ต่อไป »

[ปีศาจลายคราม]

ในกระบวนการเล่นกลับแบบอะนาล็อกหรือกระบวนการทำงานของเครื่องเล่นแผ่นเสียงนั้น หัวเข็ม (phono cartridge) เปรียบเสมือนปราการด่านแรกที่จะขูดเก็บเอาสัญญาณจากร่องแผ่นเสียงเพื่อผ่านกระบวนการทางเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อผ่านโทนอาร์มบนเครื่องเล่นแผ่นเสียง แล้วไปเข้าเครื่องขยายสัญญาณหัวเข็มหรือ phono stage ผ่านภาคขยายสัญญาณของแอมปลิฟายเออร์ก่อนจะกลายเป็นสัญญาณเสียงออกสู่ลำโพงให้เราได้ยินในที่สุด

อันว่าหัวเข็มนั้นเปรียบประดุจไมโครโฟน เพราะหัวเข็มเป็นตัวรีดเอาสัญญาณจากร่องแผ่นเสียง ส่วนไมโครโฟนนั้นเป็นสื่อเก็บสัญญาณเสียงของนักร้องหรือผู้พูด แล้วนำสัญญาณเสียงนั้นผ่านภาคขยายออกลำโพงให้ผู้ฟังได้ยินต่อไป ท่านคงจะเคยได้ยินว่า นักร้องเสียงทองบางคนนั้นต้องมีไมโครโฟนประจำตัวของตนติดตัวไว้เสมอเวลาไปร้องเพลงในที่ต่าง ๆ และจะไม่ยอมใช้ไมค์ของคนอื่นนอกจากของตนเอง มิฉะนั้น อาจทำให้เสียงตัวเองฟังดูไม่ไพเราะหรือผิดเพี้ยนไป (ฮา) ไมโครโฟนจึงมีคุณภาพหลายระดับและหลายราคา ตามวัตถุประสงค์และความต้องการใช้งาน เช่นเดียวกับหัวเข็มเล่นแผ่นเสียง ซึ่งก็มีคุณภาพและราคาแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ราคาพันกว่าบาทไปจนถึงราคาหลายแสนบาทกันเลยทีเดียว หัวเข็มจึงมีความสำคัญที่มิอาจถูกมองข้ามในบริบทของการเล่นกลับแบบไฮไฟ (hi-fi replay) หรือการเล่นแผ่นเสียง เพราะหัวเข็มถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญนับถัดจากตัวแท่นและโทนอาร์มในชุดเครื่องเล่นแผ่นเสียง ซึ่งองค์ประกอบทั้งสามส่วนนี้จะต้องทำงานร่วมกันได้ดี เสียงที่ออกมาจึงจะไพเราะน่าฟัง หัวเข็มนั้นมีทั้งแบบ moving magnet (MM) และ moving coil (MC) และบางตำรายังอาจมีแบบ moving iron (MI) ด้วย ซึ่งแบบหลังนี้ให้ความแรงสัญญาณไม่ต่างอะไรไปจากหัวเข็มแบบ MM ในขณะที่หัวเข็มแบบ MC ที่ไม่ใช่แบบ high output นั้นให้สัญญาณขาออกต่ำมาก หากจะซื้อมาใช้ ก็ต้องคำนึงว่าท่านมีภาคขยายสัญญาณหัวเข็มเอาท์พุทต่ำแบบนี้อยู่หรือไม่

เนื่องจากเรามีกระทู้ The 7 Sexiest Turntables in the World และ The 7 Sexiest Tonearms in the World แล้ว จึงขอตั้งกระทู้นี้เพื่อให้ท่านสมาชิกที่เล่นแผ่นเสียงได้เข้ามาแชร์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับหัวเข็มที่เคยใช้มาแล้ว ว่ามียี่ห้อใด รุ่นใด ที่น่าเล่นและคุณภาพดีบ้าง อาจเป็นหัวเข็มที่ไม่ต้องแพงแต่ให้ประสิทธิภาพดีคุ้มค่าคุ้มราคาก็ได้ หรืออาจเป็นหัวเข็มที่น่าสนใจและจับตามอง ก็เอามาแนะนำเล่าสู่กันฟังได้ครับ

[ปีศาจลายคราม]

เสน่ห์ของการเล่นแผ่นเสียงประการหนึ่งคือการได้จับต้องและปรับแต่งเครื่องเล่นแผ่นเสียง บางคนอาจสงสัยว่าทำไมจึงต้องปรับแต่งหรือที่เรียกกันว่า "เซ็ตอัพ"? คำตอบคือเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือเทิร์นเทเบิ้ลนั้นมีการทำงานในลักษณะไฟฟ้าเชิงกล โดยความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว น่าจะมีหลักกลศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าไฟฟ้าเสียด้วยซ้ำ คนที่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงชั้นดีราคาแพง มีโทนอาร์มชั้นเยี่ยม และมีหัวเข็มสุดแจ๋วไว้ในครอบครอง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเรียนรู้วิธีการปรับแต่งหรือเซ็ตอัพองค์ประกอบเหล่านี้บนเครื่องเล่นแผ่นเสียงของตนเองเพื่อให้ทำงานเข้าขากลมกลืนกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อผลลัพธ์ของเสียงอันพิสุทธิ์ แม่นยำ และน่าอภิรมย์นั่นเอง การปรับแต่งเครื่องเล่นแผ่นเสียงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากการเล่นซีดีที่เพียงมีเครื่องแล้วเอาแผ่นยัดใส่ถาด กดปุ่ม play ก็มีเสียงออกมาแล้ว ไม่ต้องปรับแต่งอะไรให้ยุ่งยาก แต่เครื่องเล่นแผ่นเสียงนั้น ถ้าเซ็ตอัพองค์ประกอบต่าง ๆ ไว้ไม่ดีหรือไม่ถูกต้อง แม้เพียงตั้งหัวเข็มไว้ไม่ถูกต้อง ก็จะได้คุณภาพเสียงที่ไม่พึงประสงค์ และจะโทษว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงไม่ดีไม่ได้ สำหรับหลายคนที่แก่พรรษากับการเล่นแผ่นเสียง กิจกรรมการปรับแต่งเช่นนี้จึงดูท้าทายและน่าสนุก ในขณะที่ผู้อยู่นอกวงการหรือไม่คุ้นกับการเล่นแผ่นดำอาจมองว่าเป็นเรื่องจุกจิกและน่าเบื่อ แต่ผมมองว่า การเล่นแผ่นเสียงนั้นถือเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้เข้าถึงศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่นเครื่องเสียงอย่างแท้จริง เพราะถ้าขึ้นชื่อว่า "เล่นเครื่องเสียง" แล้ว มันต้องมีอะไรจิปาถะให้ต้องทำ ปรับโน่นนิด เปลี่ยนนี่หน่อย เพื่อผลลัพธ์ทางเสียงที่แตกต่างจากที่เคยเป็นอยู่ ดีกว่าเอาสื่อหรือมีเดียโหลดลงเครื่องแล้วกดปุ่ม play เพื่อรอฟังเพลง ซึ่งอย่างหลังนี้มันออกจะง่ายไปหน่อยและค่อนข้างจะห่างไกลจากนิยามที่แท้จริงของคำว่า "เล่นเครื่องเสียง"

