Lilium's Top 10 Prog Albums of 20081. Frost* - Experiments in Mass Appeal (Neo-Progressive Rock)
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าบุคลากรในอุตสาหกรรมเพลงป๊อปอย่าง Jem Godfrey ที่สรรค์สร้างเพลงฮิตหลายต่อหลายเพลงให้กับ Atomic Kitten, Blue, Ronan Keating และ Shayne Ward มาแล้ว (บรึ๋ยยส์...!!!) จะสนใจและคิดที่จะทำดนตรีแนวโปรเกรสสีฟด้วย ซึ่ง Frost* (ของแท้ต้องมีดอกจันทร์) ก็คือโปรเจคต์ของเขานั่นเอง โดยเขารับหน้าที่ควบทั้งคีย์บอร์ดและร้องสนับสนุน ส่วนนักดนตรีคนอื่นก็ล้วนแต่เป็นระดับบิ๊กเนมทั้งมือกีตาร์ Joni Mitchell (Arena, Kino), มือเบส John Jowitt (IQ), มือกลอง Andy Edwards (IQ) จะมีก็แค่ Dec Burke ที่เป็นนักร้องนำโนเนมแต่เสียงดีมาก ซึ่งในอัลบั้มชุดที่สองนี้ก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นโปรเกรสสีฟสมัยใหม่ที่มีภาคดนตรีแข็งแรงและสวยงามไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และที่โดดเด่นมากๆคือการเขียนเมโลดี้ของ Jem Godfrey นั้นทำได้ติดหูราวกับเพลงป๊อปเลยทีเดียว นอกจากนั้นเสียงร้องของนักร้องนำก็ยอดเยี่ยมราวกับ Ronan Keating มาร้องเพลงโปรเกรสสีฟก็มิปาน!!! ซึ่งเมื่อนำมาสังวาสกับดนตรีอันละเอียดซับซ้อนที่มีลูกเล่นแพรวพราวแต่พอควร จึงทำให้อัลบั้มนี้เป็นเป็นงานโปรเกรสสีฟรสหวานหอมที่ชวนฟังเสียจริงๆครับ
2. Panic Room - Visionary Position (Neo-Progressive Rock)
อัลบั้มเต็มชุดแรกของวงโปรเกรสสีฟน้องใหม่ (แต่หน้าเก่า) ที่มีสมาชิกกว่าครึ่งสมองไหลมาจากวง Karnataka โดยได้ Anne-Marie Helder สาวเสียงสวยจาก Mostly Autumn มารับหน้าที่กระบอกเสียง ซึ่งดนตรีของ Panic Room จะแตกต่างจาก Karnataka และ Mostly Autumn พอสมควร คือจะค่อนไปทางโปรเกรสสีฟสมัยใหม่ที่เน้นความไพเราะล่องลอยเป็นหลัก (แต่ก็ยังไม่วายมีกลิ่นอายโฟล์คและอคูสติกแทรกเข้ามาอยู่ดี) ดนตรีไม่ซับซ้อนมากนัก ฟังได้สบายๆ บทเพลงมหากาพย์ปิดอัลบั้มอย่าง The Dreaming นั้นค่อนข้างเรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก เสียงร้องของ Anee-Marie Helder คุณภาพคับแก้วจริงๆครับ ราวกับเสียงของเทพธิดายังไงยังงั้นเลย ซึ่งขอบอกเลยว่าผมชอบงานของวงนี้มากกว่าวงหลักของพวกเขาอย่าง Karnataka และ Mostly Autumn เสียอีกครับ
3. Lunatic Soul - s/t (Progressive / Neo-Folk / Dark Ambient)
