ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
การค้นหาขั้นสูง

149656 กระทู้ ใน 4435 หัวข้อ- โดย 847 สมาชิก - สมาชิกล่าสุด: axlrose

19 เมษายน 2024 | 11:49:11 PM
Thai Progressive Rock CommunityThaiProgOutside The Wall10 อัลบั้มที่ทรงอิทธิพลกับชีวิต, ผูกพัน และหลงรักที่สุดในโลกใบนี้ของคุณ
หน้า: [1] 2 3 ... 7
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: 10 อัลบั้มที่ทรงอิทธิพลกับชีวิต, ผูกพัน และหลงรักที่สุดในโลกใบนี้ของคุณ  (อ่าน 102186 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« เมื่อ: 26 มิถุนายน 2009 | 09:40:42 AM »

วันก่อนคุยกับเหม่งในเอ็ม ก็เลยเกิดเป็นไอเดียของกระทู้นี้ขึ้นครับ หลายคนบอกว่า เรามีกระทู้ประเภทนี้เยอะแยะแล้วไม่ใช่เหรอ ผมก็จะบอกว่าใช่ แต่ว่า....

ส่วนใหญ่กระทู้เหล่านั้นจะเป็นกระทู้จำแนกแยกตามแนวเพลงต่างๆ ซึ่งชาวไทยพร็อกก็ฟังเพลงกันเยอะอยู่แล้ว คงจะตอบกันได้สบาย แต่คราวนี้ผมขอสร้างโจทย์ให้ยากขึ้นไปอีก เชื่อว่าต้องทำให้ใครๆ หลายคนในนี้คิดหนักกันเป็นวันทีเดียว และโจทย์สำหรับกระทู้นี้คือ

ให้ท่านเลือกอัลบั้มขึ้นมาเพียง 10 อัลบั้มตลอดชีวิตการฟังเพลงของท่าน โดยไม่จำกัดแนวเพลงใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้เป็นเพลงสากลเท่านั้นเป็นพอ จะเป็น Progressive, Pop-Rock, Blues, Country, New Age, Jazz, Post-Rock, Metal สกอร์ประกอบภาพยนต์ ฯลฯ ได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ทรงอิทธิพลกับชีวิต, ผูกพัน และหลงรักที่สุดในโลกใบนี้ของคุณ ตลอดชีวิตการฟังเพลงที่ผ่านมา เรียกง่ายๆ ว่าให้ 10 อัลบั้มนี้เป็นตัวแทนของคุณ สื่อถึงตัวคุณ เห็นอัลบั้มเหล่านี้แล้วนึกถึงคุณได้เลย หลายคนฟังเพลงแนวใหม่ๆ อยู่เสมอ บางช่วงก็ศึกษาแนวนี้ ก็ไปหาอัลบั้มในแนวนี้มาฟังเป็นหลายสิบอัลบั้ม แล้วก็เปลี่ยนไปฟังอีกแนวนึง ซึ่งทุกวันนี้พวกเราก็ยังไม่หยุดที่จะสรรหาอัลบั้มใหม่ๆ แนวเพลงใหม่ๆ มาฟังเสมอ แต่มันจะต้องมีอัลบั้มที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี อัลบั้มเหล่านั้นยังอยู่ในดวงใจของเราเสมอ ซึ่งกระทู้นี้คือพื้นที่ที่เราจะมาอุทิศให้กับอัลบั้มเหล่านั้นครับ

กฎกติกาในการเล่นกระทู้นี้

1. สามารถเลือกได้ทั้งสตูดิโออัลบั้ม และไลฟ์อัลบั้ม ยกเว้น อัลบั้มรวมเพลง รวมฮิต อย่างนี้ไม่ได้นะครับ

2. เป็นไปได้ควรเน้นอัลบั้มที่ "ผูกพัน" จริงๆ คือฟังและหลงรักมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และอัลบั้มเหล่านั้นยังเป็นอัลบั้มโปรดในดวงใจอยู่เสมอมาจนถึง ณ วันนี้ เป็นไปได้อยากให้เป็นอัลบั้มที่หลงรักมาอย่างต่ำเป็นเวลา 1 ปี ถ้าจะให้ดีก็ควรจะ 2-3 ปีขึ้นไป และถ้าดีที่สุดสำหรับท่านที่เป็นผู้ใหญ่ ควรจะเป็นอัลบั้มที่หลงรักมาตั้งแต่เด็กๆ อาจจะ 10 ปีขึ้นไป แล้วทุกวันนี้ยังเป็นอัลบั้มที่หลงรักในดวงใจอยู่ ยังทรงอิทธิพลกับชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะในทางใดก็ตาม และเขียนระบุปีที่ "อินเลิฟ" ต่อท้ายอัลบั้มนั้นๆ มาด้วย ว่าคุณอินเลิฟมาีกี่ปีแล้ว โดยนับตั้งแต่ปีที่คุณชื่นชอบตัวอัลบั้มทั้งอัลบั้มจริงๆ นะครับ ยกตัวอย่างว่า อย่างผมชอบและได้้ยินเพลง Hotel California มานานเป็น 10 ปี+ แล้ว แต่อัลบั้ม Hotel California ทั้งอัลบั้ม เพิ่งได้มาฟังและหลงรักทั้งอัลบั้มจริงๆ ประมาณ 6 ปี อย่างนี้ก็ต้องใส่ มาเ็ป็น 6 ปีนะครับ

3. ให้เรียงอัลบั้มไล่ตามจำนวนปีที่คุณอินเลิฟ จากจำนวนมากไปหาน้อย ไม่ได้เรียงตามความชื่นชอบนะครับ อัลบั้มไหนรักนานกว่า ให้เอาอันนั้นขึ้นบน ไล่ไปหาอัลบั้มที่จำนวนปีน้อยลงเรื่อยๆ

4. สามารถเขียนแซมเรื่องความผูกพันของคุณกับอัลบั้มนั้นๆ ในกระทู้นี้ด้วยไปเลยได้ โดยให้เน้นที่เรื่องความผูกพันนะครับ คุณฟังอัลบั้มนี้ตั้งแต่กี่ขวบ ซื้อเทปอัลบั้มนี้ม้วนแรกที่ร้านไหน ตอนนั้นราคาเท่าไหร่ สามารถเขียนเล่าได้เต็มที่ แต่ไม่ต้องพูดถึงดนตรี หรือวิจารณ์ตัวอัลบั้มโดยตรงนะครับ เรียกว่าให้กระทู้นี้เป็นที่เก็บความผูกพันของคุณกับอัลบั้มเหล่านั้นครับ

5. ห้ามเพิ่มจำนวนอัลบั้ม "เด็ดขาด" 10 อัลบั้มก็คือ 10 อัลบั้ม ความสนุกมันจะไม่ได้อยู่ที่ตอนเลือกหรอกครับ ความสนุกมันจะอยู่ที่ตอนตัดอัลบั้มที่เกินออกไปมากกว่าครับ เวลาเราลิสต์อัลบั้มมามันมักจะมีเกินมา 10 เสมอ จะเริ่มมีคู่แข่งเข้ามา ทำให้เราต้องตัดสินใจเลือกเฉพาะอัลบั้มที่เป็นสุดยอดหัวกะทิจริงๆ คงไว้ ดังนั้นต้องตัดใจให้ขาดนะครับ ห้ามเพิ่ม ห้ามแถม ห้ามติ่งไ้ว้ใดๆ ทั้งสิ้นในทุกกรณี ผมเข้าใจนะครับ ว่าสมาชิกเว็บเราฟังอัลบั้มมามากกันจริงๆ เผลอๆ บางคนอาจฟังจำนวนอัลบั้มมากกว่าจำนวนวันที่เค้ามีชีวิตอยู่บนโลกไปนี้ก็เป็นได้ครับ อย่างเหม่งนี่ฟังอัลบั้มใหม่วันละเป็นสิบชุด แต่ต้องเลือกออกมาให้ได้ครับ (ซึ่งเหม่งก็ทำสำเร็จไปแล้ว) จากหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นอัลบั้มที่คุณเคยฟังทั้งชีวิตนี้

6. กระทู้นี้สามารถอัพเดตอัลบั้มได้เรื่อยๆ ครับ เพราะเวลาผ่านไป ใจคนเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นถ้าท่านคิดว่าอีกหลา่ยเดือนต่อมาความรู้สึกของท่านเปลี่ยนไปแล้ว ก็ให้มาทำการอัพเดตโดยการ Modify ที่ข้อความของท่านนะครับ ไม่ต้องโพสต์เพิ่มต่อไปเรื่อยๆ ให้มันยืดยาว ขอความกรุณา 1 คนต่อ 1 ข้อความเท่านั้น แต่ใน 1 ข้อความนั้นจะเขียนความยาวสาวความยืดยังไงก็ได้ครับ ที่สำคัญเวลาเปลี่ยนอัลบั้ม ต้องลบอันเก่าทิ้งด้วยนะครับ อย่างที่ว่าไว้ ห้ามเกิน 10 อัลบั้มเด็ดขาดไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น แล้วก็อัพเดตนานๆ ครั้งนะครับ อย่างมากสุดควรจะ เดือนละครั้งก็พอครับ ยิ่งอยู่นานได้เป็นปีๆ ยิ่งดีเลยครับ จะเอาปกมาลงแซมด้วยก็ได้ครับ เพื่อความสวยงาม กระทู้นี้ผมจะปักหมุดไว้เลยนะครับ จะได้ให้อยู่กับเราไปนานๆ กับชื่อสมาชิกของเราเลยครับ

7. (ข้อนี้คนตั้งกระทู้โกงครับ เพิ่มทีหลัง) อนุญาตให้ชี้แจงอัลบั้มที่ถูกตัดออกจากลิสต์ได้เพิ่มอีกไม่เกิน 10 อัลบั้ม พร้อมบอกเหตุผลสั้นๆ ว่าทำไมเอาออกด้วยก็จะดีครับ แต่สำคัญคือต้องแยกระหว่างอัลบั้มที่ตัดออกกับอัลบั้มที่อยู่ในลิสต์จริงๆ ให้ชัดเจน ห้ามเอาสองลิสต์มารวมกันเด็ดขาดครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มิถุนายน 2009 | 02:30:32 PM โดย คุณหนูนางิ » บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
TRON
The Snow Goose
**********
เพศ: ชาย
กระทู้: 12866



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2009 | 01:10:37 PM »

เคยคิดเหมือนกันว่าอยากตั้งกระทู้แบบนี้แต่ไม่รู้จะสื่อออกมายังไงให้เข้าใจ เอาเป็นว่าอัลบั้มดังต่อไปนี้ไม่ได้หมายถึงอัลบั้มที่ดีที่สุดสำหรับผม เพียงแต่มันเป็นอัลบั้มที่ผมมีความผูกพันกับมันในแต่ละช่วงชีวิตที่ผ่านมาและทุกครั้งที่ฟังผมจะได้ความรู้สึกผูกพันบางอย่าง (อันนี้พี่ผีเพลงเข้าใจดี) ซึ่งบางทีไม่ใช่เพียงดนตรีที่เป็นเหตุผลแต่เพราะช่วงเวลาที่ได้รู้จักอัลบั้มเหล่านี้ด้วยครับ แต่บางอัลบั้มมีอิทธิพลในการฟังเพลงของผมด้วยเช่นกัน จริงๆมีมากกว่า 10 อัลบั้มแต่ก็พยายามคัดให้เหลือ 10 ตามโจทย์ครับ

1. Pink Floyd - The Wall (26 years ago)



อันนี้เคยเล่าไปบ้างแล้ว ตอนป.6 ผมได้ดูเอ็มวีเพลง Another Brick In The Wall Pt.2 ก็รู้สึกถึงบางอย่างสะดุดทันที คือจริงๆผมได้ยินเพลงสากลตั้งแต่เด็กที่พี่ชายผมเปิดแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่เพลงนี้มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมอยากค้นหามันต่อด้วยตัวเองเลยขอให้พี่สาวซื้อเทป Pink Floyd - The Wall มาให้ผม เป็นเทปม้วนแรกในชีวิตผม และก็ทำให้ผมผูกพันกับ Pink Floyd ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดผมก็คงเป็นท่อนโซโลตอนท้ายเพลง ABITW 2 ด้วยที่ทำให้ผมหลงสำเนียงของ David Gilmour ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

