิวแผ่น เพราะ sub-arm จะมีระยะห่างหรือความสูงอยู่เหนือผิวแผ่นเสียงพอสมควร

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/008.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/009.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DL-103R/010.jpg)

หลังจากที่ได้ติดตั้งและทำการปรับแต่งค่าที่จำเป็นต่าง ๆ เกี่ยวกับหัวเข็ม DL-103R แล้ว ขั้นต่อไปผมก็เลือกค่า load impedance ของหัวเข็ม โดยกำหนดไว้ที่ 100 ohm เช่นเดียวกับ Ortofon MC 15 Super II

เนื่องจากกว่าจะติดตั้งหัวเข็มเสร็จก็ปาเข้าไปหลังเที่ยงคืนแล้ว ผมจึงทดลองฟังแผ่นเสียงได้เพียงสองสามแผ่น และแน่นอนว่าหัวเข็มใหม่จำเป็นต้องเบิร์น-อินต่อไปอีกหลายสิบชั่วโมงกว่าจะได้รู้บุคลิกเสียงที่แท้จริงของมัน นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องทำการปรับแต่งหรือ fine tune เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเพื่อให้หัวเข็มทำงานร่วมกับอาร์มและเทิร์นเทเบิ้ลด้วยประสิทธิภาพสูงสุด แม้ว่าหัวเข็มจะยังใหม่อยู่ก็ตาม นับแต่เพลงแรกที่ผมได้ยินผ่านหัวเข็มอันนี้ผมก็รู้สึกพอใจเป็นอันมากกับความกลมกล่อม ความเนียน แรงปะทะ และความประณีต ในขณะที่ Ortofon MC 15 Super Mk II ให้รายละเอียดและสมดุลเสียงเป็นกลางดีมากจนบางครั้งออกแนว analytic ไปหน่อย เพราะปลายเข็ม super fine line ของมันได้ดึงเสียงขยะที่ดังก๊อบแก๊บออกมาจากร่องเสียงด้วย แต่กับ Denon DL-103R ดูเหมือนเสียงขยะที่ว่านี้จะมีให้ได้ยินน้อยมากหรือแทบไม่ได้ยินเลย ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอานิสงส์ของปลายเข็มแบบ conical หรือการออกแบบ generator coil ภายในกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ คือต้องทดลองเล่นต่อไปอีกสักพัก จึงจะเห็นบุคลิกเสียงที่แท้จริงของมันครับ

เล่น DL-103R ไปได้ประมาณสี่ชั่วโมงแล้ว พบว่าเสียงดีมาก และผมชอบสไตล์เสียงแบบนี้ แต่ด้วยความที่ตัวเรือนเข็มมันเตี้ยไปนิด ท้องอาร์มของผมจึงสุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสกับผิวแผ่นเสียง โดยเฉพาะพวกแผ่นหนา ๆ อย่างแผ่น 180 กรัมขึ้นไป จึงต้องถอดเก็บ และเอา Ortofon MC 15 Super II ใส่กลับเข้าไปเหมือนเดิม ซึ่งทำให้ผมสบายใจกว่า สงสัยคงต้องไปหาหัวเข็มใหม่ที่ตัวเรือนสูงยาวเข่าดีกว่านี้มาทดแทนเสียแล้ว อย่างเช่น DL-304, DL-110 เป็นต้น ส่วน DL-103R คงต้องเก็บเข้ากรุเข้ากล่องตามระเบียบ เอาไว้หาโทนอาร์มเหมาะ ๆ มาเล่นกับมันในอนาคตดีกว่า หรือถ้าเพื่อน ๆ ท่านใดสนใจจะรับไปดูแลต่อ ก็จะพิจารณาอีกที

ว่าแต่ท่านผีฯสนใจจะรับไปอัพเกรดแทน DL-103 ของท่านมั้ยครับ? ;D

ดูแล้ว มันโหลดเตี้ย น่าเสียวใส้แทนครับ
เห็นคุณโปโลตูนบ่นว่าอยากได้นี่ครับ
เฮียป่องว่าไง
ได้แอมป์เสียงดีไปแล้ว อิ่มจิตเลยนะ...

หัวเข็มที่มีบอดี้ทรงเตี้ยทั้งหลายหมดสิทธิ์เข้าคู่กับโทนอาร์มของผมแน่นอนครับ เพราะอาร์มมันถูกออกแบบมาอย่างพิลึกพิลั่นจริง ๆ
ถ้าพลิกแพลงใช้แผ่นรอง (spacer) หนุนคั่นระหว่างเฮดเชลล์กับหัวเข็มเพื่อเพิ่มความสูง ก็คงลดปัญหาไปได้บ้าง
แต่ก็จะเพิ่มมวลของหัวเข็มขึ้นมาอีกโดยไม่จำเป็น
เอาเป็นว่าถอดเก็บไว้ก่อนดีกว่า
ไว้รอหาเทิร์นเทเบิ้ลกับอาร์มเหมาะ ๆ อีกสักชุดมาเข้าคู่กับมันครับ

อยากได้อยู่ แต่กลัวมันจะหรูเกินสำหรับผมอ่ะครับ :D

ได้มีโอกาสไปเจอ headshell damper ของ clubwood (cw) ซึ่งทำด้วยไม้เนื้อดีน้ำหนักเบา (0.7-1.0 กรัม) มีความหนา 2 มม. ผมคิดว่าคงนำมาใช้หนุนเพื่อเพิ่มความสูงให้ DL-103R และปรับปรุงคุณภาพเสียงของหัวเข็มให้ดีขึ้น (ตามที่ผู้ผลิตกล่าวอ้าง) เดี๋ยวผมจะลองสั่งมาใช้ดู ถ้าเวิร์ค ผมก็เล่น DL-103R ได้โดยไร้กังวลครับ

(http://www.clubwood.com/attach_files/Headshell%20Damper11.jpg)

หัวเข็ม Denon DL-103R มีผู้ใจบุญรับไปดูแลแทนแล้ว ด้วยความขอบพระคุณอย่างสูงครับ :D
ที่เข้ามาแทนที่ก็คือ Denon DL-304 และ Benz Micro ACE SL (Low Output)
tonearm ที่ใช้อยู่ไม่ใช่เป็นของดีหรือวิเศษอะไรนัก เพราะว่ายังมีอาร์มยี่ห้ออื่นและรุ่นอื่นอีกมากมายที่ดีกว่าของผม
แต่ทุกครั้งที่ผมได้มีโอกาสเปลี่ยนหัวเข็มใหม่ ก็พบความตื่นเต้นและความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงที่ได้ยินไปในทางที่ดีขึ้นเสมอ

หัวเข็มที่ใช้และสะสมอยู่ตอนนี้
Ortofon MC 15 Super Mk. II (ปลดประจำการ และเก็บเข้ากล่อง)
Dynavector DV-20XH
Denon DL-304
Benz Micro ACE SL (Low Output)

เผอิญได้ไปเจอแหล่งขายหัวเข็มที่ผมสามารถซื้อได้ในราคาที่ดี ผมจึงกะว่าจะทยอยสะสมหัวเข็มไปเรื่อย ๆ จนถึงสิ้นปีนี้ครับ

อัพเดทล่าสุด
14 ก.ค. 54 (วันชาติฝรั่งเศส)

เทิร์นเทเบิ้ลซิสเต็ม
1. ปลดประจำการหัวเข็ม Ortofon MC15 Super Mk II ซึ่งใช้ต่อเนื่องมาร่วม 8 ปี
2. นำ Dynavector DV-20XH เข้าประจำการ
3. กองหนุนและกำลังสำรอง คือ Denon DL-304 และ Benz Micro ACE SL
4. สายสัญญาณจากปรีฯโฟโนเข้าแอมป์ กลับมาใช้ van Den Hul D-102 Hybrid Mk III (เส้นสีเหลือง) เหมือนเดิม

ผลจากการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยครั้งนี้ คือ ได้เสียงที่ประณีตและละเมียดละไม (refined) มากกว่าเดิม ปลายเสียงแหลมทอดไปไกลขึ้น โดยเฉพาะเสียงร้องจากริมฝีปากของนักร้องหญิงและเสียงรอดไรฟัน (ประเภทเสียง sss...) หัวเข็มรุ่นนี้ให้เสียงทุ้มต่ำเป็นตัวเป็นตนและชัดเจนกว่าเดิม (ดังที่เขาว่าเบสเป็นลูก ๆ) ในขณะที่สายของ van Den Hul รุ่นนี้ก็ให้เสียงที่ "ครบ" แต่ออกไปทางความนุ่มนวล ไม่แข็งกร้าว (สมกับที่ได้รางวัล Best Product of the Year 1998 จาก What Hi-Fi? ของอังกฤษมาแล้ว) ทำให้ผมนั่งฟังเพลงถึงตีสองตีสามได้เกือบทุกคืนในช่วงนี้ :D

ใครที่มีเครื่องเสียงและรู้สึกเครียดหรือเบื่อหน่ายกับเรื่องการบ้านการเมืองในช่วงนี้ หยุดรับข่าวสารทุกอย่างสักพัก แล้วหันมาใส่ใจดูแลปรับปรุงซิสเต็มของตนเองโดยไม่ต้องลงทุนมากนัก อาจจะเจออะไรดี ๆ และได้ผลทันตาเห็นดังเช่นที่ผมเจอก็ได้ครับ

My System Update (14/07/11)

1. Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)

2. Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)

3. Turntable System
- Audio Linear TD-4001 turntable
- Dynavector DV-505 tonearm
- Moving Coil Cartridges: Ortofon MC 15 Super Mk II, Dynavector DV-20XH, Denon DL-304, Benz Micro ACE SL

4. Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)

5. TEAC V-1010 3-head cassette deck

6. Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
 
7. Cables
7.1 Speaker cables: Supra Ply 3.4
7.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: Black Rhodium "Coda"
- From phono pre-amp to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III Hybrid
- From cassette deck to amp: Audioquest Topaz
7.3 A/C Cables
- For Integrated Amp: IeGO L70530
- For phono pre-amp: Monster PowerLink 300

8. Accessories
8.1 MRZ TVSS (Transient Voltage Surge Suppressor) Model T-6 (ชุดปลั๊กรางระบบป้องกันไฟกระชาก)
8.2 AUDIO ARTS speakers stands
8.3 Turntable rack lamp
8.4 Record brushes, LP cleaning kit, stylus cleaners, stylus force gauges, bubble level, cartridge alignment gauge etc.

อัพเดทล่าสุด 15 ส.ค. 54

ช่วง ลอง วีคเอนด์ วันแม่แห่งชาติที่ผ่านมา ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย อยู่บ้านดูหนังและฟังเพลงลูกเดียว และถือโอกาสเปลี่ยนและลองเล่นหัวเข็มใหม่ที่ซื้อไว้ได้สักระยะหนึ่งแล้ว คือ Benz Micro ACE SL ซึ่งเป็นหัวเข็ม MC แบบ low output (0.4 mV) แทน Dynavector DV-20XH ที่ใช้อยู่เดิม และก็เป็นไปตามคาด เพราะทุกครั้งที่เปลี่ยนหัวเข็มใหม่ ผมจะได้เสียงในสไตล์ที่แตกต่างไปจากเดิมและเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเสมอ และคราวนี้ก็เช่นกัน ผมได้เสียงที่ดียิ่งกว่าเดิมจากการเปลี่ยนหัวเข็มเป็น Benz ACE SL โดยเฉพาะในแง่ความสะอาดเกลี้ยงเกลาของเนื้อเสียงและแรงปะทะที่ดีขึ้น พร้อมทั้งรายละเอียดหยุมหยิม ซึ่งผมรู้สึกว่าได้ยินมากกว่าที่เคยได้ยินจากหัวเข็มเก่าที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้ ทำให้ผมฟังอัลบั้ม Ciclos ของ Canarios (ลองเพลย์แผ่นคู่) และ Inferno ของ Metamorfosi ได้สนุกและมีอรรถรสมากกว่าเดิม

เมื่อเปรียบเทียบกับ Dynavector DV-20XH ที่ใช้อยู่และเพิ่งถูกถอดออกไป ผมว่า DV-20XH ให้เสียงที่มีความเป็นดนตรีสูงก็จริง แต่เสียงของมันดูจะ "เลอะ" กว่า และไม่สะอาดเปิดโปร่งเท่า Benz ACE SL ทั้ง ๆ ที่ราคาของหัวเข็มทั้งสองยี่ห้อนี้ก็สูสีกัน คือ เป็นหัวเข็มในระดับราคาไม่เกิน US$ 700 แต่ตอนนี้ราคา MSRP ของ Benz ACE SL ในอเมริกาอยู่ที่ US$ 900 แล้ว โชคดีที่ผมได้มาในราคาไม่เกิน US$ 500 (ของมือหนึ่ง)

ช่วงนี้เพิ่ง burn-in หัวเข็มอันใหม่นี้ไปได้ราว 10 กว่าชั่วโมงเท่านั้น ระยะเบิร์น-อินประมาณ 40 ชั่วโมง หลังพ้นระยะนี้ไปแล้ว คาดว่าเสียงจะเข้ารูปเข้ารอยและมีเสถียรภาพมากขึ้นอีก

เมื่อพูดถึงรูปร่างความสวยงามน่าใช้ Benz ACE SL ก็ไม่เป็นรองหัวเข็มที่ออกแบบสวยงามยี่ห้ออื่น เพราะบอดี้ของมันถูกหุ้มไว้ด้วยโครงอะคริลิกสี่เหลี่ยมสีแดงใส ทำให้สามารถมองเห็นเครื่องเคราภายในตัวเรือนหัวเข็มได้ แต่ถ่ายรูปยากชะมัด ผมได้ลองถ่ายรูปแล้ว แต่ได้ภาพไม่สวยเลย เพราะสีแดงมันสะท้อนไฟแฟลช ถ่ายภาพออกมาจึงได้สีแดงผิดเพี้ยนไปมากกว่าที่เห็นตามความเป็นจริง ผมจะพยายามถ่ายใหม่อีกครั้ง และรูปที่เห็นนี้เป็นภาพแทน ถ้าเป็นหัวเข็มจริง สีจะแดงเข้มและสดใสกว่าที่เห็นในภาพเยอะครับ

(http://www.acfaudio.nl/Benz%20Ace%20SL.jpg)

ยินดีด้วยครับ
ได้ของดี ราคาถูก  :D
เบ็นซ นี่เป็นของประเทศสวิสฯ ใช่ไหมครับ..

ใช่ครับ หัวเข็มซีรี่ย์ส ACE (Advanced Cartridge Engineering) และรุ่นสูง ๆ ของ Benz ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์ แต่ถ้าเป็นซีรี่ย์สเล็กสุดของเขาอย่างรุ่น MC Gold และ Silver จะผลิตในโรงงานที่ญี่ปุ่นครับ

หัวเข็มรุ่นนี้ติด Class B $$$ ของ Stereophile และได้รับประกาศให้เป็น Editor's Choice ของ The Absolute Sound ตั้งแต่ปี 2005-2011 ทีเดียวเชียวครับ :D

http://www.elusivedisc.com/prodinfo.asp?number=BENZACEL

ถ่ายรูปมาดีที่สุดได้เพียงเท่านี้ เพราะโดนแสงไฟสะท้อนจากทั้งโคมไฟข้างเครื่องและไฟแฟลชกล้อง ครั้นปิดไฟแฟลชแล้ว ภาพก็ดูมืด ไม่ค่อยชัดครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/Benz%20ACE%20SL/001.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/Benz%20ACE%20SL/002.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/Benz%20ACE%20SL/003.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/Benz%20ACE%20SL/004.jpg)

อัพเดทล่าสุด 27 ก.ย. 54

ผมรู้สึก "เหมือนได้เจอเพื่อนเก่า" อีกครั้ง

เมื่อราวสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ กับชุดเครื่องเสียงของตัวเอง คือ

1. ทำความสะอาดชั้นวางเครื่องเสียง เพราะฝุ่นเริ่มจับหนาแล้ว (บ้านไม่ติดแอร์ จึงมีฝุ่นค่อนข้างมาก) ผมคิดว่าใครที่รักจะเล่นเครื่องเสียงหรือมีเครื่องเสียงอยู่แล้ว จะขี้เกียจไม่ได้ ต้องคอยปัดกวาดเช็ดถูบริเวณรอบ ๆ ที่วางเครื่อง บางทีเจอซอกเล็กซอกน้อย ก็ทำความสะอาดมันยากอยู่เหมือนกัน ได้ยินเล่ากันมาว่า เศรษฐีไฮเอนด์คนหนึ่งให้แม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดชุดเครื่องเสียงของตนเองในห้องฟัง ด้วยความไม่รู้ แม่บ้านผู้นั้นเอาไม้ขนไก่ไปปัดกวาดบนเทิร์นเทเบิ้ล และไม้ขนไก่ก็ไปสะกิดเอาปลายเข็มหลุดออกจากหัวเข็มราคาหลักแสนของเศรษฐีผู้นั้น

2. นอกจากจะได้ทำความสะอาดชั้นวางเครื่องเสียงแล้ว ผมก็ยังทดลองถอดเปลี่ยนสายสัญญาณ interconnects สลับเข้าออกระหว่างยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้สองสามยี่ห้อ เพื่อดูว่ายี่ห้อใดเสียงจะน่าฟังที่สุด ระหว่าง Audioquest Topaz II, Black Rhodium Coda และ van den Hul D-102 Mk. III Hybrid ปรากฏว่า ผมชอบเสียงของ van den Hul มากที่สุด เพราะมัน smooth ลื่นไหล และอิ่มแน่นกว่าใครเพื่อน ก็เลยใช้สายคู่นี้เป็นสายเชื่อมจากโฟโนปรีแอมป์ Black Cube ไปยังอินทิเกรตเตดแอมป์ ส่วนสาย Black Rhodium Coda ก็สลับไปใช้กับเครื่องเล่นซีดีแทน

3. ท่านใดมีหรือชอบเล่นเส้นสาย (สายสัญญาณและสายลำโพง) หลากหลายยี่ห้อกันบ้าง? ผมเองมีสายลำโพงอยู่แค่สองสามยี่ห้อเท่านั้น คือ Supra Ply 3.4 (ซึ่งใช้เป็นตัวยืนพื้นมาหลายปีแล้ว), Black Rhodium Jive ซึ่งใช้อยู่พักหนึ่งแล้วถอดเก็บ และ Audioquest Indigo 2 ซึ่งผมเคยใช้มันอยู่พักหนึ่ง นานมากแล้ว และทอดทิ้งให้มันนอนขดอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช้งานนานหลายปี เพราะเปลี่ยนไปใช้สาย Supra กับ Black Rhodium แทน แต่ความจริงแล้ว ในยุคหนึ่งนั้น Audioquest Indigo 2 ได้ชื่อว่าเป็นสายลำโพงระดับคุณภาพอ้างอิงแต่ราคาประหยัด (ผมซื้อมาราคาเมตรละ 500 บาท เมื่อปี 2541) ด้วยความที่มันเป็นสายลำโพงกลม มีขนาดค่อนข้างเขื่อง ไม่ flexible ดัดงอได้ไม่ง่ายนัก และทำขั้วสายหรือ terminate ไว้ไม่ค่อยดี ผมจึงทิ้งมันไว้ ไม่ได้สนใจมันอยู่หลายปี จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมคิดถึงมันขึ้นมาอย่างไรไม่ทราบ จึงจัดแจงนำมันออกมาทำขั้วสายลำโพงแต่ละข้างเสียใหม่โดยใช้ banana plugs เก่า ๆ ที่มีอยู่ (เดิมมันถูกเข้าหัวแบบก้ามปูไว้อย่างหยาบ ๆ และใช้วัสดุไม่ค่อยดีนัก ซึ่งผมไม่ได้เป็นคนทำ) การนั่งปอกปลายสายลำโพงยี่ห้อนี้ใหม่นั้นไม่ง่ายเลย เพราะสายแต่ละเส้น ที่ปลายข้างหนึ่งมีขั้วดำและแดง โดยแต่ละขั้วมีสายทองแดงแบบ solid core hyperlitz ย่อย ๆ อยู่สี่เส้น ดังนั้น ที่ปลายข้างหนึ่งของสายลำโพง ผมจะต้องปอกปลายสายย่อยทั้งหมดแปดเส้น (ดำกับแดง) แล้วจับแยกตามสีเป็นสี่เส้นย่อยต่อหนึ่งสี จากนั้นจึงฟั่นรวมกันให้เป็นหนึ่งขั้ว สายลำโพงหนึ่งเส้นมีปลายสองข้าง จึงต้องปอกปลายสายย่อยทั้งหมด 16 เส้น ถ้าสายลำโพงสองเส้นก็คูณสองเข้าไป รวมเป็นการปอกปลายสายใหม่ 32 ครั้ง ใช้เวลาทำสองคืน คืนละหนึ่งเส้น -- ลำบากครับ สำหรับคนที่ไม่เป็นอิเล็กทรอนิกส์อย่างผม :P

ครั้นพอเอาบานาน่าแจ็คเข้าปลายสายทุกข้างและนำไปต่อเล่นระหว่างแอมป์กับลำโพงแล้ว ผลลัพธ์มันช่างคุ้มค่าจริง ๆ ผมมีความรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่ถูกทอดทิ้งหรือขาดการติดต่อไปนานมาก เพราะสายออดิโอเควสท์ที่เคยเล่นเมื่อหลายปีก่อน ยังไงมันก็ยังมีบุคลิกของออดิโอเควสท์ที่สายยี่ห้ออื่นให้ไม่ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของรายละเอียดและความเป็นกลาง รวมทั้งเสียงเบสส์ที่หนักแน่น ในที่สุด ผมจึงเก็บสาย Supra และ Black Rhodium เข้ากรุ (อาจเป็นการเข้ากรุอย่างถาวรก็ได้) และเรียกใช้บริการจากออดิโอเควสท์ เพื่อนเก่า เหมือนเมื่อหลายปีก่อนครับ

(ภาพแทน)

(http://www.hifihenkes.de/klangkonzepte/angebote/produkte/kabel/pics/aq_indigo_660cm_detail_xs.jpg)

สายของยี่ห้อ Audioquest จัดว่าเป็นยี่ห้อที่เข้ามาทำตลาดในบ้านเรานานแล้ว  มีตั้งแต่รุ่นซีรี่ส์ราคาไม่แพงจนถึงราคาแพงๆ
สมัยก่อนผมเคยเล่นสายลำโพงของยี่ห้อนี้รุ่นมิดไนท์เป็นไบร์วายซึ่งซื้อสายมือสองแบบราคาถูกมากๆ  เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
ผมจะเล่าว่าทำไมผมถึงได้ซื้อสายลำโพงรุ่นนี้มาในราคาถูกมาก 1000 บาทกับสายลำโพงไบร์วายยาวข้างละ 10 ฟุต( 3 เมตร)
สมัยก่อนผมเคยไปทำงานอยู่ที่ศรีราชา ชลบุรีซึ่งตอนนั้นมีห้างโรบินสันเปิดใหม่ๆ ที่ทำงานผมใกล้กับห้างฯ ช่วงกลางวัน
ผมต้องไปหาอะไรกินเป็นประจำเพราะที่ศรีราชามีห้างฯเดียวเท่านั้น  ผมเดินเล่นดูสินค้าต่างๆตามร้านที่มาเปิด บังเอิญไปเจอกับร้านขายสินค้า
มือสองรู้สึกว่าจะเป็นร้านแรกๆที่มาเปิดขายสินค้ามือสองเช่นนี้  ร้านนี้ขายสินค้าเก่าทุกประเภทมีของที่ใช้งานทั่วไปพวกกล้อง,นาฬิกา,ปากกาฯลฯ
อะไรแบบนี้และพวกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่น่าสนใจสำหรับผมก็คือเครื่องเสียง มีเครื่องเสียงมียี่ห้อดังๆเอามาวางขายด้วยเหมือนกัน
ผมก็เลยสนใจร้านนี้เป็นพิเศษเพราะอะไรรู้ไหมครับ   คนขายไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องเสียงเลย ผมได้ซื้ออินทีเกรทแอมป์ราคาของใหม่เป็นแสนบาท
แต่ผมซื้อมาได้ในราคาแค่ 30,000 บาทเท่านั้น เดี๋ยวค่อยมาเล่าประเด็นนี้ให้อ่านกัน  มาว่าถึงสายลำโพงก่อนว่าทำไมผมถึงซื้อได้ถูก
พอผมซื้ออินทีเกรทแอมป์จากร้านนี้คนขายก็เริ่มสนิทกับผมมีอะไรมักจะโทรมาบอกว่าสนใจเครื่องเสียงชิ้นนี้ไหมมีคนเอามาฝากขายอะไรแบบนี้
มีอยู่วันผมเห็นสายลำโพงกองๆอยู่รวมกันสายไฟสายสัญญาณราคาถูกๆ  ผมก็ไปเห็นสายลำโพง Audioquest รวมอยู่ด้วยซึ่งได้หยิบขึ้นมาดูแล้ว
ถามคนขายว่าขายเท่าไร คนขายบอกว่า 2500 หรือ 3000 บาทจำไม่ได้แล้ว  ผมต่อเลยว่าสายไฟอะไรขายแพงขนาดนี้แค่  500 บาทก็พอแล้ว
คนขายบอกผมว่าเป็นสายดีนะ  ผมก็บอกว่าอย่างนั้นให้เต็มที่ 1000 บาทก็แล้วกัน คนขายลังเลอยู่พักก็บอกว่าตกลง  ผมดีใจมากที่ซื้อสายลำโพง
Audioquest รุ่นมิดไนท์ไบร์วายมาใช้ในราคาถูกมาก  พอใช้อยู่สักพักมีคนมาขอซื้อต่อ 8000 บาทผมรีบขายโดยไม่ลังเลเลยครับ

+1
สมหละ..
พ่อค้าตัวจริงเลยนะเชียว
ว่างๆจับของดีราคาถูกมาฝากบ้างเน้อทั่น

ปล. ไม่เอาเทป กับเกงยีนส์ นะจ๊ะ 555

ผมก็รู้จักรุ่น Midnight Hyperlitz เช่นกัน เป็นรุ่นใหญ่กว่า Indigo แต่ตอนนั้นผมซื้อไม่ไหว เพราะราคาต่อเมตรออกจะสูงเกินไป กลัวว่าจะเข้าทำนองขี่ช้างจับตั๊กแตน ก็เลยเลือกใช้รุ่น Indigo แทนครับ