ไซด์โปรเจคต์ของ Mariusz Duda นักร้องนำ, มือเบส และมันสมองหลักของวง Riverside ซึ่งในผลงานเดี่ยวชุดแรกของเขานี้ก็ยังคงไว้ซึ่งซาวนด์อันมืดหม่นอนธกาลที่เสมือนเป็นลายเซ็นของเขาและ Riverside ไปแล้ว เพียงแต่ในงานนี้เขากลับทำมันบนพื้นฐานของดนตรีโปรเกรสสีฟร๊อคที่แฝงกลิ่นอายโฟล์คและดาร์คแอมเบียนท์แทน โดยใช้การเรียบเรียงดนตรีที่ละเอียดประณีตบรรจง และมันก็ออกมาดูดีมากๆ ซึ่งถ้าฟังดูดีๆแล้วจะพบว่าเขาได้รับอิทธิพลจากวง Dead Can Dance อยู่ไม่น้อยทีเดียว งานนี้ถูกใจคอพร๊อกสายหม่นแน่นอนครับ
4. Into Eternity - The Incurable Tragedy (Progressive Metal / Melodic Death Metal)
หลังจากที่เปลี่ยนนักดนตรีแบบยกเครื่องใหม่เกือบหมดในรวมถึงการเปลี่ยนนักร้องนำจาก Chris Krall มาเป็น Stu Block ที่มีเรนจ์เสียงที่หลากหลาย สามารถร้องได้ทั้งเสียงโหนสูงแบบเพาเวอร์เมทั่ล สำรอกแบบเดธ หรือตะคอกแบบแธรช ทำให้อัลบั้มที่แล้วฟังดูหนักหน่วงซับซ้อนและเข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แกนนำของวงอย่าง Tim Roth จึงนำพาวงเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจด้วยการออกผลงานคอนเสปต์อัลบั้มอย่าง The Incurable Tragedy ที่พูดถึงประสบการณ์และความโศกเศร้าของ Tim Roth เองที่ต้องสูญเสียคนใกล้ชิดไปแบบไม่มีวันกลับด้วยโรคร้าย ดนตรีในอัลบั้มนี้จึงฟังดูเหมือนการระบายความอัดอั้นสิ่งต่างๆในใจออกมาเป็นดนตรีโปรเกรสสีฟเมทั่ลผสมเมโลดิคเดธที่รวดเร็ว รุนแรงและทรงพลัง แฝงไว้ด้วยความขมขื่นจากการสูญเสียอย่างรู้สึกได้ Stu Block ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านทางน้ำเสียงออกมาได้อย่างเกรี้ยวกราดมีพลังเหมือนคนที่กำลังปลดปล่อยความโศกเศร้าที่อัดอั้นมานาน นี่คือผลงานที่เป็นตัวแทนความรู้สึกและพลังความเกรี้ยวกราดของทางวงอย่างแท้จริงครับ
ึ7. Sinew - The Beauty of Contrast (New-Prog / Alternative Rock)
วงอัลเทอร์เนทีฟหน้าใหม่จากประเทศเยอรมันที่ประกาศตนว่าพวกเขาได้รับอิทธิพลในการทำงานจากวงอย่าง Dredg, Tool และ Muse ซึ่งเมื่อหันหลับมามองที่งานของพวกเขาแล้วก็จะพบว่ามันเป็นงานอัลเทอร์ร๊อคที่มีความซับซ้อนทางอารมณ์ค่อนข้างสูง
และค่อนข้างซีเรียสทั้งในด้านดนตรีและเนื้อหามากทีเดียว ท่วงทำนองหลักๆในชุดนี้จะเป็นร๊อคสมัยใหม่ที่กระตุ้นอารมณ์ให้พุ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีความซับซ้อนอยู่พอสมควร มีริฟฟ์กีตาร์เมโลดิกให้เสพย์ เสียงร้องสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่เก็บกดอยู่ภายในได้ดี และที่ต้องชมเป็นพิเศษคือการเรียบเรียงเพลงที่ให้อารมณ์ต่อเนื่องดีมาก ทำให้ฟังเพลินจนจบอัลบั้มโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ
6. Steven Wilson - Insurgentes (Progressive / Art Rock / Drone / Experimental)
