Noise's Album of My Life:
Up (2003) by Peter GabrielWritten by Lilium(คลิกฟังเพลงในอัลบั้มได้ที่เพลย์ลิสต์นี้:
http://www.youtube.com/view_play_list?p=6399AA2D167EA903)
การจะเลือกอัลบั้มสักชุดที่จะเป็นตัวแทนอัลบั้มแห่งชีวิตการฟังเพลงจากกว่าร้อยพันที่เคยสดับผ่านหูมานั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆครับ เพราะการที่เราจะชอบหรือหลงรักอัลบั้มใดสักชุดได้นั้น แสดงว่ามันต้องมีความพิเศษ มีเอกลักษณ์ลักษณะเฉพาะ มีความดีในตัวของมัน และแน่นอนว่าเหตุผลที่เราจะชอบก็ย่อมแตกต่างกันไปแต่อัลบั้มด้วย
...แต่หากจะพูดถึงผลงานที่จะก้าวขึ้นไปถึงระดับ Album of My Life ได้นั้น มันก็คงจะเป็นผลงานที่มีความพิเศษเหนือสิ่งอื่นใดและส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจและความนึกคิดของเราอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันอาจจะเป็นผลงานที่สร้างอิทธิพล แรงบันดาลใจ หรือแม้แต่ให้มุมมองใหม่ๆในการดำเนินชีวิต ....พูดง่ายๆมันก็คือเป็นอัลบั้มที่เปลี่ยนชีวิตนั่นแหละ
“ดนตรีเด่นมากทุกเพลง เป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบมาก ไม่เคยฟังผลงานที่สมบูรณ์แบบระดับนี้มาก่อน ตามความคิดของผม แม้ชุด The Wall ของ Pink Floyd ก็ยังสู้ไม่ได้” – ว.ชยาเวช
นี่ คือประโยคชวนชิมที่ง่ายๆ (ที่ฟังดูเกินเลยไปหน่อยด้วยซ้ำ) แต่ดึงดูดความสนใจได้ในทันทีทันใดของคุณ ว.ชยาเวช แห่งเว็บ Audio-Teams (ที่ผมจะรู้จักภายหลังในชื่อคุณหมอ Black Tulip แห่งบอร์ดไทยพร๊อกนั่นเอง) โปรยเอาไว้สำหรับอัลบั้ม Up ของ Peter Gabriel ซึ่งผมมาอ่านเจอตอนที่เริ่มใช้อินเทอร์เน็ตใหม่ๆ คือตอนนั้นผมเองก็ฟังดนตรีโปรเกรสสีฟอย่างพวก Pink Floyd, Yes, The Moody Blues หรือ The Alan Parsons Project อยู่บ้างแล้ว แต่กลับไม่เคยสัมผัสงานของ Genesis หรือโซโล่อัลบั้มของ Peter Gabriel เลยสักที ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะลิ้มลองผลงานของหนึ่งในศิลปินที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกหัวก้าวหน้าและเป็น Perfectionist มากที่สุดคนนึงของวงการดนตรีโลก ทำให้หลังจากนั้นไม่นานผมต้องควักเงินเก็บเกือบๆพันบาทของผมออกมาจากกระปุกเพื่อไปซื้อ Hybrid-SACD ชุดนี้ที่ Tower Records สาขาดิเอ็มโพเรียม (ตอนนั้นเปลี่ยนชื่อร้านเป็น CD Warehouse รึยังก็ไม่แน่ใจ) ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในซีดีแผ่นแรกๆที่ผมซื้อเองด้วย
ผมจำได้ดีว่าความประทับใจ (ปนระทึกขวัญ) ครั้งแรกที่มีต่ออัลบั้มนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เพลงจั่วหัวอัลบั้มที่มีชื่อว่า "Darkness" โดยในช่วงอินโทรมันเป็นเพียงเสียงสังเคราะห์นิ่งๆเงียบๆไปเรื่อยๆ ผมเลยต้องเร่งเสียงซะจนเกือบสุด ....แล้วพอถึงวินาทีที่สามสิบเท่านั้นแหละครับ “ผ่าง!!!” เสียงดนตรีพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงกระทันหันจนผมแมบจะคะมำตกเก้าอี้ไปเลย แล้วมันก็เป็นไปในลักษณะนี้สลับกันไปตลอดทั้งเพลง ....ณ จุดนี้ผมก็เริ่มสัมผัสความอัจฉริยะของลุงปีเตอร์ได้เลยครับ ...ผมรู้สึกว่าเขาสามารถจับเอาความแปลกแยกแตก ต่างระหว่างความสงบ นิ่งเงียบ กับความเกรี้ยวกราด วุ่นวาย และสับสนเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน เข้ากันได้ดีกับเนื้อหาที่บอกถึงความหวาดระแวงต่อความชั่วร้ายในจิตใจ ....ปีศาจ ...อีกบุคลิกหนึ่งที่พร้อมจะโผล่ขึ้นมาทำร้ายตัวเองท่ามกลางความเงียบงันได้ทุกเมื่อ
ทางด้านซิงเกิ้ลประจำอัลบั้มอย่าง "Growing Up" และ "The Barry Williams Show" ก็เป็นเพลงป๊อประดับคุณภาพที่ลุงแกจะต้องมีไว้ประดับอัลบั้มอยู่เสมอ ทั้งสองเพลงถ้าฟังเพียงผิวเผินมันก็เหมือนอีเลกโทรป๊อปจังหวะโจ๊ะๆธรรมดา แต่หากลองฟังแบบพินิจพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่ามันมีรายละเอียดของดนตรีมากมายเต็มไปหมด (ดังจะเห็นในบุคเลทที่แสดงให้เห็นว่ามีนักดนตรีมาร่วมงานในแต่ละเพลงเป็นจำนวนมาก) ที่ด้วยความชาญฉลาดในการเรียบเรียงดนตรี ...ลุงปีเตอร์ได้ผสมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างประณีต หมดจด และไร้ที่ติ มามองในแง่ของเนื้อเพลง ลุงเขาก็ยังนำเสนอแง่มุมที่เข้มข้นเกินกว่าเพลงป๊อปทั่วไปทั้งในเรื่องการเจริญเติบโต (ที่อาจจะรวดเร็วเกินไป) ของทุกสรรพสิ่งในแทร๊คแรก หรือการนำเสนอแง่มุมแบบ “You are what you watch” พร้อมทั้งจิกกัดโลกที่โทรทัศน์เป็นสื่อชักนำหลักได้อย่างเจ็บแสบ แต่ก็งดงาม ...และเป็นศิลปะ แน่นอนว่าแทร๊คแบบนี้อาจฟังดูป๊อปๆและไม่ถูกใจผมในครั้งแรกที่ฟัง แต่มันกลับเพิ่มเสน่ห์ให้ชวนฟังมากขึ้นอย่างน่าประหลาดในทุกครั้งที่เปิดมันฟังซ้ำ แม้ในทุกวันนี้ผมก็ยังจับรายละเอียดใหม่ๆที่อุบซ่อนอยู่ในบทเพลงได้อยู่เรื่อยๆครับ
แน่นอนว่าปีเตอร์ กาเบรียลในยุคศตววรษที่ 21 ย่อมเป็นบุรุษผู้มากด้วยประสบการณ์จากการผ่านโลกมาเกินกว่าครึ่งชีวิต และด้วยอานิสงส์จากสิ่งเหล่านั้นเอง มันจึงส่งผลให้เนื้องานในอัลบั้มนี้เต็มไปด้วยความสุขุมลุ่มลึกและเต็มไปด้วยการครุ่นคิดมากกว่าอัลบั้มใดๆที่เขาเคยทำมา ...ลุงปีเตอร์ใช้เวลาทำอัลบั้มนี้รวมๆกันแล้วนานกว่าทศวรรษ จาก 150 เพลงที่แต่งขึ้นมาจากการรวบรวมวัตถุดิบทั้งทางเทคนิคและทางความคิดอันมากมายมหาศาล ...มันถูกหลอมรวมให้เหลือเพียง 10 อันเปรียบเสมือนเพชรน้ำหนึ่งที่ผ่านการเจียระไนครั้งแล้วครั้งเล่ามากว่าสิบปี ดังนั้นในช่วงก่อนหน้านี้ บางเพลงในอัลบั้มนี้จึงอาจถูกดึงนำไปใช้งานในโอกาสต่างๆบ้างในรูปแบบที่แตกต่างจากที่เราได้ยินในนี้ อย่างเพลง "Sky Blue" อันแสนเศร้าถวิลหาและเปี่ยมไปด้วยความหมายแห่งชีวิต ก็เคยถูกนำไปใช้เป็นธีมหลักของภาพยนตร์เรื่อง The Rabbit-Proof Fence แต่ในอัลบั้มนี้เขาได้นำมันมาขัดเกลาเพื่อเสริมประกายสุกใสให้กับบทเพลงมากขึ้น สำหรับตัวเพลงนี้ก็เป็นบัลลาดจังหวะกึ่ง Tribal ที่มีอารมณ์ดนตรีเศร้าสะเทือนใจแต่ก็แฝงไว้ด้วยความงดงามและมีกลิ่นอายแห่งความหวัง ตรงกันกับเนื้อหาที่กล่าวถึงการออกเดินทางเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่าง ...อาจจะเป็นการไขว่คว้าหาความสำเร็จตามความฝันที่วาดไว้ หรืออาจจะเป็นการเดินทางที่เลื่อนลอยเพื่อค้นหาความหมายแห่งขีวิต ซึ่งการเดินทางเหล่านั้นแม้จะเพิ่มความแข็งแกร่ง ให้กับตัวเรา แต่ในอีกมุมหนึ่งเราก็เหนื่อยล้า ...และยามใดที่ท้อแท้หมดหวัง เราก็จะพบว่า “บ้าน” ที่เราจากมานี่แหละ คือที่พำนักอันประเสริฐที่สุดสำหรับชีวิตเราแล้ว (ป.ล. เสียงประสานในเพลงนี้ขับร้องโดยวง The Blind Boys of Alabama ผู้ไม่เคยได้เห็นท้องฟ้าสีครามที่แท้จริงเลยสักครั้งในชีวิต) ส่วนเพลง "I Grieve" ที่ปีเตอร์แต่งขึ้นเพื่อนำไปประกอบภาพยนตร์เรื่อง City of Angels มาก่อนหน้านี้ ก็ถูกนำมาเสริมเติมแต่งให้ลงตัวมากขึ้นเช่นเดียวกัน ...เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่โศกเศร้าอาดูรที่ สุดเท่าที่ผมเคยฟังมาทีเดียว กับเนื้อหาที่กล่าวถึงการจากไปของคนรัก ลุงปีเตอร์ใช้ภาษาง่ายๆในการบรรยาย แต่สามารถพรรณนาร่ำร้องถึงความอ้างว้างว่างเปล่าได้อย่างถึงอารมณ์ ยิ่งเมื่อมาขับร้องโดยสียงร้องอุ่นๆแต่บาดลึก ของเขา อาจทำให้น้ำตาซึมได้โดยไม่รู้ตัวทีเดียว ทางด้าน "My Head Sounds Like That" ก็เป็นเพลงบรรยากาศพิกลๆแบบคลื่นใต้น้ำ เพราะเนื้อร้องพูดถึงความเวียนวนสับสนในห้วงคิด แต่ดนตรีกลับเป็ยเปียโนบัลลาดผสานเสียงเครื่องทองเหลืองงามละเมียด เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการขับสิ่งที่ขัดแย้งมาเข้าคู่กันได้อย่างสวยงามลงตัว ...อีกหนึ่งเพลงที่นำเสนอสถานการณ์สับสนวกวนไร้ทางออกคือ "No Way Out" ที่แม้จะมากับดนตรีเข้มข้นตึงเครียดอัดแน่นไปด้วยรายละเอียด แต่ลุงปีเตอร์ก็ยังไม่ใจร้ายเกินไปที่จะอุดช่องว่างอากาศแห่งความหวังเอาไว้เสียหมด เพราะอย่างน้อยเราก็สร้างอิสระภายในกรอบได้ ในขณะที่บทเพลงอย่าง "More Than This" นั้น กล่าวไปถึงความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษยโลก แต่จริงๆแล้วก็เป็นความต้องการนั้นเองไม่ใช่หรือที่ย้อนกลับมาจองจำผูกมัดเราเอาไว้กับมัน (แต่ในอีกแง่มันก็ก่อกำเนิดจินตนาการสร้างสรรอันยิ่งใหญ่ไพศาลให้แก่มวลมนุษย์ด้วยเช่นกัน) ....เพลงนี้ลุงปีเตอร์เอาความนุ่มนวลเป็นธรรมชาติของเสียงเปียโนและแมนโดลินมาหยอกล้อกับซาวนด์อีเลกโทรล้ำสมัยได้อย่างราบรื่นเนียนหูมากๆ
ทุกเรื่องราวย่อมมีจุดสิ้นสุด และก่อนจะถึงจุดสิ้นสุดก็ต้องมีจุดปะทุหรือจุด ไคลแม๊กซ์เช่นเดียวกัน ...ในความเห็นของผม ลุงปีเตอร์ได้ทำให้บทเพลงรองสุดท้ายอย่าง "Signal to Noise" กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตการทำเพลงของเขาแล้ว จนแฟนๆชาวต่างชาติบางท่านถึงกับนิยามเพลงนี้ว่า เป็น “A Whole World in One Song” เลยทีเดียว ด้วยเนื้อหาของเพลงที่แม้จะคลุมเครือ ยากต่อการเข้าใจ แต่ผม (และอีกหลายๆคน) ก็คงจะรู้สึกได้ว่ามันเป็นเหมือนตัวแทนแห่งเสียงเพรียกร้องจากคนทั้งโลก ที่พร้อมจะส่งผ่านห้วงชั้นบรรยากาศไปยังดินแดนแห่งจักรวาล ที่หากมีพระเจ้าหรือสิ่งใดๆก็ตามที่สิงสถิตและคอยรับฟังอยู่ (...หรืออาจไม่มีอะไรเลยก็ได้) พวกเราเหล่ามวลมนุษย์ก็เพียงอยากจะได้เสียงแห่งความสงบสันติที่แท้จริงกลับคืนมาก็เท่านั้นเอง ลุงปีเตอร์ได้แทนสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยดนตรีอันนิ่งสงบแต่รองพื้นไว้ด้วยสุ้มเสียงออร์เคสตร้าคุกรุ่นที่เหมือนพร้อมจะปะทุตลอดเวลา แทรกด้วยสำเนียงไทรบัลชวนระทึกและเสียงร้องแบบพื้นเมืองอันกร้าวแกร่งทรงพลังของ Nusrat Fateh Ali Khan ผู้ล่วงลับ ก่อนจะเร่งเร้าอารมณ์ขึ้นไปเรื่อยราวกับซีเควนซ์ของหนังทริลเลอร์ระดับเกรดเอ จนไปถึงจุดปะทุอันยิ่งใหญ่ทรงพลังที่พร้อมจะสะกดทุกวิญญาณให้แน่นิ่งเป็นเวลาชั่วนาที ....ณ เวลานั้น ผมนั่งไม่ไหวติง ขนลุก อ้าปากค้างเป็นเวลานาน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบทเพลงที่ส่งผลสะกดอารมณ์ของตัวเองได้ขนาดนี้ แม้ทุกวันนี้เมื่อเปิดเพลงนี้ฟังเมื่อไร ความรู้สึกที่ผมได้รับก็ไม่ได้ต่างไปจากครั้งแรกมากนัก....
ลุง ปีเตอร์ส่งท้ายอัลบั้มนี้อย่างสงบด้วย "The Drop" อันประกอบไปด้วยเปียโน Borsendorfer และเสียงร้องเปลือยเปล่าของเขาเท่านั้น เหมือนต้องการจะบอกว่า ในที่สุดแล้ว ทุกๆอย่างจะเรียบร้อย มันจะต้องโอเค การร่วงหล่นเสื่อมถอยมันเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติเท่านั้น เพียงเราไม่ฝืน หรือไปร่วมทุกข์ทรมาณกับมันให้มากนัก ....มันอาจเป็นเพียงความคิดของคนแก่คนนึงที่ปลงต่อโลกนี้และเริ่มนับถอยหลังนับวันรอวันที่จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่บางทีเราก็เลือกที่จะนั่งมองดูหยาดฝนร่วงหล่น ดีกว่าจะออกผจญภัยไปข้างนอกให้เปียกปอนและเป็นหวัดใช่มั้ยล่ะ....
สุดท้ายนี้ต้องขออภัยหากการเขียนของผมอาจจะเยิ่นเย้อยืดยาวสาวความยืดไปบ้าง แต่มันก็เพียงแค่ผมอยากเขียนถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมมีความหลงใหลอันลึกซึ้งในอัลบั้มนี้ แล้วผมไม่เคยมีโอกาสได้บรรยายมันมาก่อนก็เท่านั้นเอง แล้วจริงๆต้องบอกว่าอัลบั้มนี้แหละที่ช่วยเปิดใจเปิดกะโหลกกะลาให้ผม ทำให้ผมไม่กลัวที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆมากขึ้นทั้งในแง่ของการฟังดนตรีหรือแม้แต่การใช้ชีวิตก็ตาม
ผมเองไม่ค่อยแน่ใจว่าเรื่องราวของพรหมลิขิตนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงนิทานหลอกคนหนุ่มสาวไปวันๆเท่านั้น แต่สำหรับชีวิตการฟังเพลงของผม ....ผมว่าผมได้พบกับพรหมลิขิตของตัวเองแล้วล่ะครับ