2. Tears For Fears - Songs From The Big Chair (24 years ago)



เป็นอีกวงที่ผมรู้สึกสะดุดทันทีที่ได้ดูเอ็มวีเพลง Change จากรายการพี่มาโนชในรายการเที่ยงวันอาทิตย์ แต่ผมไม่สามารถหาซื้อเทปอัลบั้มแรก The Hurting ของวงนี้ได้เลยจะซื้อแผ่นเสียงก็ไม่ได้เพราะแพงความสามารถของผม จนมาอัลบั้มที่สองของวงชุดนี้ที่ออกในปี 1985 ที่มีเทปวางขายในบ้านเรา ผมซื้อมาและจำได้ว่าฟังวนไปวนมาหลายสิบรอบเป็นปีครับ จำทุกอย่างในอัลบั้มนี้ได้หมด ถึงแม้เป็นวงป๊อปกึ่งซินธ์กึ่งร๊อคแต่เพลงแต่ผมว่าเพลง Listen เพลงสุดท้ายในอัลบั้มนี้เป็นเพลงเดียวที่ทางวงทำออกมาเป็นเพลง Progressive มันยอดเยี่ยมและสุดยอดมากๆ เหมือนเอา Pink Floyd มาผสมกับ Peter Gabriel โดยเฉพาะกีตาร์ตอนท้ายนี่นึกถึง David Gilmour ทุกที

3. OMD -  Dazzle Ships (23 years ago)



OMD เป็นวงที่มีิอิทธิพลในการฟังเพลงช่วงที่ผมเข้าสู่วัยรุ่นมากที่สุดครับ ชอบทุกอัลบั้มแต่ขอคัดอัลบั้มนี้มาใส่ในลิสต์แล้วกัน เพราะมันให้ความรู้สึกพิเศษบางอย่างตั้งแต่หน้าปกกับเพลงทุกอย่างเหมือนมันไปด้วยกันได้ดี

4. A-ha - Scoundrel Days (22 years ago)



ยังคงเป็นช่วงวัยรุ่นที่ผมกำลังเข้ามัธยมปลาย ผมยังรู้สึกเหมือนเดิมทุกครั้งที่ได้ฟังเพลง Manhattan Skyline และเพลง Soft Rain Of April ในอัลบั้มชุดนี้

5. Red Box - The Circle & The Square (23 years ago)



ได้รู้จัก Red Box โดยบังเอิญมากๆ จนไปเสาะหาเทปอัลบั้มนี้มาฟังได้ จำได้ว่าหายากมาก ตอนเจอก็เลยดีใจมากๆ เป็นอัลบั้มตัวแทนตอนผมเข้าเรียนมัธยมปลายที่ผมชอบมากที่สุด และทุกวันนี้เป็นซีดีที่ผมหวงแหนที่สุดในชีวีต

6. Red Box - Motive (18 years ago)



ความที่ผมชอบอัลบั้มแรกของวงนี้มาก แต่ผมไม่สามารถหาข้อมูลจากวงนี้ได้อีกเลยจนกระทั้งต้องฝากเพื่อนที่ไปเรียนที่อังกฤษหาซื้ออัลบั้มไหนก็ได้ของ Red Box ซึ่งผมไม่มีข้อมูลด้วยซ้ำว่ามีอัลบั้มใหม่ออกตามมาหรือเปล่า พอเพื่อนผมกลับมาพร้อมกับเทปอัลบั้มนี้ผมจึงดีใจมาก และพอได้ฟังก็ไม่ผิดหวังถึงแม้อารมณ์เพลงค่อนข้างแตกต่าง สุขุมขึ้นซึ่งมันก็เหมาะกับช่วงเวลาที่ผมเริ่มทำงานแล้วในตอนนั้นมากๆ โดยเฉพาะเพลง Moving และ Hungry ไพเราะมากๆ

7. The Sundays - Blind (16 years ago)



จริงๆเหตุผลค่อนข้างส่วนตัวมาก แต่ผมผูกพันกับมันมากๆ ทุกครั้งที่ไ้ด้ฟังนี่ด้วยความที่มีซาวนด์ล่องลอยอยู่แล้วจึงทำให้ช่วงเวลา16 ปีที่แล้วมันตลบอบอวลเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

8.  Nine Inch Nails - The Downward Spiral (15 years ago)



Nine Inch Nails เป็นวงแห่งยุค 90's ของผมและอัลบั้มนี้ก็เป็นอัลบั้มแห่งยุค 90's ของผมอย่างแท้จริง คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก สำหรับผมอัลบั้มนี้มันมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนผมรอคอยที่จะได้เจอดนตรีแบบนี้ แล้วมันเกิดมีขึ้นมาจริงๆ อธิบายยากครับ คือตอนฟังครั้งแรกตั้งแต่ต้นจนจบทุกอย่างเหมือนมันลงตัวอย่างที่ผมตั้งความหวังไว้ 100% ครับ

9. Red House Painters - Rollercoaster
(14 years ago)



อัลบั้มนี้อยู่ในช่วงวัยทำงานที่ไม่ค่อยได้เจอเพื่อนๆที่เคยสนิทกันมานาน อารมณ์เลยเหมือนเหงาๆหน่อย อัลบั้มนี้เป็นตัวแทนความเหงา(ที่แฝงด้วยความสุข)ของผมครับ ทุกครั้งที่ฟังมันรู้สึกพิเศษอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะวันที่อยู่คนเดียว ท้องฟัาครึ้มๆ ชอบเพลง Katy Song ที่ยาว 8 นาทีมากๆมันอ้างว้างแต่ก็สวยงามในคราวเดียวกัน

10. Sigur Ros - With A Buzz In Our Ears We Play endlessly (1 year ago)



สุดท้ายขอข้ามเวลามาช่วงปัจจุบันเลย เพราะไม่ได้รู้สึกความพิเศษแบบอัลบั้มที่กล่าวมาข้างต้นมานานแล้ว จนมาอัลบั้มนี้ที่ผมรู้สึกแบบนั้นทั้งๆที่ไม่มีเรื่องราวในช่วงเวลาที่ได้ฟังมาเกี่ยวข้อง คงเพราะหนัง Heima ที่สวยงามมากๆของวงนี้ที่ออกมาก่อนหน้านี้ด้วยกระมังที่ทำให้ผมผูกพันกับอัลบั้มนี้ได้อย่างรวดเร็ว

10 อัลบั้มที่ตัดออก จริงๆมันมีมากกว่า 10 เยอะน่ะครับ แต่ลองพยายามคัดให้เหลือ 10 โดยที่ไม่ให้ซ้ำวงกับ 10 อันดับแรกก็ประมาณนี้มั๊งครับ ยิ้มกว้างๆ

1. The Stone Roses / The Stone Roses
2. Peter Gabriel / So
3. Pet Shop Boys / Behaviour
4. Big Country / The Crossing
5. Travis / The Invisible Band
6. Depeche Mode / Songs of Faith & Devotion
7. U2 / Zooropa
8. Mike Oldfield / Tubular Bell II
9. The Cranberries / Everybody Doing It Why Can't We ?
10. George Michael / Faith

10 เพลงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในชีวิตผม

1. Hunting High & Low (Extended Version) - A-ha
2. Manhattan Skyline (Extended Version) - A-ha
3. Butterfly On A Wheel (Album version) - The Mission
4. Black Man Ray (Album Version) - China Crisis
5. Save A Prayer (Live version in Arena) - Duran Duran
6. If You Leave (Extended) - OMD
7. Shout (Album Version) - Tears For Fears
8. Eiledon (Album Version) - Big Country
9. In Your Room (Album Version) - Depeche Mode
10. Living In Dome (Album Version) - Red Box
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2009 | 10:15:19 PM โดย Sgt.Peppers » บันทึกการเข้า
ǝɹoɔǝsıɐuuoʎɐɯʎɹbuɐ
The Snow Goose
**********
เพศ: ชาย
กระทู้: 8547


nagoya_mega_snake@windowslive.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2009 | 01:13:17 PM »

 เจ๋ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กรกฎาคม 2013 | 11:57:20 PM โดย angrymayonnaisecore » บันทึกการเข้า


Stay cheap, praise the explicit, embrace the scuzz, be true to art and yourself, eat shit, keep music evil.
lilivm's self-indulgence: https://rateyourmusic.com/~potatahtapapoh
Layla F Mulder
Administrator
Blackfield
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 3604


Without appreciation, the music isn't worth.

basnaphon@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2009 | 01:13:29 PM »

คุณนิชิซาวะสั่งให้มาจองที่ไว้ครับ

10 อัลบั้มที่ทรงอิทธิพลกับชีวิต, ผูกพัน และหลงรักที่สุดในโลกใบนี้ของ Agent Fox Mulder
1. Pink Floyd - Wish You Were Here (10 Years - ม.ต้น)
2. Derek & The Dominos - Layla (9 Years - ม.ต้น)
3. Fleetwood Mac - Rumours (6 Years - ม.ปลาย)
4. Eric Clapton - From The Cradle (6 Years - ม.ปลาย)
5. John Lennon - Plastic Ono Band (5 Years - ม.ปลาย)
6. Jeff Beck - Blow By Blow (5 Years - ม.ปลาย)
7. Eagles - Hotel California (5 Years - ม.ปลาย)
8. Norah Jones - Come Away With Me (5 Years - ม.ปลาย)
9. Robert Plant & Alison Kruass - Raising Sand (2 Years - มหาวิทยาลัย)
10. Neil Young - Harvest (1 Year - มหาวิทยาลัย)



อัลบั้มที่โดนตัดออก 10 ชุด


Queen - A Night At The Opera (11 Years - ม.ต้น)
เหตุผลที่ตัดออก : เมื่อก่อนชอบ Brian May และ Queen มาก สมัยก่อนเมื่อสิบปีที่แล้วผมนั่งฟังซาวน์เบาท์อัลบั้มนี้ทุกวันตอนทำการบ้าน แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยอินกับ Queen แล้ว


Pink Floyd - Dark Side of The Moon (10 Years - ม.ต้น)
เหตุผลที่ตัดออก : อัลบั้มที่ผมน่าจะรู้รายละเอียดมากที่สุดเท่าที่เคยฟังเพลงมาแล้ว ไม่อยากใส่อัลบั้มนี้ลงไป สงสัยจะโหลน่าดู หรือบางทีผมอาจจะฟังมันมากเกินไปจนเอียนแล้ว


Dream Theater - Metropolis Pt. 2: Scenes From A Memory (7-8 Years - กึ่ง ม.ต้น ม.ปลาย)
เหตุผลที่ตัดออก : หมั่นไส้ Dream Theater (ชัดมะ!)


The Beatles - White Album (6 Years - ม.ปลาย)
เหตุผลที่ตัดออก : เื่มื่อก่อนชอบมาก โดยเฉพาะ While My Guitar Gently Weeps แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ฟัง Beatles แล้ว เอามาฟังใหม่ก็อินน้อยลงแล้ว ถ้าฟังแบบรีมาสเตอร์รอบใหม่แล้วอาจจะกลับมาชอบเหมือนเดิมก็เป็นได้


Yes - Fragile (5 Years - ม.ปลาย)
เหตุผลที่ตัดออก : อัลบั้มโปรแกรสสีฟที่เล่นเครื่องดนตรีทุกชิ้นได้ยอดเยี่ยมและสมบูรณ์แบบที่สุดในโลกชุดหนึ่ง เพลงติดหูง่ายและย่อยง่ายกว่า Close To The Edge เมื่อก่อนผมชอบ Rick Wakeman มากๆ จากอัลบั้มชุดนี้ แต่ที่ตัดออกเพราะหลังๆ ไม่ค่อยอินกับ Prog แล้ว


Roger Waters - Amused To Death (5 Years - ม.ปลาย)
เหตุผลที่ตัดออก : งานโซโล่ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาสมาชิกของฟลอยด์ เข้มข้นด้วยเนื้อหาที่ไร้การประนีประนอม ทรงอิทธิพลกับผมโดยตรงทั้งในด้านการใช้ชีวิตและแนวคิด มุมมองต่อโลกและสังคม แต่ตัดออกเพราะเราส่งตัวแทนที่สมศักดิ์ศรีกว่าขึ้นไปแทนแล้ว อัลบั้มนั้นคือ Plastic Ono Band


Led Zeppelin - Physical Graffiti (5 Years - ม.ปลาย)
เหตุผลที่ตัดออก : อัลบั้มของ Zeppelin ที่น่าจะใกล้เคียงกับคำว่าโปรเกรสสีฟมากที่สุด (พอๆ กับ Houses of The Holy) ตัดออกเพราะว่า เพลงในแผ่นที่สองยังเด็ดไม่ถึงขั้น ถ้าเทียบกับแผ่นแรก (ผมชอบแผ่นแรกมาก) และผมรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้ว ไม่เหมาะกับฮาร์ดร็อคเท่าไหร่


Emerson, Lake & Palmer - Brain Salad Surgery (5 Years - ม.ปลาย)
เหตุผลที่ตัดออก : ถ้าหากไม่นับอัลบั้มของ Pink Floyd นี่น่าจะเป็นอัลบั้มโปรเกรสสีฟที่ผมฟังมากที่สุด ตั้งแต่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่า Moog มันคืออะไร ตัดออกเพราะว่า... เพราะว่าอะไรล่ะ ที่ไม่พอน่ะสิครับ


Mahavishnu Orchestra - Birds of Fire (4 Years - มหาวิทยาลัย)
เหตุผลที่ตัดออก : สมัยที่หัดฟังฟิวชั่นใหม่ๆ ก็เริ่มต้นจากอัลบั้มนี้ และประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง วงนี้สุดยอดจริงๆ และอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มฟิวชั่นแจ๊สแบบเข้มข้นที่ผมรักที่สุด (ผมนับว่า Blow By Blow เป็นฟิวชั่นไม่เข้มข้นนัก เพราะว่ามันผสมผสานเข้าไปหลายแนวมาก) แถมโครงสร้างเพลงก็คล้ายๆ Prog เสียด้วย ที่ตัดออกเพราะไม่ค่อยอินกับทั้งฟิวชั่นและทั้ง Prog แล้ว


Crosby, Stills, Nash & Young - Deja Vu (3 Years - มหาวิทยาลัย)
เหตุผลที่ตัดออก : คู่แข่งของอัลบั้มนี้คือ Harvest ซึ่งเป็นอัลบั้มโฟล์ค-ร็อคระดับตำนานแห่งยุค 70's ทั้งคู่ และผมเลือก Harvest เพราะดนตรีมันอ่อนช้อยกว่า งดงามกว่า โดยเฉพาะภาคของเครื่องสาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 มิถุนายน 2009 | 03:26:32 PM โดย คุณหนูนางิ » บันทึกการเข้า

 
Tsundere (ツンデレ?) (pronounced /(t)sʌnˈdɪə(r)/ in English or /t͡sun.de.ɽe/ in Japanese) is a Japanese concept of a character archetype which describes a person with a conceited, irritable, and/or violent personality that suddenly becomes modest and loving when triggered by some sort of cause (such as being alone with someone)
GÒNG
Tubular Bells
****
เพศ: ชาย
กระทู้: 883


Death to All


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2009 | 05:53:53 PM »

ต้องออกตัวก่อนเลยว่าผมเพิ่งฟังเพลงจริงจังๆมาไม่กี่ปี ดังนั้นจำนวนปีจะน้อยหน่อยนะครับ ขยิบตา

10 อัลบั้มที่ทรงอิทธิพลกับชีวิต, ผูกพัน และหลงรักที่สุดในโลกใบนี้ของ Gong


1. Rage Against the Machine - Rage Against the Machine (5 years)
เป็นอัลบั้มชุดแรกที่เพื่อนผมแนะนำให้ฟังครับ เขาเป็นแฟน RATM เหมือนกันในตอนนั้น แล้วก็เป็นอัลบั้มที่ผมรู้สึกผูกพันมาก อาจจะด้วยทำนองกีต้าร์และเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของวงนี้กระมังที่ทำให้ผมหลงรักมันตั้งแต่แรกฟังแล้วก็ยังฟังอยู่เรื่อยมา ถึงแม้เดี๋ยวนี้จะไม่ได้ฟังแล้วแต่ก็เป็นอัลบั้มที่มีอิทธิพลกับผมจริงๆครับ


2. Megadeth - Rust in Peace (3 years)
Guitar Hero 2 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้จักกับอัลบั้มชุดนี้ครับ อินโทรของเพลง Hangar 18 เป็นอะไรที่ยังติดอยู่ในหัวผมอยู่เลย หลังจากได้ฟังเพลงนี้รวมถึงเพลงอื่นๆในอัลบั้มแล้ว ผมก็เป็นแฟน(พันธุ์ทาง)ของ Megadeth แล้วก็ดนตรีแนว Thrash metal จวบจนกระทั่งปัจจุบันและผมก็ยังฟังอัลบั้มชุดนี้อยู่ตลอดครับ


3. Dream Theater - Systematic Chaos (2 years)
นี่เป็นอัลบั้มชุดแรกของดรีมเทียเตอร์ที่ผมเริ่มฟังครับ ตอนนั้นแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับ Prog rock/metal เลย ด้วยความที่ปกสวยแล้วก็อะไรหลายๆอย่างดลใจให้ผมลองซื้ออัลบั้มชุดนี้มาฟังครับ ตอนแรกที่ได้ฟังก็ต้องทึ่งกับความแปลกและซับซ้อนของเพลงทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่า Progressive ตั้งแต่นั้นมา ทุกวันนี้ก็ยังฟังอยู่ครับ คงคิดว่าจะเลิกขายอัลบั้มชุดนี้แล้วด้วย


4. Deicide - The Stench of Redemption (2 years)
อัลบั้มชุดนี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงแนวการฟังเพลงของผมไปอย่างสิ้นเชิงครับ ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ 55 โดยเฉพาะเพลงแรกที่ผมได้ฟัง "Homage for Satan" ด้วยความหนักความเร็วและท่อนโซโล่ของ Ralph Santolla ทำให้ผมหลงรักดนตรี Death Metal จนโงหัวไม่ขึ้น ถึงแม้ปัจจุบันผมจะไม่ได้ฟังอัลบั้มชุดนี้แล้วแต่มันเป็นผลงานที่ทรงอิทธิพลกับผมมากๆเลยครับ


5. Suffocation - Effigy of the Forgotten (2 years)
ถึงแม้อัลบั้มชุดนี้จะไม่ได้สร้างความแตกต่างมากมายในการฟังเพลงของผม แต่มันเป็นอัลบั้มที่ผมผูกพันด้วยมากครับ มันเป็นการต่อยอดจากอัลบั้มของ Deicide ขึ้นไปอีก ในแง่ของความโหดเหี้ยมและเทคนิคชั้นเชิงอันหลากหลาย ทุกวันนี้ผมก็ยังฟังอัลบั้มชุึดนี้อยู่ครับและคงจะอุดหนุนงานชุดล่าสุดของพวกเขาด้วย


6. Cryptopsy - None so Vile (2 years)
ตอนแรกที่ได้ฟังเพลง Slit your Guts ผมถึงกับตะลึงครับเพราะมันทั้งโหด เสียงร้องก็ผิดมนุษย์มนาเขา ดนตรีก็ช่างรวดเร็วเหลือเกิน ผมชอบอัลบั้มชุดนี้พอๆกับงานของ Suffocation เลยครับเพียงแต่มารู้จักเอาทีหลังเท่านั้นเอง ทุกวันนี้ผมก็ยังฟังอัลบั้มชุึดนี้อยู่ครับถึงแม้วงนี้เขาจะไปดีแล้วก็ตาม


7. Lykathea Aflame - Elvenefris (2 years)
ต้องขอบคุณเว็บ metal-archives จริงๆครับที่ทำให้ผมได้รู้จักกับวงเมทัลสุดเจ๋งวงนี้ เพราะมันเป็นงานที่แปลกประหลาดสำหรับผมจริงๆในตอนนั้น ทั้งบรรยากาศสไตล์อียิปต์ เนื้อเพลงที่ไม่เหมือนใครและการผสมผสานควา่มสวยงามลงบนความเกรี้ยวกราด เป็นสุดยอดอัลบั้มในใจผมจริงๆครับ ถึงแม้จะต้องสั่งมันมาจากสาธารณรัฐเช็กผมก็ยอม 555


8. Origin - Antithesis (1 year)
ทุกวันนี้ผมคงบอกได้อย่างเต็มปากว่าผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของวงนี้แล้วจริงๆ(มั้ง) เพราะผมมีอัลบั้มเต็มของพวกเขาทุกชุด โดยมีอัลบั้มอันยอดเยี่ยมและทรงพลังชุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นครับ


9. Decrepit Birth - Diminishing Between Worlds (1 year)
ถึงใครจะโขกสับอัลบั้มชุดนี้ยังไง แต่มันเป็นผลงานที่ผมหลงไหลเอามากๆครับ ผมฟังมันบ่ิอยมากจนเป็นถึง Top 25 Most Played ใน iPod ของผมเลยทีเดียว สิ่งที่ผมชอบคือท่อนริฟท์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วผสมกับโซโล่อันสุดแสนวิจิตร แล้วก็ปกอัลบั้มสุดเจ๋งโดยศิลปินที่ผมชื่นชอบ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้วครับ


10. Fleshgod Apocalypse - Oracles (3 months)
ถ้าดูจากจำนวนเวลาที่ฟังแล้วต้องบอกว่าสั้นจริงๆ แต่ทำไงได้ล่ะครับมันรักไปแล้วนี่นา 555 ท่อนคลาสสิคัลอันแสนบรรเจิดที่ถูกใส่เข้ามาช่วยทำให้อัลบั้มนี้สมบูรณ์แบบจริงๆครับ



อัลบั้มที่โดนตัดออก 10 ชุด

Dream Theater - Images and Words (2 years)
Dream Theater - Awake (2 years)
Metallica - Master of Puppets (2 years)
Rotten Sound - Exit (2 years)
Suffocation - Pierced from Within (1 year)
Megadeth - Peace Sells... But Who's Buying? (1 year)
Hour of Penance - The Vile Conception (1 year)
Psycroptic - The Scepter of the Ancients (1 year)
The Monolith Deathcult - Trimvirate (Few months)
Cryptopsy - Blasphemy Made Flesh (Few months)

เหตุผลที่ต้องตัดออก : เหตุผลหลักๆคือเพิ่งได้ฟังครับหรือไม่ก็รู้สึกไม่เหมือนเดิมเลยต้องตัดออก
บันทึกการเข้า

runangel
In The Court Of The Crimson King
*
กระทู้: 38



ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2009 | 08:59:04 PM »

เสนอคับ อยากให้ใส่ ความหลังกับอัลบั้ม ที่เราเลือกมาด้วย จะดีมาก 

บางอัลบั้มคนฟังทั่วไปอาจจะได้อารมณ์แบบนึง
แต่กับเราอาจมีความหลังแบบ  คนรักซื้อให้อะไรทำนองนี้
ผมว่าสนุกดีครับ


ส่วนของตัวเอง
ขอไปกลั่นกรองก่อนครับ
บันทึกการเข้า
deja vu
The Dark Side of the Moon
*****
กระทู้: 1061


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2009 | 03:52:50 PM »

ผมเป็นคนในยุค 70 ผลงานส่วนมากจึงเป็นในยุคนั้นซะส่วนใหญ่ 10-20 ปีหลังฟังเพลงน้อยมากและไม่ชอบใครเป็นพิเศษ
     1. led zeppelin II  (ฟังหลังจากออก 4-5ปี)
     2. led zeppelin IV (ฟังหลังจากออก 2-3ปี)
     3. house of the holy (ฟังตอนออก)  เป็นฮาร์ดร้อควงแรกที่ทำให้หันมาสนใจฟังเพลงประเภทนี้
     4. queen - a night at the opera (ฟังตอนออก)
     5. fleetwood mac - rumours (ฟังตอนออก)
     6. tomita - kosmos  นำเพลงคลาสสิคมาบรรเลงด้วยซินธีไซเซอร์ ได้อารมณ์ที่เคว้งคว้าง ล่องลอยเหมือนชื่อชุด
     7. stevie wonder - jeourney through ...... (ฟังตอนออก) เพลงประกอบภาพยนต์ที่แต่งโดยคนตาบอด ทำให้คนตาดี
         อย่างเรามองเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ
     8. supertramp - breakfast in america  (ฟังตอนออก) 
     9. paul simon - graceland  (ฟังตอนออก)  ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งทำดนตรีได้ละเมียดละไมขึ้น
   10. the police - cyncronicity  (ฟังตอนออก)  อัลบั้มทิ้งทวนก่อนแตกวง ทั้งสามคนคงสร้างงานที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