ในปัจจุบันคงไม่มีคอโปรเกรสสีฟคนใหนไม่รู้จัก Steven Wilson หรือที่รู้จักกันดีในนามพี่ตีฟคนนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเราจะรู้จักเขาดีในฐานะที่เป็นมันสมองหลักของวง Porcupine Tree และโปรเจคต์อีกหลากหลาย รวมถึงยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของวงดนตรีเยี่ยมๆอีกหลายวงอีกด้วย ซึ่งงานแต่ละชิ้นที่เขาทำก็ล้วนแต่เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น และนี่คือครั้งแรกที่เขาจะได้ออกอัลบั้มเดี่ยวในนามของตนเองจริงๆเสียที
ซึ่งผลงานชุดนี้เหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของทุกๆ Project ที่พี่ตีฟเคยทำมาทั้ง Porcupine Tree (ความเป็นโปรเกรสสีฟ ซาวนด์มืดมน), No-Man (ซาวนด์ล่องลอย นุ่มนวล), Incredible Expanding Mindfuck (การทดลองอีเล็กทรอนิกส์), Bass Communion (แอมเบียนท์/โดรน/น้อยส์) และ Blackfield (อารมณ์ดนตรีเหงา อ้างว้าง) เขาได้นำกลิ่นอายอย่างละเล็กละน้อยของโปรเจคต์เหล่านั้นมาผสมกัน ลดทอนส่วนเกินออก ทำออกมาให้เนียน แล้วจึงเป็น Insurgentes ชุดนี้แหละครับ ซึ่งอาจจะเข้าถึงและติดหูได้ยากในคราวแรกที่ฟัง แต่ถ้าให้เวลากับมันสักหน่อยก็จะพบว่ามันมีเสน่ห์ให้ชวนค้นหาและขุดคุ้ยรายละเอียดของแต่ละเพลงมากมายเลยทีเดียว และสุดท้ายคุณก็จะตกหลุมรัก Insurgentes ชุดนี้โดยไม่รู้ตัวครับ
7. Mutyumu - Il Ya (Progressive / Experimental / Post-Metal / Classical)
แค่ปกอัลบั้มก็โดนแล้วครับ (ผมยกให้เป็นปกอัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปีนี้เลย) เห็นแล้วก็อดที่จะหามาฟังไม่ได้เลยจริงๆ ซึ่งเมื่อได้ฟังบทเพลงแล้วก็ยิ่งขนลุกครับ เพราะผมไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อนเลยจริงๆ มันเป็นดนตรีโพสต์เมทั่ลที่สลับซับซ้อน (มากๆ) มีการเปลี่ยนสัดส่วนดนตรีที่หลากหลายแบบโปรเกรสสีฟ มีแนวทางเมโลดี้แบบเพลงคลาสสิค และที่โดดเด่นมากๆคือเสียงเปียโนและไวโอลินที่คอยสอดประสานสร้างความสวยงามให้กับบทเพลงได้อย่างลงตัว ทางด้านเสียงของนักร้องสาวก็ร้องออกมาในสไตล์โซปราโน่นิดๆ ฟังดูไพเราะดี แถมยังมีเสียงตะโกนโหวกเหวกแบบฮาร์ดคอร์คอยเสริมเป็นระยะอีกตังหาก เรียกว่านี่คือผลงานที่แปลกใหม่และสมบูรณ์แบบเกินคาด ฟังแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าวงจากญี่ปุ่นแต่ละวงนี่ช่างทำเพลงมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมากเสียจริงๆ
8. RPWL - The RPWL Experience (Neo-Progressive Rock)
นี่คืองานนีโอ-พร๊อกชั้นดีจากค่ายเพลงที่ไว้ใจได้เสมออย่าง Inside Out Records ซึ่งต้องยอมรับว่าผลงานชุดนี้มีกลิ่นอายของ Pink Floyd ยุคหลังๆ อยู่ไม่น้อยเลย ทั้งเสียงคีย์บอร์เน้นสร้างบรรยากาศและลีดกีตาร์หวานบาดใจ (ท่อนโซโล่เพลง Master of War นี่คล้ายเพลง On the Turning Away มากๆ) มาผสมเข้ากันอย่างแนบเนียนกับซาวนด์ร๊อคสมัยใหม่ แต่ก็ยังมีเสียงคีย์บอร์ดประเภทวินเทจอย่าง Moog และ Mellotron เข้ามาสร้างสีสันอยู่ด้วยเช่นกัน เสียงร้องก็นุ่มนวลดีทีเดียว เรียกว่าเน้นหนักกันที่ความไพเราะล้วนๆเลยล่ะ มันเป็นงานโปรเกรสสีฟที่ฟังง่าย เข้าถึงง่าย และติดหู จึงทำให้ผมประทับใจได้ในเวลาอันรวดเร็วครับ
9. Opeth - Watershed (Progressive Death Metal)
ยังคงเป็นที่น่าจับตามองอยู่เสมอทุกครั้งที่ออกอัลบั้มใหม่สำหรับยอดวงโปรเกรสสีฟเมทั่ลวงนี้ ซึ่งนอกจากจะทำงานคงเส้นคงวาไม่เคยต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว การดำเนินดนตรีในแต่ละอัลบั้มก็มีเสน่ห์ให้ชวนติดตามอยู่มากล้นเลยทีเดียว และในอัลบั้มชุดใหม่นี้ก็เช่นกัน นาย Mikael Akerfeldt และเพื่อนพ้องก็ยังคงบรรเลงดนตรีโปรเกรสสีฟเมทั่ลอันหดหู่ เศร้าหมอง แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของวงโปรเกรสสีฟรุ่นเก่าอย่าง Camel ที่ถูกนำมาใช้อย่างไม่ปิดบัง รวมถึงเสน่ห์ของ Mellotron ที่ยังคงใช้สร้างบรรยากาศวินเทจอันเศร้าหมองได้อย่างเต็มรสชาติ ภาคริธึ่มในชุดนี้ค่อนข้างดุเดือดทีเดียวเพราะได้มือกลองยอดฝีมือคนใหม่ (แต่หน้าเก่า) อย่าง Martin Axenrot (Witchery, Bloodbath etc.) มาร่วมสังฆกรรมด้วย ในชุดนี้มีทั้งแทร๊คสุดโหดอย่าง Heir Apparent และแทร๊คสุดหวานอ่อนช้อยอย่าง Burden แต่มันกลับมารวมอยู่ในอัลบั้มเดียวกันได้อย่างไม่เคอะเขินและฟังรื่นหูมาก สัดส่วนดนตรีในชุดนี้ฟังดูละเอียดลออมากกว่าชุดก่อนๆ นี่คืองานมาสเตอร์พีซของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยครับ
10. Eyefear - The Unseen (Progressive Metal)
ไม่ปล่อยให้รอนานกันเลยทีเดียวสำหรับ Eyefear วงโปรเกรสสีฟเมทั่ลจากแดนจิงโจ้ที่ตีคู่กันมากับวงรุ่นพี่ร่วมชาติอย่าง Vanishing Point ซึ่งผลงานของพวกเขาก็ไว้ลายได้เฉียบขาดไม่แพ้วงรุ่นพี่เลย (ออกจะซับซ้อนดุดันกว่าด้วยซ้ำ) ดนตรีใน The Unseen ชุดนี้จะเป็นโปรเกรสสีฟเมทั่ลสไตล์ยุโรปที่ติดสำเนียงเพาเวอร์เมทั่ลเล็กน้อย ภาคดนตรีซับซ้อนกำลังดี มีคีย์บอร์ดคอยสร้างบรรยากาศมืดมนอยู่ตลอดเวลา มีเมโลดี้สวยงามติดหู ท่อนโซโล่ก็เล่นกันแบบพออิ่มอร่อย โดยรวมแล้วฟังไม่ยากนัก แฟนๆของวงอย่าง Circus Maximus, Vanden Plas หรือ Anubis Gate คงจะชอบได้ไม่ยาก ความยาวเฉลี่ยของแต่ละเพลงในชุดนี้อยู่ที่ 4-6 นาที ซึ่งก็ฟังกระชับและไม่เยิ่นเย้อดีครับ