ผมขอใช้พื้นที่ของกระทู้"ของเล่นปีศาจฯ" เล่าถึงเรื่องที่ผมเคยซื้ออินทีเกรทแอมป์มือสองจากร้านของสินค้าเก่าที่ห้างโรบินสันศรีราชา ชลบุรี
เป็นอินทีเกรทแอมป์จากฝั่งยุโรปยี่ห้อ Primare ซึ่งตอนนั้นมีบริษัทนำเข้ามาขายในบ้านเราแต่แทบไม่เป็นที่รู้จักและไม่แพร่หลายหลังจากนั้น
ยี่ห้อ Primare ก็หายไปจากตลาดเครื่องเสียงในบ้านเราพึ่งจะมีบริษัทที่นำเข้ากลับมาใหม่ ผมจำชื่อรุ่นไม่ได้แล้วอินทีเกรทแอมป์ 100 วัตต์
ต่อข้างเป็นดูอัลโมโน Fully Balanced ให้คุณภาพเสียงที่ดีมากต่างกับอินทีเกรทแอมป์ที่ผมเคยฟังมา  ครั้งแรกคนขายบอกผมว่าเป็นของเพื่อน
เจ้าของห้างฯฝากขายไว้ตั้งราคาไว้ 60,000 บาทสภาพใหม่มากแทบไม่ได้ใช้งานเลย  ผมเคยเห็นโฆษณาก็เลยติดต่อสอบถามราคาจากษริษัท
ที่จัดจำหน่ายพอรู้ราคาของใหม่แล้วหนาวเลย 120,000 บาทราคา ณ ตอนนั้นปี 95หรือ 96ค่าเงินบาทไม่ใช่เท่าเวลานี้  ผมก็เลยนัดไปลองฟัง
ที่บริษัทซึ่งเป็นเหมือนบ้านคนรวยแต่ชอบเล่นเครื่องเสียงใช้บ้านเป็นโชว์รูมไม่ได้ทำธุรกิจขายเครื่องเสียงเป็นหลักแค่ขายเครื่องเสียงเป็นงานอดิเรก
เท่านั้น  พอผมได้ฟังเสียงจนเป็นที่พอใจแล้วก็กลับไปที่ร้านขายสินค้าเก่าที่ศรีราชาและบอกกับคนขายว่าผมขอต่อรองราคาฝากบอกเจ้าของเครื่อง
ด้วยว่าในศรีราชาไม่มีใครซื้อหรอกนอกจากผมเพียงคนเดียวที่กล้าซื้อถ้าให้ราคาตามที่ผมต้องการ 30,000 บาท คนขายบอกว่าทำไมผมต่อราคา
แยะขนาดนี้  ผมก็บอกแล้วแต่ถ้าไม่อยากขายก็ไม่เป็นไร  พอ 2-3 วันต่อมาคนขายโทรมาบอกว่าเจ้าของตกลงขายให้มายกไปได้เลย  ผมก็ไปที่ร้าน
เพื่อไปทดลองฟังเสียงก่อนว่าเครื่องมีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่าหลังจากนั้นก็ยกใส่รถกลับบ้านเลยด้วยความดีใจเดี๋ยวค่อยกลับมาเล่าต่อถ้าพี่ปีศาจฯ
ไม่ว่าอะไรที่ใช้กระทู้ส่วนตัวของพี่ปีศาจฯมาเล่าเรื่องส่วนตัวของผมแทน

เชิญตามสบายเลยครับ
ผมเองก็รู้จักแอมป์ยี่ห้อ Primare ซึ่งคุณภาพดี เมืองนอกชื่นชม แต่ราคาแพงกว่ายี่ห้ออื่น ๆ โดยทั่วไป
ไม่ทราบใครมีราคาของอินทิเกรตเตดแอมป์รุ่น I32 ของเขาบ้างครับ? เห็นแล้วอยากได้จัง ;D

(http://www.primare.net/assets/_managed/products/images/I32main.jpg)

ไปเจอบทวิจารณ์และราคาของแอมป์และซีดีของ Primare รุ่น I32 & CD32 ที่เว็บข้างล่างนี้

http://www.techradar.com/reviews/audio-visual/hi-fi-and-audio/audio-systems/primare-cd32-and-i32-935646/review

ราคาเมื่อออก ทั้งสองตัวรวมกันก็ 4400 ปอนด์อังกฤษ...
ขอบ๊ายบายก่อนล่ะครับ :P

Primare รุ่นที่ผมเคยเล่นน่าจะเป็นรุ่นปู่ของรุ่น I32 ราคาขายในบ้านเราคงใกล้หลักแสนบาท(ไม่แน่ใจต้องเช็ดราคากับตัวแทนจำหน่ายอีกที)
รุ่นที่ผมเคยเล่นหน้าตาคล้ายๆแบบนี้แต่มี 3 ปุ๋มเรียงกันตัวเครื่องเป็นโลหะเกรดดีเครื่องหนักมากกว่ารูปร่าง รู้สึกว่าน่าจะเป็นรุ่น 301ถ้าจำไม่ผิด
พี่ปีศาจฯลองหารูปให้หน่อยถ้าผมเห็นรูปเครื่องแล้วคงจำได้

Primare 301 ใช่ตามรูปนี้หรือเปล่าครับ?

(http://www.canuckaudiomart.com/uploads/57/144057_thumb_98b3dbe12bb81e13490451531c509ff3.jpg)

ยังกับญาติของ BOW เลยนะครับ
เสียงดีครับ พวกของยุโรปนี่ แนวๆเลย
ละเอียด เนียน ฟังสบายหูมากๆ

ขอแจมด้วยคนครับ ....เห็นรูป เห็นการคุยกันแล้ว อยากเล่นบ้างจัง  :)

Bow ZZ-1
อยากด๊ายยย... จังอ้ะ... :o

(http://cdn.head-fi.org/e/ec/ec81094f_BOW_ZZ1_Integrated.jpeg)

ถ้าอยากเล่นก็ปรึกษา "ท่านจอมยุทธ์ไร้รูปไร้สำนัก" ได้เลยครับ :D

Creek 5350 Evolution
ตัวนี้ก็อยากด๊ายยย... อยากได้...
ไม่น่ารีบซื้อ Roksan เลยเรา :D

(http://www.superfi.co.uk/images/main/Creek-Evolution5350_Amp_Silver_Front.jpg)

  คนรักภรรยาอย่างคุณปีศาจฯ ไม่น่าเป็นคนหลายใจเลยยย  :D  :D  :D

  ส่วนตัว BOW นี่ เห็นหลายคนชมกันมากๆเลยครับ มีใครเคยฟังมาบ้างหรือเปล่า

BOW เคยมีตัวแทนจำหน่ายที่มีชื่อเหมือนสถาบันอะไรสักอย่างในเมืองไทย ไม่รู้ปัจจุบันยังเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่หรือไม่
ถ้ายังเป็นอยู่ หลายท่านที่เล็งจะซื้อเครื่องนี้กิเลสคงลดไปเยอะล่ะครับ :D

  คน คลาสสิค อย่างคุณสมบุญนี่ ต้องเล่น แอมป์หลอด ถึงจะเหมาะสมครับ

:Dยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลยครับ เกรงใจครับที่จะถามว่ามันคืออะไร อย่างไร ผมไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลยครับ....ทุกวันนี้ยังพออกพอใจ คุณแก่คอมโปเน้นท์ JVC แท้จากญี่ปุ่น อายุใช้งาน 20 ปี อยู่ครับ....แต่ก็ไม่แน่ครับนะครับ ผมได้มาเป็นสมาชิกของชมรมฯ นี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระดับ ปรมาจารย์เรื่องเครื่องเสียงทั้งนั้นเลย ใจก็ชักจะอ่อน กิเลสก็ชักเพิ่มมากขึ้นทุกทีแล้ว ทั้งๆที่ เบี้ยในกระเป๋ามันตรงกันข้ามนี่สิครับ มันลำบากจริงๆ ;D.....คิดไปคิดมาแล้ว วันนั้นในอดีตไม่น่าไปเยือน ห้องดูหนังฟังเพลงที่บ้านคุณอั๋นเล้ยยยยย ตบะ+ต่อม แตกมาจนถึงทุกวันนี้ ;D ;D ;D .....แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ตอนนี้ผมหันมายึดถือปรัชญาที่คุณอั๋นได้สอนสั่งเอาไว้ นั่นคือ  คุณจะมัวมานั่งรอเวลาให้สายตาของคุณเสื่อม+หูของคุณเสื่อมก่อนหรือ แล้วจึงค่อยมาเริ่มต้นแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดมาดูมาฟัง เริ่มต้นมันซะตอนนี้เลย เริ่มในขณะที่ตาและหูของคุณยังดีอยู่ :D

นอกเรื่องนิดนึงครับ ทราบมาว่า หน่วยงานของอิสราเอลเขานำปรัชญาของพี่อั๋นไปใช้กับวันลาของข้าราชการ เขาอนุญาตให้ข้าราชการสะสมวันลาและนำวันลาพักผ่อนของอนาคตมาใช้ล่วงหน้า โดยอนุญาตให้ลาติดต่อกัน 1 ปี ในช่วงที่รับราชการเกิน 25 ปี เพื่อให้ข้าราชการได้ออกเที่ยวทั่วโลกเป็นเวลา 1 ปี ตามกำลังทรัพย์จะเอื้ออำนวย เนื่องจากเห็นว่า หากรอให้เที่ยวหลังเกษียณอายุ อะไรๆ มันก็เสื่อมไปหมด และคงไม่สามารถตักตวงความสุขได้เต็มที่ครับ

อยากให้รัฐบาลที่คิดใหม่ ทำใหม่ ของเรา ออกนโยบายอย่างนี้บ้างจังครับ :D

  ไหนๆก็ให้นำวันลาพักผ่อนในอนาคตมาใช้แล้ว  ก็น่าจะให้นำเงินเดือนในอนาคตมาใช้ได้ด้วยบ้างจังเลยครับ   :D

อย่างน้อยการใช้ปรัชญาชีวิตให้มีความสุขกับตาดูหูฟังของผม หน่วยงานของอิสราเอลก็ยังเห็นด้วย   ทุกวันนี้สังขารของคนเราย่อมไม่แน่นอน
ตัวผมเองช่วงนี้ยังเจ็บไข้เป็นประจำเวลานี้หูอื้ออยู่หลายวันแล้วไปหาหมอกินยายังไม่หายเลยครับ  ถ้ามัวรอหลังเกษียณอายุจะเป็นโรคอะไรอีก
หรือเปล่าก็ไม่รู้  พักนี้โรคภัยเริ่มมาอาศัยสังขารแล้วต้องเรียนรู้อยู่กับมันให้ได้  ผมถึงบอกว่าหากจะใช้ชีวิตให้มีความสุขกับตาดูหูฟัง ณ ตอนนี้
ทำไปเลยครับ พวกกลุ่มสมาชิกสว.ทั้งหลายต้องไม่ประมาณกับการใช้ชีวิตเวลามันไม่เคยคอยใครหรอกครับ ได้ข่าวว่าเฮียเดจาวูของเรา
ถอย LED หาความสุขกับสายตามาใหม่แล้วเล่นเอานอนดึกๆทุกคืนอย่าลืมทำการบ้านบ้างนะเฮีย

ใช่เลยครับรุ่นนี้ที่ผมซื้อมาในราคา 30,000 บาทเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

ยี่ห้อ BOW เป็นญาติสนิทกับยี่ห้อ Primare คนดีไซน์เคยร่วมงานกันมาก่อนครับ ตอนหลังแยกตัวออกมาทำยี่ห้อ BOW
รุ่น ZZ-1 เป็นเหมือนคู่แฝดกันเลยครับ ลักษณะเสียงออกมาโทนใกล้เคียงกัน

  ครับ ตั้งใจว่าจะถอย 3D แต่ดูๆแล้วยังไม่สมบูรณ์หลายๆอย่าง จะรอก็ไม่รู้เมื่อไหร่
  เลยถอย 2D มาก่อนแล้วกัน  อนาคตค่อยว่ากันอีกที  ;)

+1000 ครับ ผมจะได้เบิกเอาเงินสะสมในกองทุนฯสักสองสามแสนมาซื้อเทิร์นเทเบิ้ลตัวใหม่ซะเลย 5 5 5 :D

  ที่บอกว่าเหมาะกับคุณสมบุญ เพราะแอมป์หลอดรูปร่างหน้าตา+เสียง มัน คลาสสิค ดีครับ
  ถ้าสนใจ ขอเรียนเชิญคุณแจ็คผู้เชี่ยวชาญด้านหลอดมาเป็นวิทยากรรับเชิญหน่อยครับ

  ส่วนที่ว่าสมาชิกเวปนี้เป็นปรมาจารย์ด้านเครื่องเสียง คงไม่ใช่หรอกครับ
  คุณสมบุญลองไปดูเขาพูดคุยกันในเวปเกี่ยวกับเครื่องเสียงโดยตรงซิครับ
  จะได้รู้ว่า อย่างนี้ก็มีด้วยคร๊าบบบ   :D


 
 

 

เฮียเดจาวูพูดถูกเว็ปของเรานี้เรื่องเครื่องเสียงเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น  แต่ก็ดีแล้วเว็ปเราจะได้มีหลากหลายเรื่องราวหน่อย
มีความบันเทิงสาระทุกรูปแบบประเภทตาดูหูฟังไง ผมสังเกตุมีบุคคลทั่วๆไปเข้ามาอ่านกันแยะทุกเรื่องราวในทุกกระทู้

ลุงคนหนึ่งอยู่ในซอยเดียวกันกับผม บ้านของแกเปิดสเตริโอเสียงเพราะดี แต่เสียงมันดังออกมานอกบ้านเลย ผมได้ยินชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าแกหูตึง จึงต้องเปิดเพลงดัง...
อนาคตเราจะเป็นอย่างนั้นบ้างรึเปล่าน้าาา... :-\

+1000000000เลยครับ รวมทั้งเงินบำนาญและเงินบำเหน็จตกทอด 30 เท่าด้วยจะยิ่งดีเลยครับ ;D ;D ;D

ประเ็ด็นนี้ผมกำลังถูกบ่นอยู่ครับ หลายคืนมานี้หลับอยู่หน้าเครื่องทุกคืนเลย ;D

อาการหลับคาเครื่องนี่ถือว่าป่วย สุขภาพไม่ดี อย่าลืมเขียนใบลาส่งคุณครูนะครับ :D

ผมรอคำตอบคุณปีศาจอยู่ที่ กระทู้ star wars แล้วครับ ;D

ไปตอบให้แล้วครับ :D

5 ต.ค. 2554 ประมาณสองทุ่มเศษ ผมเพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จไม่ทันไร ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนน้ำท่วมไหลเข้าบ้านชั้นล่าง ระดับน้ำสูงประมาณสองนิ้ว ยังดีที่ไหวตัวทัน จัดการย้ายแผ่นเสียงที่กองเรียงอยู่บนพื้นชั้นล่างและข้าวของบางส่วนขึ้นไปไว้ชั้นบนเพื่อหนีน้ำ แต่ฐานตู้เก็บแผ่นเสียงซึ่งทำด้วยไม้อัด โดนน้ำท่วมเพียงไม่กี่ชั่วโมง ไม้ก็เริ่มพองแล้ว ผมกลัวมันคงจะมีโอกาสพังเข้าสักวัน คงต้องมองหาตู้ไม้แท้หรือหิ้งโลหะที่ทนทานกว่านี้มาแทนที่แล้วล่ะครับ

30 พ.ย. 54 รอน้ำมาเป็นแรมเดือนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเยือน คิดว่าคงจะไปเยือนที่อื่นจนหมดโปรโมชั่นแล้ว

ผมเริ่มขนแผ่นเสียงจากชั้นบนลงมาไว้ชั้นล่างตามปกติ ส่วนชุดเครื่องเสียงที่ถอดรื้อเส้นสายต่าง ๆ ออกนั้นก็ยังไม่ได้ประกอบกลับเข้าที่ เพราะกำลังรอสาย tonearm cable ตัวใหม่ที่สั่งซื้อไว้ ถ้ามาถึงแล้ว จะได้จัดการต่อสายไปเลยทีเดียว คงจะดำเนินการได้ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ครับ

(http://www.jelco-ichikawa.co.jp/img/cable1_03.jpg)

Ortofon MC 20 Super 25th Anniversary

แฟนไวนิลรุ่นเก๋าบางคนยังคงจดจำน้ำเสียงของหัวเข็ม Ortofon 20 Super ซึ่งโด่งดังเมื่อ 20 กว่าปีก่อนได้ดี เมื่อปลายปีที่แล้ว Ortofon ได้รีอิชชู่หัวเข็มรุ่น MC 20 Super เผื่อใครที่พลาดโอกาสเล่นหัวเข็มรุ่นดังกล่าว จะได้มีโอกาสที่สองหรือ เซ็คคั่นด์ แช้นซ์ ในการไขว่คว้าไว้ครอบครอง ทราบมาว่าราคาขายในไทยตอนนี้ก็ 2x,xxx บาท (เท่านั้นเอง)

ช่างยั่วน้ำลายจริงจริ๊งงง... เดี๋ยวก็หม่ำซะร้อก (ฮา) ;D

(http://aperionaudio.typepad.com/.a/6a00d8345171ef69e201538e70aa97970b-800wi)

แต่ก่อนแถวบ้านผมเจอปัญหาไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชาก และไฟดับบ่อย ๆ โดยเฉพาะเวลามีพายุหรือฝนตกหนัก ผมว่าอันตรายต่อชุดเครื่องเสียงพอสมควร ถ้าเสียบปลั๊กรางธรรมดาเล่น เกรงว่าจะไม่มีระบบป้องกันไฟกระชาก จึงไปหาปลั๊กที่มีคุณสมบัติเป็น surge suppressor มาใช้สักชุดหนึ่ง ปรากฏว่าตั้งแต่นั้นมา ปัญหาไฟฟ้าดับชั่วคราว ไฟตก ไฟเกิน ฯลฯ กลับไม่มีมากล้ำกราย

หรือเป็นเพราะว่าการไฟฟ้าฯปรับปรุงตัวเองเสียแล้ว ???

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/mrz_tvss_t6_1.jpg)

สงสารทั้งปลายเข็มและแผ่นเสียงเอามาก ๆ เวลาที่ไฟตกหรือไฟดับชั่วครู่ เครื่องเล่นแผ่นเสียงจะหยุดทำงานโดยแผ่นจะค่อย ๆ หยุดหมุนในขณะที่ยังมีเข็มจ่ออยู่บนผิวแผ่น พอจะรีบขยับตัวเพื่อไปปิดสวิตช์ปลั๊กจ่ายไฟ ไฟฟ้ามันกลับติดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ -- หยุดไม่ทันเสียแล้วล่ะครับ >:(

มันช่างน่าปวดใจเสียจริง ๆ :(

ครั้นพอซื้ออุปกรณ์ปลั๊กรางระบบ surge suppressor มาใช้ กะว่าจะลองของกับมันสักหน่อย ปัญหาไฟฟ้าที่เคยเจอมันกลับไม่มาให้เจอ >:(

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/DSC00949.jpg)

รออยู่ตั้งนานแล้วว่าเมื่อไรจะอัพเดทชุดซีสเต็ม ลำโพงใหม่และเทิร์นฯใหม่(ใหม่ของเราเก่าของคนอื่น)

เอ้า... เชียร์เข้าไป
คนอื่น (แต่ไม่ใช่คนไกล) เค้าค้อนคุณอั๋น501หลายขวับแล้วครับ :D

ไม่เคยได้ยินคำโบราณที่ว่าไว้  "วันนี้เป็นเมียเรา  พรุ่งนี้เลิกกันก็เป็นของคนอื่นแล้ว"  อย่างคำที่ว่า "สมบัติผลัดกันชม"

เรื่องสตรีเพศนี่ คุณอั๋น501 คุยได้คล่องและยกตัวอย่างได้ดีเชียวนะ !  :D  :D  :D

ผมว่าเป็น วิชา เดียวที่ตัวหนังสือที่อยู่ในกระดาษหรืออีบุ๊คหรือภาพเคลื่อนไหวนี่ ไม่มีความหมายเลยครับ  ปสก. จริงๆ นี่แน่นอนที่สุด ;D

กว่าจะมี "ปสก." ผมก็ "ปสด." ไปหลายหนครับ (ฮา) :D

ทำไมล่ะ ครับ?

เพราะผู้หญิงมักทำให้ผม ปสด. น่ะสิครับ... :D

ปสด. หรือ ปสต. ครับ ;D

ไม่รู้ว่า ปสต. คืออะไร แต่ ปสด. (ประสาทแด๊ก) นี่ผมเป็นประจำ ทั้งในอดีตและปัจจุบันครับ ;D

เส้นประสาท "ตื่นตัว" ไงครับ ;D

บางทีมันก็ ปสด. (ประสาทแด๊ก) จนไม่อยาก ปสต. (ประสาทตื่นตัว) น่ะครับ :D

ครับ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลครับ :D

จำได้ว่าหัวเข็ม Benz ACE S Class เมื่อครั้งเปิดตัวใหม่ ๆ เมื่อหลายปีก่อน (ตอนที่ยังไม่ค่อยดังและยังไม่ได้รับรางวัลจากหนังสือเครื่องเสียงทรงอิทธิพลบางฉบับ) ราคาเสนอแนะให้ขาย (SRP) ในอเมริกาเพียง 500 เหรียญสหรัฐ จนกระทั่งปีที่แล้ว ราคาทั่วไปตามเว็บค้าขายออนไลน์ต่าง ๆ ก็กระโดดไปเป็น 700 เหรียญ แต่ผมซื้อเมื่อปีที่แล้วได้ราคาไม่ถึง 500 เหรียญ และเป็นของใหม่ด้วย -- ก็นับว่าโชคดีมาก -- พอมาถึงปีนี้ ราคาล่าสุดขยับไปเป็น 900 เหรียญแล้วครับ

น่าจะเข้าตำราที่ว่า "ดังแล้วเล่นตัว" กระมัง แต่ถึงกระนั้นเสียงของมันก็เนียนลื่นและมีรายละเอียดสมราคาดีจริง ๆ ถึงกับไม่อยากจะหยิบแผ่นเสียงมาฟัง เพราะฟังทีไรก็ติดใจจนนอนดึกนอนดื่นทุกที :D

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/Benz%20ACE%20SL/003.jpg)

สมาชิกใหม่ของ my turntable system ณ พ.ย. 2556

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/ortofon_mc20_1_zps48ba3268.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/ortofon_mc20_2_zps0120f6a1.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/ortofon_mc20_4_zpsc39779c8.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/ortofon_mc20_6_zps5dff89d1.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/ortofon_mc20_8_zpsce165841.jpg)

My System Update (28/11/13)

1. Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)

2. Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)

3. Turntable System
- Audio Linear TD-4001 turntable
- Dynavector DV-505 tonearm
- Moving Coil Phono Cartridges:
1) Ortofon MC15 Super Mk II (low output)
2) Dynavector DV-20XH (high output)
3) Denon DL-304 (low output)
4) Benz Micro ACE SL (low output)
5) Ortofon MC20 Super 25th Anniversary Limited Edition (low output)
6) Dynavector DV-10X5 (high output)
7) Dynavector DV-20X2L (low output)

4. Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)

5. TEAC V-1010 3-head cassette deck

6. Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
 
7. Cables
7.1 Speaker cables: Audioquest Indigo
7.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: Black Rhodium "Coda"
- From phono pre-amp to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III Hybrid
- From cassette deck to amp: Audioquest Topaz
7.3 A/C Cables
- For Integrated Amp: IeGO L70530
- For phono pre-amp: Monster PowerLink 300

8. Accessories
8.1 MRZ TVSS (Transient Voltage Surge Suppressor) Model T-6 (ชุดปลั๊กรางระบบป้องกันไฟกระชาก)
8.2 AUDIO ARTS speakers stands
8.3 Turntable rack lamp
8.4 Record brushes, LP cleaning kit, stylus cleaners, stylus force gauges, bubble level, cartridge alignment gauge etc.

เยี่ยมๆ


ปล.ภรรยาไม่อยู่บ้านวันไหน กรุณาส่งข่าวด้วย

ต้นปีหน้า (ม.ค. 57) มีข่าวดี และทางสะดวกครับผม

แจ้งด้วยจะไปช่วยขนลำโพงให้แฮะ  :D

ซาบซึ้งในน้ำใจจริง ๆ แต่ตอนนี้ต้องขออนุญาตพี่แจ็คและคุณอั๋นเลื่อนกำหนดการออกไปอีกสักหน่อย พอดีว่าพ่อตาของผมเพิ่งเสียเมื่อคืนนี้ :'( ขอจัดการธุระให้ผ่านพ้นไปก่อนครับ

ของขวัญ (ให้ตัวเอง) ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ (ถ้าไม่ติดช่วงวันหยุดยาว ก็คงมาถึงนานแล้ว)
หัวเข็ม Dynavector DV-20X2L (low output)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_6_zps194ebd67.jpg)

สูงขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่งต้องตัวนี้ -- อยากได้นะ -- แต่จะต้องควักอีก 3x,xxx เอาไว้รอปาฏิหาริย์ก็แล้วกัน (คิดเสียว่ามันอาจมีจริง :P)

(http://www.tonepublications.com/media/dynavector-17d3.jpg)

ส่วนอันนี้แฟนเก่า ซึ่งพลัดพรากจากกันไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ในใจผมยังถวิลหาเธออยู่ เพราะเสียงของเธอประทับโสตและประทับใจของผมเสมอมาจนลืมไม่ลงและมีความเป็นดนตรีสูงมากในงบที่ผู้เล่นทั่วไปพอจะเอื้อมถึง จนกระทั่งเธอได้กลับมาสู่อ้อมแขนของผมอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ จากกันไปนานแค่ไหนรึ? ลองดูบทวิพากษ์ที่ผมมีต่อเธอตามลิงค์ข้างล่างนี้ได้เลยครับ

http://www.thaiavclub.org/Forum/index.php?topic=3103.0

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/dv10x5_1_zpsd644ad23.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/dv10x5_3_zps940dddbe.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/dv10x5_6_zps7cf4a7b2.jpg)

Benz ACE S Class L (low output version) ต่อไปจะเรียกสั้น ๆ ว่า Benz ACE SL หัวเข็มมูฟวิ่งคอยล์ที่เป็นงานระดับ แฮนด์ เมด จาก Benz Micro สวิตเซอร์แลนด์ โดยในซีรี่ส์ ACE (ย่อมาจาก Advanced Cartridge Engineering) นั้นมีอยู่สามเวอร์ชั่นซึ่งแบ่งตามสี คือ สีแดงเป็นแบบ low output, สีขาวใส medium output และสีน้ำเงิน high output ส่วนแบบที่ผมกำลังเล่นและฟังอยู่นี้เป็นสีแดง ซึ่งมีค่าเอาท์พุท 0.4 mV เหมาะสำหรับโฟโนสเตจหรือ head amp หรือ step-up transformer สำหรับหัวเข็ม MC เอาท์พุทต่ำทั่วไปในท้องตลาด ส่วนใครที่มีภาคโฟโน MM ที่มากับแอมป์และไม่อยากไปหาโฟโนสเตจ MC มาใช้ให้ยุ่งยาก ขอแนะนำให้ใช้แบบสีน้ำเงินซึ่งเป็น MC แบบ high output จะเหมาะที่สุด

สเป็คที่สำคัญของ Benz ACE SL คือ มีน้ำหนัก 8.8 กรัม ปลายเข็มหรือ stylus เป็นแบบ line contact mirror-polished มีค่า compliance อยู่ที่ 15 cu ใช้ค่าแรงกดที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 1.8-2.0 กรัม แนะนำค่าแรงกดที่เหมาะสม 1.9 กรัม แต่ผมตั้งแรงกดไว้ที่ 2.0 กรัมไปเลย ซึ่งทำให้รู้สึกว่าหัวเข็มสามารถเกาะร่องได้อย่างมั่นคงและเสียงดูนิ่งและมีทรวดทรง

หัวเข็ม Benz ACE SL มีราคาตั้งขาย (MSRP) ในสหรัฐในขณะนี้อยู่ที่ 900 เหรียญ แต่ที่ผมซื้อมาเมื่อปี 2011 ราคาประมาณ 500 เหรียญ ในเรื่องนี้ ราคาอาจแปรผันได้ ขึ้นอยู่กับแหล่งจำหน่ายและภาษีอากรเป็นปัจจัยสำคัญ

เนื่องจากหัวเข็มที่ได้มานั้นเป็นของใหม่ จึงต้องการระยะเวลาเบรค-อิน (break-in period) ประมาณ 40-50 ชั่วโมงขึ้นไป (ในคู่มือกำหนดไว้ที่ 40 ชั่วโมง) ถ้าตีเสียว่าอัลบั้มแผ่นหนึ่งมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 45 นาที สี่แผ่นใช้เวลาฟัง 3 ชั่วโมง และถ้าจะเอาให้พ้นระยะเบรค-อิน อย่างชัวร์ ๆ สัก 60 ชั่วโมง ก็ต้องฟังแผ่นเสียง 80 แผ่น ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2555 จนถึงสิ้นปี 2556 ผมคิดว่าคงฟังได้ประมาณนี้ เผลอ ๆ อาจต่ำกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ และเพิ่งรู้สึกว่าหัวเข็มตัวนี้เพิ่งพ้นเบรค-อินไปเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง เพราะน้ำเสียงทุกอย่างโดยรวมดูดีขึ้นมากนับตั้งแต่ติดตั้งและเล่นมันมาตั้งแต่ต้นปี 2555 ผ่านมาแล้วเกือบสองปี (ต้นปี 2555 ถึงต้นปี 2557) เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงช้านัก?

คิดว่าเหตุที่ล่าช้ากว่าจะพ้นเบรค-อินก็เพราะไม่ใช่นักวิจารณ์เครื่องเสียงมืออาชีพ ซึ่งมีเวลาฟังและมีเครื่องมือเบรค-อินหัวเข็ม (เคยเห็นมาแล้ว แต่ไม่ซื้อ เพราะแพงและเกินความจำเป็น) จึงอาศัยฟังไปเรื่อย ๆ บางเดือนฟังได้แค่สองสามแผ่นก็ยังมี ดังนั้น แผ่นเสียง 80 แผ่น ฟังภายในเวลาสองปีเพื่อทำการเบรค-อินหัวเข็ม จึงดูสมเหตุสมผลครับ (ยังมีต่อ)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/004_zps958b2a33.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DSC01302_zpsc60bea6d.jpg)

Benz ACE SL เป็นหัวเข็มที่ให้การตอบสนองที่เรียบแฟลต สมานเสมอกันในทุกย่านความถี่ ให้เวทีดนตรีกว้างขวางโอ่อ่า อุดมไปด้วยรายละเอียดเสียง แต่ไม่ถึงขั้น analytic ผมว่าเสียงที่เป็นจุดเด่นของหัวเข็มรุ่นนี้คือ ความก้ำกึ่งระหว่างความเรียบนุ่มดุจแพรไหมกับความชัดเจน ใครที่ชอบหัวเข็มที่มีลักษณะเสียงเรียบ ๆ ไม่หวือหวา ฟังได้เรื่อย ๆ นาน ๆ ไม่เหนื่อยหู ก็ควรจะรับหัวเข็มรุ่นนี้ไว้พิจารณา แต่ขอเรียนให้ทราบไว้ก่อนว่า ใครที่ชอบเสียงเบสส์เยอะ ๆ อาจจะผิดหวัง เพราะหัวเข็มตัวนี้เบสส์ไม่เด่น แต่เบสส์ของเขาเป็นไปในลักษณะสมจริงมากกว่า ซิสเต็มเครื่องเสียงของท่านใดมีเสียงเบสส์ที่หนาและหนักอยู่แล้ว ผมว่าหัวเข็มรุ่นนี้เหมาะสมกับซิสเต็มของท่านเป็นอย่างยิ่ง และน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ปัจจุบันหัวเข็มนี้เลิกผลิตไปแล้ว ถ้าไปหาของประเภท new old stock ในตลาดออนไลน์ บางทีอาจพบว่าราคาของมันทยานขึ้นไปเป็น 1000 เหรียญสหรัฐ ไปแล้วครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_1139_zpszu0giiqg.jpg)

ได้ฤกษ์เปิดกล่องหัวเข็ม Dynavector รุ่น DV-20X2L (Low Output) เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2558 (ซื้อไว้เมื่อปลายปี 2556) เพิ่งฟังไปได้ไม่ถึง 20 ชั่วโมง (แทนที่หัวเข็ม Benz ACE SL และ Shelter 501 Mk II ตามลำดับ) คุณภาพเสียงน่าประทับใจตั้งจรดปลายเข็มลงบนแผ่นเสียงแผ่นแรกที่นำมาฟังกับมัน เพราะได้ความสดกระจ่าง ชัดเจน เบสส์มีน้ำหนักมากขึ้น และเสียงแหลมทอดไปได้ไกลกว่าเดิม เมื่อเทียบกับ Benz ACE SL เป็นบุคลิกเสียงที่ถูกใจผมมากกว่า Benz และ Shelter ซึ่งอยู่ในระดับราคาเดียวกัน (900 เหรียญสหรัฐ) ผมจะเล่น DV-20XL ไปเรื่อย ๆ อีกประมาณ 30 ชั่วโมงให้เสียงมันเข้าที่เข้าทางแล้วจะเข้ามารายงานต่อครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_1_zpshttepmac.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_2_zpsl2x4llbs.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_6_zps194ebd67.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_4_zpslteyf7zw.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_7_zpslkoe68mf.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_5_zpsvsr2cvfc.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_3_zpsdpcpoadd.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_9_zpsxh0doaek.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV20X2L_11_zpspj7neh6r.jpg)

เสียงเป็นไงครับ
หัวเข็มราคา 30,000 ผมไม่มีกะเขาเลยนิ
 :o

เบื่อแล้วครับพี่ ผมกะว่าจะเม้มเงินแฟนไปถอยเอารุ่น XX2 Mk II มาใช้ซะหน่อยครับ  (ฮา) :D

(http://www.dynavector.com/products/images/xx2mk2_340w_tra.gif)

รุ่นนี้ราคา 1950 ยูเอสดอลลาร์ แต่ราคาซื้อขายจริงต่ำกว่านี้พอสมควร ผมว่าหัวเข็ม Dynavector ทุกรุ่นเหมาะที่จะใช้เล่นกับแผ่นเพลงร็อค เพราะเคยเล่นรุ่น DV-10X5 ซึ่งเป็นรุ่นเล็กสุดมาแล้ว รู้สึกประทับใจมาก ดังนั้นผมจึงต้องติดตามเป็นแฟนประจำของยี่ห้อนี้ไปโดยปริยายครับ

ราคาตอนที่ผมซื้อนั้นมันต่ำกว่า 30000 มากพอควรอยู่นะครับ พี่แจ็ค ;D

สูงขึ้นมาอีกสเต็ปจากรุ่น DV20x2 แต่ต่ำกว่ารุ่น XX-2 ก็คือ Karat 17D3 ซึ่งเป็นรุ่นที่ผมก็อยากจะเล่นอยู่เหมือนกัน (แต่ติดที่ราคาของมัน) และดูเหมือนจะเป็นรุ่นยอดนิยมของนักเล่นหลายคนในบ้านเราด้วย ราคาตั้งตอนนี้ก็อยู่ที่ 1250 เหรียญสหรัฐ ซึ่งก็ต่ำกว่ารุ่น XX-2 อยู่เจ็ดร้อยเหรียญ ผมคิดในใจอยู่ว่าถ้าไม่มีปัญญาเอื้อมเอา XX-2 มาเล่น ก็คงจะเป็น Karat 17D3 นี่แหละครับ น่าเล่นที่สุด ;D

(http://www.tnt-audio.com/jpg/dynavector17d3.jpg)

ในที่สุด ฝันของผมก็เป็นจริงแล้วครับ ;D

ยินดีด้วยครับ
เหมาะสมกับเทิร์นใหม่ไหมครับ

ขออนุมัติงบประมาณซื้อเทิร์นแสนห้าจากแฟนยังไม่ได้รับคำตอบเลยครับพี่
งานนี้อาจต้องใช้วิธีการทูตอยู่นานหน่อยครับ ;D

ถ้าเจรจาแบบฑูตไม่ได้
ต้องใช้วิธีกองโจรเข้าโจมตีเลยครับ..

มีแนวโน้มว่าจะเจรจาสำเร็จ (ถ้าไม่สำเร็จก็ขอแม่แทน อิ อิ ;D) ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ภายในสิ้นปีนี้ผมคงมีโอกาสได้เป็นเจ้าของมันเสียทีครับ

ภาพจาก www.safeandsoundhq.com

(http://www.safeandsoundhq.com/prodimages/classic1.jpg)

vpi classic1 2500 $

พี่ปีศาจถอยมาเท่าไหร่ครับเนี่ย

ยังไม่ถอยหรอกครับ เพราะยังเจรจาเรื่องขอยืมงบจัดซื้อกับแฟนและคุณแม่และคุยราคากับผู้ขายยังไม่ยุติครับ

ภาพจาก www.vpiindustries.com

(https://vpiindustries.com/images/classic1-pic.jpg)

ข้อมูลจาก www.musicdirect.com

VPI Classic 1 Turntable

Award-Winning VPI Classic 1 Turntable Combines "Old-School" Looks With 21st-Century Design Principles: JMW-10.5i Unipivot Tonearm and Fixed-Mounted Motor Come Standard
Winner of 2009 & 2010 Golden Ear Awards from The Absolute Sound: VPI Classic 1 Turntable Touts Fast, Wide-Open Sound With Deep Bass, Extraordinary Speed Stability, and Incredible Detail

VPI Classic 1 turntable is an homage to the incredible VPI designs that have made VPI synonymous with state-of-the-art turntable design for the last 25 years. VPI Classic 1 comes standard with the incredible new stainless steel version of the JMW-10.5i unipivot tonearm in rigid mount mode. The JMW-10.5i uses VPI's pure copper wire, a solid plinth with a real wood finish, a solid fixed-mounted AC synchronous motor, silent inverted bearing, and Mini HR-X isolation feet.

"Match the Classic 1 with a great phonostage, and a solid cartridge (I suggest the Lyra Kleos), and relax. Price be damned, the Classic 1 is one of the most engaging turntables I've had the pleasure to use. For [this price], it's a steal. The Classic 1 is highly deserving of our Exceptional Value Award. It exemplifies the concept!"
– Jeff Dorgay, ToneAudio

The sound of Classic 1 is fast, clean, wide open, with deep powerful bass, and amazing speed stability. Classic 1 Turntable gives any turntable made regardless of price a serious run for the money. When we first heard this table being played at the 2009 CES Show in Las Vegas we were all bowled over with its incredible bass definition, soundstaging, and incredible pace and timing. The table was not at all out-of-place in a $300,000 system.

Classic Evolutions
There are three versions of the Classic turntable. Classic 1 is the standard model, offering outstanding overall performance and featuring the Classic Aluminum Platter, JMW-10.5i and mini-H-RX feet. Classic 2 adds VPI's VTA Base, allowing fine on-the-fly adjustments of VTA. Classic 3 is the ultimate evolution of the Classic design in both performance and appearance. It is a much heavier design, with a resonance eliminating 1/2"-thick aluminum plinth and a gorgeous piano black base. Classic 3 also includes VPI's Ring Clamp and HR-X Weight for improved record coupling. The JMW-10.5i is upgraded with a new Stainless Steel armtube and Discovery wiring.
Features:

    Speed stability on par with a master tape
    Noise rejection that lets the Classic Turntable sit near four 15" subwoofers cleanly
    Lack of random motion between the motor, platter, and tonearm giving the ultimate in low level resolution
    Absolutely solid, non-resonating laminated one-piece chassis holding all components

"The Classic, in my opinion, exceeds the performance of [VPI's] ScoutMaster series and breaks new sonic ground… at a breathtakingly low price. I think this is Weisfeld's best sounding design. If ever there were a best buy in ‘tables, this is it!"
– Harry Pearson, The Absolute Sound, Golden Ear Award Issue

"VPI's best work is now a relatively simple and easy-to-set-up player that combines an excellent chassis, built-in motor, and tonearm. Outperforming many units at stratosphere prices, it puts a premium in reliability, rather than pushing the engineering envelope to gimmicks that do not survive engagement with reality."
– Anthony Cordesman, The Absolute Sound, Golden Ear Review

Classic 1 is 20.75 wide by 15.75 deep, and weighs 45 pounds.

สัปดาห์หน้าคงได้ฤกษ์ไปวางเงินมัดจำเสียที

VPI Classic 1 ราคาตั้งขายในต่างประเทศ US$ 2995.00
VPI Classic 3 - US$ 6000

อันที่จริงอยากได้ Classic 3 มากกว่า แต่ติดที่ราคาของมันเป็นสองเท่าของรุ่น Classic 1 เมื่อคำนึงถึงความคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย ผมไม่ลังเลที่จะเลือก Classic 1 ครับ

(http://images.audioasylum.com/usr/y2012/04/61084/DSCN0333.JPG)

ก่อนหน้านี้ มีคน(อัั๋น501)จะขาย VPI SCOUT 2 พร้อมอาร์มและเข็ม ราวๆ 60000 กว่าบาทมั้ง
บอกเฮียปีศาจ เพื่อสนใจครับ
พอดีผมหมดงบไปกับ ลินน์12 ไปแล้ว

คงต้องขออนุญาตผ่านครับ เพราะผมเห็นว่า Scout มันดู "เด็ก ๆ" ไปหน่อย และตามข้อมูลที่ศึกษามา มันก็ "อ่อน" กว่า Classic จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาหรือในแง่ performance คนเล่น Scout จำนวนไม่น้อยได้ขาย Scout ทิ้งเพื่ออัพเกรดไปเล่นรุ่นที่สูงกว่า ผมเริ่มตรง Classic 1 นี้คิดว่ามาถูกทางแล้ว อย่างน้อยก็คงอีกสักสิบหรือสิบห้าปีแล้วค่อยว่ากันใหม่ครับ (ตอนนั้นก็ได้เงินเกษียณอายุมาพอดี อิ อิ ;D)

ซื้อ Classic 1 แล้วมีเงินทอนจำนวนหนึ่ง เอาโทนอาร์ม SME 309 (ของใหม่) อีกสักตัวมาเก็บไว้รอเทิร์นตัวใหม่อีกตัวดีมั้ยฮะ 8)

ภาพจาก www.hifishack.com

(http://hifishack.com/images/sme309_4.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/My%20Audio%20Gears/DSC00949.jpg)

แล้วน้องสาวของผมตัวนี้จะเอาไปไว้ไหนดี ::)
แต่ผมจะไม่ยอมทิ้งเธอเด็ดขาด
สงสัยคงต้องหาชั้นวางเครื่องเสียงที่สามารถวางเทิร์นเทเบิ้ลคู่กันได้สองตัวแล้วล่ะครับ :D

ภาพจาก www.bobsdevices.com

(https://www.bobsdevices.com/images/D/Classic-001.jpg)

วันนี้คงได้ฤกษ์ไปวางเงินมัดจำค่าเทิร์นเทเบิ้ลเสียที (กำลังหาจังหวะจะไปอยู่ แต่ติดฝนตกมาหลายวันแล้ว) ผมจะบอกให้ช่างมาส่งและเซ็ตอัพเครื่องให้ที่บ้านภายในสัปดาห์นี้ และคงต้องหาวันว่างให้ตัวเองสักวัน เทิร์นฯตัวที่เป็นของผมนั้นลายไม้ข้างแท่นเป็นสีไม้วอลนัท (เหมือนรูปข้างบน) เสิร์ชข้อมูลในเน็ตแล้วค่อนข้างแปลกใจว่า เนื่องจาก VPI Classic 1 เป็นเครื่องเล่นที่ขายดีมาก จึงมีทำออกมามากกว่าหนึ่งแบบหรือเวอร์ชั่น และเท่าที่เห็นมีสองแบบ คือ

แบบแรก ตัวพูลเล่ย์ฉุดสายพานอยู่ตรงริมด้านซ้ายล่าง (เมื่อมองตรงลงมายังแป้นหมุน) และสวิตช์เปิดปิด (on/off) อยู่ด้านข้างซ้ายของเครื่อง แบบนี้น่าจะเป็นเครื่องที่ออกมารุ่นแรก ๆ (ดูภาพข้างล่างประกอบ)

ภาพจาก www.hifinews.co.uk

(http://www.hifinews.co.uk/sites/13/images/article_images_month/2012-02/apr11_vpi_classic1.jpg)

แบบที่สอง ตำแหน่งพูลเล่ย์ฉุดสายพานอยู่ริมด้านซ้ายบน (เมื่อมองตรงลงมายังแป้นหมุน) และสวิตช์เปิดปิดย้ายไปอยู่บนแท่นเครื่อง (ดังที่เห็นในภาพแรกบนสุด) ของผมที่ได้มาเป็นแบบที่สอง

ชักเริ่มสนุกแล้วสิครับ ;D

โชว์ของใหม่ด้วยครับ  8)

My System Update (26/10/15)

1. Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)

2. Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)

3. Turntable Systems:
- VPI Classsic 1 turntable, VPI JMW 10.5 SE tonearm (with Dynavector Karat 17D3 mc phono cartridge) (Newly added)
- Audio Linear TD-4001 turntable with Dynavector DV-505 tonearm

4. Moving Coil Phono Cartridges:
1) Ortofon MC15 Super Mk II (low output)
2) Dynavector DV-20XH (high output)
3) Shelter 501 Mk ii (low output)
4) Benz Micro ACE SL (low output)
5) Ortofon MC20 Super 25th Anniversary Limited Edition (low output)
6) Dynavector DV-10X5 (high output)
7) Dynavector DV-20X2L (low output)
8. Dynavector Karat 17D3 (low output) (Newly added)

5. Phono Pre-amplifiers:
- Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)
- ASR Mini Basis Mk iii (Newly added)

6. Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
 
7. Cables
7.1 Speaker cables: XLO Ultra Plus, 8 ft. with banana connectors (Newly added)
7.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III Hybrid
- From phono pre-amp to amplifier: XLO Ultra Plus (Newly added)

Pictures coming soon!

เปลี่ยนชุดเครื่องเล่นแผ่นเสียงและโฟโนปรีแอมป์ (โดยที่ของเก่ายังอยู่) ทำให้รู้สึกว่าแอมป์และลำโพงมันเล็กไปแล้ว ต้องเปลี่ยนใหม่เช่นกัน (แค่นี้ยังจนไม่พออีกหรือ) :(

กันยายน 2558 เหตุเกิดเพราะความอยากได้หัวเข็มตัวนี้เพียงตัวเดียวจริง ๆ ผมนึกไม่ถึงว่าจ่ายค่าหัวเข็มนี้ไปแล้วก็คงจะแล้วกัน แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะต่อมายังจะต้องจ่ายค่าเทิร์นเทเบิ้ลตัวใหม่และสายสัญญาณรวมทั้งอุปกรณ์จิปาถะอีก... ตอนนี้ก็ยังงง ๆ อยู่ว่ามันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ได้ยังไง ???

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3278_zpsejcxpqh8.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3274_zpsop87bav6.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3276_zps3mttxag3.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3279_zpslfpmd1xs.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3281_zpsxbhfvyhi.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3280_zpsrkbqhd8n.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3283_zpsvpa3zrte.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3282_zpsen5bfpfb.jpg)

เผอิญเหลือบไปเห็นเทิร์นเทเบิ้ล VPI Classic 1 (รวมโทนอาร์ม JMW 10.5 SE) ตั้งตระหง่านโชว์อยู่ในร้าน ผมจึงเข้าไปชะโงกดูใกล้ ๆ สอบถามราคาแล้วเป็นอันต้องอึ้ง เพราะเทิร์นเทเบิ้ลขนาดนี้กับดีลอย่างนี้ถือว่าคุ้มค่ามาก เอาวะ... เป็นไงเป็นกัน ไปปรึกษาสถาบันการเงินคนใกล้ชิดดีกว่า เจรจากันอยู่ประมาณครึ่งเดือน ผลลัพธ์สุดท้ายก็ออกมาแบบนี้

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3215_zpseesam0qw.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3209_zps7qsooyrn.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3211_zpscpzt8g1u.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3212_zpsm0q59fjw.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3211_zpscpzt8g1u.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3214_zpsjyqk9lb9.jpg)

เมื่อได้ทุนมาก็เอาเงินไปจ่ายเค้าเลย และเอาหัวเข็มไปให้เขาติดตั้งให้เสร็จสรรพ เพราะขี้เกียจติดตั้งเอง ;D

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3303_zpszr1atkgs.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3300_zpsg9vbmuzo.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3299_zpsburfdhqt.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3301_zpsgcci6bit.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3302_zpsrtdkqgxs.jpg)

บริการส่งสินค้าถึงบ้านและเซ็ตอัพรวมทั้งไฟน์จูนขั้นสุดท้ายให้ด้วย ประทับใจมากครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3338_zps6iwdojce.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3332_zpsju1cluta.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3331_zpsjxqbohyj.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3326_zpsd8no0zog.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3328_zpsa4pwkzpj.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3330_zpsatfne1zb.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3327_zpsp00pn55j.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3333_zpsohyihm2o.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3325_zpsrbctzz2t.jpg)

นึกว่าแค่นี้พอแล้ว แต่ที่จริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เอาโฟโนปรีแอมป์ใหม่อีกสักตัวเป็นไง ASR Mini Basis Mk III

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3375_zpsznglnnp0.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3377_zps2vse0twq.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3376_zpssbkvml3y.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3378_zps0z095ivc.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3388_zpskfnexrnr.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3389_zpspiewo5ec.jpg)

เทิร์นเทเบิ้ล VPI Classic 1 ไม่มีสายไฟเอซีและสาย tonearm cable ให้มาด้วย ต้องควักเงินจ่ายอีกต่างหาก แถมยังต้องสั่งทำฝาครอบกันฝุ่นเอง (เพราะฝาครอบของ VPI เองนั้นราคาสามหมื่นกว่าบาท) เผอิญสายไฟเอซีมีอยู่แล้วที่บ้าน จึงซื้อแค่สาย tonearm และฝาครอบครับ

ดีลแบบไหนหนอ.. ถึงผ่านงบประมาณเมียแบบฉลุยๆ

ยินดีด้วยครับ
คุณทำประโยชน์ให้กับสังคมคนฟังเพลงมามากขนาดนี้แล้ว
ของแค่นี้ ผมว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำนะครับ
ฟังให้เยอะ ถ่ายทอดความรู้ให้มาก
เดี๋ยวมันก็ตามมาเองแน่นอนครับ คุณปีศาจลายคราม

จากแฟนเก่าห้องร็อคแอนด์โรล พันทิพ.คอม

ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากพี่แจ็ค ข้าน้อยมิบังอาจ เพียงแต่พอทราบอะไรอยู่บ้างก็นำมาถ่ายทอดหรือแชร์ความคิดเห็นกันเท่านั้นแหละครับ

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา (ประมาณสองสัปดาห์ก่อน) ผมได้ไปยกเอาลำโพงตั้งพื้นทรงทาวเวอร์ PSB Image T6 สภาพเหมือนใหม่ มีกล่องและคู่มือครบ มาไว้ประจำการที่บ้านแทนลำโพงวางขาตั้ง Wharfedale EM93 ซึ่งผมได้ใช้มาประมาณ 12 ปี และก็ได้เก็บลงกล่องไปเรียบร้อยแล้ว อันที่จริง PSB T6 ได้หมดไปจากตลาดได้ราวปีเศษ ๆ แล้ว และถูกแทนที่ด้วยรุ่น Imagine X2T ซึ่งอยู่ในตลาดขณะนี้และมีราคาขายราวสามหมื่นแก่ ๆ แต่ผมได้ดีล PSB Image T6 ในราคาที่ดีมากและก็อยากเล่นรุ่นนี้มานานแล้ว จึงตัดสินใจเลือก T6 ซึ่งกลายเป็นรุ่นเก่าไปแล้ว (เซฟเงินไปได้ราวหมื่นนึง) แม้จะเป็นรุ่นเก่า ลำโพงรุ่นนี้ก็เคยติด class ของ Stereophile และติด Editor's Choice ของ The Absolute Sound เป็นลำโพงตั้งพื้นเสียงดีที่ราคาไม่แพงคู่หนึ่ง นี่คือเครื่องเสียง best buy อีกชิ้นหนึ่งที่ผมได้มาในปีนี้ ถัดจาก VPI Classic 1 และ ASR Mini Basis Mk III ครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3451_zpssibn4ylr.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3453_zpsxod1n6de.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3454_zpsxtch9af3.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3452_zpsv9rgkben.jpg)

ถ้าไม่ผิดไปจากที่เจ้าของเดิมได้แจ้งไว้ว่าเพิ่งแกะกล่องลำโพงออกมาทดลองฟังเสียงก่อนลงประกาศขาย ก็แสดงว่าลำโพงคู่นี้ยังต้องการระยะเวลาเบิร์น-อินอีกนานพอสมควร (หลายสิบชั่วโมง) เพื่อให้ได้เสียงที่เป็นตัวเป็นตนยิ่งขึ้น ดังนั้น ในช่วงนี้ผมจึงพยายามฟังแผ่นเสียงคืนละสองสามแผ่นเพื่อ "นวด" มันไปเรื่อย ๆ แล้วแต่โอกาสจะอำนวยครับ

 คุณปีศาจเคยลองเอาชั้นวางแยกลงมาวางที่พื้น เพื่อให้ชั้นเตี้ยลงหรือเปล่าครับ
 อาจจะทำให้เสียงดีขึ้น

อยากทำอย่างนั้น แต่พื้นที่ที่บ้านผมมันไม่อำนวยครับ
เคยเห็นห้องฟังของต่างประเทศบางห้อง ชั้นวางหลายชั้นสูงกว่าของผมอีกนะครับ แบบว่าต้องเขย่งขาเล่นเทิร์นเทเบิ้ลกันเลย เพราะมันอยู่ชั้นบนสุด ซึ่งสูงกว่าศีรษะคนเล่นครับ

Marantz 2385 Stereophonic Receiver กำลังขับ 185 วัตต์ สมาชิกใหม่ในบ้าน สภาพนางฟ้าขั้นเทพอย่างนี้ซื้อมาตั้งเอาไว้เฉย ๆ ก็คุ้ม เอาไว้ว่าง ๆ ค่อยเข้ามาเล่าที่มาที่ไปครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3617_zpslxl32n4i.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3620_zpsk1lvabyd.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3618_zpsutr5dtnt.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3619_zpsa4p8qgc4.jpg)

My System Update (02/12/15)

1. Amplifiers
1.1 Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)
1.2 Marantz 2385 Stereophonic Receiver (185 watts) (Newly added)

2. Sources
2.1 Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)
2.2 Turntable Systems:
2.2.1 VPI Classsic 1 turntable, VPI JMW 10.5 SE tonearm (with Dynavector Karat 17D3 mc phono cartridge) (Newly added)
2.2.2 Audio Linear TD-4001 turntable with Dynavector DV-505 tonearm

3. Moving Coil Phono Cartridges:
3.1 Ortofon MC15 Super Mk II (low output)
3.2 Dynavector DV-20XH (high output)
3.3 Shelter 501 Mk ii (low output)
3.4 Benz Micro ACE SL (low output)
3.5 Ortofon MC20 Super 25th Anniversary Limited Edition (low output)
3.6 Dynavector DV-10X5 (high output)
3.7 Dynavector DV-20X2L (low output)
3.8 Dynavector Karat 17D3 (low output) (Newly added)

4. Phono Pre-amplifiers:
4.1 Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)
4.1 ASR Mini Basis Mk iii (Newly added)

5. Loudspeakers
5.1 Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
5.2 PSB Image T6 Floorstanding Speakers (Newly added)

6. Cables
6.1 Speaker cables: XLO Ultra Plus, 8 ft. with banana connectors (Newly added)
6.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III Hybrid
- From phono pre-amp to amplifier: XLO Ultra Plus (Newly added)

Oh my gosh! This cant not say "small and humble" anymore ,it is?

It's growing bigger and bigger day by day and needs a bigger rack and more space, definitely. ;D

ช่วงนี้ผมฟังเพลงจากแผ่นเสียงคืนละสองสามแผ่น เท่าที่โอกาสอำนวย สิ่งที่ถือว่าใหม่ในซิสเต็มคือ เครื่องเล่นแผ่นเสียง หัวเข็ม ลำโพง สายลำโพง และสายสัญญาณ ซึ่งก็ต้องใช้เวลา "นวด" มันไปเรื่อย ๆ โดยภาพรวม ถือว่าผมได้ปรับปรุงชุดเครื่องเสียงเป็นของขวัญฉลองปีใหม่ให้แก่ตนเองหนึ่งชุดซึ่งเป็นของที่อยากเล่นมานานแล้ว อันได้แก่

หัวเข็ม Dynavector Karat 17D3
เทิร์นเทเบิ้ล VPI Classic 1
โฟโนปรีแอมป์ ASR Mini Basis Mk III
ลำโพงตั้งพื้น PSB Image T6
สเตริโอรีซีฟเวอร์ Marantz 2385 (ของเก่าสภาพเยี่ยม)

เป็นชุดเครื่องเสียงที่ผมพึงพอใจในโลกส่วนตัวของการฟังเพลง ซึ่งไม่เกี่ยวกับคนอื่น และคนอื่นก็มิอาจย่างกรายเข้ามาได้

Pioneer C-73 (SPEC 3) & M-73 คู่ปรี-เพาเวอร์แอมป์วินเทจเสียงดีที่ไม่จำเป็นต้องแพง

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/pioneer%20C73ampM73_1_zpscm7wjhiy.jpg)

แนะนำให้เปลี่ยนชื่อกระทู้เป็น My Big  & Terrible Audio System ได้แล้วครับ

"แนะนำให้เปลี่ยนชื่อกระทู้เป็น My Big  & Terrible Audio System ได้แล้วครับ"

>>> มิบังอาจครับ คุณหมอ มิบังอาจจริง ๆ เพราะยังถือว่าเด็ก ๆ เมื่อเทียบกับของคนอื่นเค้า ของผมเน้นเรียบง่าย แค่พอเอาไว้ฟังเพลงเพลิน ๆ น่ะครับ :D

เล่นแต่อินทิเกรตเตดแอมป์มานานแล้ว ลองเปลี่ยนเป็นเล่นปรี-เพาเวอร์แอมป์ดูบ้าง ถึงจะเก่า vintage แต่เสียงก็เข้าท่าดี ฟังมันส์ แถมปรีแอมป์ยังมีลูกเล่นให้ปรับเยอะด้วย สนุกดีครับ :D

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3837_zpszum487dd.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3838_zpsv4dfamnw.jpg)

เห็นมีคนบอกว่า ปรีแอมป์ Audible Illusions เสียงดี ถ้าเสียงดีจริงก็ต้องรับไว้พิจารณาสิครับ เดี๋ยว... ขอเวลาเก็บเงินอีกสักระยะ จะเล่นรุ่น Modulus 3B เลยครับ :D

ภาพจาก www.audibleillusions.com

(http://www.audibleillusions.com/wp-content/themes/audible/images/m3bopen.png)

ข้อมูลจาก www.gcaudio.com

The M3B is a full function preamp complete with phono input that will accept any cartridge with 1mV of output, or greater. For those using low output moving coil cartridges, optional Gold Phono Boards are available for increased gain. Designed by the legendary John Curl, the ultra-quiet pre-preamp boards give the M3B the ability to handle even very low output MC cartridges with low noise and superb resolution.

Audible Illusions Modulus 3B - $3495

ภาพจาก www.audiocircle.com

(http://www.audiocircle.com/image.php?id=79578)

ชอบใจตรงที่รุ่นนี้มีไฟ back light สีฟ้าอยู่หลังปุ่มปรับทุกอัน เพิ่มความสวยงามในที่มืด ในขณะที่เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ไม่มีไฟ back light ครับ

เห็นชื่อ John Curl แล้วต้องขอบอกว่าบุคคลผู้นี้คือตำนานของวงการออกแบบเครื่องเสียงและเป็นวิศวกรผู้ออกแบบวงจรภาคปรีแอมป์ของ Modulus 3B รวมทั้งภาควงจรของ Parasound Halo integrated amp ด้วยครับ

ภาพจาก http://cdn.stereophile.com

(http://cdn.stereophile.com/images/styles/600_wide/public/011312Curl-600.jpg?itok=Cz59luJ9)

อีกตัวเลือกหนึ่งที่ผมเล็งไว้ Parasound Halo integrated amplifier โซลิด สเตท กำลังขับ 160 วัตต์ ออกแบบในสหรัฐโดย John Curl แต่ผลิตที่ไต้หวัน ผมเคยเห็นตัวจริงและลองฟังมาแล้ว งานผลิตเรียบร้อยดีมาก มีสองสีให้เลือกคือ สีเงินและสีดำ มันสามารถขับลำโพง Falcon LS3/5A ได้อย่างสบาย ๆ มีภาคขยายโฟโน MM & MC ให้ด้วย สมมติถ้าผมซื้อ Halo ตัวนี้ ตัวเดียวจบ แต่ถ้าซื้อปรีแอมป์ M3B ก็จะต้องเสียเงินหาซื้อเพาเวอร์แอมป์มาเข้าคู่กับมันอีกครับ

ภาพจาก www.cepro.com

(http://www.cepro.com/images/uploads/ParasoundHalo21_1.jpg)

มีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นปรี-เพาเวอร์แอมป์ไฮบริดคู่นี้ Audible Illusions Modulus 3B + Parasound Halo A 21 (กำลังขับ 250 วัตต์) โดยตั้งงบไว้ 2xx,xxx บาท ภายในเวลาประมาณสองปี (ขอเคลียร์หนี้เก่ากับสถาบันการเงินส่วนตัวก่อนครับ 555)

(http://www.audibleillusions.com/wp-content/themes/audible/images/m3bopen.png)

(http://2.bp.blogspot.com/-78dpbJDNTgE/VN_fXFpp-9I/AAAAAAAAFZk/zxPU0KMCjCE/s1600/a21_angle_792.jpg)

My System Update (06/01/16)

1. Amplifiers
1.1 Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)
1.2 Marantz 2385 Stereophonic Receiver (185 watts)
1.3 Pioneer M-73 Power Amplifier (small version of SPEC 3) (Newly added)
1.4 Pioneer C-73 Preamplifier (SPEC 4) (Newly added)

2. Sources
2.1 Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)
2.2 Turntable Systems:
2.2.1 VPI Classsic 1 turntable, VPI JMW 10.5 SE tonearm (with Dynavector Karat 17D3 mc phono cartridge)
2.2.2 Audio Linear TD-4001 turntable with Dynavector DV-505 tonearm

3. Moving Coil Phono Cartridges:
3.1 Ortofon MC15 Super Mk II (low output)
3.2 Dynavector DV-20XH (high output)
3.3 Shelter 501 Mk ii (low output)
3.4 Benz Micro ACE SL (low output)
3.5 Ortofon MC20 Super 25th Anniversary Limited Edition (low output)
3.6 Dynavector DV-10X5 (high output)
3.7 Dynavector DV-20X2L (low output)
3.8 Dynavector Karat 17D3 (low output)

4. Phono Pre-amplifiers:
4.1 Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)
4.1 ASR Mini Basis Mk III

5. Loudspeakers
5.1 Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
5.2 PSB Image T6 Floorstanding Speakers

6. Cables
6.1 Speaker cables: XLO Ultra Plus, 8 ft. with banana connectors
6.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III Hybrid
- From phono pre-amp to amplifier: XLO Ultra Plus

ทางเลือกใหม่ งบซื้อปรีแอมป์ Modulus 3B เพียงตัวเดียวสามารถซื้อ Parasound Halo P5 Preamp + Parasound Halo A21 Power Amp ได้คู่หนึ่ง แถมยังมีเงินเหลือทอนอีกนิดหน่อยด้วยครับ

(http://cdn.stereophile.com/images/styles/600_wide/public/414para.promo_.jpg?itok=TVt_wex9)

(http://2.bp.blogspot.com/-78dpbJDNTgE/VN_fXFpp-9I/AAAAAAAAFZk/zxPU0KMCjCE/s1600/a21_angle_792.jpg)

มีคนที่เล่นเครื่องเสียงเหมือนกับผมบอกผมด้วยความหวังดีในทำนองว่า "อ่านหนังสือ อ่านรีวิวแล้วเล่นเครื่องเสียงมันจะไปมีประโยชน์อะไร เล่นเครื่องเสียงต้องอาศัยประสบการณ์ เช่น ตระเวนลองฟังให้มาก สัมผัสของจริง มีเพื่อนฝูงเยอะ ๆ ไว้คอยให้ความช่วยเหลือ ฯลฯ"

ที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลนะครับ แต่นั่นมันก็คือเหตุผลและทรรศนะของเขา สามารถใช้ได้กับคนบางคน แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ไม่ได้กับคนบางคน ส่วนผมเองก็มีเหตุผลและทรรศนะส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ "ต้องพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด ต้องอ่านหนังสือหาข้อมูลและความรู้ให้ได้มากที่สุดด้วยตนเอง ส่วนรีวิวหรือบทวิจารณ์เราก็ต้องอ่านไว้บ้างเพื่อเป็นข้อมูลประกอบ จากนั้น ถ้ามีโอกาสหรือเป็นไปได้ เราก็ไปขอลองฟังเครื่องที่เป็นเป้าหมายที่โชว์รูมของแบรนด์นั้น ๆ ถ้าฟังแล้วรู้สึกเข้าท่าก็ตัดสินใจซื้อเลย ซื้อมาแล้ว จะผิดถูกอย่างไร จะชอบใจหรือไม่ เราคือผู้รับผิดชอบเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย (ไม่ชอบใจก็ซื้อเครื่องใหม่ได้ แต่กว่าจะซื้อเครื่องใหม่ก็หลายปีอยู่ เพราะด้วยราคาของมันก็ใช่ว่าจะทำให้เราเปลี่ยนหรืออัพเกรดได้ง่าย ๆ เสียที่ไหน)"

สรุปว่าอ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลแล้วไปซื้อเครื่องเสียงนี่มันเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องหรืออย่างไร? อ่านหนังสือ บทความ หรือรีวิวแล้ว ผมรู้สึกชอบและอยากได้เครื่องเสียงยี่ห้อนั้นและรุ่นนั้นมาครอบครอง แล้วผมไปซื้อมันมาเล่นด้วยเงินของผมเอง ผมผิดด้วยหรือครับ

บางทีการเล่นเครื่องเสียงแล้วรู้จักคนเยอะนี่ผมว่าไม่ดีเลย เพราะต่างคนก็ต่างความคิด ถึงแม้จะเล่นเครื่องเสียงเหมือนกันก็ตาม คนหนึ่งอยากให้อีกคนหนึ่งเล่นเหมือนอย่างที่เขาเล่นอยู่ เช่น บางครั้งเราอาจจะเจอคำถามทำนองว่า "เล่นยี่ห้อ X ทำไม ไม่เห็นจะได้เรื่องเลย (ห่วย) ทำไมไม่เล่นยี่ห้อ Y ล่ะ เพิ่มงบอีกนิดเดียว" ถ้าคนที่ได้ยินแล้วมีความคิดหน่อยก็คงจะนึกในใจว่า "ก็ฉันชอบยี่ห้อ X อยากเล่นยี่ห้อ X แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับคนอื่นด้วย"

คิดว่าบางท่านคงเคยเจอนะครับ คำถามทำนองนี้ คือเข้าใจนะครับว่าอาจจะเป็นความหวังดี อยากให้คนที่เล่นเครื่องเสียงเหมือนกันได้เล่นของดี ๆ อย่างที่คนคนนั้นเล่นหรือเคยเล่น แต่คำว่าดีของคนคนหนึ่งอาจจะไม่ใช่ดีของอีกคนหนึ่ง และสิ่งที่คนคนหนึ่งชอบ ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่อีกคนหนึ่งชอบก็ได้ รสนิยมและแนวทางในการเล่นเครื่องเสียงของแต่ละคนแตกต่างกัน เราไปว่าเขาไม่ได้และก็ไม่ควรไปกะเกณฑ์หรือคาดหมายให้คนอื่นเขาเล่นเหมือนอย่างที่เราเล่น ถ้าเขาไม่เล่นอย่างที่เราเล่น เราก็มักไม่พอใจและไม่นับเขาเป็นพวกด้วย พาลจะกลายเป็นความชิงชังดูหมิ่นดูแคลนกันไปเลยก็มี ถ้าเจอสังคมแบบนี้ บอกได้เลยว่าอยู่ยาก ขอเล่นคนเดียวอยู่ในโลกส่วนตัว ยอมเป็นกบในกะลาดีกว่าครับ

รีซีฟเวอร์ Marantz 2385 ขายกันในอีเบย์ที่อเมริกา (ไม่ส่งมาไทย) ราคาตั้ง 2500 เหรียญยูเอส (เกือบเก้าหมื่นบาท) เดี๋ยวลองเอาของเราลงประกาศขายดูบ้างดีกว่า ฮิ ฮิ ;D

http://www.ebay.ca/itm/Marantz-2385-Receiver-with-Original-3-Piece-Wood-Case-and-Manual-185-wpc/262092219700

มีแพลนว่าจะจัดชุดเล็ก ๆ ในลักษณะใกล้เคียงกับที่เห็นในภาพนี้ และจะหันไปลองเล่นลำโพงแบบ electrostatic ดูครับ

พี่แจ็คเมื่อไหร่จะให้ผมเอาหัวเข็มที่พี่ฝากซื้อไว้ไปให้เสียทีครับ ของผมน่ะพ้นเบิร์นแล้วนะ เสียง โ-ค-ต-ร ดีเลยครับพี่ :D
 
(http://www.whatsbestforum.com/attachment.php?attachmentid=19695&d=1428093737)

เครดิตภาพ www.whatbestforum.com

พี่ปีศาจเคยซื้ออุปกรณ์แบบพวกปลั๊กไฟ/ฟิวส์/เครื่องกรองกระแสไฟ/ถุงสลายแรงสั่นสะเทือน!!! มาใช้บ้างมั้ยครับ?
คือผมอ่านในหนังสือแล้วผมสงสัยมากๆเพราะเห็นผู้รีวิวบรรยายสรรพคุณออกมา
อย่างมากมายว่าดีขึ้นจริงๆ ไม่แน่ใจว่าอุปกรณ์พวกนี่เอาไปใส่เครื่องเสียงไฮเอนด์แล้วจะเห็นชัดจริงๆขนาดนั้นเลยเหรอครับ
เพราะผมเองก็ไม่เคยฟังเครื่องระดับไฮเอนด์เลย ที่มีอยู่ก็แค่แอมป์DenonกับลำโพงWharfedaleตัวไม่กี่บาท :)

 

ลองเปลี่ยนปลั๊กไฟติดผนังเป็นรุ่นที่ดีหน่อยไม่ต้องแพงมากก็ได้
จะทำให้เสียงมีพลังมากขึ้น มีน้ำหนักเสียงดีขึ้น แม้ชุดธรรมดาก็ฟังออกครับ

ส่วนอีก 3 ตัวที่เหลือต้องอาศัยตัวแปรอย่างอื่นประกอบด้วย ปล่อยให้พวกเซียนๆเขาเล่นกันไปเถอะครับ

เพิ่งเปลี่ยนปลั๊กไฟเป็นแบบสามขา (ต่อลงดิน) เมื่อตอนที่ซื้อเทิร์นเทเบิ้ลตัวใหม่นี้เอง และใช้สายไฟที่มียี่ห้อและราคาบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับแพงมาก ส่วนพวกฟิวส์ เครื่องกรองกระแสไฟ อิฐสลายแรงสั่นสะเทือน และของเล่นอื่น ๆ นั้น ผมไม่เคยเล่นหรอกครับ ไม่อยากจะลบหลู่ แต่ก็ไม่ศรัทธา ผมเคยได้ยินมานานแล้วว่าวงการเครื่องเสียงมีทั้งพวกเล่นของ พวกไสยศาสตร์มนต์ดำ และพวกต้มตุ๋นโฆษณาชวนเชื่อ เอาเป็นว่าเล่นโดยใช้สติและมีเหตุผลก็แล้วกัน อย่าใจร้อนครับ :D

เพิ่งเจอเว็บนี้ เจ๋งดีและชอบครับ

www.pooraudiophile.com

Dynavector XX-2 Mk. II ปีนี้ราคาตั้งขายกระโดดขึ้นมาเป็น US$ 1995.00 แล้ว คิดเอาง่าย ๆ คือ US$ 2000.00 ก็แล้วกันครับ

ผมเคยพูดเล่น ๆ ไว้ในกระทู้เก่า ๆ ว่าจะเม้มเงินภรรยาไว้ซื้อหัวเข็มรุ่นนี้ ;D และในที่สุดผมก็เป็นเจ้าของมันจนได้ แต่ไม่ได้เม้มเงินภรรยานะครับ เงินของผมบริสุทธิ์ ด้วยความสัตย์จริง (ฮ่า) :D

เป็นหัวเข็มที่ดูดีมีสกุลเอามาก ๆ และเสียงก็คงจะดีด้วย (มั้ง) ;D เอาไว้รอช่างมาติดตั้งและเซ็ตให้ก่อนแล้วจะมารายงานครับ

ข้างล่างนี้คือภาพแทนจาก www.dynavector.com ส่วนรูปจริงผมยังไม่ได้ถ่ายเอาไว้ครับ

(http://www.dynavector.com/products/images/xx2mk2_340w_tra.gif)

เคยเล่นหัวเข็ม Dynavector ทุกรุ่นไล่มาเรื่อยตั้งแต่ DV 10x5, DV 20X2L, DV Karat 17D3 จนถึง DV XX2 Mk. II ไม่รู้ในอนาคตจะมีโอกาสได้เล่นรุ่น DRT XV-1t (US$ 9500.00) ซึ่งเป็นรุ่นท็อปของเขารึเปล่าน้อ 555 ;D

(http://www.dynavector.com/products/images/xv1t_450w.gif)

ลำโพง Magnepan MG-1.7i ผมไปลองฟังมาแล้ว ราคาตั้งขายในสหรัฐ 2200 เหรียญ อยากได้จังคร้าบบบ... ;D

เครดิตภาพ www.audioemporium.com

(http://www.audioemporium.com/wp-content/uploads/2014/07/1.7wguitar_2.jpg)

Parasound Halo Integrated Amplifier ราคาตั้งขายในสหรัฐ US$ 2495.00

เครดิตภาพ http://hiresaudiocentral.com/

(http://hiresaudiocentral.com/wp-content/uploads/2015/11/parasound_halo_black_front.jpg)

Dynavector XX-2 Mk II ราคาตั้งขาย US$ 1995.00

เครดิตภาพ http://www.dynavector.com/

(http://www.dynavector.com/products/images/xx2mk2_340w_tra.gif)

จัดมาทีเดียวสองตัวเลยครับ 555 ;D

อยากเปลี่ยนชื่อกระทู้นี้ใหม่จังเลย เช่น เปลี่ยนเป็น "Poor Audiophile's System" จะดีมั้ยน้อ... เพราะยิ่งเล่น ยิ่งเปลี่ยน ก็ยิ่งจน 555 :D

My System Update (21/06/16)

1. Amplifiers
1.1 Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)
1.2 Marantz 2385 Stereophonic Receiver (185 watts)
1.3 Pioneer M-73 Power Amplifier (small version of SPEC 3)
1.4 Pioneer C-73 Preamplifier (SPEC 4)
1.5 Parasound Halo Integrated Amplifier (160 watts/ch @ 8 ohm)

2. Sources
2.1 Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)
2.2 Turntable Systems:
2.2.1 VPI Classsic 1 turntable, VPI JMW 10.5 SE tonearm (with Dynavector XX-2 Mk II mc phono cartridge)
2.2.2 Audio Linear TD-4001 turntable with Dynavector DV-505 tonearm

3. Moving Coil Phono Cartridges:
3.1 Ortofon MC15 Super Mk II (low output)
3.2 Dynavector DV-20XH (high output)
3.3 Shelter 501 Mk ii (low output)
3.4 Benz Micro ACE SL (low output)
3.5 Ortofon MC20 Super 25th Anniversary Limited Edition (low output)
3.6 Dynavector DV-10X5 (high output)
3.7 Dynavector DV-20X2L (low output)
3.8 Dynavector Karat 17D3 (low output)
3.9 Dynavector XX-2 Mk II (low output)

4. Phono Pre-amplifiers:
4.1 Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)
4.1 ASR Mini Basis Mk III

5. Loudspeakers
5.1 Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
5.2 PSB Image T6 Floorstanding Speakers

6. Cables
6.1 Speaker cables: XLO Ultra Plus, 8 ft. with banana connectors
6.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III Hybrid
- Form turntable to phono pre-amp: XLO Ultra Plus
- From phono pre-amp to amplifier: XLO Ultra Plus

มีเครื่องเล่นเทปรีลมาเพิ่มมั้ยครับพี่ปีศาจฯ ;D

มีแต่คนถามผมถึงเรื่องเล่นเทปรีลนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ร้านขายเครื่องเสียงหรือแม้แต่น้อง undeath เฮ้อ... จะตอบยังไงดีนะ เอาเป็นว่าจะเล่นเทปรีลให้ได้เรื่องต้องมีงบอีก 2xx,xxx ขึ้นไปครับ (สำหรับของเก่าที่ refurbished และ calibrated มาอย่างดีโดยช่างจากเมืองนอก) ตอนนี้เปลี่ยนแอมป์กับหัวเข็มแล้ว ผมก็ชักจะคันมืออยากจะได้ลำโพงและปรีโฟโนใหม่อีก แต่ละรายการก็มีราคาเป็นเลขหกหลัก เทปรีลก็อยากจะเล่น แล้วท่านทั้งหลายอยากจะให้ผมจนไปถึงไหนครับ 555 :D

Parasound Halo JC3+ Phono Preamp ถ้าซื้อในบ้านเราก็คงจะราว ๆ แสนต้น... ผมว่าผมชอบเสียงของมันนะครับ ไม่แคล้วคงได้เสียตังค์อีกเป็นแน่แท้ เอาไว้รอปลายปีก่อนนะ 555

(http://tas.zeitpress.com/resizer/articles/images/jc3.jpg/?size=648,460)

Parasound Halo Integrated 2.1 อินทิเกรตเตดแอมป์กำลังขับ 160 วัตต์ ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และกล่าวขวัญถึงโดยนิตยสารเครื่องเสียงทั้งบนดินและใต้ดินของต่างประเทศ (ให้ลองเสิร์ชเข้าไปดูในเน็ต) มีให้เลือกสองสี คือ สีเงินและสีดำ (เครื่องที่ผมใช้อยู่เป็นสีดำ) มีสเป็คน่าทึ่งและฟีเจอร์มากมาย รองรับ input ทั้งปัจจุบันและอนาคต ทั้งแบบ analog และ digital รวมทั้ง home theater มีแจ็คสำหรับต่อพ่วง sub-woofer มีภาคโฟโนรองรับหัวเข็มเล่นแผ่นเสียงทั้งแบบ MM และ MC โดยสามารถปรับค่าโหลดความต้านท้านหัวเข็ม MC ได้ที่ 100 โอห์ม และ 47 กิโลโอห์ม (แต่ผมใช้โฟโนสเตจภายนอกของ ASR แทน) มีปุ่มปรับทุ้มแหลมหรือ tone control ให้ด้วย (หรือเลือกที่จะไม่ปรับก็ได้) ซึ่งยากที่จะหาได้จากแอมป์ไฮเอนด์ทั่วไปในปัจจุบัน มีหม้อแปลงและตัวเก็บประจุขนาดใหญ่ สำรองกำลังและจ่ายกระแสเหลือเฟือพอที่จะขับลำโพงโหด ๆ ทั่วไปในท้องตลาดได้ สำหรับลำโพง PSB Image T6 ที่ผมใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น มันสามารถขับเสียงได้หลุดตู้สบาย ๆ แถมเสียงยังไพเราะน่าฟังอีกต่างหาก (แอมป์ยังใหม่และยังไม่พ้นระยะเบิร์นอิน ต้องรออีกประมาณ 100 กว่าชั่วโมง เสียงจะเข้าที่เข้าทางกว่านี้) การนำแอมป์ตัวนี้มาใช้แทน Roksan Kandy K2 (กำลังขับ 125 วัตต์) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและคุ้มค่าสำหรับ Poor Audiophile's System ของผมครับ (แฮปปี้มาก, ว่างั้น 555) :D

เครดิตภาพ http://hiresaudiocentral.com/

(http://hiresaudiocentral.com/wp-content/uploads/2015/11/parasound_halo_black_front.jpg)

หัวเข็ม Dynavector Karat 17D3 ผมว่ายอดเยี่ยมสมราคาแล้ว เพราะให้น้ำเสียงเที่ยงตรง สัดส่วนทุ้ม กลาง แหลม สมดุล เรียบแฟลทชนิดสัมผัสได้ (ฟังแล้วนึกถึงหัวเข็ม Ortofon MC 15 Super Mk II ที่ผมเคยใช้เมื่อสิบกว่าปีก่อน และตอนนี้ก็ยังเก็บไว้อยู่) สปีดว่องไวไม่อืดอาด และมีความใสกระจ่างชนิดแทบจะมองผ่านทะลุได้ แถมยังมีรายละเอียดดีด้วย แต่พอมาเจอรุ่น DV XX-2 Mk II ซึ่งราคาสูงกว่าเกือบเท่าตัว แลกกับบุคลิกของ 17D3 ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด แต่แถมด้วยเสียงความถี่ต่ำหรือเบสส์ช่วงล่างที่มีมากและชัดเจนกว่า ความถี่ย่านกลางที่ smooth ขึ้น และย่านปลายแหลมที่หวานสดมากขึ้นและทอดไปไกลกว่าเดิม ผมว่าผมชอบหัวเข็มรุ่นนี้ตั้งแต่แรกฟังและเก็บ 17D3 เข้ากล่องขึ้นหิ้งไปเลย ไม่ใช่ว่า 17D3 ไม่ดีนะครับ ผมอยากบอกว่าหัวเข็ม Dynavector ดีทุกรุ่น และสามารถเล่นเพลงได้แทบจะทุกแนว แต่คงเป็นกฎสามัญของโลกการค้าและอุตสาหกรรมไปแล้วว่า "ยิ่งจ่ายแพง ก็ยิ่งได้ของดี" กระมังครับ (DV XX-2 Mk II ราคาตั้งขายในต่างประเทศ USD 1995)

(http://www.dynavector.com/products/images/xx2mk2_340w_tra.gif)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV_XX2_MkII_1_zps8bj6hghu.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV_XX2_MkII_4_zpsqp0etqum.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV_XX2_MkII_3_zpsoveyapya.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV_XX2_MkII_2_zpssskuu6qx.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV_XX2_MkII_6_zpstvxgayrc.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/parasound1_zpsy894t0k4.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/parasound3_zpszayxen8v.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/parasound2_zpsylojfaof.jpg)

Poor Audiophile's System เทิร์นเทเบิ้ล + หัวเข็ม ในงบประมาณราว ๆ US$5000.00 (ขออนุญาตไม่บอกราคาจริงที่เป็นเงินไทยครับ)
มีคนกระซิบบอกผมมาว่าเซ็ตนี้ท้าชนชุดเทิร์นฯรวมหัวเข็มที่มีราคาแพงกว่าหนึ่งเท่าตัวได้สบาย ๆ ไม่รู้จะจริงรึเปล่า แต่ผมชอบใจครับ 555 :D

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV_XX2_MkII_7_zpsojiewcwl.jpg)

16 ก.ค. 2559 เครื่องเล่นซีดี Denon DCD 2560 GL ใน Poor Audiophile's System เสีย ซ่อมบ่อย จึงเปลี่ยนเอาออกและแทนที่ด้วย Audiolab 8200CD ซึ่งทำงานร่วมกับแอมป์ Parasound ได้เข้าขากันอย่างน่าทึ่ง รู้สึกว่าได้น้ำเสียงที่ clean, clear, smooth and sweet มากกว่าเดิม แฮปปี้สุด ๆ ครับ :D

(http://www.hifichoice.co.uk/sites/17/images/article_images_month/2011-12/hfc353.audiolab.8200web.jpg)

My System Update (27/07/16)

1. Amplifiers
1.1 Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)
1.2 Marantz 2385 Stereophonic Receiver (185 watts)
1.3 Pioneer M-73 Power Amplifier (small version of SPEC 3)
1.4 Pioneer C-73 Preamplifier (SPEC 4)
1.5 Parasound Halo Integrated Amplifier (160 watts/ch @ 8 ohm)

2. Sources
2.1 Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)
2.2 Audiolab 8200CD CD Player (Newly Added)
2.3 Turntable Systems:
2.3.1 VPI Classsic 1 turntable, VPI JMW 10.5 SE tonearm (with Dynavector XX-2 Mk II mc phono cartridge)
2.3.2 Audio Linear TD-4001 turntable with Dynavector DV-505 tonearm

3. Moving Coil Phono Cartridges:
3.1 Ortofon MC15 Super Mk II (low output)
3.2 Dynavector DV-20XH (high output)
3.3 Shelter 501 Mk ii (low output)
3.4 Benz Micro ACE SL (low output)
3.5 Ortofon MC20 Super 25th Anniversary Limited Edition (low output)
3.6 Dynavector DV-10X5 (high output)
3.7 Dynavector DV-20X2L (low output)
3.8 Dynavector Karat 17D3 (low output)
3.9 Dynavector XX-2 Mk II (low output)

4. Phono Pre-amplifiers:
4.1 Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)
4.1 ASR Mini Basis Mk III

5. Loudspeakers
5.1 Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
5.2 PSB Image T6 Floorstanding Speakers

6. Cables & Accessories
6.1 Speaker cables: XLO Ultra Plus, 8 ft. with banana connectors
6.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III Hybrid
- Form turntable to phono pre-amp: XLO Ultra Plus
- From phono pre-amp to amplifier: XLO Ultra Plus
6.3 VPI 16.5 Record Cleaning Machine (Newly Added)

เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2559 ช่วงบ่ายถึงค่ำ ที่ร้าน Image Music & Film อัมรินทร์พลาซ่า Mr. Matt Weisfeld CEO ของ VPI Industries Inc. ได้เดินทางมาพบปะเสวนา บรรยาย พูดคุย และแลกเปลี่ยนความเห็นกับลูกค้าและสาวก VPI มีผู้สนใจไปร่วมงานมากมาย ผมเองในฐานะที่ใช้เครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่น Classic 1 ของเขาอยู่ ก็ได้แวะไปร่วมงานกับเขาด้วยเช่นกันในช่วงเย็นราวหกโมงกว่า แต่มาที่ร้านนี้ทีไรเป็นต้องได้เสียเงินทุกที เพราะเที่ยวนี้ต้องควักกระเป๋าซื้อเครื่องล้างแผ่นเสียง VPI 16.5 (ซึ่งกำลังอยากได้อยู่พอดี เพราะชักจะเริ่มขี้เกียจล้างแผ่นด้วยมือเปล่าแล้ว) และเป็นโอกาสดีที่ประธานใหญ่ของ VPI อยู่ในงาน ผมจึงขอถ่ายรูปด้วยและขอลายเซ็นไว้เป็นที่ระลึกบนเครื่องล้างแผ่นซะเลย

ที่เห็นในรูปมีผู้หญิงเอเชียคนหนึ่ง นั่นคือแฟนของคุณแมทท์เค้านะครับ ทั้งคู่มีอัธยาศัยดีและน่ารักมากครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/vpi16.5_zpseiq45zzp.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/mat_weisfeld1_zpsyp9bnd8w.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/mat_weisfeld3_zpsp3rrvp9x.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/mat_weisfeld2_zpsb7erz47t.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/mat_weisfeld6_zps0futpiod.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/mat_weisfeld5_zpsyfv8jzzq.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/mat_weisfeld4_zpskii2iohi.jpg)

พี่ปีศาจ ถ้ามีโอกาสช่วยอธิบายของเล่นชิ้นล่าสุดชิ้นนี้ เพื่อเป็นวิทยาทานบ้างนะครับ

ผมเรียนลัดจากคลิปนี้โดยไม่ต้องอ่านคู่มือมากมายเลยครับ

https://www.youtube.com/watch?v=pZB0oUJu-00

อันนี้ก็อธิบายละเอียดโดยใช้ภาษาเข้าใจง่ายดีครับ

https://www.youtube.com/watch?v=YpbweSANkiA

ตามความเห็นของผู้ใช้งานดังที่เห็นในคลิปข้างต้น เครื่องล้างแผ่นเสียง VPI HW-16.5 ให้ความคุ้มค่าในระดับ best buy และแนะนำให้ใช้ (เป็นอย่างยิ่ง) แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่บ้าง คือ

- เสียงมอเตอร์เครื่องทำงานค่อนข้างจะดัง (แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับผม)
- ถ้าล้างแผ่นติดต่อกันเป็นจำนวนมาก (เช่น หลายสิบแผ่น) เครื่องจะเกิดความร้อน (ควรล้างแผ่นจำนวนพอประมาณแล้วพักเครื่อง เท่านี้ก็ไม่เป็นปัญหา)
- รูปลักษณ์เหมือนเฟอร์นิเจอร์ราคาถูกเมื่อเทียบกับเครื่องล้างแผ่นเสียงยี่ห้ออื่นในระดับราคาเดียวกัน เช่น Okki Nokki (แต่ผมก็ชอบมันนะ ยิ่งมีลายเซ็นของท่านประธาน VPI บนแป้นหมุมด้วยแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือหนึ่งเดียวเครื่องนี้จริง ๆ และจะไม่ยอมขายต่อให้ใครด้วย)

ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างหรอกครับ

VPI Classic Signature รุ่นฉลองครบรอบ 20 ปีของ Audio Excellence (ตัวแทนจำหน่ายในเมืองไทย) ราคาสองแสนแก่ ๆ
เห็นแล้วเกิดกิเลส อยากได้ไว้เล่นอีกเครื่องอ้ะ แต่จะหลอกเอาเงินแฟนมาซื้ออย่างไรดีน้อ 555 :D

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/vpi_10th_anniversary1_zpslwrvwaex.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/vpi_10th_anniversary2_zpsztgqrtzw.jpg)

ผมขอฟันธงแบบไม่กลัวเจ็บว่า พี่ปีศาจได้เสียเงินแน่นอนครับ

VPI Classic Signature รุ่นฉลองครบรอบยี่สิบปีของตัวแทนจำหน่ายหมดไปแล้ว เหลือแต่ Classic Signature เฉย ๆ ประหยัดเงินลงมาอีกประมาณสามหมื่นครับ ;D

ลายเซ็นและคำอวยพรสั้น ๆ ของ Mr. Mat Weisfeld CEO ของ VPI Industries บนแป้นหมุนของเครื่องล้างแผ่นเสียงของผมครับ มิน่า พอได้เครื่องนี้มาปุ๊บ ก็ล้างแผ่นอุตลุดแบบ happy happy ไปเลย 555 :D

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/vpi%20hw16.5_2_zpsasrvqlbo.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/vpi%20hw16.5_1_zps0weojojf.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/mat_weisfeld5_zpsyfv8jzzq.jpg)

เป็นห่วงว่า หมึกปากกาจะซึม หน้าแผ่นเสียงไหมครับ..

หมึกปากกาที่เขาเซ็นไม่ซึมเลอะแผ่นเสียงหรอกครับพี่ เพราะหมึกมันซึมลงในเนื้อแป้นหมุนซึ่งเป็นไม้คอร์กเรียบร้อยแล้ว และยิ่งถ้าโดนความร้อนในขณะที่ใช้งานด้วยแล้ว รับรองได้ว่าแห้งสนิทครับ 555 :D

http://www.enjoythemusic.com/magazine/equipment/0916/Enjoy_The_Music_Blue_Note_Awards_2016.htm

นี่คือหนึ่งในรางวัลหรือคำชื่นชมซึ่ง Parasound Halo Integrated 2.1 ได้รับ ทั้งจากหนังสือบนดินและใต้ดินในต่างประเทศ และขอเรียน ณ ตรงนี้ว่า ผมไม่ได้ซื้อเครื่องเสียงจากการที่มันได้รับรางวัลหรือคำวิจารณ์ที่ดี แต่ช่วยไม่ได้ที่เผอิญว่า เครื่องเสียงที่เราซื้อมาเล่นแล้วชอบหรือถูกอกถูกใจนั้น วันดีคืนดีมันเกิดได้รับคำชื่นชมหรือผลตอบรับที่ดีจากทั่วสารทิศ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เจ้าของหรือผู้ที่เล่นเครื่องเสียงตัวนั้นอยู่เขาก็อดที่จะปลื้มใจหรือภูมิใจไม่ได้น่ะสิครับ 555 :D

(http://www.avsale.ru/product_images/parasound-hint-s.jpg)
(http://www.avsale.ru/pbadd/parasound-hint-s-1.jpg)
(http://www.avsale.ru/pbadd/parasound-hint-b-4.jpg)

อลังการ งานสร้าง และไฮเท็คมากๆ
ต้องไปเยี่ยมบ้านท่านซะหน่อย
กี่ตังค์ครับเนี่ย..

ประมาณ 100k ครับพี่ อาจหย่อนกว่าได้หน่อย แต่ไม่มาก
มาเยี่ยมกระท่อม Poor Audiophile ของผมได้เลยครับพี่ แล้วจะเลี้ยงเบียร์ มาเอาหัวเข็มที่พี่ฝากซื้อไว้ไปด้วยและช่วยผมจัดบ้านหน่อยนะ (อิ อิ ล้อเล่น) เพราะตอนนี้กล่องแผ่นเสียงรกเต็มบ้านไปหมดแล้วครับ 555 :D

What Hi-Fi อังกฤษเพิ่งมีริวิว Parasound Halo 2.1 Integrated ออกมาเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2016 ซึ่งก็ไม่กี่วันมานี้เอง ราคาขายในอังกฤษเมื่อตอนรีวิว 2700 ปอนด์สเตอร์ลิง ในขณะที่ราคาขายในสหรัฐ 2500 เหรียญ

http://www.whathifi.com/parasound/halo-integrated/review

โฟโนปรีแอมป์ Parasound JC 3+ ราคา US$ 2995.00 ผมกำลังรอลุ้นระทึกอยู่ครับว่าปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าจะมีโอกาสได้ถอยมาฟังรึเปล่า (แต่ถ้ายังไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ไม่ซีเรียสหรอกนะ 555) :D

(http://audiofi-net.zippykid.netdna-cdn.com/wp-content/uploads/2015/05/Parasound-JC3-a.jpg)

http://noom-hifi.com/webboard/webboard_ans.php?id=67042


แอบไปเห็นมา

(http://noom-hifi.com/webboard/file-lib/webboard/20161127114850.jpg)

ที่เห็นในเว็บขายของมือสองนั้นเป็นรุ่น JC 3 เฉย ๆ ไม่ใช่ JC 3+ ครับ ตามที่ผมทราบมา JC 3+ มีพัฒนาที่ดีกว่ารุ่นเดิมในแทบทุกแง่มุม เช่น สามารถปรับแต่งค่า load impedance ของหัวเข็มได้ละเอียดขึ้น มีการปรับปรุงวัสดุและการเดินระบบวงจรภายในเครื่องที่ดียิ่งขึ้น ทั้ง JC 3 และ JC 3+ อิงพื้นฐานวงจรของ Vendetta Reserach SCP-2 โฟโนปรีแอมป์ในยุค 80's ที่เป็นกลายตำนานไปแล้ว ออกแบบโดย John Curl คนเดียวกับที่ออกแบบ Parasound JC 3 และ JC 3+ นี่แหละครับ JC 3 ตกรุ่นและหมดไปจากตลาดแล้ว (เหลือแต่ของมือสอง เพราะถ้าจะให้เดา เจ้าของเดิมที่ใช้ JC 3 อยู่คงจะขายรุ่นนี้ทิ้งเพื่อไปซื้อ JC 3+) ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ถ้าคิดจะเล่น ผมคงจะซื้อ JC 3+ ตัวใหม่ไปเลยครับ

Vendetta Research SCP-2 phono stage ออกแบบโดย John Curl ในยุค 80's บัดนี้ได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว แต่ถ้าท่านเจอมันโดยบังเอิญในราคาที่เหมาะสม จงรีบคว้ามันไว้ ตำนานของเรื่องนี้มีอยู่ว่า John Curl สมัยที่ยังไม่โด่งดังในวงการเครื่องเสียงเหมือนเช่นในยุคนี้ ดูเหมือนเขาได้ถูกผู้คนในวงการเครื่องเสียงบางคนดูถูก ดูหมิ่น เอารัดเอาเปรียบ อะไรทำนองนี้ จนกระทั่งได้ไปก่อตั้งบริษัท Vendetta Research ขึ้นมาเพื่อสร้างและผลิตโฟโนปรีแอมป์ Vendetta SCP-2 ออกจำหน่ายให้ผู้คนได้ประจักษ์ในฝีมือ ซึ่งคำว่า Vedetta ก็บ่งบอกเป็นนัยอยู่แล้วว่าคือ "ความพยาบาท" (ผมชอบจังเลยชื่อนี้ :D) ผมไม่ทราบหรอกครับว่า Vendetta SCP-2 เป็นตำนานได้อย่างไร เพราะไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส ใครเคยได้มีโอกาสเล่นตัวนี้จะเข้ามาเล่าสู่กันฟังหน่อยก็ดีนะครับ 555 :D

ภาพจาก www.tonepublications.com

(http://www.tonepublications.com/media/Vendetta-front-page.jpg)

J. Gordon Holt ปรมาจารย์แห่งสำนัก Stereophile ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้เขียนถึง Vendetta SCP-2 ไว้ใน Stereophile ปี 1988 ครับ

เครดิตภาพ https://audiogramii.files.wordpress.com/

(https://audiogramii.files.wordpress.com/2015/08/j-gordon-holt1.jpg)

http://www.stereophile.com/phonopreamps/640/#vB5qwkPPOogbhhC7.97

ปรมาจารย์ เจ. กอร์ดอน โฮลท์ ได้เขียนถึง Vendetta SCP-2 ไว้ในบทวิจารณ์ของเขาใน Stereophile เมื่อปี 1988 ซึ่งปีนั้นผมยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลย และมีแค่เครื่องเล่น cassette receiver (แอมป์ จูนเนอร์ และเทปคาสเสทในตัวถังเดียวกัน) ยี่ห้อ Sylvano ราคาไม่กี่พันบาทประจำการอยู่ในห้องนอน (เป็นเครื่องที่แม่ซื้อให้ตอนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้) จะให้รู้จักเครื่องเสียงราคาเป็นหลักพันเหรียญสหรัฐ (ในยุคนั้น) ก็คงเป็นไปไม่ได้ สรุปว่าผมเกิดไม่ทัน (ในวงการเครื่องเสียง) SCP-2 จึงเป็นตำนานไงครับ 555 :D

ผมได้ใช้เครื่องล้างแผ่นเสียง VPI 16.5 ล้างแผ่นเสียงหลายครั้งแล้ว พบว่าได้ผลที่น่าประทับใจมาก แผ่นที่ล้างแล้วนำไปเปิดเล่นจะได้พื้นเสียงที่สะอาดและเงียบสงัด และไม่มีขุยหรือฝุ่นผงเกาะติดปลายเข็มหลังจากที่ได้เล่นแผ่นในแต่ละหน้าแล้ว การล้างแผ่นเสียงด้วยมืออาจได้ผลในระดับหนึ่งสำหรับคนที่มีงบน้อยและมีแผ่นไม่มากและมีความขยันอดทนสูง แต่ข้อเสียของเครื่องล้างแผ่นตัวนี้ก็คือมีเสียงดังค่อนข้างมาก ไม่ควรเปิดล้างแผ่นในยามค่ำคืนหรือดึกดื่น เพราะอาจทำให้คนที่อยู่บ้านเดียวกันกับท่านลุกงัวเงียจากที่นอนลงมาให้ศีลให้พรท่านกลางดึกเอาได้ ดังนั้นจึงควรใช้เครื่องนี้ในยามกลางวัน และในยามกลางคืนถ้าจำเป็นต้องล้างแผ่นเสียง ให้ใช้วิธีล้างด้วยมือจะดีกว่าครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/vpi%20hw16.5_2_zpsasrvqlbo.jpg)

เจอแล้วครับ ภาพของ Silvano Stereo Cassette Receiver ซึ่งถือเป็นเครื่องเสียงชุดแรกในชีวิตการเล่นเครื่องเสียงของผม ตอนนั้นแม่ซื้อให้พร้อมกับลำโพง Pioneer อีกหนึ่งคู่ ทั้งชุดราคาสี่พันกว่าบาท ค่าเงินเมื่อปี 2529 ผมว่าก็ไม่น้อยอยู่นะ ตอนที่ได้เครื่องนี้มาใหม่ ๆ ผมตะลุยซื้อเทปมาฟังเป็นว่าเล่นเลย ภาครับวิทยุเอฟเอ็มก็เสียงดีด้วยครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/silvano1_zpslod2deez.jpeg)

อินทิเกรทเตดแอมป์ Jeff Rowland Continuum S2 กำลังขับ 400 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม และ 800 วัตต์ที่ 4 โอห์ม ราคาขาย 9500 เหรียญสหรัฐ ราคาขายในบ้านเราก็ประมาณ 3xx,xxx บาท ราคาพอ ๆ กันกับ McIntosh MA-8000 เลย เตรียมหยอดกระปุกอีกสัก 4-5 ปีจะดีมั้ยเนี่ยเรา อิ อิ

(https://static1.squarespace.com/static/55787f0ae4b02f0501debbeb/t/57450b990442626ff0b42672/1464142751019/?format=750w)

เช็คราคามาล่าสุด Jeff Rowland Continuum S2 ราคาเกือบทะลุสี่แสนแล้ว (สามแสนแก่ ๆ) ส่วนเจ้า "ปีศาจ" ข้างล่างนี้ Jeff Rowland Daemon อินทิเกรตเตดแอมป์กำลังขับ 1500 วัตต์ (พลังเยอะที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น integrated amp มา) ราคาประมาณ 39,000 เหรีญสหรัฐ เทียบเป็นเงินไทยเอาเองก็แล้วกันครับ 555

เครดิตภาพ www.stereophile.com

(http://www.stereophile.com/images/100215-Rowland_Daemon-600.jpg)

ฟังก์ชั่น tone control หรือปุ่มปรับเสียงทุ้มแหลมที่ให้มากับแอมป์ Parasound Halo 2.1 Integrated นั้นมีประโยชน์มากในกรณีที่ source หรือแหล่งกำเนิดเสียง (เช่น แผ่นเสียง, ซีดี ฯลฯ) มีคุณภาพเสียงไม่ดีหรือกรณีที่เล่นแผ่นตลาดทั่วไป การใช้ฟังก์ชั่นปรับทุ้มแหลมจะช่วยให้เสียงน่าฟังขึ้น เช่น ถ้าเสียงเบสส์บาง ก็ปรับเบสส์เพิ่มสักนิด ถ้าเสียงแหลมกุด ก็ยกแหลมให้มันกรุ๊งกริ๊งขึ้นอีกหน่อย ตามใจหูของเราดีกว่าครับ ผมไม่ใช่พวก audiophile จ๋าประเภทที่ไม่พึ่ง tone control ตลอด แต่ก็ยังยอมรับว่า ถ้าแผ่นบันทึกเสียงมาดีอยู่แล้ว tone control อาจไม่จำเป็น แต่ถ้าแผ่นไหนบันทึกเสียงมาไม่ค่อยดี (ส่วนใหญ่ก็เป็นแผ่นตลาดทั่วไปที่ออกจำหน่ายในยุค 50's, 60's, 70's เรื่อยมา หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นเพลงที่เราคุ้นเคยนั่นแหละครับ) ยก tone control เถอะครับ แล้วจะฟังมันส์ขึ้นเยอะเลย ตอนผมได้แอมป์ตัวนี้มาใหม่ ๆ ดัดจริตไม่ใช้ tone control กับทุกแผ่นที่เปิดฟัง (เพราะกลัวคุณภาพเสียงจะไม่พิสุทธิ์) แต่ฟังแล้วทำไมเสียงช่างจืดชืดเหลือเกิน ครั้นพอลองใช้ปุ่มปรับทุ้มแหลมหรือ tone control โดยเฉพาะกับแผ่นเพลงไทยแล้ว รู้สึกฟังเพลงได้สนุก มันส์สะใจขึ้นเยอะเลยครับ ขอบคุณแอมป์ Parasound ที่ยังอุตส่าห์ใจกว้างให้ฟังก์ชั่นนี้มาด้วย แต่สำหรับแอมป์ไฮเอนด์ยี่ห้ออื่น ส่วนใหญ่ไม่มีฟังก์ชั่นนี้มาให้ เพราะเขาต้องการให้เราฟังกันแฟลต ๆ ไม่ต้องมีการปรับแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น (สงสัยคงจะเหมาะกับแผ่นดี ๆ หรือแผ่น audiophile เท่านั้น เพราะแอมป์พวกนี้ถ้าเจอแผ่นคุณภาพเสียงไม่ดี ปรับแต่งทุ้มแหลมไม่ได้ ผมว่าคนที่ชอบฟังเพลงตลาดอย่างผมก็คงไม่ชอบและไม่อยากจะได้มันมาครอบครองหรอกครับ)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/parasound3_zpszayxen8v.jpg)

แอมป์ไฮเอนด์อีกยี่ห้อหนึ่ง (ในจำนวนไม่กี่ยี่ห้อ) ที่ยังให้ความสำคัญกับการปรับทุ้มแหลม หรือการมีฟังก์ชั่น tone control คือยี่ห้อ McIntosh แต่ McIntosh นี่ให้ปรับแต่งกันหลายปุ่มละเอียดเป็นค่าความถี่คล้ายพวก equalizer (ปุ่มที่เห็นเรียงเป็นแนวเดียวกันบนแผงหน้า) นี่คือแอมป์ยี่ห้อหนึ่งซึ่งอยู่ในสายตาของผมเสมอ (หมายความว่า ถ้ามีโอกาสได้เล่น ก็จะหามาเล่นครับ)

เครดิตภาพ www.whathifi.com

(http://images.cdn.whathifi.com/sites/whathifi.com/files/styles/big-image/public/MA8000_Front_Top.jpg?itok=LaRnkyJS)

แอมป์ Parasound Halo Integrated ของผมติด Class A ในหมวด integrated amps & receivers ของ Stereophile ประจำปี 2016 (Stereophile 2016 Recommended Components) ด้วยครับ ปลื้มใจจริงจริ๊งง... พับเผื่อย 555 :D

http://www.stereophile.com/content/2016-recommended-components-integrated-amps-receivers#zyTrpEDY0bIpAEoK.97

Parasound Halo Integrated: $2495
Parasound's Halo offers 160Wpc from its bipolar output section—JFETs and MOSFETs are pressed into service elsewhere in the amp—plus a list of convenience features that includes: a dedicated subwoofer output with its own variable high- and low-pass crossover filters and front-panel level control; a 32-bit DAC with USB, coaxial, and optical inputs; a discrete headphone amplifier; an MM/MC phono stage; and six line inputs (one balanced, five unbalanced). HR particularly praised the "easy, intimate realism" of the Halo's phono stage, as well as the "great boogie" factor of its DAC and the amp's overall "easy flowing, mostly smooth, and decidedly mellow" personality. This was not to take away from the Parasound's musical incisiveness: "The Halo played tunes and sang songs as if they mattered," wrote Herb. JA wrapped up his measurements by observing that the Halo Integrated "is a well-engineered, well-performing product." (Vol.38 No.11 WWW)
Read more at http://www.stereophile.com/content/2016-recommended-components-integrated-amps-receivers#pEMsqtrSs8D9hBgm.99

Yamaha A-S3000 อินทิเกรตเตดแอมป์ แนะนำโดย The Absolute Sound (Editor's Choice) กำลังขับ 130 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม มีเข็มวียูมิเตอร์แสดงระดับสัญญาณ output มีปุ่มปรับทุ้มแหลม เสียงสไตล์ Natural Sound ตามหลักปรัชญาการออกแบบของ Yamaha ราคา 6,999 เหรียญสหรัฐ ผมว่าราคาขนาดนี้เมื่อเทียบกับสเป็คของมันแล้ว อาจต้องเจอคู่แข่งชนิดหืดขึ้นคอล่ะครับ เป็นต้นว่า ถ้าผมเพิ่มงบอีก 150 เป็น 7150 เหรียญสหรัฐ ผมก็ได้เล่น Pass Labs INT-150 ซึ่งมีกำลังขับ 150 วัตต์ที่ 8 โอห์ม และได้ความเป็นแอมป์อเมริกันที่กล้ามใหญ่ใจถึงไม่กลัวลำโพงโหด ๆ ทั้งหลาย บอกตรง ๆ ว่า ในงบประมาณเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน จะให้ผมเลือกอะไรระหว่างแอมป์ญี่ปุ่นหรือแอมป์อเมริกัน ท่านคงมีคำตอบอยู่แล้วใช่มั้ยครับ 555

(http://tas.zeitpress.com/resizer/articles/images/yamaha_a-s3000.png/?size=648,460)

ปกติเรามักคุ้นเคยกับการต่อเครื่องเล่นซีดีเข้ากับแอมป์โดยใช้สายสัญญาณ RCA ซึ่งมีมาเป็นคู่ แต่เนื่องจากแอมป์ Parasound Halo Integrated ที่ผมใช้อยู่ในปัจจุบันมีภาค DAC รวมอยู่ในเครื่อง โดยเอื้อให้ใช้สายดิจิตอลได้ทั้งประเภท coaxial และ optical และสามารถเลือกฟังก์ชั่นทั้ง coaxial และ digital ด้านหน้าแอมป์ได้ด้วย ในเมื่อให้มาอย่างนี้ผมก็ลองเลยครับ ซื้อสาย coaxial รุ่น Performance ของ QED มา ราคาพันกว่าบาท (เป็นสายเส้นเดียว ไม่ใช่เป็นคู่เหมือนสาย RCA) ถอดสาย RCA ชุดเก่าออก เสียบสาย coaxial จากเครื่องเล่นซีดี Audiolab 8200CD เข้าสู่ขั้ว coaxial input ด้านหลัง แล้วเปิดเพลงฟัง ทีนี้ได้เรื่องเลยครับ รู้สึกได้ชัดว่าเสียงดีกว่าเก่า ได้รายละเอียดหยุมหยิมมากขึ้น รวมทั้งความก้องกังวาน บรรยากาศโดยรวมดีมาก คุ้มค่าแก่การลงทุนครับ (ภาค DAC ที่ให้มาในแอมป์ไม่ใช่แค่เป็นของแถมนะครับ ขอบอก 555)

http://www.qed.co.uk/hdmi_digital/digital_audio/qed_performance_digital_audio_cable.htm

น้าไมค์กี้ หรือ Michael Fremer แห่ง Stereophile และเว็บ Analog Planet พาเที่ยวชมห้องฟัง/ห้องทำงานของน้าเค้าครับ (แผ่นเสียงเพียบเลย) ถ้าตั้งใจฟังให้ดี แกมีคอมเม้นต์พอสมควรเกี่ยวกับวงการและอุตสาหกรรมเครื่องเสียงตามประสานักวิจารณ์ด้วยครับ

https://www.youtube.com/watch?v=H07NpWk_Xf8

อยากได้หัวเข็ม Kiseki Blue N.S. มาเก็บไว้อีกสักหัว เพราะร้านเจ้าประจำเสนอราคาขายที่ยั่วยวนใจมาก แต่ต้องหยุดความคิดนี้ไว้ก่อน เพราะเป้าประสงค์หลักตอนนี้ของผมคือจะซื้อ phono stage ตัวใหม่และเปลี่ยนลำโพงใหม่ แถมช่วงนี้ภาวะการเงินฝืดเคืองครับ :(

เครดิตภาพ https://audiorevelation.com

(https://audiorevelation.com/wp-content/uploads/2015/02/kiseki-blue-ns-phono-cartridge-1.jpg)

สามปีหลังจากที่ Parasound ได้ออก Halo 2.1 Integrated Amp (ปี 2015) และเป็นแอมป์ที่ผมกำลังใช้งานอยู่ มาปีนี้ Parasound ออกรุ่น HINT 6 (HINT ย่อมาจาก Halo INTegrated) ซึ่งว่ากันว่าเป็นพัฒนาการจากรุ่นเดิม ด้วยสนนราคาที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 500 เหรียญ กล่าวคือ HINT 6 ราคา 2995 เหรียญสหรัฐ ส่วน Halo เวอร์ชั่นเดิม ราคา 2495 เหรียญสหรัฐ แหม ไม่น่ารีบซื้อก่อนเลยเรา 555

เครดิตภาพ https://theaudiophileman.com

(https://theaudiophileman.com/wp-content/uploads/2018/08/Screen-Shot-2018-08-22-at-16.07.25-1080x384.png)

ดูคลิปนี้แล้วอิจฉาเจ้าของคลิปที่มีภรรยาซึ่งเวลาที่เขาไปเดินเที่ยวหาซื้อแผ่นเสียงและเครื่องเสียง (ที่ประเทศญี่ปุ่น) ภรรยาก็ไปด้วย และไม่เคยขัดคอเลย (อยากมีโมเม้นต์แบบนี้บ้างจัง) ร้านเครื่องเสียงที่เขาพาไปดูนั้นมีแต่เครื่องเสียงที่น่าสนใจทั้งนั้น เสียแต่ว่าญี่ปุ่นใช้ไฟฟ้า 100 v ไม่เหมือนของบ้านเรา เสร็จแล้วมีพาไปดูแผ่นเสียงด้วยครับ

https://www.youtube.com/watch?v=r6AgbLEtNaA

โบนัสไม่ดี ปีนี้งดซื้อหรือเปลี่ยนหรืออัพเกรดเครื่องเสียงในซิสเต็มครับ :P

หยิบเอาแผ่นเสียงชุด Waiters On The Dance ของ Julian Jay Savarin (แผ่นอังกฤษผลิตโดย Five Hours Back) มาเล่น แผ่นนี้แต่ก่อนฟังบ่อย และได้หยุดฟังมาระยะหนึ่งแล้ว คราวนี้นำมาเล่นกับหัวเข็ม Dynavector XX2 Mk II พอขึ้นเพลงแรก Child Of The Night เท่านั้น เป็นได้เฮ เพราะฉงนและทึ่งกับเสียงเบสส์ที่ชัดเจนและหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยได้ยินจากหัวเข็มที่เคยเล่นมาก่อนหน้านี้ (Benz ACE SL) และอาจเป็นไปได้ที่หัวเข็มได้พ้นระยะ burn in แล้วด้วย ผมจึงนึกถึงที่เขาร่ำลือกันในเรื่องคุณภาพเสียงเบสส์ของ Dynavector XX2 Mk II ก็เป็นอันว่าถูกใจคอร็อคอย่างผมสิครับ 555 สรุป ในงบประมาณไม่เกิน 2000 เหรียญสรอ. เป็นหัวเข็มที่น่าเล่นครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV_XX2_MkII_6_zpstvxgayrc.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/My%20LP%20Collection/julianjaysavarin1.jpg)

คำกล่าวที่น่าคิดของ Alan Parsons (น่าจะเป็นการส่งสารไปถึงพวกศิลปินที่ทำเพลงทำดนตรีนะครับ... เดาเอา 555)

"Audiophiles don’t use their equipment to listen to music. Audiophiles use your music to listen to their equipment.”

"ออดิโอไฟล์ไม่ใช้อุปกรณ์เครื่องเสียงของพวกเขาเพื่อฟังดนตรี ออดิโอไฟล์ใช้ดนตรีของท่านเพื่อฟังอุปกรณ์เครื่องเสียงของพวกเขา"

5555   

ผมได้ phono stage หรือ phono pre-amp ของ Dynavector รุ่น P-75 Mk II มาร่วมเป็นสมาชิกในระบบเครื่องเสียง เนื่องจากมีหัวเข็มของ Dynavector ไว้เล่นอยู่แล้วหลายหัว และมีคนจะปล่อยอุปกรณ์ชิ้นนี้ในราคาที่ผมเห็นว่าไม่แพงนัก จึงลองซื้อมาเล่น ซึ่งก็น่าจะเข้ากันได้ดีกับหัวเข็มยี่ห้อเดียวกันครับ

สรุปว่าตอนนี้ผมมี phono pre-amp อยู่สามตัว คือ Lehmann Black Cube, ASR Mini Basis Mk III และ Dynavector P-75 Mk III

เครดิตภาพ www.dynavector.com

(https://www.dynavector.com/products/amp/images/p75_front.jpg)

เพิ่งทราบว่า Ken Ishiwata จอม tweak (ปรับปรุง) ผู้มีสายสัมพันธ์กับ Marantz และเครื่องเสียงหลายรุ่นของยี่ห้อนี้ ได้เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 72 ที่ประเทศเบลเยี่ยม เครื่องเสียง Marantz รุ่นใด ไม่ว่าจะเป็นแอมป์ เครื่องเล่นซีดี ฯลฯ ที่ Ken Ishiwata ลงมือปรับปรุงให้และพะชื่อว่า K.I. Signature นั้น ย่อมพิเศษเหนือกว่ารุ่นหรือเวอร์ชั่นปกติทั่วไปอย่างแน่นอน และที่โดดเด่นในความทรงจำของนักเล่นเครื่องเสียงชาวไทยก็คือ เครื่องเล่นซีดี Marantz รุ่น CD63 Mk II K.I. Signature ซึ่งผมเพิ่งซื้อได้มา (มือสอง) นี่แหละครับ (ภาพประกอบยืมเขามานะครับ)

https://www.avtechguide.com/ken-ishiwata-the-hifi-legend-has-pass-away/

เครดิตภาพ http://www.audioscope.net/

(http://www.audioscope.net/images/marantzcd63mk2ki2.jpg)

My System Update (22/01/2020)
1. Amplifiers
1.1 Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)
1.2 Marantz 2385 Stereophonic Receiver (185 watts)
1.3 Pioneer M-73 Power Amplifier (small version of SPEC 3)
1.4 Pioneer C-73 Preamplifier (SPEC 4)
1.5 Parasound Halo 2.1 Integrated Amplifier (160 watts/ch @ 8 ohm)

2. Sources
2.1 Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)
2.2 Audiolab 8200CD CD Player
2.3 Marantz CD63 Mk II K.I. Signature CD Player (newly added)
2.4 Turntable Systems:
2.4.1 VPI Classsic 1 turntable, VPI JMW 10.5 SE tonearm (with Dynavector XX-2 Mk II mc phono cartridge)
2.4.2 Audio Linear TD-4001 turntable with Dynavector DV-505 tonearm

3. Moving Coil Phono Cartridges:
3.1 Ortofon MC15 Super Mk II (low output)
3.2 Dynavector DV-20XH (high output)
3.3 Shelter 501 Mk ii (low output)
3.4 Benz Micro ACE SL (low output)
3.5 Ortofon MC20 Super 25th Anniversary Limited Edition (low output)
3.6 Dynavector DV-10X5 (high output)
3.7 Dynavector DV-20X2L (low output)
3.8 Dynavector Karat 17D3 (low output)
3.9 Dynavector XX-2 Mk II (low output)
3.10 Audio-Technica ART9 (low output)
3.11 Audio-Technica AT-OC9/III (low output)

4. Phono Pre-amplifiers:
4.1 Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)
4.2 ASR Mini Basis Mk III
4.3 Dynavector P-75 Mk II (newly added)

5. Loudspeakers
5.1 Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
5.2 PSB Image T6 Floorstanding Speakers

6. Cables & Accessories
6.1 Speaker cables: XLO Ultra Plus, 8 ft. with banana connectors
6.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III Hybrid
- Form turntable to phono pre-amp: XLO Ultra Plus
- From phono pre-amp to amplifier: XLO Ultra Plus
6.3 VPI 16.5 Record Cleaning Machine

Denon DP-47F Fully Automatic Direct Drive Turntable กะว่าจะเอาไว้เล่นแผ่นซิงเกิ้ล สปีด 45 เพราะเครื่องนี้น่าจะใช้งานได้สะดวกกว่า VPI Classic 1 ครับ

(ภาพยืม)

(https://hirose1117.ocnk.net/data/hirose1117/product/20180223_8f3ce9.jpg)

Denon DP-47F เทิร์นเทเบิ้ลระบบ direct drive ทำงานในลักษณะออโตเมติกสมบูรณ์แบบ (หรือจะเล่นในแบบ manual ก็ได้) ออกจำหน่ายในตลาดครั้งแรกเมื่อปี 2528 และเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นท้าย ๆ ของ Denon ที่ออกแบบ สร้าง และพัฒนาไว้อย่างฝากฝีไม้ลายมือเต็มที่ ก่อนที่ Denon จะหันไปเอาดีกับธุรกิจดิจิตอลหรือ compact disc ที่กำลังจะเริ่มบูมในยุคนั้น ผมเองว่าจะไม่เล่นไม่ซื้อเครื่องเล่นแผ่นเสียงเพิ่มอีกแล้วในขณะนี้ แต่พอเห็นหุ่น ทรวดทรง รีวิวการทำงาน (อย่างที่เห็นในคลิป youtube) และความเห็นในเชิงบวกของพวกนักเล่นนักฟังชาวต่างชาติที่เคยเล่น Denon DP-47F รุ่นนี้ ประกอบกับได้เครื่องที่มีราคาสมเหตุสมผล ไม่แพงนัก ก็เลยอดใจไม่ไหว ต้องจัดมาไว้สักเครื่องครับ

https://www.youtube.com/watch?v=g5w1C4i5jNQ

จองและจ่ายเงินไว้แล้วเรียบร้อย เวลาล่วงเลยไปเป็นเดือน เพิ่งมีโอกาสไปรับเครื่องเล่นแผ่นเสียง Denon DP-47F ซึ่งสภาพโดยรวมถือว่าดี ตัวแท่นยังเป็นเงาสวยงามอยู่ เสียอยู่นิดเดียวที่ฝาครอบเดิมออกจะขุ่นเหลืองและมีรอยขีดข่วนบ้างพอสมควร ตัวแทนผู้ฝากขายเคยถามผมว่าจะให้ทำฝาครอบให้ใหม่หรือไม่ ผมตอบว่าขอฝาครอบเดิมก็แล้วกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยสวยก็ตามครับ

ภาพแทน

(http://usr.audioasylum.com/images/3/36969/Mando_s_Pics_0071.jpg)

เรื่องระบบไฟฟ้าในบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง... เมื่อสัปดาห์ก่อนที่บ้านของผมเกิดภาวะกระแสไฟฟ้าตก เช่น เสียบปลั๊กไฟเพื่อจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วไฟเพดานดับ ๆ ติด ๆ เวลาเปิดสวิตช์แอมป์หรือเครื่องขยายเสียง ไฟส่องสว่างบนเพดานเกิดอาการวูบเล็กน้อย ฯลฯ ตอนแรกยังไม่ค่อยติดใจ แต่ต่อมาผมคิดว่าชักจะยังไงซะแล้ว ปรึกษาแฟน แฟนก็เรียกให้พี่เขยที่เป็นช่างไฟฟ้ามาเดินสายไฟฟ้าที่บ้านให้ใหม่ทั้งหลังและลงสายดิน (ground) เปลี่ยนปลั๊กทุกตัวเป็นแบบปลั๊กสามขาให้หมด เพราะปลั๊กของเดิมเป็นรุ่นเก่า (ปลั๊กสองขา) ทั้งสายไฟและปลั๊กใช้งานมาร่วม 30 กว่าปี ซึ่งผมคิดว่าน่าจะนานพอแล้ว และตรงเพดานเหนือที่วางเครื่องเล่นแผ่นเสียง ผมขอให้เขาติดตั้งโคมไฟราง (track light) ดวงเล็ก ๆ จำนวน 3 ดวง ให้เป็นสปอตไลท์ฉายลงมาบนแท่นเครื่องเล่นแผ่นเสียง เพื่อให้แสงสว่างและช่วยสร้างบรรยากาศการฟังเพลงในยามค่ำคืน โดยโคมไฟรางนี้สามารถบิดปรับและเลื่อนไปมาบนรางตามความเหมาะสมในการส่องสว่างได้ด้วยครับ

ขอเล่าต่อ เกี่ยวกับเรื่องกระแสไฟฟ้าภายในบ้าน ซึ่งเป็นปัญหาที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด และเพิ่งมาเจอปัญหาอย่างหนักเมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงกับต้องเรียกช่างไฟฟ้ามาจัดการเดินสายไฟให้ใหม่ในบ้านทั้งหลัง ซึ่งอยู่มาได้ 30 กว่าปีแล้ว... อันที่จริงก็สมควรแก่เวลาแล้วล่ะครับ มิฉะนั้นจะเจอปัญหาไฟฟ้าวูบวาบ ติด ๆ ดับ ๆ ซึ่งคงจะเป็นเพราะแรงดันและกระแสไฟฟ้าเดินไม่เรียบจากสายไฟที่เก่ามากและรอยต่อระหว่างสายไฟ บางครั้งมีอาการไฟฟ้ากระตุกหรือกระชาก ถ้าปล่อยไว้นานอาจเสียหายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องเสียงได้ เที่ยวนี้หมดค่าทำไฟฟ้าไปเป็นหลักหมื่น เพื่อแลกกับระบบไฟฟ้าที่มั่นคง ปลอดภัย และมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น ยังไงก็คงต้องยอม ผมไม่ทราบว่าที่ผ่านมากระแสไฟฟ้าที่เดินไม่ราบเรียบได้สร้างความเสียหายให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะเครื่องเสียงมากน้อยเพียงใด แต่ในส่วนเครื่องเสียง ยังดีหน่อยที่ผมไม่ค่อยได้เปิดเล่น และใช้ชุดปลั๊กป้องกันไฟตก ไฟกระชาก แต่ก็ไม่ทราบจะป้องกันได้แค้ไหน การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือระบบสายไฟเก่าภายในบ้านคือการแก้ปัญหาตรงจุดที่สุด ยกตัวอย่าง ก่อนหน้าที่จะทำการเดินสายไฟใหม่ เวลาเล่นแผ่นเสียง มีเสียงเปรี๊ยะปร๊ะดังออกมาจากลำโพงเป็นระยะ ๆ ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเสียงข้าวโพดคั่ว pops & clicks จากร่องแผ่นเสียงที่ไม่สะอาด แต่ลองฟังดูดี ๆ แล้วไม่ใช่ มันน่าจะเป็นเสียงกระแสไฟฟ้าที่ไม่สะอาดจากการกระตุกหรือกระชากมากกว่า กลายเป็นเสียงขยะแถมออกมาจากลำโพง และที่น่ากลัวคือ เครื่องเสียงและอุปกรณ์ไฟฟ้าจะพังในบั้นปลาย แต่พอเดินสายไฟฟ้าใหม่ ปัญหาเสียงขยะพวกนี้หายไปเลยครับ

ไม่ใช่แค่เป็น phono stage เพื่อขยายสัญญาณของหัวเข็มทั่วไป (ก่อนที่สัญญาณนั้นจะเข้าสู่แอมป์) แต่ Dynavector P-75 Mk II ยังเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตเขาเรียกว่า Phono Enhancer ซึ่งเป็น mode ที่มีไว้เพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุดจากหัวเข็มของ Dynavector เองเพื่อปรับปรุงให้เสียงที่ได้จากหัวเข็ม Dynavector เหนือกว่าขึ้นไปอีก เพียงแต่ต้องดูคู่มือแล้วใช้สกรู Allen เปิดเคสของเครื่องเพื่อสับเปลี่ยนตำแหน่งตัว jumper ตามผังที่คู่มือกำหนดไว้เท่านั้น... ::) :-[

อ่านรีวิวหลายที่ เห็นเค้าว่าน่าเล่น คุณภาพเกินตัวเครื่อง (ซึ่งมีขนาดเล็ก) อายที่จะบอกว่าซื้อมาทิ้งไว้นานแล้ว แต่ขี้เกียจเล่น ขี้เกียจปรับ สงสัยตอนนี้คงถึงเวลาแล้วมั้งครับ 555

เครดิตภาพ www.tonepublications.com

(http://www.tonepublications.com/media/dynavector-p-75.jpg)

(http://www.tonepublications.com/media/dynavector-p-75.jpg)

This tiny, almost pocket-sized phono stage offered a huge sound for just $750... In fact, the sound quality is so good that Dynavector could have placed this circuit in a bigger box and charged two or three times as much. Kudos to Dynavector for keeping it real…real small.

ข้อมูลจาก www.tonepublications.com

อ่านคำบรรยายที่เป็นภาษาอังกฤษข้างต้นแล้ว มันช่างชวนให้เล่นจริง ๆ เดี๋ยวคืนนี้มีได้เสีย 555 :D

เมื่อคืนนี้ผมตื่นมาตอนตีสาม นั่งรีเซ็ต jumpers ของ phono stage เครื่องนี้ให้อยู่ที่โหมด Phono Enhancer เพื่อจะได้เล่นกับหัวเข็ม Dynavector XX-2 Mk II ที่ผมใช้อยู่ในปัจจุบัน นอนอีกทีตอนตีสี่ กะว่าจะตื่นตอนตีห้า แต่ประกฏว่าตื่นหกโมงสิบห้า ตาลีตาเหลือกรีบบึ่งไปทำงานแทบไม่ทันเลยครับ 555

ยุคนี้ใครจะใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือนั่งในรถเรือหรือเดินตามท้องถนน ก็ถือเป็นความสุขที่ว่ากันไปตาม lifestyle ของแต่ละคน แต่ความสุขของผมไม่ได้อยู่บนท้องถนนหรือในยานพาหนะโดยสาร ความสุขของผมอยู่ที่บ้านหลังจากเลิกงานแล้ว หาอะไรทาน ดูข่าวสักพัก ดึก ๆ ไม่มีอะไรจะดู ก็เปิดเครื่องเสียง ฟังแผ่นเสียงที่ตัวเองโปรดสักแผ่นสองแผ่นก่อนนอน วันหยุดสุดสัปดาห์ก็อาจฟังได้เยอะหน่อย ผมเชื่อว่าเป็นความสุขที่ใครอีกหลายคนอยากจะมีนะครับ ;)

เครดิตภาพ www.tonepublications.com

(http://www.tonepublications.com/media/dynavector-p-75.jpg)

ไม่ทันได้ฟังเสียงหรอกครับ พอเสียบปลั๊กเปิดเครื่องปุ๊บ เร่งวอลลู่มแอมป์แล้วมีเสียงฮัมดังออกมาทางลำโพง อย่างนี้มันผิดปกติแล้ว เพราะ phono stage ที่เคยใช้มาไม่เคยมีอาการแบบนี้ สงสัยอาจจะ adjust ค่าต่าง ๆ ไว้ผิดหรือไม่ก็มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับตัวเครื่อง ต้องยกไปให้ตัวแทนจำหน่ายช่วยตรวจดู ดังนั้น จึงเก็บลงกล่องไปเลย ไม่เป็นไร... ของเล่นเราเยอะแยะ 555 :D

ตั้งแต่ช่างมาทำระบบไฟในบ้านให้ใหม่โดยมีการต่อลงดินหรือ grounding ให้ด้วย จึงเหมาะที่จะใช้ปลั๊กชนิดสามขา ผมเริ่มมองหารางหรือชุดเต้ารับที่สามารถกรองไฟและป้องกันไฟกระชากได้ด้วย โดยดูสินค้ายี่ห้อดัง ๆ ของไทยอยู่สองสามยี่ห้อ ปรากฏว่ามีแต่ของราคาแพงทั้งนั้น คือ หลายพันบาทจนกระทั่งเป็นหมื่นกว่าบาท ผมไม่อยากลงทุนถึงขนาดนั้น จึงลองซื้อสินค้าของต่างประเทศ (จีน) มาใช้งานดู ก็รู้สึกว่าไม่เลวเลยครับ ของเค้าดูโปรฯดี ราคาก็ไม่แพงด้วย แค่พันต้น ๆ เท่านั้น เสียบใช้งานเครื่องเสียง เสียงก็ดีและมีพลัง รู้สึกแฮปปี้ครับ :D

(https://bookkaboss.files.wordpress.com/2017/10/e0b8aae0b984e0b8a5e0b894e0b98c22.png?w=700)

เครื่องเล่นซีดี Denon DCD-520AE ผมเห็นมีขายเป็นเครื่องมือสองอยู่ สเป็คและราคาน่าสนใจ จึงซื้อมาไว้ฟังแก้ขัด เพราะเครื่องเล่นซีดีที่มีอยู่ไม่รู้เป็นอะไร มีแต่เครื่องเสียและรอการซ่อมครับ

(http://www.noom-hifi.com/webboard/file-lib/webboard/20201111235545.jpg)

เครื่องเล่นซีดี Denon DCD-520AE ที่ผมได้มาดูดีเกินคาด เหมือนของใหม่ที่ยังไม่ได้เล่นเลย และมีอุปกรณ์ครบ รีโมทฯเหมือนยังไม่ถูกแกะออกมาใช้งาน เมื่อดูจากข้อมูลในอินเทอร์เน็ตแล้ว เป็นเครื่องรุ่นเล็กที่เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานเท่าที่จำเป็นจริง ๆ ตัดฟีเจอร์การใช้งานฟุ่มเฟือยและความหรูหราออก เหลือแต่คุณภาพเนื้อ ๆ แม้แต่จอ display เองก็ยังดูธรรมดามาก ไฟตัวอักษรไม่ค่อยสว่างมากนัก เสียงดีเมื่อออกจากกล่อง เป็นเสียงสไตล์ Denon คือ สด กระชับ รายละเอียดดี เสียงกลางและแหลมดีมาก แต่เนื้อเสียงค่อนไปทางบอบบางนิดหน่อยและเสียงเบสส์ไม่ลงลึกมาก ถ้าเครื่องยังไม่พ้นระยะ เบิร์น อิน เมื่อพ้นระยะนี้ไปแล้วอาจเสียงดีขึ้นอีกหน่อยก็ได้ ในราคานี้ ผมได้เท่านี้ก็พอใจแล้ว -- "เรียบง่าย ได้คุณภาพ" ครับ

(https://img.tarad.com/shop/h/hificenterthailand/img-lib/spd_2015042761734_b.jpg)

Denon DCD-520AE เป็นเครื่องเล่นซีดีคุณภาพที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน แม้แต่คู่มือการใช้งานของเขาเองก็อ่านเข้าใจง่ายมาก (เป็นภาษาอังกฤษ ในจำนวนหลายภาษาในเล่มเดียวกัน) อ่านนาทีเดียวก็เข้าใจแล้ว เพราะขั้นตอนฟังก์ชั่นการใช้งานไม่เยอะ ไม่หรูหราฟุ่มเฟือยเหมือนเครื่องเล่นซีดียี่ห้ออื่น ฟังก์ชั่นการใช้งานและลูกเล่นยิ่งเยอะ คู่มือการใช้งานก็ยิ่งมีเนื้อหามากครับ 555

(https://img.tarad.com/shop/h/hificenterthailand/img-lib/spd_2015042761734_b.jpg)

Denon DCD-520AE cd player ยิ่งใช้ ยิ่งชอบ เสียงแบบนี้ใช่เลย สไตล์ Denon คมชัด สดใส รายละเอียดดี โดยเฉพาะย่านกลางและแหลม เสียงแหลมนี่เป็นแหลมที่ละเอียดและไม่บาดหู ผมงัดเอาซีดีเพลงไทยเก่า ๆ ที่เก็บไว้มาเปิดฟังแผ่นแล้วแผ่นเล่า ยิ่งฟังยิ่งติดใจ แนะนำเลยครับ ใครอยากได้ของดีมีคุณภาพ ราคาสบายกระเป๋าชนิดที่ไม่ต้องลงทุนมาก การใช้งานง่ายดายไม่ซับซ้อน ไม่ไฮเทค ว่ากันแบบเบสิค เบสิค ไม่ควรมองข้ามเครื่องเล่นซีดีรุ่นนี้ครับ

(https://img.tarad.com/shop/h/hificenterthailand/img-lib/spd_2015042761734_b.jpg)

My System Update (11/12/2020)
1. Amplifiers
1.1 Harman/Kardon HK670 integrated amplifier (75 watts @ 8 ohm)
1.2 Roksan Kandy K2 integrated amplifier (125 watts/ch @ 8 ohm)
1.3 Marantz 2385 Stereophonic Receiver (185 watts)
1.4 Pioneer M-73 Power Amplifier (small version of SPEC 3)
1.5 Pioneer C-73 Preamplifier (SPEC 4)
1.6 Parasound Halo 2.1 Integrated Amplifier (160 watts/ch @ 8 ohm)

2. Sources
2.1 Denon DCD-2560 GL CD player (Gold Limited Edition)
2.2 Audiolab 8200CD CD Player
2.3 Marantz CD63 Mk II K.I. Signature CD Player (newly added)
2.4 Denon DCD520AE CD Player
2.5 Turntable Systems:
2.5.1 VPI Classsic 1 turntable, VPI JMW 10.5 SE tonearm (with Dynavector XX-2 Mk II mc phono cartridge)
2.5.2 Audio Linear TD-4001 turntable with Dynavector DV-505 tonearm
2.5.3 Denon DP47F Turntable

3. Moving Coil Phono Cartridges:
3.1 Ortofon MC15 Super Mk II (low output)
3.2 Dynavector DV-20XH (high output)
3.3 Shelter 501 Mk ii (low output)
3.4 Benz Micro ACE SL (low output)
3.5 Ortofon MC20 Super 25th Anniversary Limited Edition (low output)
3.6 Dynavector DV-10X5 (high output)
3.7 Dynavector DV-20X2L (low output)
3.8 Dynavector Karat 17D3 (low output)
3.9 Dynavector XX-2 Mk II (low output)
3.10 Audio-Technica ART9 (low output)
3.11 Audio-Technica AT-OC9/III (low output)

4. Phono Pre-amplifiers:
4.1 Lehmann Audio Black Cube MM & MC phono pre-amp (regular version)
4.2 ASR Mini Basis Mk III
4.3 Dynavector P-75 Mk II (newly added)

5. Loudspeakers
5.1 Wharfedale EM 93 bookshelf two-way loudspeakers
5.2 PSB Image T6 Floorstanding Speakers

6. Cables & Accessories
6.1 Speaker cables: XLO Ultra Plus, 8 ft. with banana connectors
6.2 Interconnect Cables
- From CD player to amplifier: van Den Hul D-102 Mk III Hybrid
- Form turntable to phono pre-amp: XLO Ultra Plus
- From phono pre-amp to amplifier: XLO Ultra Plus
6.3 VPI 16.5 Record Cleaning Machine

เล่าไปเรื่อยเปื่อย เกี่ยวกับเครื่องเสียงของตนเอง: ปฐมบท

จากเด็กนักศึกษาคนหนึ่งที่เริ่มเล่นชุด casette-receiver พร้อมลำโพง Pioneer หนึ่งคู่ซึ่งแม่ซื้อให้เพราะสอบเอนทรานซ์ติดเมื่อปี 2529 ไม่รู้วิธีการตั้งลำโพงที่ถูกต้อง คือวางลำโพงบนพื้นพรมและไม่เคยเปิดหน้ากากลำโพงฟังด้วยความที่เปิดหน้ากากแล้วลำโพงจะไม่สวย ผลลัพธ์ที่ได้คือ เสียงอับทึบ (เพราะยังเด็ก ไม่รู้จักคำว่า set up ลำโพง) แต่ก็ทนฟังอยู่อย่างนั้นอยู่หลายปี จนกระทั่ง...

เรียนจบ เริ่มทำงานเข้าปีที่สอง ราวปี 2534 ซื้อชุด mini component ของ Sansui มาชุดหนึ่ง ประกอบด้วย tuner, amp และเทปคาสเสท 2 หลุมในตัวถังเดียวกัน พร้อมลำโพงตั้งพื้นเข้าชุดยี่ห้อเดียวกัน ซึ่งในยุคนี้เองที่เป็นยุคที่โฆษณาบ้าวัตต์ PMPO เช่น 750 วัตต์ เอย 1000 วัตต์ เอย ฯลฯ ซึ่งเป็นวัตต์ชั่ววูบชั่วขณะ ไม่ใช่วัตต์ RMS ซึ่งเป็นวัตต์จริง ชุดนี้ใช้ฟังเทปคาสเสทเป็นหลักซึ่งมีทั้งเพลงไทยและเพลงฝรั่ง component ชุดนี้สวยมาก หน้าปัดมีช่อง VU meter คู่หนึ่งและมีช่องเสียบ phono ให้ด้วย ต่อมาผมจึงซื้อเครื่องเล่นแผ่นเสียง belt drive ของ Sansui ราคาสามพันกว่าบาทมาเล่นเข้าชุดกัน จำรุ่นเครื่องเล่นแผ่นเสียงไม่ได้แล้ว แต่ทุกวันนี้ยังเก็บไว้อยู่ (ขอบพระคุณคุณแม่มากที่อุตส่าห์เก็บของใช้ของลูกชายไว้ให้)

ในช่วงปี 2534-2535 สนใจอ่านหนังสือเครื่องเสียงเป็นพิเศษ เห็นรีวิว integrated amps รวมหมู่ในนิตยสารเครื่องเสียงฉบับหนึ่ง ประทับใจแอมป์ยี่ห้อ DUAL รุ่น CV5650 ซึ่งตอนนั้น Made in Germany แท้ ๆ ก็กัดฟันกำเงิน 12500 บาท ตรงไปที่ dealer ซื้อมาฟังที่บ้านเลย ไม่ต้องลองฟังดูก่อน เพราะศรัทธาในยี่ห้อนี้มานานแล้ว แต่แฟนที่คบหากันในยุคนั้นค้อนขวับ เพราะไม่พอใจที่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย (ในที่สุดผมก็เลิกกับแฟนคนนี้อีกไม่กี่ปีต่อมา)

ที่เล่ามาถึงตอนนี้ก็เพราะอยากจะบอกว่า ผมเป็นคนเล่นเครื่องเสียง แต่มีแนวทางการเล่นไม่เหมือนนักเล่นเครื่องเสียงทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเดินตามตำรา คือ ต้องมีห้องฟังให้พร้อมก่อน อ่านรีวิว สนใจหรืออยากได้เครื่องไหนก็จด short list ไว้ และไปตระเวนฟังจนพอใจ จนเข้าหูตัวเองก่อนจึงจะซื้อ ฯลฯ คือว่ากันตามกฎกติกาที่นักเล่นเครื่องเสียงทั่วไปพึงปฏิบัติ (หาอ่านกฎเหล่านี้ได้ตามหนังสือเครื่องเสียงทั่วไป ทั้งของไทยและเทศ และตามเว็บตลอดจนบอร์ดต่าง ๆ ที่พูดคุยเกี่ยวกับเครื่องเสียง) แต่ผมไม่ใช่... เพราะผมไม่มีห้องฟัง มีแค่มุมตั้งเครื่องเสียงในโซนนั่งเล่นของบ้าน townhouse และเครื่องเสียงทุกชิ้นที่เล่น ถ้าผมอ่านรีวิวรู้จักหน้าค่าตากันแล้ว เห็นสเป็คแล้วถูกใจ เสียงออกแนวนี้นะ ฯลฯ ผมซื้อมาเล่นเลย ไม่ต้องลอง และเล่นอยู่ได้หลายปีจึงจะเปลี่ยน โดยไม่ต้องสนใจความเห็นคนอื่น ไม่ต้องมีก๊วนเล่นเครื่องเสียง... เล่นมันคนเดียวนี่แหละครับ บ้านของตัวเอง เครื่องเสียงก็ของตัวเอง ไม่มีใครกล้ามาว่าหรือวิพากษ์วิจารณ์เครื่องหรือซิสเต็มของเราหรอก จริงมั้ยครับ? พอเวลาผ่านไป จังหวะเหมาะ สมควรแก่เวลาและมีงบประมาณพร้อมก็ถอยเครื่องใหม่มาฟัง ผมเชื่อว่าประสบการณ์เมื่อเวลาผ่านไปมันจะค่อย ๆ สอนเราเองครับ

เล่าไปเรื่อยเปื่อย เกี่ยวกับเครื่องเสียงของตนเอง: แรงบันดาลใจ

ผมสนใจเครื่องเสียงมาแต่ครั้งเมื่อยังเล็ก คือตั้งแต่จำความได้ พ่อของผมชอบฟังเพลง ทั้งลูกกรุงและลูกทุ่ง และมีเครื่องเล่นเทป reel-to-reel ยี่ห้อ SHARP รุ่น RD-505 สปีด 3 3/4 ips ระบบ mono (มีลำโพงเดียว) ไว้คอยอัดเพลงที่ชื่นชอบจากสถานีวิทยุหรือแหล่งอื่น ๆ ที่จะหาได้ในยุคนั้น เช่น เครื่องเสียงของเพื่อนบ้าน เป็นต้น ในยามว่างพ่อก็เปิดเทปเพลงที่อัดไว้ให้ผมและน้อง ๆ ฟัง ผมชอบมองดูรีลเทปในขณะที่กำลังหมุน พอโตขึ้นมาอีกนิด ตอนนั้นเรียนอยู่ ป.3 ผมมีโอกาสได้สัมผัสและลองเล่นแผ่นเสียงเป็นครั้งแรกจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง DUAL ของเพื่อนบ้านคนหนึ่งซึ่งยกชุดสเตริโอมาเปิดในงานปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ รู้สึกติดใจแผ่นเสียงมาตั้งแต่บัดนั้น และเช่นเดียวกันกับเทป reel-to-reel ผมชอบดูแผ่นเสียงในขณะที่มันกำลังหมุนอยู่บนแป้นหมุนของเครื่องเล่นแผ่นเสียง ทั้งเทปรีลและแผ่นเสียงมันให้ความมีชีวิตชีวาและความตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่ได้เล่นและได้สัมผัส ในขณะที่สื่อประเภทอื่นแม้แต่ซีดีก็ไม่อาจทำแบบนี้ได้ (คือใส่แผ่นเข้าเครื่อง กดปุ่ม play ก็มีแต่เสียงออกมาเท่านั้น)

ต่อมา ในขณะที่เรียนอยู่ชั้นประถมปลาย ผมได้มีโอกาสเห็นรูปในหน้านิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง เป็นรูปของผู้ชายชาวญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะเป็นดาราหรือคนดังอะไรสักอย่างในยุคนั้น (1970s) เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา ข้าง ๆ ตัวเขาเป็นเครื่องเสียงชุดใหญ่อลังการ เรียงเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป ชั้นบนสุดเป็นเครื่องเล่นเทปรีล (reel-to-reel tape recorder) ซึ่งมีม้วนรีลขนาดใหญ่ (ตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกครับว่ารีลเทปขนาดใหญ่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าไร เพิ่งทราบภายหลังว่ามีขนาด 10.5 นิ้ว) และแน่นอนว่าต้องมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วย แต่ผมจำยี่ห้อไม่ได้ว่าเป็นยี่ห้ออะไร ลำโพงที่ใช้ดูเหมือนเป็น JBL (ซึ่งคนญี่ปุ่นทั่วไปชื่นชอบลำโพงยี่ห้อนี้มากในยุคนั้น) เจ้าของเครื่องเสียงคนนี้นั่งอยู่ข้างชุดเครื่องเสียงของเขา สีหน้าบ่งบอกถึงความภูมิใจ และรูปนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมว่า ถ้าโตขึ้น มีงานมีการทำและมีรายได้แล้ว ผมจะต้องมีเครื่องเสียงให้ได้สักชุด และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ผมก็สามารถมีเครื่องเสียงได้ชุดหนึ่ง แต่คิดว่าคงไม่อลังการเท่าของคนที่ผมเห็นในรูป และยุคที่ผมสามารถมีเครื่องเสียงได้นั้น เป็นยุคดิจิทัล ซึ่งเครื่องเล่นซีดีครองตลาดและเครื่องเล่นเทปรีลเสื่อมความนิยม ต่อมาซีดีก็เสื่อมความนิยมลงบ้าง ไฟล์เพลง การ streaming และหรือสื่อดิจิทัลในรูปแบบอื่นเข้ามาแทนที่ในการฟังเพลง ลองหลับตาจินตนาการดูสิครับ... ถ้าเอาเครื่องเล่นดิจิทัลพวกนี้ใส่เข้าแทนที่เครื่องเล่นอนาล็อกอย่างเครื่องเล่นแผ่นเสียงและเทปรีล ชุดเครื่องเสียงชุดนั้นมันจะดูเล็กลงและขาดความขลังความอลังการลงไปเยอะเลยใช่ไหมครับ ไม่มีม้วนเทปหมุนอยู่บนเครื่อง และไม่มีแผ่นเสียงหมุนอยู่บนแป้นหมุนให้ดูเพลิน ๆ อีกต่อไป... ผมว่ามันขาดสุนทรียภาพแห่งการมองไปอักโข สำหรับผม การได้เล่น analogue source อย่างเครื่องเล่นแผ่นเสียงและหรือเทปรีลทำให้คำว่า "การเล่นเครื่องเสียง" มีความหมายชัดเจนที่สุด และถ้ามีโอกาสหรือจังหวะเหมาะ ผมจะขยายความถ้อยคำดังกล่าวนี้ต่อไปครับ

เล่าไปเรื่อยเปื่อย เกี่ยวกับเครื่องเสียงของตนเอง: เครื่องเสียงทุกชิ้นคือ "ครู"

เมื่อเริ่มจำความได้ ผมก็ได้เห็นเครื่องเล่นเทปโอเพ่นรีลยี่ห้อ Sharp รุ่น RD-505 ของพ่อแล้ว และก็โตมาพร้อมกับมัน พ่อของผมใช้อัดเพลงจากรายการวิทยุเอาไว้เปิดให้ผมและน้อง ๆ ได้ฟังกัน เช่น เพลงลูกกรุงและลูกทุ่งในยุคนั้น ผมกับน้องสองคนจึงได้ซึมซับเอาอารมณ์สุนทรีย์ในการฟังเพลงมาโดยไม่รู้ตัวเพราะการปลูกฝังของพ่อ และพ่อของผมนอกจากจะรู้จักเพลงไทยอมตะเก่า ๆ มากมายแล้ว (รวมทั้งนักร้องและศิลปินต่างประเทศบางคน เช่น Elvis, Hank Williams, The Beatles, Cliff Richard etc.) ท่านยังรู้จักประวัตินักร้อง ประวัติของเพลง และประวัติครูเพลงบางท่านในยุคนั้นด้วย หากท่านยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ ผมคงได้สอบถามเรื่องราวเกี่ยวเพลงไทยเก่า ๆ จากพ่อของผมได้อีกไม่น้อย ผมไม่แน่ใจว่าสมัยนี้ยังมีพ่อแม่ที่มีอารมณ์สุนทรีย์เปิดเพลงจากเครื่องเสียงและเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงให้ลูก ๆ ฟังในยามว่างหรือเปล่า -- กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า -- เทปเครื่องนี้ใช้รีลขนาด 5 นิ้วและเล่นได้เฉพาะสปีด 3 3/4 ips เท่านั้น แม่ยังเก็บเครื่องเล่นเทปนี้ไว้อย่างดีเพื่อรำลึกถึงพ่อถึงแม้ว่ามันจะใช้การไม่ได้แล้ว ตามข้อมูลที่พบในเน็ต ผมไม่ทราบว่าเครื่องนี้ออกจำหน่ายครั้งแรกเมื่อไร แต่มีเจ้าของเครื่องรุ่นนี้คนหนึ่งบอกว่าซื้อมาเมื่อปี 1966 ถ้าเป็นเช่นนั้น หากพิจารณาการออกแบบและรูปลักษณ์ ก็ถือเป็นเครื่องที่ทันสมัยเครื่องหนึ่งในยุคนั้นก็ว่าได้ บอดี้ของเครื่องภายนอกทำด้วยพลาสติกขึ้นรูป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในครั้งนั้นญี่ปุ่นได้เริ่มบุกเบิกทำตลาดสินค้าที่ใช้พลาสติกเป็นวัสดุหลักในการผลิตแล้ว

แม่ของผมเล่าให้ฟังว่า เครื่องเล่นเทป Sharp RD-505 นั้น แฟนเก่าของพ่อเป็นคนซื้อให้พ่อเป็นของขวัญ เนื่องในโอกาสที่เธอถูกหวย ราคาในตอนนั้นหนึ่งพันกว่าบาท เงินเดือนของพ่อทั้งเดือนแค่ 400 กว่าบาทเท่านั้น แสดงว่าเทปเครื่องนี้พ่อได้มันมาก่อนที่ผมจะเกิด เพราะคนที่ซื้อให้พ่อไม่ใช่แม่ของผม อ่านแล้วคงไม่งงนะครับ

ก็เป็นอันว่าเครื่องเล่นเทปโอเพ่นรีลที่เคยผ่านมือผมในวัยเด็กนั้นมีอยู่สองเครื่องด้วยกันตามลำดับก่อนหลัง คือ Sharp RD-505 ซึ่งเป็นของพ่อ (ครั้นผมโตพอ พ่อก็ยอมยกมันให้ผมเล่น) และ Sony TC-102 ซึ่งอาคนหนึ่งของผมยกมาให้เล่น หลังจากที่ Sharp RD-505 เสียจนเกินกว่าจะซ่อมแซมได้แล้ว ทั้งสองเครื่องนี้เป็นระบบโมโนและมีภาคขยายและลำโพงอยู่ในตัว ถ้าต้องการเนื้อเสียงที่ "ใหญ่" ขึ้นมาอีกนิด จะต้องหาตู้ลำโพงดอกเดียว (โมโน) ซึ่งต่อพ่วงกับสายแจ๊คเสียบเข้าช่อง External Speaker ข้างเครื่องเล่นเทป เราก็จะได้เสียงที่ฟังดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้นมาจากการขยายเสียงออกลำโพงพิเศษหรือลำโพงภายนอกดังว่า มันเป็นเทคนิคการเล่นเครื่องเสียงตามประสาชาวบ้านในยุคนั้น (40-50 ปีก่อน) ซึ่งเครื่องเสียงระบบสเตริโอยังไม่แพร่หลายและยังมีราคาแพงอยู่ และเป็นเทคนิคการเล่นเครื่องเสียงที่ไม่ซับซ้อนดังเช่นทุกวันนี้

อันที่จริงลำโพงที่ติดมาในตัวเครื่องมันให้เสียงแบน ๆ งุ้งงิ้ง ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร เด็กอย่างผมในตอนนั้นก็ยังรู้สึกได้ พ่อต้องทำลำโพงพิเศษขึ้นมาตู้หนึ่ง (ไม่ใช่คู่หนึ่ง เพราะไม่ใช่ระบบสเตริโอ) เอาแจ๊คเสียบต่อสัญญาณจากเครื่องเข้าลำโพงพิเศษภายนอก เสียงก็ค่อยน่าฟังขึ้นมาหน่อย แต่โลกทรรศน์และประสบการณ์ในการฟังเพลงของผมในตอนนั้นยังแคบและยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก เพราะเทปที่หมุนด้วยสปีด 3 3/4 ips นั้น คุณภาพเสียงสู้เทปที่หมุนด้วยสปีด 7 1/2 ips และ 15 ips ไม่ได้ เทปสปีดยิ่งเร็ว คุณภาพเสียงก็ยิ่งดี แต่ก็ต้องเปลืองเนื้อเทป เพราะเทปจะหมุนด้วยความเร็วมากขึ้นเป็นเท่าตัว มาตรฐานความเร็วในการอัดเพลงไว้ฟังให้ใกล้เคียงกับแหล่งต้นฉบับจะต้องใช้สปีด 7 1/2 ips ส่วนสปีด 15 ips เขามักเอาไว้ใช้ทำมาสเตอร์เทปในห้องบันทึกเสียง และสปีด 3 3/4 ips และ 1 7/8 ips ก็มักเอาไว้ใช้บันทึกเสียงพูดของคน เช่น ในการบันทึกเสียงการประชุม เพราะเทปจะวิ่งด้วยสปีดช้า กว่าเทปจะหมดรีลก็ใช้เวลานาน ดังนั้น ความเร็วที่เราเลือกจึงเป็นตัวบ่งบอกวัตถุประสงค์ในการใช้งาน

ขนาดรีลเทปมาตรฐานถือตามเส้นผ่าศูนย์กลางคือ 3 นิ้ว, 5 นิ้ว, 7 นิ้ว และ 10.5 นิ้ว ขึ้นอยู่กับเครื่องเล่นเทปว่าออกแบบมาให้เล่นกับรีลขนาดใดได้บ้าง เทปโอเพ่นรีลที่เล่นกันตามบ้านทั่วไปนิยมใช้ขนาดรีล 7 นิ้วเป็นมาตรฐาน ส่วนเครื่องที่เล่นรีล 10.5 นิ้วได้ สมัยนั้นเขาเรียกว่าเป็นเครื่องระดับ professional ซึ่งมักใช้กันในห้องบันทึกเสียง เช่นยี่ห้อ Akai, TEAC, Technics, Revox, TASCAM, Tandberg เป็นต้น แต่ต่อมาเครื่องเล่นเทประดับโปรฯบางยี่ห้อและบางรุ่น เช่น Revox A-77 และ B-77 ได้แพร่เข้าสู่ตลาดระดับ home use ด้วย รีลเทปยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งจุเนื้อเทปและจุเนื้อหาของเพลงได้มาก คุณภาพเสียงของเพลงที่บันทึกลงเทปโอเพ่นรีลและเล่นกลับด้วยสปีด 7 1/2 ips นั้นเหนือชั้นกว่าที่บันทึกด้วยเทปคาสเสทอย่างชัดเจนโดยมิต้องสงสัย แต่ผมแปลกใจที่คนเราพอยิ่งเจริญยิ่งมีวิวัฒนาการมากขึ้นมักจะชอบอะไรที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด (โดยตัดประเด็นเรื่องคุณภาพออกไปก่อน) เทปโอเพ่นรีลเปรียบเสมือนไดโนเสาร์ซึ่งเทอะทะและอุ้ยอ้าย และในที่สุดก็เสียตลาดส่วนใหญ่ให้แก่เทปคาสเสทไป

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/sharp%20rd505_zpszhq1aaod.jpg)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/sonytc102_zps6528a41d.jpg)

แค่เอามาให้ดูคั่นรายการ เพราะชอบ ๆ ๆ ๆ :D

Dan D'Agostino "Momentum" Integrated Amplifier
กำลังขับ 200 วัตต์ ที่ความต้านทาน 8 โอห์ม, 400 วัตต์ ที่ 4 โอห์ม, 800 วัตต์ ที่ 2 โอห์ม
รูปลักษณ์สวยงาม เร้าใจ เสียงก็น่าจะสุดยอด มีเวอร์ชั่นสีดำด้วยนะ อะฮ้า... ราคาก็ ดุ๊ ดุ
45,000 เหรียญสหรัฐ
แปลงเป็นเงินไทยก็ล้านสามกว่า ๆ
บุญฉันคงไม่ถึง (ฮ่า)

(http://tas.zeitpress.com/media/articles/images/thumbs/3690_Dan_DAgostino_Integrated_Amplifier.jpg.648x460_q85.jpg)

Dan D'Agostino "Momentum" Integrated Amplifier ในอังกฤษ รุ่นตัวถังสีเงินราคาจะถูกกว่ารุ่นตัวถังสีดำอยู่ 2000 ปอนด์สเตอร์ลิง ผมชอบตัวถังสีดำครับ (ทำไมไม่รวยและเงินเหลือใช้กับเขาบ้างนะ จะได้ถอยมาฟังซะหน่อย 555 ;D)

https://www.whathifi.com/dan-dagostino/momentum-integrated-amplifier/review

(https://cdn.mos.cms.futurecdn.net/NfPUbQexpRiu7nukp9yamK-970-80.jpg.webp)

Pass Labs INT-250 Integrated Amplifier อินทิเกรตเตด แอมป์ ของ Pass Labs ซึ่งมีกำลังขับ 250 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม และเบิ้ลเป็น 500 วัตต์ ที่ 4 โอห์ม

ราคาขาย 12000 เหรียญสหรัฐ เมื่อปี 2016

ผมว่าถ้าระดับราคาสักหมื่นกว่าเหรียญ และอยากได้มันจริง ๆ แล้วละก็ ยังไงก็ยังพอมีโอกาสได้มันมาครอบครองอยู่ โดยอาจต้องใช้เวลาเก็บเงินสักพัก (หลายปี) และหรือรอจนเกษียณอายุงานแล้วเจียดเงินที่สะสมไว้ส่วนหนึ่งมาซื้อ พอถึงตอนนั้นจริง ๆ อาจมีของดีเข้ามาในตลาดอีกก็ได้ ;D

แต่ถ้าเป็นระดับสี่ซ้าห้าหมื่นเหรียญสหรัฐนี่ (เช่นในกรณีของ Dan D'Agostino "Momentum" integrated amp) คงหมดปัญญาจริง ๆ ครับ :P

เครดิตภาพ www.theabsolutesound.com

(https://s3.us-east-2.amazonaws.com/images.theabsolutesound.com/wp-content/uploads/2020/11/pass_labs_int-250.png)

ผมได้หัวเข็ม Dynavector รุ่น XX2 Mk II มาใช้เมื่อราวต้นเดือนกรกฎาคม ปี 2559 เมื่อนับจนถึงบัดนี้ มันติดตั้งอยู่บนแท่น VPI Classic 1 รับใช้ผม เล่นดนตรีให้ผมฟังมาก็ครบ 5 ปีเต็ม...

ห้าปีผ่านไป ช่างไวเหลือเชื่อ นึกถึงวันแรกที่ผมได้ฟังน้ำเสียงจากหัวเข็มตัวนี้ ผมรู้สึกงั้น ๆ เห็นคุยกันนักหนา ทั้งจากปากคำของผู้ขายในบ้านเราและจากที่คุยกันในโลกออนไลน์ ว่าเสียงเบสส์ของหัวเข็มรุ่นนี้มีมาก เรียกง่าย ๆ ว่า "เบสส์เยอะ" ซึ่งน่าจะเป็นเสียงที่คนฟังทั่วไปชื่นชอบ

หากแต่พอได้ฟังใหม่ ๆ ผมคิดว่า เบสส์มันไม่ได้เยอะอย่างที่เคลมกันไว้ แต่เอาละ... ต้องให้เวลาเขาหน่อย คือฟังไปเรื่อย ๆ เพื่อเบิร์น อิน ไปในตัว แต่ผมต้องยอมรับว่า ตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น ตัวเองก็ไม่ค่อยได้เล่นเครื่องเสียงบ่อยนัก บางทีไม่ได้เล่นเป็นเดือนเลยก็มี ดังนั้น ระยะเวลาในการเบิร์น อิน หัวเข็มจึงทอดยาวออกไปอีก และสำหรับหัวเข็ม Dynavector XX2 Mk II บางคนว่าใช้เวลาเบิร์น อิน ประมาณ 50 ชั่วโมง บางคนก็ว่า 150 ชั่วโมง จึงจะได้สุ้มเสียงเข้าที่เข้าทาง ผมก็ไม่รู้จะเชื่อใครดี ระหว่าง 50 กับ 150 แต่มีความโน้มเอียงว่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะตัวตนแห่งเสียงเบสส์ที่แท้จริงของมันเพิ่งจะโผล่มาให้ผมได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ ผมทดลองเอาแผ่นเสียงที่เคยรู้สึกว่าเบสส์บางมาเล่น ก็รู้สึกพอใจที่แผ่นนั้นมีน้ำเสียงที่อิ่มหนาและลึกขึ้น ผมฟังอัลบั้มชุด In The Court Of The Crimson King ของ King Crimson (Made in USA) กับหัวเข็มตัวนี้แล้ว รู้สึกว่าไพเราะและน่าฟังอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะเสียงย่านทุ้มและแหลมมันออกมาให้ได้ยินชัดเจนมาก ดีกว่าหัวเข็มตัวก่อน ๆ ที่เคยใช้มาอย่างชัดเจน อย่างพวกแผ่นเสียงเพลงไทยที่คุณภาพเสียงไม่ค่อยดีนัก พอเอามาเล่นกับหัวเข็มตัวนี้แล้ว เสียงมันน่าฟังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และเป็นที่น่าสังเกตว่า Dynavector XX2 Mk II ให้การประนีประนอมกับแผ่นเสียงเก่าใช้งานแล้วและสึกหรออยู่พอสมควร คือเมื่อนำแผ่นพวกนี้มาเล่น รู้สึกว่าเสียงก็ยังน่าฟังอยู่เป็นส่วนใหญ่ ใครที่เก็บแผ่นเสียงเก่า ๆ ไว้มากมาย (เช่นผม) หากใช้หัวเข็มตัวนี้ ผมเชื่อว่ามาถูกทางแล้วครับ

เครดิตภาพ www.dynavector.com

(https://www.dynavector.com/products/cart/images/xx2mk2_340w_tra.gif)

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/DV_XX2_MkII_6_zpstvxgayrc.jpg)

สรุปลักษณะที่โดดเด่นของหัวเข็ม Dynavector XX2 Mk II จากการที่ได้ฟังมาเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งน่าจะพ้นระยะเวลา burn-in ประมาณ 150 ชั่วโมงแล้ว (50 ชั่วโมงอย่างที่คนทั่วไปเขาฟังกัน โดยส่วนตัว ผมว่ายังไม่น่าจะพอ ถ้าจะเอาให้ชัวร์ว่าหัวเข็มรุ่นนี้จะส่งประกายเจิดจรัสจริง ๆ ต้อง 150 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำครับ)
- ให้สมดุลเสียงระหว่างย่านกลาง ทุ้ม และแหลมดีมาก
- เสียงเบสส์หรือความถี่ต่ำชัดเจน มีเนื้อมีหนัง และทรงพลัง ในขณะที่หางเสียงแหลมก็ทอดขยายตัวออกไปอย่างพองาม และจะเรียกว่าติดปลายหวานก็น่าจะได้ แผ่นเสียงประเภท female vocalists ถ้าฟังผ่านหัวเข็มรุ่นนี้แล้ว เป็นได้ชวนให้หลงใหลเลยทีเดียว
- เสียงมี dynamic และแรงปะทะ มีการเน้นย้ำที่หัวโน้ตดนตรี ทำให้ผมนึกถึงลักษณะเสียงที่มี articulation ฟังเพลง pop & rock ได้อย่างมันส์
- เป็นมิตรกับแผ่นเสียงที่ใช้แล้ว, เป็นเรื่องปกติที่มีเสียงรบกวนจากแผ่นเสียงเหล่านี้ เพราะเป็นแผ่นเสียงเก่า แต่ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบหัวเข็มรุ่นนี้ ทำให้ฟังดูราวกับว่าเสียงรบกวนดังกล่าวถูกลดลงไปพอสมควร เหมือนเปิดโหมด dolby ของเครื่องเล่นเทป แผ่นเสียงบางแผ่นของผมเมื่อมองจากภายนอกมีสภาพไม่น่าเล่นและเต็มไปด้วยคราบ scuffs และริ้วรอย แต่พอลองเล่นกับหัวเข็มรุ่นนี้แล้วกลับสอบผ่านอย่างน่าประหลาดใจ ใครที่นิยมเก็บแผ่นเสียงเก่า (เหมือนผม) น่าจะถูกใจครับ
- สรุปของสรุปคือ นานมาแล้ว หลายปีดีดัก ชื่อของ Dynavector ไม่เคยสร้างความผิดหวังให้ผม เมื่อเทียบกับหัวเข็ม moving coil ยี่ห้ออื่น ๆ Dynavector อาจจะราคาแพงกว่า แต่ถ้าชอบเสียงในสไตล์อย่างที่เรียนไว้ข้างต้น และอดทนกับระยะเวลา burn-in ของมันที่ค่อนข้างจะนาน ผมเชื่อว่าในระยะยาว ผู้ใช้จะรู้สึกว่าหัวเข็ม moving coil ยี่ห้อนี้ (ซึ่งทุกรุ่นของเขาล้วนเป็นแบบ moving coil ทั้งสิ้น) คุ้มค่าสมราคามากครับ

Happy Listening!!

McIntosh MA12000 อินทิเกรตเตดแอมป์ไฮบริด ลูกผสมระหว่างหลอดกับโซลิดสเตทของ McIntosh เห็นแล้วก็น่าสนใจ แต่เมื่อดูราคาแล้ว 14000 เหรียญสหรัฐ คิดหนักเลยครับ (มองหาแอมป์ไว้ฟังในยามชีวิตหลังเกษียณอายุงาน)

เครดิตภาพ www.whatgroupmag.com

(https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/10/MA12000-Hero-USB.jpg)

เครื่องเล่นแผ่นเสียง VPI Classic 1 ซื้อใหม่ สด ซิง เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2558
วันที่ 27 เดือนนี้ ศักราชนี้ ก็จะมีอายุครบ 6 ปี แล้ว เผลอแป๊บเดียว เวลาผ่านไปเหมือนโกหก
6 ปีที่ได้รับใช้ผมมาโดยไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ผมรู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งที่ได้เล่นได้ฟังมัน และว่าง ๆ ก็อยากจะมาคุยถึงเครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องนี้เสียหน่อย เพราะมีหลายแง่มุมที่น่าสนใจซึ่งผมได้สังเกตเห็นจากการเล่นตลอดระยะเวลาร่วม 6 ปีที่ผ่านมาครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/IMG_3303_zpszr1atkgs.jpg)

เครื่องล้างแผ่นเสียงของผมเสียมาได้ร่วม 3 ปีแล้วมั้งครับ เพราะจู่ ๆ ไม่ทำงานเอาดื้อ ๆ เหมือนไฟไม่เข้าเครื่องหรืออะไรสักอย่าง ว่าจะยกไปให้ร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่ายทำการเซอร์วิส แต่ก็เลื่อนไปเลื่อนมา ติดสถานการณ์โควิด ทำให้ไม่ได้ไปเสียที จนกระทั่งร้านย้ายที่ตั้งออกไปไกลถึงฝั่งธนโน่น (จากเดิมอยู่ใจกลางเมืองย่านราชประสงค์) ผมจึงต้องหอบเครื่องขึ้นรถดั้นด้นเดินทางไปไกลกว่าเดิม... ก็อย่างว่าละครับ ของเสียก็ต้องซ่อม ไม่ซ่อมก็ไม่ได้ เพราะมันก็มีประโยชน์มากมายสำหรับคนที่เล่นแผ่นเสียงและมีแผ่นเสียงอยู่เป็นจำนวนมาก และอีกอย่างก็อุตส่าห์ซื้อมาตั้งแพง ไม่ซ่อมมาใช้ก็กระไรอยู่ครับ 5555

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/vpi%20hw16.5_2_zpsasrvqlbo.jpg)

Vandersteen 2Ce Signature III ผมเห็นลำโพงคู่นี้ตัวจริงแล้ว รู้สึกอยากเล่นมากเลยครับ ยิ่งได้ยินราคาแล้ว ยิ่งน่าไปหาเงินมาซื้อจังเลย อิอิ เจ้าของร้านบอกว่า นับแต่รุ่น 2Ce กำเนิดมาครั้งแรก นี่คือเจอเนอเรชั่นที่ 8 แล้ว ถ้าไม่ดีจริง ก็ไม่ยืนหยัดคงทนมาได้จนถึงบัดนี้ เป็นลำโพงรุ่นที่มีชื่อเสียงของ Vandersteen มาช้านานแล้วครับ

https://www.vandersteen.com/products/model-2ce-signature-iii

เครดิตภาพ www.vandersteen.com

(https://www.vandersteen.com/media/model%202%20print%20WEBSIZED.png)

พอจำนวนแผ่นเสียงมีมากขึ้น ชักจะเริ่มนิสัยเสีย ไม่ค่อยอยากล้างแผ่นเสียงด้วยมือแล้ว ต้องใช้เครื่องช่วย นอกจากผ่อนแรงเราแล้ว ยังล้างแผ่นเสียงได้สะอาดกว่าล้างด้วยมือ เพราะมีระบบดูดสุญญากาศ vacuum เป็นขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งดูดเอาฝุ่นที่เกาะตามร่องเหลือจากขั้นตอนการล้างออกได้แทบหมดจดทีเดียวเชียวครับ ตอนแรกไม่คิดจะซื้อหรอกนะ เพราะเครื่องล้างราคาค่อนข้างแพง ราคาอย่างต่ำ ๆ ก็สองหมื่นกว่าขึ้นไป แต่พอคิดในระยะยาวแล้วคุ้มค่า โดยเฉพาะคนที่มีแผ่นเสียงจำนวนมากและแผ่นที่สกปรกมาก ๆ สมควรมีเครื่องล้างแผ่นเสียงติดบ้านไว้ และนี่คือเหตุผลที่ผมต้องส่งเครื่องไปซ่อมเวลามันใช้การไม่ได้ครับ

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/vpi%20hw16.5_2_zpsasrvqlbo.jpg)

dbx encoded record แผ่นเสียงเข้ารหัส dbx (noise reduction system) ตอนแรกผมเข้าใจว่าคงเล่นผ่านโฟโนปรีแอมป์ทั่วไปได้ แต่ไม่ครับ... ต้องเล่นผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า dbx disc decoder หรือเครื่องถอดรหัสแผ่นเสียงที่อัดมาในระบบ dbx จึงจะได้เสียงสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ถ้าไม่เล่นผ่านเจ้าเครื่องที่ว่านี้ เสียงของมันแทบจะรับไม่ได้เลยทีเดียว ผมลองแล้ว... ไดนามิคดี แต่เสียงแหลมบาดหู และขาดเสียงทุ้มซึ่งเป็นความถี่ย่านต่ำ แล้วเผอิญว่าปัจจุบัน dbx เป็นเทคโนโลยีที่น่าจะเรียกได้ว่า "ตายแล้ว" เสียด้วย (พอ ๆ กับ quadraphonic หรือ 4 channel system) จึงหาอุปกรณ์ dbx disc decoder ในสภาพดีค่อนข้างจะลำบาก ผมก็ภาวนาว่า สักวันขอให้ได้เจอสักเครื่อง เพราะอยากรู้ว่าเสียงของแผ่น dbx encoded vinyl มันจะดีแค่ไหน ถ้าเล่นผ่าน dbx decoder ครับ

ภาพแทน

(https://i.ebayimg.com/images/g/k54AAOSwtulg6lkT/s-l1600.jpg)

(http://www.brainfartz.com/images/Stereo%20Stuff/eq/dbx21.jpg)

ศูนย์ซ่อมแจ้งว่าเครื่องล้างแผ่นเสียงของผมไม่เสีย ไม่มีปัญหาอะไร vacuum ระบบดูดสุญญากาศก็ใช้งานได้ปกติ ฯลฯ
เอ... แล้วทำไมเวลามันอยู่กับผมถึงใช้การไม่ได้? งงครับ ??? เดี๋ยวเวลาไปรับเครื่องคืนคงจะต้องเอาสายไฟไปเทสต์ด้วย ไม่ใช่ยกกลับมาบ้านแล้วไม่ทำงานอีกนะ 5555

(http://i321.photobucket.com/albums/nn367/paiboonp/vpi%20hw16.5_2_zpsasrvqlbo.jpg)

ต้องแผ่นนี้ครับ Heart ชุด Dreamboat Annie เวอร์ชั่นสเตริโอปกติ
ส่วนเวอร์ชั่น dbx encoded สงสัยถ้าหาเครื่อง dbx decoder มาใช้งานไม่ได้ คงต้องเก็บไว้เป็นของสะสมแล้วละครับ

(https://sv1.picz.in.th/images/2021/12/22/6LXt0n.md.jpg)

เมื่อวันเสาร์ที่ 25 ธ.ค. ผมเดินทางไปรับเครื่องล้างแผ่นเสียงคืน หลังจากร้านตรวจเช็คดูแล้วว่าไม่เสีย และไม่ลืมพกสายไฟประจำเครื่องติดมือไปด้วย ปรากฏว่าสายไฟของเครื่องที่ผมถือไปลองที่ร้านทำให้เครื่องไม่ติด แต่ใช้สายไฟของที่ร้าน เครื่องติด ใช้งานได้ สรุปว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่สายไฟของผมเอง พนักงานที่ร้านถอนหายใจและเอ่ยว่า "เจอแล้ว สาเหตุของปัญหา" เขาเลยให้สายไฟที่ร้านมา แล้วเก็บเอาสายไฟที่มีปัญหาของผมไป นึกในใจ ผมเองก็โง่ ถ้าลองเปลี่ยนเอาสายไฟเส้นอื่นมาลองเสียบใช้ดู ก็คงไม่ต้องเสียเวลาค่ารถขนเอาเครื่องไปซ่อมที่ร้านหรอกครับ เฮ้อ... แย่จริงเลยเรา :(

วันที่ 8-9 กันยายน 2565 ต่อเนื่องกับวันที่ 10-11 ซึ่งเป็นวันเสาร์อาทิตย์ ผมลาพักผ่อนอยู่บ้าน นอนฟังข่าวน้ำท่วมกรุงเทพ และมีเวลาฟังแผ่นเสียงอย่างเต็มในอารมณ์ อัลบั้มแล้วอัลบั้มเล่า ซึ่งนำไปวางบนเทิร์น VPI Classic 1 + หัวเข็ม Dynavector XX2 Mk II ที่ฟังเมื่อไหร่เป็นติดใจทุกครั้ง เวลาผ่านไปนานพอสมควร นับตั้งแต่ที่ได้ทั้งเครื่องเล่นแผ่นเสียง หัวเข็ม และ integrated amp ตัวเจ็บมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน (ของซื้อใหม่) และตอนนี้ทุกส่วนทุกองค์ประกอบทำงานเข้าขากันได้อย่างดีเยี่ยม ผลลัพธ์คือดนตรีที่ไพเราะและชวนหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นแนวอิเล็กทรอนิกส์ prog หรือ new age อย่าง Kitaro แนวร็อคมันส์ ๆ อย่าง Foreigner หรือดิสโก้สุดสนุกอย่าง Boney M ป้อนแผ่นเข้าไป ฟังแล้วติดใจทุกทีครับ 

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/12/aVvc4y.md.jpg)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/12/aVeBGg.md.jpg)

ความรู้สึกในวันที่ผมไปรับเครื่องเล่นแผ่นเสียง VPI Classic 1 ติดหัวเข็ม Dynavector Karat 17D3 เมื่อปลายปี 2558 หรือประมาณ 7 ปีก่อน ตื่นเต้นมากกก เลยละครับ คิดว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดีอยู่แล้ว เมื่อคำนึงถึงเรื่องราคาและ performance แต่พอเล่นไปได้สักพัก หัวเข็ม Karat 17D3 กำลังจะ burn in เข้าที่เข้าทาง อะไรไม่รู้ดลใจให้ต้องเปลี่ยนหัวเข็มเป็นรุ่น XX2 Mk II ซึ่งมีราคาสูงกว่า 17D3 เกือบเท่าตัว (US$ 1950.00) และเป็นหัวเข็มที่ใช้การมาจนถึงบัดนี้ แต่ผมยังเก็บ Karat 17D3 ไว้อยู่ หัวเข็มทุกตัวที่ผมเคยใช้ ผมเก็บไว้อย่างดีเชียวครับ

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/14/aG3pvI.md.jpg)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/14/aG3F2v.md.jpg)

(https://sv1.picz.in.th/images/2022/09/14/aG90GQ.md.jpg)

McIntosh MA9500 integrated amplifier "ขุมพลังในฝัน" กำลังขับ 300 วัตต์ ราคา US$12,000.00 คือว่า อยากได้ม้ากกก มาก
รออีกสักแป๊บใหญ่ ๆ น้าาา... อิ อิ ;D

เครดิตภาพ https://www.hifinews.com/

(https://www.hifinews.com/images/styles/600_wide/public/822mac.lpromo_0.jpg)

ช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมให้เวลาเต็มที่กับการเล่นซีดีโดยใช้เครื่องเล่นซีดี Marantz CD63 MkII K.I. Signature ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นสุดท้ายที่ปรมาจารย์เครื่องเสียง Ken Ishiwata (RIP) ได้ทำการ tweak เอาไว้ และสร้างความฮือฮาให้กับวงการเครื่องเล่นซีดีและนักเล่นเครื่องเสียงยุคนั้น (ราวปี 1996) ว่าเป็นเครื่องเล่นซีดีล้มยักษ์ไฮเอนด์ในสนนราคา 500 ปอนด์อังกฤษ แต่ช่วงนั้นผมยังไม่มีโอกาสได้เล่นเครื่องเล่นซีดีรุ่นนี้ จนกระทั่งเพิ่งมีโอกาสได้มันมาเมื่อราว 2-3 ปีก่อน ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้แล้ว ซื้อต่อมาจากคนอื่น

ถ้านับแต่เวลาที่เครื่องเล่นซีดีนี้ออกจำหน่ายในท้องตลาดเมื่อราวปี 1996 ถึงปัจจุบัน Marantz CD63 MkII K.I. Signature ก็มีอายุราว 26-27 ปีแล้ว ใครที่เคยเล่นเครื่องเล่นซีดีรุ่นนี้แล้วคงจะซาบซึ้งดีว่าคุณภาพและน้ำเสียงของมันเป็นอย่างไร สมัยก่อนสื่อหนังสือเครื่องเสียงหลายสำนักต่างให้การยกย่องเครื่องเล่นซีดีรุ่นนี้เป็นอย่างมาก แต่ผมเพิ่งมีโอกาสได้ทำความคุ้นเคยและอยู่กับมันมาได้ไม่นาน ใหม่ ๆ ฟังแล้วรู้สึกเฉย ๆ ออกจะไม่ชอบเนื้อเสียงที่อวบหนาของมันเสียด้วยซ้ำ แต่พอฟังไปนาน ๆ เข้า ผมฟังเครื่องเล่นซีดียุคใหม่ที่ส่วนใหญ่เสียงจะบอบบางไม่ได้เลย เพราะเสียงของ CD63 K.I. Signature เป็นเสียงที่ละเมียด อิ่มข้น มีแรงมีพลังหรือมีไดนามิค เบสส์ลงได้ลึก และกลองกระแทกกระทั้นได้อย่างหนักหน่วง ในขณะเดียวกัน เสียงแหลมก็ละมุนไม่มีสากเสี้ยน ติดหวานนิด ๆ ฟังเพลงได้หลากหลายแนว โหลดแผ่นอะไรเข้าไปก็ฟังเพลินครับ ไม่ได้โม้ 5555 :D

รู้จักช้าไป... และช้าไปนานด้วย เพราะรุ่นนี้ออกมาแล้วเกิน 25 ปี แต่ก็แฮปปี้กับมันสุด ๆ ครับ

เครดิตภาพ http://www.audioscope.net/

(http://www.audioscope.net/images/marantzcd63mk2ki2.jpg)