ขอแถมเพลงอีก 10 เพลงนะครับ ไหนๆก็รำลึกถึงความหลังก้นแล้ว
     1. chirpy chirpy chip chip (middle of the road)  เป็นเพลงฝรั่งเพลงแรกที่ชอบ
     2. season in the sun (terry jack)  เป็นเพลงฝรั่งเพลงแรกที่ฟังแล้วซึ้ง
     3. hey jude   ไปคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนว่าเพลงของ บีทเทิ้ล เพราะที่สุด เพื่อนบอกว่าเพลงของ สี่เต่าทอง เพราะกว่า
                         เถียงกันอยู่นานเป็นเดือนกว่าจะรู้ว่า........
     4. our house (csn&y)  ฟังครั้งแรกจากวิทยุ ฟังจบเพลงนั่งรถเมล์จากชลบุรีไปกรุงเทพฯ เพื่อซื้อแผ่น deja vu
     5. american pie (don mclean)  ไม่รู้ว่าชอบเพราะอะไร แม้ปัจจุบันถ้าได้ยินก็ยังชอบอยู่
     6. stairway to heaven (led zeppelin)  ยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการหู
     7. two out of three aint bad (meat loaf) เป็นเพลงรักที่เพราะมาก
     8. morning has broken (cat steven) ฟังแล้วโลกดูสดใสน่าอยู่ขึ้นเยอะ
     9. everybody need a friend (wishbone ash) ช่วงที่ฟังเพลงนี้เป็นช่วงที่กำลังมีความรัก เมื่อได้ยินเพลงนี้ทีไรนึกถึงตอนนั้น
                                                                    ทุกที
   10. questions (manfred mann)  หวาน เหงา เศร้า เพราะ
บันทึกการเข้า
.. polotoon ..
The Snow Goose
**********
กระทู้: 18602



ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2009 | 04:15:23 PM »

ขอเขียนแบบค่อยๆนึก ค่อยๆเขียนนะครับ please.

กระทู้นี้ทำให้ได้หวนระลึกถึงความผูกพันครั้งเก่าก่อนดีจังครับ ผมได้ย้อนกลับมาฟังอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้  ยิ้มกว้างๆ








27 ปี  Barclay James Harvest – Live Tape
อีกวงก็น่าจะเป็น Barclay James Harvest ครับ วงที่พอจะเรียกได้ว่าเป็น Progressive Rock อยู่  เป็นวงแรกที่ผมรู้จักครับ จากคุณปีศาจลายครามที่พร่ำพรรณาเปิดโลกดนตรีเพลง Progressive ให้กับเพื่อนร่วมรุ่นมัธยมด้วยกัน  ผมพูดได้เลยครับว่าภาษาอังกฤษที่พอจะพูดจากับฝรั่งแล้วไม่เมื่อยมือมาก ก็ได้เพลงฝรั่งนี่แหละที่ช่วยให้ขวนขวายอยากเข้าใจมากขึ้นกว่าเคย  อัลบั้มชุดแรกเลยที่คุณปีศาจแนะนำเป็นชุด Turn Of The Tide ที่ผมว่าฟังไม่ง่ายเท่าไรนักครับ คือเป็นชุดที่กึ่งจะเพราะติดหูก็ไม่เพราะเสียทีเดียวครับ  น่าจะมีคนชอบไม่มากนักด้วยซ้ำไป  แต่ชุดที่ประทับใจมายาวนานน่าจะเป็น Live Tape ครับ ที่ได้ฟังหลังจากนั้นไม่นานนัก  ฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นร็อคที่ไม่ได้ฟังชอบแล้วจางหายไป  ฟังบ่อยมากเลยครับ  จากเทปคลาสเส็ทยี่ห้อดังเหมือนเดิม วงนี้ยังเป็นวงที่ผมซื้อแผ่นเสียงเป็นวงแรกด้วยครับ  ชุด The Best Of Barclay James Harvest Vol.3 ปกสีฟ้าๆ  ที่ซื้อชุดนี้ก็ด้วยเหตุผลว่า  ไม่มีทำเป็นเทป  และเป็นแผ่นที่มีขายที่ห้างเซ็นทรัลครับ  ผมซื้อก่อนเครื่องเล่นแผ่นเสียอีกครับ  ยิ้มกว้างๆ









25 ปี  Dire Straits - Alchemy Live ผมว่่าอัลบั้มนี้ต้องมีส่วนให้ผมสอบเข้ามหาลัยได้แน่เลยครับ ไม่มากก็น้อย ฟังตั้งแต่ออกกับค่ายเทปยักษ์ใหญ่ Peacock ออกเป็นเทป 2 ม้วนแยกกัน น่าจะได้ซื้อที่ห้างคาร์เท์ที่อยู่แถวเยาวราช สมัยนั้นจะมีแผงเทปใหญ่ไปเช่าพื้นที่บน Ramp จอดรถขายกัน ม้วนละ 29 บาทกระมังครับ สมัยนั้นนั่งรถเมล์ไปซื้อครับ ต่อเดียว 1.50 บาท เพื่อไปซื้อเทปไม่เกิน 3 ม้วน เพราะซื้อมากไม่ไหว เอากลับมาฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้เบื่อ แต่จนป่านนี้แล้ว ผมไม่มีซีดีหรือแผ่นเสียงชุดนี้เลยครับ เคยซื้อแผ่นที่ชอบมากๆหลายชุดแล้ว ปรากฎว่าฟังยังไงก็ไม่ได้อารมณ์เดิมแล้ว ส่วนใหญ่จะซื้อมาเก็บมากกว่า มันเหมือนเป็นความทรงจำเดิมๆ ที่ไม่อาจหวนคืนได้จริงๆ ตอนนั้นฟังกับแอมป์กับลำโพงตัวโตๆที่ขอพ่อมา เสียงดังลั่นห้องไม่เคยแตก ปัจจุบันเทปที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ม้วนเดิมๆแล้ว เป็นคนละรุ่นที่ซื้อ แต่ก็ยังคงหน้าตาเหมือนเดิมอยู่ ไม่ได้ถูกหยิบมาเปิดแล้ว ลำโพงยกให้ช่างที่มาซ่อมบ้านไปแล้ว เทปเด็คยังใช้ได้อยู่ แอมป์ก็เปลี่ยนตัวไปแล้ว แต่ความทรงจำยังอยู่ที่เดิม  ยิ้มกว้างๆ

เหมือนบังเอิญจริงๆ เชื่อไหมครับ วันนี้ผมเพิ่งได้ดูวีดีโอบันทึกการแสดงสดชุดนี้เป็นครั้งแรก อายจัง มีความสุขมากครับ






21 ปี  Velvet Underground & Nico ด้วยความสงสัยว่าอัลบั้มนี้มีดีอย่างไร เพราะได้ยินคำชมมามากเหลือเกิน ชุดนี้ซื้อแผ่นเสียงเลย เพราะยังไม่มีทำเทปในตอนนั้น แผ่นร้าน Roxy กระมัง เอามาฟังแล้ว เอ๊ะมันดียังไงหว่า ดนตรีรกหูมาก เสียงร้องเย็นชา เหงาและหดหู่น่าดู  พอได้ฟังมากเข้ามากเข้าก็เริ่มเข้าใจ และเห็นความงามในนั้นแบบติดหนึบ อดที่จะหยิบมาฟังแล้วฟังอีกไม่ได้  ปกอับั้มนี้แบบ Original จะสามารถลอกเปลือกกล้วยออกได้ เป็นหนึ่งในดีไซน์ปกสุดคลาสสิคปกหนึ่ง เคยซื้อเสื้อยืดรูปปกอัลบั้มมาใส่ด้วยความภูมิใจ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยได้เห็นกล้วยใบที่ปอกเปลือกได้ใบนั้น แม้จะมี Mini Lp ที่เพิ่งออกมา แต่ก็ไม่ได้ซื้อหาไว้ เพราะคิดว่าจะซื้อแผ่นเสียงใหม่ดีกว่า เพราะได้กล้วยใบใหญ่กว่า   ยิ้มกว้างๆ






20 ปี  Tom Petty - Full Moon Fever ฟังตอนทำงานส่งอาจารย์ เป็นชุดที่ฟังแล้วกำลังมีสมาธิพอดี ไม่แรงหรือเบาไป ที่สำคัญคือต้องมีจังหวะจะโคน มิเช่นนั้นจะหลับเอาได้ บางครั้งฟังแบบพลิก ( เทป ) กลับไปมาได้เรื่อยๆ ม้วนนี้ต้องอยู่ใกล้ๆเครื่องตลอด ไม่ต้องเอาไปเก็บ  ยิ้มกว้างๆ









19 ปี  Bob Geldof - The Vegetarians of Love  ชอบเสียงเมาๆ ดนตรีอคุสติก ผสมผสานดนตรีพื้นบ้านที่พอดีๆ ฟังได้เรื่อยๆ สมัยเรียนต้องนอนน้อยบ่อยๆเวลามีงานส่ง ดนตรีแบบนี้ช่วยให้ไม่หลับ และรู้สึกสนุกสนาน กระฉับกระเฉงไปในตัว ไม่น่าเชื่อว่าคนดังอย่างท่านเซอร์ เพิ่งจะมีงานเดี่ยวออกมาแค่ 4 ชุด ชุดน่าสุดเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ดนตรีและปกแรงมากเลย เพิ่งได้ฟังเมื่อไม่นานนี้เองครับ รปูลักษณ์ท่านก็เปลี่ยนแปลงโรยราไปมากเหลือเกิน นี่แหละเพื่อนที่ผูกพันอีกคน ( 55 ชุดนี้ก็ยังไม่มีแผ่นอีกเหมือนกัน เหมือนยิ่งชอบมากยิ่งไม่ยอมซื้อแผ่นยังไงไม่รู้ กลัวจะไม่ชอบเหมือนเดิม )   ยิ้มกว้างๆ























มาจองที่ไว้ก่อน เดี๋ยวไว้ค่อยมาเล่า  ยิ้มกว้างๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กรกฎาคม 2009 | 04:21:54 PM โดย polotoon » บันทึกการเข้า

winston
The Dark Side of the Moon
*****
เพศ: ชาย
กระทู้: 1016


Imagine there's no stairway to heaven


ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2009 | 06:50:15 PM »

ขอเขียนแบบค่อยๆนึก ค่อยๆเขียนนะครับ please.

1. Dire Straits - Alchemy Live ผมว่่าอัลบั้มนี้ต้องมีส่วนให้ผมสอบเข้ามหาลัยได้แน่เลยครับ ไม่มากก็น้อย ฟังตั้งแต่ออกกับค่ายเทปยักษ์ใหญ่ Peacock ออกเป็นเทป 2 ม้วนแยกกัน น่าจะได้ซื้อที่ห้างคาร์เท์ที่อยู่แถวเยาวราช สมัยนั้นจะมีแผงเทปใหญ่ไปเช่าพื้นที่บน Ramp จอกรถขายกัน ม้วนละ 29 บาทกระมังครับ สมัยนั้นนั่งรถเมล์ไปซื้อครับ ต่อเดียว 1.50 บาท เพื่อไปซื้อเทปไม่เกิน 3 ม้วน เพราะซื้อมากไม่ไหว เอากลับมาฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้เบื่อ แต่จนป่านนี้แล้ว ผมไม่มีซีดีหรือแผ่นเสียงชุดนี้เลยครับ เคยซื้อแผ่นที่ชอบมากๆหลายชุดแล้ว ปรากฎว่าฟังยังไงก็ไม่ได้อารมณ์เดิมแล้ว ส่วนใหญ่จะซื้อมาเก็บมากกว่า มันเหมือนเป็นความทรงจำเดิมๆ ที่ไม่อาจหวนคืนได้จริงๆ ตอนนั้นฟังกับแอมป์กับลำโพงตัวโตๆที่ขอพ่อมา เสียงดังลั่นห้องไม่เคยแตก ปัจจุบันเทปที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ม้วนเดิมๆแล้ว เป็นคนละรุ่นที่ซื้อ แต่ก็ยังคงหน้าตาเหมือนเดิมอยู่ ไม่ได้ถูกหยิบมาเปิดแล้ว ลำโพงยกให้ช่างที่มาซ่อมบ้านไปแล้ว เทปเด็คยังใช้ได้อยู่ แอมป์ก็เปลี่ยนตัวไปแล้ว แต่ความทรงจำยังอยู่ที่เดิม  ยิ้มกว้างๆ

+1
บันทึกการเข้า

Facebook group สำหรับคนรักเพลงทุกรูปแบบ.....

http://tinyurl.com/allmusiclovers
ท่านผีเพลง
Voyage Of The Acolyte
*********
กระทู้: 4733


Phantom of the Paradise


ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2009 | 10:46:48 AM »

10 อัลบั้มที่ทรงอิทธิพลกับชีวิต, ผูกพัน และหลงรักที่สุดในโลกใบนี้ของคุณ۞ ળં૮યબ૮અતે૭


1. Brahms : Symphony no 1 in C minor (Op.68)
Arturo Toscanini /NBC Symphony Orchestra (1941)



เป็นงานซิมโฟนี่ที่เป็นอมตะ ท้าทายผู้ที่อยากก้าวเดินบนทางสายคลาสสิค
เสียงกลองทิมปานี เป็นสิ่งที่สะท้อนความล้ำยุคสมัย อย่างแท้จริง
ผมรักในกระบวนท่าของสรรพเสียง แน่นหนาประดุจภูษิตฟ้าไร้ตะเข็บ
อืมม์.. ก็ปู่บราห์มของผม ใช้เวลาแต่งเพลงตั้ง 21ปีนะ (1854-1876)

แล้วเพลงนี้ประทับใจยังไง
คือฟังแล้ว มีพลังลุกโชนยิ่งใหญ่ ให้ยืนหยัดต่อสู้กับความทุกข์ขมขื่น ที่โหมทับทมเข้ามาในชีวิตน้อยๆครับ


2. Agnes Chan - Will The Circle Game Be Unbroken (1971)



นี่คงเป็นแผ่นเสียงที่ผม"ดู"มากกว่า"ฟัง"
และที่อยากเล่นกีต้าร์เป็นก็เพราะ "เธอ" นี่แหละ

ความประทับใจ
ก็(ก้อ)... คนมันรักนี่.. (ไร้เหตุผลสุดๆ)


3. Shakti -  Shakti with John McLaughlin (1975)



อาจจะเป็นแผ่นเสียงที่"เซอร์ไพรซ์"ที่สุด แห่งการฟังเพลงของผม
และทุกครั้งที่ฟังเสร็จ ก็ต้องมาหยิบกีต้่าร์มาเล่นมั่ง

ความประทับใจ
มันทำให้ผมมาสนใจ "เพลงไทยเดิม" อย่างจริงๆจังๆ อีกครั้ง



๔. คาราบาว - เมด อิน ไทยแลนด์ (๒๕๒๗)



เป็นงานที่มีคุณค่าสูง คงฝังอยู่ในใจของผม ไปตลอดกาล
แม้ว่าผมจะซื้อผลงานของพวกเขา เพียงชุดที่ ๗ (ประชาธิปไตย) ก็ตาม
แต่ ๑๐ เพลงในอัลบั้มนี้ อยู่ในระดับ "อมตะ" ทุกเพลง

ความประทับใจ
เนื้อหาของอัลบั้ม มันโดนใจ มนุษย์เงินเดือน เฉกเช่นผมอย่างแรง
(ไม่มีทั้ง ซีดีและแผ่นเสียง แต่มีเทปอยู่ ๒-๓ ก็อปปี้  ร้องไห้ อยากได้แผ่นจัง)




๕.  -  (19xx)





ความประทับใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2009 | 06:34:32 PM โดย ۞ ળં૮યબ૮અતે૭ » บันทึกการเข้า

panyarak
The Snow Goose
**********
กระทู้: 9716



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2009 | 11:05:46 AM »

เลือกยากจัง ส่วนใหญ่จะเป็นอัลบั้มที่ฟังครั้งแรกก็หลงรักเลยครับ

1. Yes - Going for the One (ครบ 30 ปี พอดี) - เป็นงาน prog ชิ้นแรกที่เพื่อนแนะนำให้ฟัง และก็ติดหนึบมาตั้งแต่นั้น ตอนฟังแรกๆ ก็ชอบเพลงสั้นๆ กว่าจะชอบเพลง Awaken แบบถอนตัวไม่ขึ้นก็ล่วงไปหลายปีจนกระทั่ง Yes - Union Tour นำเพลงนี้ออกเล่นแสดงสดเป็นครั้งแรก ซึ่งคนที่รู้จัก Yes อย่างผิวเผินนึกว่า เป็นเพลงใหม่ของ Yes ด้วยซ้ำ
2. Fleetwood Mac - Rumours 1 (31 ปี) - ฝากเพื่อนซื้อเทปเพราะชอบชื่อวงโดยไม่เคยฟังมาก่อน ฟังอยู่ 2-3 หน ก็ติดใจ
3. Peter Gabriel - 3 (20 กว่าปี) - เป็นผลงานเดี่ยวของสมาชิก Genesis ชุดแรกที่ได้ฟัง เพราะคุณพัณณาศิสฯ นำมาแนะนำในสตาร์พิคส์ เลยไปสั่งอัดเทปจากร้าน Music Lover
4. Manfred Mann's Earth Band - Chance (20 กว่าปี) - ฟังครั้งแรกจากเทปพีค๊อก แม้ว่าจะเคยฟังงานชุด Watch ของวงนี้มาก่อน แต่ก็หลงรักชุด Chance มาตลอด ส่วนชุด Watch เป็นอันดับ 2
5. ABBA - The Album (เกือบ 30 ปี) - เพื่อนคนนึงชอบเพลง Move on จากชุดนี้มาก เขาไปบ้านผมทีไร ก็ต้องเปิดเพลงนี้ให้ฟังจนชอบไปด้วย ส่วนผมชอบทุกเพลงในชุดนี้
6. Boney M - Love for Sale (เกือบ 30 ปี) - ซื้อเทปมาฟังเพราะติดใจเพลง Sunny ที่ได้ยินทางวิทยุ ตอนแรกก็คิดว่า Boney M คือนักร้องคนเดียว โดยมีวงแบ็คอัพ
7. Alan Parsons Project - The Turn of a Friendly Card (20 กว่าปี) - ฟังครั้งแรกจากเทปพีค๊อก แล้วก็ตามเก็บชุดอื่นๆ ที่ออกมาก่อนและหลังชุดนี้ ความประทับใจครั้งแรกคือ สำเนียงการร้องเพลง title track และเพลง Maybe a Price to Pay
8. Deep Purple - Made in Japan (เกือบ 30 ปี) - ฟังครั้งแรกจากเทป 4 Track ตอนแรกก็ชอบอยู่แค่เพลง Highway Star, Smoke on the Water และ Child in Time พอฟังไปเรื่อยๆ ก็ชอบหมดทุกเพลง ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกที่ปกแผ่นเสียงอัลบั้มนี้เป็นสีทอง แต่ 4 Track เปลี่ยนสีปกเทปเป็นสีดำ พอค่ายเพลงนำอัลบั้มนี้มา reissue เป็นแผ่นเสียงในโอกาสครบรอบ 30 ปีของอัลบั้มนี้ ก็ได้เปลี่ยนสีปกเป็นสีดำ (ตามเทปผีของไทย)
9. Jean Michel Jarre - The Concerts in China (20 กว่าปี) - ฟังครั้งแรกจากเทปที่สั่งอัดจาก Music Lover ต่อมาก็ซื้อเทปลิขสิทธิ์ Polydor ของไทย ตามมาด้วยแผ่นเสียง และซีดี รวมทั้ง bootleg DVD สารคดีเบื้องหลังการแสดงครั้งนี้ โดยยังหวังอยู่ว่า จะมีการออก DVD ทางการของคอนเสิร์ตนี้ในอนาคต
10. Renaissance - Live at Carnegie Hall (20 กว่าปี) - คุณพัณณาศิสฯ เป็นผู้แนะนำว่า ให้ลองฟัง prog ที่ผู้หญิงร้องนำดู ตอนแรกก็ไปอัดเทปเฉพาะเพลง Ocean Gypsy จากร้าน Music Lover มาฟังก่อน พอไปเรียนหนังสือที่อเมริกา ก็ได้ซื้อแผ่นเสียงมาฟังทั้งอัลบั้ม

อัลบั้มที่เกือบจะติดอันดับ แต่จำใจตัดออกไปก็มี Grace Slick - Dreams, Queen - Live Killers, Roger Taylor - Strange Frontiers, Boney M - Boonoonoonoos, Pink Floyd - The Wall, Kansas - Two for the Show, Moody Blues - Long Distance Voyager, Ultravox - Rage in Eden, Jon Anderson - Olias of Sunhillow, Steve Hackett - Defector, King Crimson - Lizard, Kraftwerk - Computer World, ELP - Welcome Back My Friends ..., Genesis - Live, Rainbow - On Stage

ขอเลียนแบบคุณ deja vu ด้วย 10 เพลงที่ทรงอิทธิพลตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป (หลายเพลงซ้ำกัน)
1. Middle of the Road - Chirpy Chirpy Cheep Cheep (ครบ 40 ปี พอดี) - เป็นเพลงที่คุณพ่อชอบเปิดตอนอยู่ญี่ปุ่น ตอนนั้นก็คิดว่า เป็นพวกฮิตเพลงเดียวแล้วก็หายไป พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่า วงนี้มีเพลงฮิตอีกหลายเพลง และเพราะๆ ทั้งนี้น
2. Terry Jacks - Seasons in the Sun (เกือบ 40 ปี) - เป็นเพลงที่ได้ยินทางวิทยุบ่อยมาก โดยเฉพาะ IS Song Hits และ Let It be Me
3. Wishbone Ash - Everybody Needs a Friend (30 ปี พอดี) - เป็นเพลงกีตาร์คู่เพลงแรกที่เพื่อนเปิดให้ฟัง และหลงรักตั้งแต่ได้ยินครั้งแรกเลย ชอบทั้งเสียงร้อง กีตาร์ เบส กลอง และเนื้อร้องที่ประทับใจ
4. Manfred Mann's Earth Band - Lies (Through the 80's) (20 กว่าปี) - เพลงนี้ไม่มีเหตุผลเฉพาะ
5. Boney M - Belfast (เกือบ 30 ปี) - เป็น 1 ในไม่กี่เพลงที่ Marcia Barrett นักร้องเสียงห้าวของวงได้ร้องนำ (ส่วนใหญ่ Liz Mitchell ร้องนำ) และออกร็อคมากที่สุดของ Boney M
6. KC & the Sunshine Band - It's the Same Old Song  (เกือบ 30 ปี) - ที่จริงก็อยากเลือกอัลบั้มของ KC ที่มีเพลงนี้ด้วย เพลงนี้ The Four Tops เคยร้องไว้ก่อน แต่ version ของ KC & the Sunshine Band กินขาด ที่ซื้อเทปของ 4 Track ชุดนี้มาฟังโดยไม่รู้จักแนวดนตรีมาก่อน เพราะโลโก้สีทองที่ลอยอยุ่ในอวกาศโดยแท้เลย
7. Manfred Mann's Earth Band - Solar Fire และ In the Beginning (2 เพลง เพราะต้องเปิดคู่กันเสมอ) (30 ปี) - เพื่อนเปิดให้ฟังติดต่อกันทั้ง 2 เพลง และก็ได้กลายเป็นเพลงคู่ที่ต้องเปิดฟังด้วยกันมาตลอด
8. Mike Oldfield - Incantations (20 กว่าปี) - ติดใจท่อนร้อง Songs from Hiawatha ที่ Maddy Prior ร้องนำก่อนที่จะชอบทั้งเพลง (ทั้ง 4 parts) ซึ่งร้องเพลงภาษาอังกฤษให้ออกมาเหมือนภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษได้อย่างน่าทึ่ง
9. Renaissance - At the Harbor (20 กว่าปี) - เป็นเพลงโปรดของเพื่อนสนิท และน่าจะเป็นหนึ่งในเพลงที่สั้นที่สุดของ Renaissance ซึ่งน่าจะทำให้ได้ข้อสรุปว่า เพลง prog ที่ประทับใจ ไม่ต้องยาวเกิน 20 นาที ก็ได้
10. Deep Purple - Highway Star (32 ปี) - เป็นเพลงฮาร์ดร็อคเพลงแรกที่ได้ฟังจากเทปที่เสียงทึบ และคงเป็นเพลงฮาร์ดร็อคในดวงใจไปตลอดกาล

เช่นกัน มีหลายเพลงต้องถูกตัดออกไปอย่างน่าเสียดาย เช่น Joey - Shelby Flint, How Can I Tell Her - Lobo, Pictures of Home - Deep Purple, Gates of Babylon - Rainbow, Sukiyaki - Kyu Sakamoto, Love to Love - UFO, My Melody of Love - Bobby Vinton, Still in Love with You - Sherbet, Puff - Peter Paul & Mary, Reason to Believe - Rod Stewart, Streets of London - Sinead O'Connor
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 กรกฎาคม 2009 | 02:42:53 PM โดย panyarak » บันทึกการเข้า

deja vu
The Dark Side of the Moon
*****
กระทู้: 1061


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2009 | 01:51:36 PM »

เลือกยากจัง แล้วจะมาเติมให้เต็มต่อไปด้วยคนครับ

1. Yes - Going for the One (ครบ 30 ปี พอดี)
2. Fleetwood Mac - Rumours 1(31 ปี)
3. Peter Gabriel - 3
4. Manfred Mann's Earth Band - Chance
5. ABBA - Arrival
6. Boney A - Love for Sale
7. Alan Parsons Project - The Turn of a Friendly Card
8. Deep Purple - Made in Japan
9. Jean Michel Jarre - The Concerts in China
10. Renaissance - Live at Carnegie Hall

ขอเลียนแบบคุณ deja vu ด้วย 10 เพลงที่ทรงอิทธิพลตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป (หลายเพลงซ้ำกัน)
1. Middle of the Road - Chirpy Chirpy Cheep Cheep (ครบ 40 ปี พอดี) - เป็นเพลงที่คุณพ่อชอบเปิดตอนอยู่ญี่ปุ่น ตอนนั้นก็คิดว่า เป็นพวกฮิตเพลงเดียวแล้วก็หายไป พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่า วงนี้มีเพลงฮิตอีกหลายเพลง และเพราะๆ ทั้งนี้น
2. Terry Jacks - Seasons in the Sun (เกือบ 40 ปี) - เป็นเพลงที่ได้ยินทางวิทยุบ่อยมาก โดยเฉพาะ IS Song Hits และ Let It be Me
3. Wishbone Ash - Everybody Needs a Friend (30 ปี พอดี) - เป็นเพลงกีตาร์คู่เพลงแรกที่เพื่อนเปิดให้ฟัง และหลงรักตั้งแต่ได้ยินครั้งแรกเลย ชอบทั้งเสียงร้อง กีตาร์ เบส กลอง และเนื้อร้องที่ประทับใจ
4. Manfred Mann's Earth Band - Lies (Through the 80's) -
5. Boney M - Belfast -
6. ABBA - Move on
7. Manfred Mann's Earth Band - Solar Fire และ In the Beginning (2 เพลง เพราะต้องเปิดคู่กันเสมอ) (30 ปี)
8. Mike Oldfield - Incantations
9. Renaissance - At the Harbor
10. Deep Purple - Highway Star (32 ปี)



    ดีใจครับที่รสนิยมการฟังเพลงส่วนหนึ่งใกล้เคียงคุณปัญญรักษ์ (สะกดผิดตั้งหลายเพลง ผมไม่ค่อยเก่งอังกฤษน่ะครับ)
    going for the one , the turn of... , made in japan ผมก็ชอบมากครับ
    ตอนแรกคิดว่าคุณปัญญรักษ์จะชอบเพลงที่หนักๆ ฟังยากซะอีก
บันทึกการเข้า
panyarak
The Snow Goose
**********
กระทู้: 9716



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2009 | 02:11:10 PM »

เลือกยากจัง แล้วจะมาเติมให้เต็มต่อไปด้วยคนครับ
 

    ดีใจครับที่รสนิยมการฟังเพลงส่วนหนึ่งใกล้เคียงคุณปัญญรักษ์ (สะกดผิดตั้งหลายเพลง ผมไม่ค่อยเก่งอังกฤษน่ะครับ)
    going for the one , the turn of... , made in japan ผมก็ชอบมากครับ
    ตอนแรกคิดว่าคุณปัญญรักษ์จะชอบเพลงที่หนักๆ ฟังยากซะอีก


เพลงหนักๆ ก็ฟังครับ แต่ถ้าต้องเลือกแค่ 10 ชุด ก็ขอเลือกพวกนี้ก่อนครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 กรกฎาคม 2009 | 02:30:16 PM โดย panyarak » บันทึกการเข้า

เพชร วิปลาส
Oxygene
********
เพศ: ชาย
กระทู้: 2982


วันนี้จะฟังเพลงอะไรดีน้อ...


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2009 | 11:40:31 AM »

10 อัลบั้มที่ทรงอิทธิพลกับชีวิต, ผูกพัน และหลงรักที่สุดในโลกใบนี้ของ "เ้พชร วิปลาส"

          เชื่อว่าแต่ละคนก็เคยลองผิดลองถูกในการฟังเพลงมาหลายรูปแบบ และมีศิลปินที่ชื่นชอบกับอัลบั้มที่ดีๆมากมายอยู่ในใจ แต่ก่อนที่จะพบเจอสิ่งที่ดีๆเหล่านั้น จะต้องมีศิลปินและเพลงที่ทรงอิทธิพลกับชีวิต, ผูกพัน และหลงรัก ฟังเมื่อไรก็เหมือนกับได้ย้อนกับไปเวลาดีๆตอนนั้นเสมอๆ หลายคนอาจจะเคยหัวเราะ ร้องไห้มาแล้วด้วยซ้ำเวลาที่นั่งฟังเพลงที่ตัวเองเคยผูกพันอยู่คนเดียว
          สำหรับตัวผมแล้วอัลบั้มเหล่านี้ไม่ใช่อัลบั้มที่ผมชอบที่สุดและดีที่สุดในสายตาผม (ซึ่งมีมากกว่าสิบอัลบั้มแน่นอน) แต่เสมือนเป็นประตูเบิกทางและมีอิทธิพลในการฟังเพลงของผมและได้ค้นพบศิลปินและอัลบั้มดีๆที่ชอบในเวลาต่อมา จึงขอเลือกมาแค่ 8 อัลบั้มเท่านั้นครับ เพราะนอกจากนี้มันจะไม่ผูกพัน แต่จะเป็นอัลบั้มที่ดีที่ชอบซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียวกว่าเราจะผูกพันกับมันได้...

1. แรกเริ่ม "ป๊อปครองเมือง" กับ เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ - บูมเมอแรง (พ.ศ. ๒๕๓๓) ความผูกพัน ๒๐ ปี


เกิดมาเป็นเด็กไทย ไม่เคยฟังเพลงพี่เบิร์ดนั้นถือว่าขาดบางสิ่งบางอย่างไปในชีวิต จริงๆแล้วพี่เบิร์ดเริ่มดังและมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ชุดแรก "สายลมสองเรา" และมีเพลงฮิตเป็นสิบๆเพลงมาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นแต่มันบังเอิญว่าผมเองดันเริ่มฟังและพูดภาษาคนรู้เรื่องจริงๆเอาช่วง ชุด "บูมเมอแรง" และเริ่มร้องตามได้แบบเป็นจริงๆเป็นจัง อัลบั้มนี้เป็นเพลงป๊อปฟังง่ายๆซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าดังยกชุดด้วยเพลงอย่าง "บูมเมอแรง", "คู่กัด", "หมอกหรือควัน" เพลงของพี่เบิร์ดและอัลบั้มนี้ถือเป็นการปูทางให้ผมเริ่มฟังเพลงป๊อปอย่างตั้งใจและเริ่มสนใจที่จะฟังเพลงเป็นจริงเป็นจัง ทั้งในแง่ของตัวเพลง จังหวะ ท่าทางประกอบเพลง ทำความเข้าใจเนื้อหาในเพลงมากกว่าที่จะฟังผ่านๆเฉยๆอย่างที่ผ่านมา รวมทั้งเริ่มสนใจตัวศิลปิน (แปลได้ว่าเริ่มบ้าดาราแล้วนั่นเอง) ซึ่งหลังจากนั้นก็ติดตามผลงานพี่เบิร์ดมาทุกชุด ซึ่งระหว่างนั้นผมก็เริ่มชื่นชอบศิลปินป๊อปยุคนั้นก็ได้แก่ มาลีวัลย์ เจมีน่า, ปั่น, และยุคอาร์เอสครองเมืองในเวลาต่อมาอย่าง เจมส์ เรืองศักดิ์, ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง, แร๊พเตอร์

ทุกวันนี้แม้จะหันเหไปฟังแนวอื่นเสียมาก แต่ก็ไม่เคยอายใครที่จะบอกว่าเป็นแฟนเพลงพี่เบิร์ดครับ (ร้องได้แทบทุกเพลงจนทุกวันนี้ เชื่อไหม?)

 

2. ฝรั่งรุกล้ำในหัวใจ กับ ไมเคิล แจ๊คสัน - Dangerous (พ.ศ. ๒๕๓๖) ความผูกพัน ๑๖ ปี


โชคดีเหลือเกินที่หลังจากเริ่มฟังเพลงได้ไม่นาน บังเอิญมีศิลปินระดับโลกอย่าง "ไมเคิล แจ็คสัน" มาเปิดคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยที่ชื่อว่า "Dangerous world tour" พอดิบพอดี ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่าคนไทยเห่อไมเคิลมาก ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกวัน มีข่าวและโฆษณาทางโทรทัศน์ตลอดเวลา ทำให้ผมซึมซับเพลงและท่าเต้นของไมเคิลได้โดยไม่ยากนัก จริงอยู่ที่ผลงานสุดยอดของไมเคิลคือ "Thriller" แต่ตอนนั้นผมยังเพิ่งเกิดจึงไม่ได้ซึมซับความยิ่งใหญ่ของเขาในยุคนั้น ความทรงจำเกี่ยวกับเพลงและท่าเต้นอันสุดมหัศจรรย์ของไมเคิลจึงเกิดในอัลบั้มนี้มากกว่า จำได้ว่าตอนนั้นเคยเอาสก๊อตเทปมาพันตามนิ้ว ใส่หมวก และหัดเต้นท่ามูนวอคล์กันทั้งชั้นเรียน เพลงดังสุดๆในช่วงนั้นอย่าง "Black or White" และ "Heal the world" ดังจนเด็กยุคนั้นร้องตามกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง แม้หลังจากทัวร์นั้นกระแสของไมเคิลจะซาลงไปตามกาลเวลาแต่เพลงของเขาทำให้ผมเริ่มหัดฟังเพลงป๊อป และ อาร์แอนด์บีจากศิลปินต่างประเทศ จนต่อมาได้รู้จักงานเพลงดีๆ อย่าง วิทนีย์ ฮุสตัน, บอยส์ ทู เมนส์, มารายห์ แคร์รี่, พวกบอยแบนด์ทั้งหลายแหล่ และศิลปินคุณภาพหลายๆคนในเวลาต่อมา

ส่วนที่ผมเปรยไว้ตอนขึ้นต้นว่าโชคดีที่ไมเคิลมาไทยให้ผมได้รู้จักตั้งแต่ตอนนั้น เพราะว่าหลังจากนั้นความนิยมในตัวเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากอัลบั้ม "History" ถ้าเกิดไม่มาเมืองไทยตอนที่พีคสุดๆนั้น ผมอาจจะไม่ได้ให้ความสนใจเขามากขนาดนี้ก็เป็นได้ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กรุ่นหลังๆถึงเฉยๆกับไมเคิล เป็นเพราะว่าเขาหลุดจากกระแสหลักที่คนรุ่นหลังสนใจแล้วนั่นเอง

 

3. ลูกกวาดตกกระป๋อง กับ บอยด์ โกสิยพงษ์ - Rhythm & Boyd (พ.ศ. ๒๕๓๘) ความผูกพัน ๑๒ ปี


หลังจากอยู่ใต้ร่มเงาของกระแสเพลงหลักจากแกรมมี่และอาร์เอสมานาน วันหนึ่งผมได้มีโอกาสฟังเพลงอย่าง "เจ้าหญิง", "รักคุณเข้าแล้ว", "ลมหายใจ" จากอัลบั้ม Rhythm & Boyd ในรถของเพื่อนตอนชวนกันหนีโรงเรียน มันเป็นความรู้สึกที่ทึ่งมากว่าเดี๋ยวนี้ (ตอนนั้น) คนไทยทำไมทำเพลงได้ดีขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของดนตรี การเขียนเนื้อร้อง และวิธีการร้องที่แปลกใหม่และแสนจะแตกต่างจากเพลงป๊อปจากสองค่ายใหญ่ที่เคยฟังมานาน พร้อมกับช่วงนั้นมีกระแสการแอนตี้เพลงป๊อป จนมีวลีติดปากกันว่า "I don't like POP music" (ซึ่งน่าจะมีต้นกำเนิดมาจาก เดี่ยว ไมโครโฟน ของโน๊ต อุดม) ผมจึงหยุดการติดตามเพลงป๊อปไทยและหันมาฟังผลผลิตจากค่ายนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ว่าจะเป็นชุดต่อมาอย่าง "Simplefied" และงานอื่นๆในเครื่อเบเกอรี่ อย่าง "Pause", โยคี เพลย์บอย ด้วยความแตกต่างทางแนวดนตรีจากกระแสหลักที่มีแนวอื่นๆปนเข้ามาอย่าง ฮิพฮอฟ, ฟังก์, ดิสโก้, เร๊กเก๊, สกา และมีรายละเอียดของดนตรีมากกว่าเพลงป๊อปทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องเป่า เครื่องสาย เสียงสังเคราะห์ต่างๆ ซึ่งผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นแนวคิดของซาวน์ดนตรีที่ฮิตกันในเวลาต่อมา ซึ่งขอให้คำจำกัดความเองว่า "ซาวน์แบบประกวดวงดนตรีมหาลัย"  ซึ่งจะกล่าวต่อไปภายหลัง

 

4. สถาปนา "ร็อค แอนด์ โรล" กับ โลโซ - Losociety (พ.ศ. ๒๕๓๙) ความผูกพัน ๑๒ ปี


ช่วงที่ผมอยู่ม. ต้นนั้น สื่อวิทยุยังเป็นสื่อที่แข็งแรงมาก ข่าวสารต่างๆจะผ่านทางผู้รับได้รวดเร็ว เพราะยุคนั้นคนยังฟังวิทยุกันมาก วันหนึ่งขณะที่ผมนั่งฟังวิทยุอยู่เพลินๆนั้น ดีเจก็ได้เปิดเพลงที่เปลี่ยนเพลงวิธีการฟังเพลงผมอีกครั้ง เพลงนั้นคือเพลง "ไม่ต้องห่วงฉัน" ของวงร็อคชื่อแปลกๆอย่าง "โลโซ" ด้วยกีตาร์โปร่งกับเสียงร้องและการเอื้อนที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้เพลงนี้ติดหูตั้งแต่ครั้งแรกที่ฟัง ทันทีที่ฟังจบผมถึงกับต้องรีบตามหาเจ้าของเพลงที่ว่าโดยเร็ว แต่กระนั้นก็เหมือนจะไม่มีใครรู้จักเพลงนี้เลย เพียงแต่พอจะจำได้รางๆว่าศิลปินชื่อ "โซๆ โลๆ" อะไรแบบนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะตอนที่โลโซปล่อยอัลบั้มและซิงเกิ้ลนี้ออกมามันไม่มีการโปรโมตทางสื่อโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ทั่วไปเลย จนกระทั่งมันได้รับความสนใจมีคนพูดถึงในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ทางต้นสังกัดจึงเริ่มปล่อยมิวสิควิดีโอ และมีคอนเสิร์ตทางโทรทัศน์เพื่อสนับสนุนอัลบั้มและก็ได้การตอบรับอย่างดีมากในยุคนั้น และขายดิบขายดีจนต้อง "เพิ่มเพลง เปลี่ยนปกใหม่ เพื่อขอบคุณแฟนเพลง" โดยสมัยนั้นถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติหากมียอดจำหน่ายครบ 1 ล้านตลับ และเนื่องจากยุคนั้นยังไม่มีเทปผี ซีดีเถื่อน และอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้แพร่หลายให้โหลดหรือบิท อย่างทุกวันนี้ ถ้าอยากฟังคุณต้องหาอัดเอาตามคลื่นวิทยุ, ยืมเพื่อน หรือ "ซื้อเอง" ซึ่งผมเลือกที่จะซื้ออัลบั้มชุดนี้มาฟัง ทำให้ผมต้องทนฟังเพลงร็อคจะๆเป็นครั้งแรก (ไม่ฟังก็จะเสียดายตังค์ อุตสาห์ซื้อมาทั้งที) จากอัลบั้มนี้นอกจากจะทำให้เริ่มชอบเพลงร็อค ยังเป็นแรงบันดาลใจให้หัดเล่นกีตาร์และเริ่มตั้งวงดนตรีกับเพื่อนที่โรงเรียนอีกด้วยพร้อมกับต่อยอดไปฟังวงร็อคอื่นๆอย่าง หิน เหล็ก ไฟ, ดิ โอฬาร โปรเจค, คาราบาว จนไปถึงยุคอัลเทเนทีฟ อย่าง Nirvana, Red Hot Chilli Pepers และของไทยอย่าง แบล็คเฮด (วงที่ผมชอบมากที่สุดในตอนนั้น), โมเดิร์น ด๊อกและวงร็อคหัวก้าวหน้าสุดๆในยุคนั้นอย่าง ซิลลี่ ฟูลส์

ผูกพันกับอัลบั้มนี้แค่ไหน เอาเป็นว่าวันสุดท้ายของชีวิตการเรียนมัธยมนั้น ไม่มีเพลงไหนจะเพราะไปกว่า "เราและนาย" อีกแล้ว
 


5. เสียเอกราช ฝรั่งครองใจ กับ ดิ อิเกิ้ล - Hell Freezes Over (พ.ศ. ๒๕๓๗) ความผูกพัน ๑๒ ปี


หลังจากวงร็อคระดับตำนานวงนี้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังแยกย้ายไปสิบกว่าปี พวกเขาได้ทำการบันทึกคอนเสิร์ตในการรวมตัวครั้งนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2537 แต่กว่าผมจะได้ฟังและชมคอนเสิร์ตนี้ก็ราวๆปี 2540 จากการที่โทรทัศน์ช่องหนึ่งเอาภาพคอนเสิร์ตของพวกเขามาฉาย เพลงเปิดตัวอย่าง "Hotel California" ในแบบอคูสติก ติดตาตรึงใจผมมานับตั้งแต่นั้น จนต้องไปซื้อเทปบันทึกการแสดงสดชุดนี้มาไว้ในครอบครอง เท่านั้นยังไม่พอ ยังกัดฟันเก็บเงินซื้อวิดีโอในงานเดียวกันนี้มาเก็บไว้ด้วย ด้วยความคลั่งไคล้ในอัลบั้มนี้นอกจากจะฟังเทปชุดนี้จนยานไปแล้วเอาไปแช่ตู้เย็นไม่ต่ำกว่าสามรอบ ยังขวนขวายเอาวีดีโอม้วนนี้ไปดูบ้านเพื่อน เพราะที่บ้านไม่มีเครื่องเล่นวีดีโอ จากนั้นยังทำให้คนที่ภาษาอังกฤษห่วยแตกอย่างผม ไปไล่ถ่ายเอกสารหนังสือเนื้อเพลงแล้วไล่แปลเพลงเนื้อเพลงที่อยู่ในอัลบั้มนี้แบบงูๆปลาๆ เพราะอยากรู้เนื้อหาของเพลง ที่สำคัญความประทับใจในเสียงร้องและความเท่ของมือเบสของวงที่ชื่อ "Timothy B. Schmit" ในเพลงบัลลาดซึ้งอย่าง "I can't tell you why" และ "Love will keep us alives" ทำให้ผมหัดไปเล่นเบสแบบมั่วๆอยู่นานเลยทีเดียว เมื่อภาษาอังกฤษพอจะติดหูบ้าง จึงเริ่มกระแดะหาเพลงคลาสสิคร็อคของฝรั่งอย่าง Scorpion, Deep Purple, Metallica, UFO, Gun N' Roses, Bon Jovi และ Santana มาฟังอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

ซึ่งเป็นธรรมดาสำหรับคนที่เริ่มชอบเพลงเฮฟวี่ เมทัลใหม่ๆจะหลงไหลการร้องเพลงแบบเสียงสูงๆ กีตาร์โซโล่แบบเร็วๆ และการตีกลองกระเดื่องคู่ เพราะฉะนั้นในช่วงนี้จึงเกิด "อีโก้" ขึ้นภายในตัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติว่า "เพลงที่ดีคือเพลงที่เสียงร้องสูงๆ ดนตรีต้องหนักๆ กีตาร์ต้องเล่นให้ไวที่สุด กลองต้องสองกระเดื่อง" ซึ่งเป็นความคิดที่บ้องตื้นมากๆ

 

6. ดนตรีวิวัฒน์ กับ ดรีม เธียเตอร์ - Images & Words (พ.ศ. ๒๕๓๕) ความผูกพัน ๙ ปี


หลังจากคลั่งไคล้เพลงเฮฟวี่ เมทัลและกีตาร์ฮีโร่มาพักใหญ่ จึงเกิดความเบื่อหน่าย เลยหันมาฟังคลาสิคร็อคแบบพอเพียง ประกอบกับช่วงนั้นเองเป็นช่วงที่เรียนมหาลัยพอดี ซึ่งจะมีงานประกวดวงดนตรีมหาลัยบ่อยๆ ผมก็เป็นคนนึงที่ชอบไปดูเค้าประกวดวงดนตรีกัน ซึ่งในยุคนั้นวงที่ประกวดนิยมเล่นเพลงแบบ ป๊อปผสมแจ๊ส (ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงเพลงแบบวง ETC, HUM, Vacation, Armchair) ที่เล่นเครื่องดนตรีกันหลายๆชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเป่า, เครื่องสาย, คีย์บอร์ด และเพลงแนวแบบนี้มันฮิตมากในการประกวด จนผมตั้งนิยามให้มันว่า "ซาวน์แบบประกวดวงดนตรีมหาลัย" (ก่อนมาทราบทีหลังว่าเป็นที่นิยม เพราะแนวนี้สาวๆกรี๊ดครับ โธ่เอ้ย...เราก็นึกว่าอุดมการณ์)

สิ่งที่ผมได้เก็บเกี่ยวจากการดูการประกวดวงดนตรีก็คือ เครื่องดนตรีที่น่าสนใจมันมีมากกว่ากีตาร์ และการเล่นในแนว "ซาวน์แบบประกวดวงดนตรีมหาลัย" นั้นมันแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเครื่องดนตรีชนิดใด คุณก็สามารถโซโล่และโดดเด่นบนเวทีได้ และเครื่องดนตรีที่เข้าใจว่าเป็นพระรองมาตลอดอย่าง "เบส" ,"คีย์บอร์ด" และ "เครื่องเป่า" นั้น มีเสน่ห์มากกว่ากีตาร์เสียอีกหากคุณเล่น "เก่ง" จริงๆ  ทำให้ผมรู้สึกว่านักดนตรีไทยก็เก่งไม่แพ้ใคร ช่วงนี้ผมก็เลยกลับมาสนใจวงการเพลงไทยอีกครั้ง แต่ก็จะเป็นพวกวงนอกกระแสและพวกที่เล่น "ซาวน์แบบประกวดวงดนตรีมหาลัย" ซะส่วนใหญ่ และเริ่มสนใจฟังเสียเครื่องดนตรีอื่นนอกจากเสียงกีตาร์

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Dream Theater ชุด Images & Words น่ะเหรอ ก็ระหว่างที่ซึมซับและเริ่มทำความรู้จักเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นรวมทั้งเสน่ห์ของมันการประกวดดนตรีมหาลัย มีอยู่วันนึงผมได้รับคำเทียบเชิญจากเพื่อนให้ไปดู "เดอะซัน" ที่มาทัวร์คอนเสิร์ตที่เชียงใหม่ในช่วงปี 2543  ซึงไปรอตั้งแต่บ่ายสองแต่กว่าวงจะขึ้นก็ล่อไปหกโมง ระหว่างที่รอก็จะมีวงเปิดมาเล่นไปเรื่อยๆ จนผมมาสะดุดกับวงนึงที่เล่นเพลง "Metropolis Part 1" ของดรีม เธียเตอร์ ซึ่งยอมรับเลยว่าเกิดมาเพิ่งเคยฟังเพลงที่เล่นได้ซับซ้อนขนาดนี้ เครื่องดนตรีทุกชิ้นไม่มีใครยอมใคร ไหนระหว่างเพลงจะมีการเล่นแบบเร็ว ช้า ผ่อนหนักผ่อนเบาสลับไปมาตลอดเวลา ระหว่างดูถึงกับสบถออกมาประมาณว่า "มันเล่นได้ไงวะ มั่วรึเปล่าเนี่ย" จนคนข้างๆเห็นใจในความไร้เดียงสาเลยแนะนำว่า มันเป็นเพลงของวงดรีม เธียเตอร์ แถมอวยให้อีกว่าเล่นเหมือนในซีดีเปะๆเลย เพราะติดใจจากเหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมต้องไปหาผลงานของวงนี้มาฟังอย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งเอาเข้าจริงมันหายากมากๆ ด้วยความที่อยู่ต่างจังหวัดและไม่ประสีประสาเรื่องการหาซื้อแผ่นเท่าทุกวันนี้ จึงต้องพึ่งพาเทปผี ดีวีดีเถื่อนกับ MP3 ดรีม เธียเตอร์จึงเป็นวงดนตรีวงแรกที่ทำให้ผมต้องทำผิดกฎหมายลิขสิทธิ์นะนี่

ความประทับใจในอัลบั้มนี้ก็คงจะเหมือนหลายๆคนที่ชอบดรีม เธียเตอร์ คือ ดนตรีซับซ้อนแต่สวยงาม เครื่องดนตรีโดดเด่นทุกชิ้น ที่สำคัญเพลงยังติดหูง่ายไม่ต้องปีนบันไดฟัง ที่สำคัญเพราะชอบวงนี้มากๆทำให้ผมสนใจในอิทธิพลและแรงบันดาลใจในการทำเพลงของวง ในจุดนี้เองทำให้ผมได้มารู้จักเพลงอีกแนวหนึ่งที่เรียกว่า "Progressive rock" จึงได้มีโอกาสรู้จักวงดนตรีที่ต้องบอกว่าไปอยู่ไหนมาถึงเพิ่งเคยฟังอย่าง "Pink floyd", "Yes", "King Crimson", "ELP" และ "Rush" ซึ่งถือเป็นแนวเพลงที่ดรีม เธียเตอร์ยึดเป็นแนวทางมาตลอด และต่อยอดจากฮีโร่ตลอดกาลของพวกเขาอย่าง "Led Zeppelin", "The Beatles" ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งในการฟังเพลงเพราะมีแต่วงขึ้นหิ้งทั้งนั้น จนตัวเองก็แปลกใจว่าชอบฟังเพลงแต่ตกหล่นวงแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน

การรู้จักกับดรีม เธียเตอร์ของผมนั้นจัดว่าถูกที่ถูกเวลาครับ เพราะถ้าผมยังบ้ากีตาร์ฮีโร่เหมือนเพื่อนร่วมรุ่น คงไม่ประทับใจดรีม เธียเตอร์ที่เล่นกันเป็นทีมมากกว่าจะเน้นไปที่กีตาร์แน่ๆ

 

7. โลกเป็นสีฟ้า หลงรักสำเนียงบูลส์ กับ ครีม - Royal Albert Hall London May 2-3-5-6 2005 (พ.ศ. ๒๕๔๘) ความผูกพัน ๔ ปี


จริงๆเพลงบูลส์นั้นผมเคยฟังมานานแล้วตั้งแต่เริ่มสนใจเพลงฝรั่ง แต่เป็นเพราะมันยังไม่ถึงเวลาของผมหรือก็ไม่ทราบได้ เพราะผมไม่เคยรู้สึกชอบมันเลย จนระหว่างเรียนมหาลัยก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าที่เชียงใหม่มีร้านที่เล่นบูลส์สดได้เด็ดสะระตี่เสียเหลือเกิน ก็เลยต้องย่องไปดูเสียหน่อย

แต่เอาเข้าจริงๆกว่าผมจะเก็ทที่ทางร้านเล่นก็ปาไปสองสามครั้ง แต่มันก็ทำให้ช่วงนั้นผมเริ่มสนใจแนวบูลส์ขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนทางร้านเองชอบเล่นเพลง "Crossroad", "Sunshine of your love" และ "White room" จนผมจำได้ เมื่อต้องการจะหางานบูลส์สักชุดมาฟัง มันก็ไม่ต้องคิดมากก็แค่หาอัลบั้มที่มีเพลง 3 เพลงนี้ในอัลบั้ม แล้วก็โชคดีอีกครั้งที่อัลบั้มนี้มันเป็นบูลส์ที่รสหวานรับประทานง่าย เนื่องจากเป็นงานที่สมาชิกแต่ละคนเริ่มชราภาพกันหมดแล้ว (ฮา) เพราะฉะนั้นการอิมโพรไวส์แบบสุดลิ่มทิ่มรูหูจึงค่อยมีในชุดนี้ จึงทำให้คนที่เริ่มสนใจชอบและพอจะทำความเข้าใจคำว่าบูลส์ได้ไม่ยากนัก เพียงเวลาไม่นานผมก็เริ่มซึมซับสำเนียงบูลส์มากขึ้นเรื่อยๆแล้วขวนขวายไปหางานของศิลปินอื่นๆไม่ว่าจะเป็น Eric Clapton, Stevie Ray Vaughan, Gary Moore รวมไปถึง Jimi Hendrix และแม้กระทั่งรุ่นใหม่อย่าง John Mayers ในเวลาต่อมา

ด้วยอาณิสงค์ของความชื่นชอบสำเนียงบูลส์ ทำให้ผมสามารถนั่งฟังเพลงที่ร้านโปรดที่แจมดนตรีบูลส์กันได้เป็นชั่วโมง แต่เพื่อนที่ไม่ชอบการแจมตอนนี้มันไม่เอาด้วยแล้วครับ

 

8. ลองของและแสวงหา กับ แพท เมทินี - Speaking of now (พ.ศ. ๒๕๔๕) ความผูกพัน ๓ ปี


หลังจากฟังโปรเกรสซีฟร็อคกับบูลส์มาพักใหญ่ๆ ก็นึกว่าตัวเองเจ๋งเข้าขั้น ก็เลยอยากจะลองหาเพลงแนวอื่นๆมาฟังบ้าง ก็เลยอาศัยอินเทอร์เนต ควานหางานเพลงในแนวอื่นๆที่ต่างออกไป ซึ่งเป้าหมายในครั้งนี้ก็คือ "แจ๊ซ" ไม่รู้ว่าเป็นความซวยหรือบุญพาวาสนาส่ง ช่วงนั้น "แพท เมทินี" กำลังจะมาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทยช่วงปี 2549 ตอนที่เสิร์ชในเวปผลออกมาจึงมีข่าวของ "แพท" เต็มไปหมด ผมจึงเข้าใจไปเองว่า "แพท" คือศิลปินแจ๊สที่เป็นที่นิยม (ปล. เคยเสิร์ชจนได้ไปอ่านรีวิวคอนเสิร์ตนี้ในพันทิพของน้องบาสด้วยครับ) จึงตัดสินใจไปหางานของเขาที่ร้านขายซีดี แล้วก็พบ "Speaking of Now live" เพียงแผ่นเดียวอยู่บนแผง ก็เลยจัดการสอยมาเพื่อลิ้มลองดนตรีแจ๊ซ

เพียงแค่จบแทร็คแรกอย่าง "Last train home" ได้ไม่กี่สิบวินาทีผมก็ต้องรีบลุกไปปิดเครื่องเล่นโดยด่วนเพราะแทร็คต่อไปอย่าง "Go get it" นั่นเกินที่ผมจะรับได้จริงๆ และผมก็โยนงานของเขาทิ้งไว้ในส่วนลึกสุดของชั้นเก็บซีดีของผม

จริงๆการเริ่มฟังแจ๊ซนั้นๆ ผู้เริ่มต้นควรจะไปเริ่มมาจากทางป๊อปแจ๊ซหรืองานแจ๊ซที่ฟังง่ายๆมาก่อนเพื่อทำการปรับให้เข้ากับตัวตนของแจ๊ซเสียก่อน น่าจะเป็นการดีกว่าเจอแจ๊ซแบบ "ปล่อยของ" หมดแบบนี้ แต่สำหรับคนที่หลุดเข้ามาอยู่ในช่วงลองของและแสวงหาสิ่งใหม่ๆอย่างผม มันกลับเป็นความท้าทายที่อยากจะลองดูอีกสักตั้งกับเพลงที่ใครๆบอกกันว่าฟังยากเย็นเหลือเกิน หลังจากทำใจได้แล้วจึงกลับไปเอางานชุดนี้มาฟังอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกหลายๆครั้ง จนกลายเป็นหนึ่งในงานที่ชอบมากๆของแพทไปแล้ว

ไม่นานนักผมก็ได้ทราบว่างานแบบนี้เรียกขานกันว่า "ฟิวชั่น แจ๊ซ" ซึ่งผมก็ได้ต่อยอดจากงานชุดนี้ไปฟังงานของแพทอีกหลายชุด รวมทั้งต่อยอดไปฟังวงระดับตำนานอย่าง "Weather Report", "Return to Forever" และศิลปินแจ๊สอื่นๆอย่าง "Miles Davis", "John Mclaughlin", "Al Dimeola" ในเวลาต่อมา

 

         การเดินทางยังไม่สิ้นสุด ตัวผมเองก็ยังลองของและแสวงหาเพลงใหม่ๆมาฟังอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าไม่มีศิลปินและอัลบั้มดังที่กล่าวมา ทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าทิศทางในการฟังเพลงของผมจะออกมาในรูปแบบใด ดังนั้นอัลบั้มและศิลปินเหล่านี้คือสิ่งที่ที่ทรงอิทธิพลกับชีวิต, ผูกพัน และหลงรักที่สุดในโลกใบนี้ของผม


สถานีต่อไป "เพลงคลาสสิค" ดีไหมหนอ...  ขยิบตา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กรกฎาคม 2009 | 12:00:35 PM โดย เ้พชร วิปลาส » บันทึกการเข้า


เป็นความทรงจำดีๆที่ครั้งนึงเราเคยไปถึงแกรมมี่มาแล้ว...

เชิญชม collection โมเดลของผม  
ขายซีดี, ดีวีดีเพลง  .  .
อินยูเทโร
Selling England By The Pound
**
เพศ: ชาย
กระทู้: 145



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2009 | 09:06:14 PM »

   เดี๋ยวค่อยมาต่อวันหลังนะครับ เอาคร่าวๆ อิอิ

 1. Blood Sugar Sex Magik - Red Hot Chili Peppers




 2. Nevermind - Nirvana



 3. In Utero - Nirvana



 4. Appetite for Destruction - Guns n' Roses



 6. Use Your Illusion I&II - Guns n' Roses



 7. The Wall - Pink Floyd



 8. Dangerous - Michael Jackson



 9. Night Waltz - Keiko Matsui



 10. X&Y - Coldplay 


 
บันทึกการเข้า

100
หน้า: [1] 2 3 ... 7
พิมพ์
กระโดดไป:  

ThaiProg.net Ver 4.0 by tisanai,Shineon,kongbei
Top 10 Best Sellers in Kindle eBooks Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers In Automotive Parts And Accessories Reviewer 2016 Top 10 Best Sellers in Tools and Home Improvement Under $10, Reviewer 2016
Top 10 Best Sellers in Clothing for 2017 Top 10 Best Sellers in Clothing Best Sellers in Clothing
Top 10 Best Sellers in Books reviewer 2017 Top 10 Best Sellers in Books Best Sellers in Books
Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Reviewer 2017 Top 10 Best Sellers In Best Sellers In Grocery Best Sellers In Grocery