หากท่านมีแท่นเครื่อง (เทิร์นเทเบิ้ล) และโทนอาร์มเป็นตัวตั้งที่ดีพอสมควรอยู่แล้ว (ไม่ต้องเลิศหรูมากนักก็ได้) ถ้ามีงบก็ให้ลองเปลี่ยนหัวเข็มเล่นดูให้หลากหลาย แล้วจะพบว่าบุคลิกและคุณภาพเสียงของหัวเข็มแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อนั้นไม่เหมือนกัน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็วและเห็นได้ชัด ดังเช่นการเปลี่ยนลำโพง หัวเข็มหนึ่งอาจเหมาะกับดนตรีแนวหนึ่ง แต่อาจไม่เหมาะกับดนตรีอีกแนวหนึ่ง หัวเข็มหนึ่งอาจเหมาะกับดนตรีหลากหลายแนว แต่ก็มีบางแนวเป็นข้อยกเว้น แต่ในที่สุดแล้ว หัวเข็มทุกหัวต่างก็มีความสามารถในการเล่นกลับโดยดึงเอาสัญญาณจากร่องอันขรุขระบนแผ่นดำแล้วเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้าสู่พลังงานเสียงให้เราได้ยินกันในที่สุด

[ปีศาจลายคราม]

ขอคั่นรายการด้วยข้อมูลที่ได้มาล่าสุดเกี่ยวกับหัวเข็ม Shelter ซึ่งนอกจาก Shelter 501 Mk II ที่ขึ้นหิ้งเป็นตำนานหัวเข็มไฮเอนด์ที่มีประสิทธิภาพคุ้มค่าเทียบเท่าหัวเข็มบางยี่ห้อที่มีราคาสูงกว่าสองหรือสามเท่าตัวแล้ว ตอนนี้ก็มีรุ่น 501 Mk III ออกวางจำหน่ายเรียบร้อยแล้วครับ เข้าใจว่าในบ้านเราคงมีตัวแทนจำหน่ายอยู่เช่นกัน (เห็นจากโฆษณาในหนังสือ Audiophile ฉบับล่าสุด) ในขณะที่ 501 Mk II มีราคาไม่ถึง 1000 เหรียญสรอ. (ตอนนี้อาจยังพอหาได้อยู่ ถ้าโชคดีและมีความพยายามพอ) แต่สำหรับ Mk III นั้น ราคาของมันพุ่งพรวดไปถึงประมาณ 1300 เหรียญ ซึ่งในราคาระดับนี้ Shelter อาจจะเจอหัวเข็มยี่ห้ออื่นจำนวนหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวชนิดหืดขึ้นคอ เมื่อไปอ่านรีวิวของน้าไมค์กี้ Michael Fremer ปรมาจารย์อะนาล็อกคนหนึ่งแห่งสำนัก Stereophile ในเว็บ Analog Planet ของเขา สรุปได้ว่าเป็นหัวเข็มที่ค่อนข้างจำกัดแนวเพลงที่เล่น (เหมาะกับแนวแจ๊สส์และคลาสสิกเป็นหลัก) ใครที่ชอบฟังแนวโฉ่งฉ่างประเภทร็อคอาจพบว่ามันนุ่มนวลสุภาพไปหน่อย ส่วนใครที่ไม่เชื่อและอยากหักล้างความเห็นของน้าไมค์กี้ ก็เชิญซื้อมาลองพิสูจน์กันได้ตามอัธยาศัยเลยครับท่าน -- 1295 เหรียญ (เท่านั้น) -- ส่วนผมจะลองไปดูว่า 501 Mk II ยังพอมีสต็อคเหลือให้ซื้อบ้างหรือเปล่า เห็นคุณอั๋น501บอกว่าได้มาเล่นเรียบร้อยแล้ว ยินดีด้วยครับ

ภาพจาก www.analogplanet.com

[ปีศาจลายคราม]

Ortofon ได้ออกหัวเข็ม MC ซีรี่ย์สใหม่ชื่อ Quintet ออกมาแทนซีรี่ย์ส Rondo แล้ว โดยในซีรี่ย์ส Quintet นี้จะมีอยู่สี่รุ่นหลัก ไล่เรียงตามสีจากราคาต่ำสุดไปหาแพงสุด คือ Red, