๋Jim Morrison อัจฉริยะหรือคนบ้า

(1/2) > >>

eric:
“ผมคือไอ้โง่...และแน่นอนพวกเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ละล้วนแล้วแต่เป็นคนโง่อย่างบัดซบที่ถูกทำให้เกิดขึ้นมา....ใครเป็นผู้สร้างชีวิตมนุษย์อันเส็งเคร็งนี้ขึ้นมา   พระเจ้าหรอ....งั้นก็คงทึ่มอย่างที่สุดที่ทำให้เกิดชีวิตทุกชีวิต  ชีวิตที่มีแต่ความเหลวไหล หมกมุ่นอยู่แต่กับการกิน ถ่าย นอน แล้วก็สืบพันธ์แค่นั้น  ทุกสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ก็ถูกทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์กันเอง สุดท้ายหก็เหลือแต่ผงธุรีเท่านั้น”
   ประโยคที่มองโลกอย่างสิ้นหวังและสับสนเช่นนี้ได้วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของ Jim Morrison อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจากปากคำของเพื่อพ้องร่วงวง The Doors อีกสามคนคือ Robby Kriger, Ray Manzarek และ John  Densmore พวกเขาต่างบอกระยะหลังๆก่อนที่ Jim จะเสียชีวิตไปในปี 1971 เขามีพฤติกรรมแปลกๆออกจะวิตถารไม่น้อย
   Jim เคยบอกเพื่อนๆว่าเขาเคยเห็นพญามัจจุราชและเคยคิดที่จะขายวิญญาณให้กับมัน หลายต่อหลายครั้งที่เขาสบถคำลามกอนาจารออกมาขณะอยู่บนหน้าเวทีต่อแฟนๆนับหมื่น ซึ่งบางครั้งถึงกับกล่าวประณามหยามแฟนเพลงของเขาเองอย่างหยาบคายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เพื่อนๆให้ความเห็นว่ามันอาจเป็นสภาพจิตผิดปกติที่เกิดจาการที่ Jim ได้ถูกครอบงำโดยฤทธิ์แฮลกอฮอล์ ยาระงับประสาทและหลอนประสาทต่างๆ ที่เขาหมกมุ่นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่ Jim กลับเคยพูดถึงพฤติกรรมของตนเองว่า “ผมต้องการให้มนุษย์ทุกคนสังวรถึงสถานะของตนเอง สิ่งที่ผมพูดและการกระทำคือธาตุแท้แห่งวิญญูชน เราไม่ปิดบังซ่อนเร้น ผมเห็นภาพชีวิตต่างๆผุดขึ้นมันเหมือนภาพฝัน แต่มันก็เป็นจริง ผมมองเห็น ซึ่งผมก็ต้องการถ่ายทอดสิ่งที่ผมเห็นและใส่ความคิดของผมลงไปต่างๆเหล่านั้น  แน่นอนผมใช้ยาและดื่มตัด มันเป้นตัวกระตุ้นให้ผมได้ถ่ายทอดออกมาเป็นความคิดที่สวยงามในการแสดงออกแบบของผม มันเป็นบทกวี”
   ไม่มีใครคาดคิดว่าธาตุแท้ในวิญญาณของ Jim Morrison เป็นเช่นไรความนึกคิดของเขาเป็นที่ถูกหรือไม่  ในหลายๆเรื่องที่ Jim แสดงออกและกระทำ มีคนบางกลุ่มเห็นด้วย เขาเป็นเสมือนผู้ชี้นำแนวทางต่อความคิดของคนกลุ่มนั้น และแน่นอนย่อมมีกลุ่มคนอีกบางกลุ่มเช่นกัน ที่มองว่าเหลวไหล
   Jim Morrison เป็นนักร้องนักดนตรี และนักกวี ที่ไม่เหมือนกับนักดนตรีคนอื่นๆในยุคสมัยเดียวกัน เขามีความเชื่อตามแนวความคิดแปลกๆ ซึ่งหลายๆคนพยายามจัดว่าความเชื่อของเขานั้นเป็นผมมาจากแนวคิดทางศาสนาลัทธิในลัทธิหนึ่งหรือไม่  หรือจะเป็นผู้พยายามกำเนิดเป็นศาสดาแห่งลัทธิใหม่ของเขาเองหรือไม่ ตาหากมองลงไปอย่างยุติธรรม Jim Morrison เสรีชนสามัญคนหนึ่ง ที่มีแนวความคิดตามความเชื่อของของรุ่นใหม่ที่ไปไกลก่อนกาล เขามีความคิดที่ก้าวหน้าในแนวคิดและปฏิบัติที่ไม่อาจเข้าใจได้ในสังคมของปุถุชนทั่วไปที่ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาสามัญ หากแต่เมื่อโลกได้ก้าวผ่านสู่เหตุการณ์ต่างๆไปสักระยะหนึ่งแล้วนั่นเอง ประสบการณ์ต่างๆเหล่านั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าในความคิดของ จิม มอร์ริสัน ในยุคหนึ่งนั้น น่าที่จะศึกษามากทีเดียว
   จิม มอร์ริสัน เกิดในเมืองเมลเบอร์น ฟลอริดา วันที่ 8 ธันวาคม ปี 1943 ชื่อจริงคือ James Douglas Morrison เขาเรียนจบไฮสคูลที่โรงเรียน Georege Washington High School ในปี 1961 และเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ St. Petersburg Junior Collage จากนั้นเขาจึงเดินทางเข้าสู่ลอสแองเจลีสเพื่อศึกษาสาขาวิชาเทคนิคการทำภาพยนตร์ใน UCLA ระหว่างนั้นเองได้พบกับ เรย์ แมนชาเร็ค จอห์น เด็นส์มอร์ และ ร็อบบีย์ คริกเกอร์ ซึ่งเป็นชาวลอสแองเจลีสและเล่นดนตรีร่วมกับวงดนตรีที่นั่น ทั้งสี่ร่วมกันก่อตั้งวง  The Doors และเริ่มการแสดงสดที่ London Fog Club บนถนนซันเซ็ทในแอลเอนั่นเอง
   ราวปี 1966 ในระหว่างที่ The Doors เล่นดนตรีตามคลับและคาเฟเฮาส์ในแอลเออยู่นั่นเอง The Doors ก็พบกับการถูกต่อต้านเป็นครั้งแรก เมื่อ จิม มอร์ริสัน ร้องเพลง The End ซึ่งทำจากบทกวีที่เขาเขียน

ขึ้น มันเป็นบทกวีซึ่งสุดที่จะยอมรับได้ในสังคม เขากล่าวถึงหนุ่มคนหนึ่งกระทำฆาตกรรมบุพการีตนเอง การที่ต้องการจะปลดเปลื้องสภาพการถูกครอบงำและพันธนาการโดยสิ่งต่างๆรอบตัวโดยกฎเกณฑ์ของสังคมแม้จากภายในครอบครัวอยู่ในความนึกคิดของเขา ที่ถูกถ่ายทอดออกมาทางบทเพลง The End ชิ้นนี้ และผลแห่งการถูกต่อต้านครั้งนั้น ที่ Whisky Agogo ร็อคคลับชื่อดังในแอลเอ ถึงกับได้ยกเลิกการแสดงของพวกเขาในทันที เสียงต่างๆเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงความผิดปกติของ จิม มอร์ริสัน และ The Doors
   ภูมิหลังของ จิม นั้น ค่อนข้างจะใช้ชีวิตในวัยเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาต่อครอบครัวเป็นอย่างมาก จากแรงกดดันในวัยเด็กของ จิม ที่เติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างด้วยกฎระเบียบ พ่อของ จิม เติบโตในครอบครัวนายทหารเก่าสืบเชื้อสายมายาวนาน ด้วยเหตุนี้ความเป็นไปในครอบครัวของเขาจึงมีกฎระเบียบมากมายขีดไว้ให้เดิน จิม มีความอึดอัดต่อสภาพเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง เขาจึงพยายามสร้างจินตนาการต่างๆตามแนวความคิดของเขาขึ้นมาเพื่อลบภาพซึ่งถูกครอบงำโดยจารีตต่างๆที่เกิดขึ้นในรอบตัวเขา เขาเป็นเด็กมีปัญหาครูและใครหลายๆคนพูดเช่นนั้น และสิ่งต่างๆเหล่านี้เองนำมาซึ่งแนวคิดและปฏิบัติในระยะต่อๆมาของเขา
   จิม ได้ชื่อของ  The Doors มาจากบทประพันธ์ท่อนหนึ่งของ William Blake ที่เขียนไว้ว่า “หากทวารแห่งการับรู้นั้นโปร่งใส ทุกสิ่งก็จะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างไม่สิ้นสุด” จิม มีความซาบซึ้งในปรัชญาอย่างยิ่งซึ่งในบางครั้งก็ง่ายต่อความเข้าใจ แต่บางครั้งก็ไม่มีใครสามรถเข้าถึงในก้นบึ้งแห่งปรัชญาของเขาได้อย่างแท้จริง
   The Doors เซ็นสัญญาอัดแผ่นเสียงชุดแรกกับ Jack Holzman แห่ง Elektra Records ในปี 1967 คือชุด The Doors ซึ่ง จิม ก็ได้ใส่เพลงที่มีปัญหาเช่น The End ลงไปในอัลบั้มชุดนี้ไว้ด้วย โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งเนื้อหาและท่วงทำนอง เขาถูกวิจารณ์อย่างหนักภายหลังจากอัลบั้มชุดนี้วางจำหน่าย แต่อย่างไรก็ดีเพลง Light My Fire เพลงหนึ่งในชุดการเขียนของ ร็อบบีย์ คริกเกอร์ ก็ขึ้นสู่ความนิยมสูงสุดภายในปีนั้น สามารถกลบกระแสต่อต้านต่อเพลง The End ลงได้
   ในปีเดียวกัน อัลบั้ม Strange Days ออกติดตามมา และมีเพลง People Are Strange ขึ้นสู่อันดับสูงในอเมริกาอีกเช่นกัน ในปี 1968 อัลบั้มชุด Waiting for the sun ออกต่อมเป็นชุดที่สาม ได้สร้างเพลงฮิตคือ Hello I Love You ขึ้นถึงอันดับหนึ่งอีกครั้งในอเมริกา และขึ้นอันดับ 15 ในอังกฤษติดตามมา ความโด่งดังของ The Doors ขณะนั้นส่งให้ จิม มอร์ริสัน ซึ่งมีภาพโดดเด่นอย่างยิ่งในวง ได้เป็นแบบอย่างของเด็กหนุ่มอเมริกาแห่งยุคปลายยุค60 ที่มองภาพอคติต่อสังคมและครอบครัว วงการต่างๆเริ่มจับตามองเขาและสืบประวัติโดยละเอียด
   ความโดดเด่นของ จิม มิใช่เพียงการเป็นนักร้องนำของ The Doors และไม่ใช่เพียงเพราะเพลงฮิตต่างๆของวงที่ จิม เป็นหัวหอกในการนำเสนอเพียงเท่านั้น เพราะอันที่จริงแล้วบทบาทของ จิม ในวงนั้นก็เป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของ The Doors และเพลงต่างๆของ The Doors สมาชิกคนอื่นๆก็ยังมีส่วนร่วมผลิต โดยเฉพาะ ร็อบบีย์ คริกเกอร์ มีความสามารถแต่เพลงไม่แพ้ จิม หากแต่ว่าด้วยแนวความคิดของ จิม เองที่ได้แสดงออกมาอย่างโดดเด่นในรูปแบบของเขา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงต่อหน้าฝูงชน การแสดงความคิดในบทสัมภาษณ์ และทั้งจากงานเขียนต่างๆที่เป็นบทเพลงให้กับ The Doors หรือบทกวีต่างๆของเขาเอง
   ในยุคสมัยที่ จิม เติบโตขึ้นนั้น เขาซึมซาบกับสังคมที่กำลังเพิ่มขีดความเสื่อมทรามจากผลของการปรับเปลี่ยนทางวิทยการต่างๆซึ่งคนที่กำลังเพิ่มขีดความเสื่อมทรามจากผลของการปรับเปลี่ยนทางวิทยาการต่างๆซึ่งคนในอเมริกันรุ่นใหม่เริ่มรู้สึก เขาไม่เคยพอใจใดๆกับท่าทีของรัฐบางอเมริกันซึ่งพยายามก่อร่างความเป็นจักวรรดินิยมของตนเองให้แผ่ไพศาลไปทั่วทุกพื้นที่ เขาไม่เคยพอใจในนโยบายต่างๆซึ่งรัฐกระทำต่อประชาชน

ประดุจลูกแกะซึ่งไม่มีความนึกคิด เขาเกลียดการนำประเทศเข้าสู่สงครามของประธานาธิบดี Nixon และเกลียดการละเลยต่อปัญหาภายในประเทศที่กำลังครุกกรุ่นขึ้นทุกขณะ เนื่องเพราะรัฐบาลไม่จริงใจที่จะแก้ปัญหาความคับแค้นใจทั้งปวงของประชาชน แต่กลับทุ่มงบประมาณส่วนใหญ่ลงไปกับนโยบายทางต่างประเทศและทางทหาร
   จิม นำความนึกคิดต่อเหตุการณ์ต่างๆขีดเขียนขึ้นเป็นกวีแนวปรัชญา ความน่าสนใจของกวีในแบบของ จิม ก็คือ ในยุคสมัยเช่นเขา ไม่เคยมีใครนำเนื้อหาที่เกี่ยวกับชีวิตและสังคม สะท้อนออกมาในแง่มุมที่แปลแตกต่างได้เช่นเขา เขานำภาพแห่งความนึกคิด จิตนาการ และภาพฝันมาผนวกเข้ากับปรัชญาแห่งยุคสมัย เป็นภาพแห่งความเป็นจริงที่เวียนว่าอยู่รอบตัวซึ่งมนุษย์ไม่ค่อยจะรู้สึกตัวจนกระทั่งมันได้คืบคลานเข้าสู่ตัวเองแล้วนั่นเองที่ทุกๆคนจึงจะได้ฉุกคิด

eric:
ยังไม่จบครับเดี๋ยวมาต่อ

ท่านผีเพลง:
เยี่ยมเลยนอนรอ(จ้า) ;D

喜 ? 多 ? 郎:
ได้ดูหนังเรื่อง Norwegian Wood เมื่อตอนบ่าย เจอเพลงประกอบเพลงหนึ่งเข้า รู้สึกว่าเพราะดี พยายามฟังแล้วฟังเล่า ว่าเค้าร้อง-เนื้อร้องว่าไง เพื่อมาเสิร์ชหาข้อมูลว่าเป็นเพลงอะไร ของใคร ก็ฟังไม่ยักออก เสิร์ชอยู่ 3-4 รอบ ก็ไม่ได้คำตอบ พอดีนึกได้ว่าท้ายหนัง อาจมีลงเครดิตก็เป็นได้ เลยหาดู โชคดีที่มี และ เป็นภาษาอังกฤษ ไล่เสิร์ชฟังดูหลายเพลง เจอจนได้ เพลง Indian Summer ของวง The Doors นั่นเอง ไม่เคยฟังเพลงวงนี้มาก่อน เพลงนี้ได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าเพราะดี เลยเสิร์ชเจอกระทู้นี้เข้า เลยต้องเขียนเล่นหน่อย.

.. polotoon ..:
อ้างจาก: eric ที่ 23 มีนาคม 2011 | 01:53:16 PM

ยังไม่จบครับเดี๋ยวมาต่อ

โอ้โฮ ให้รอนานจริงๆ :D

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป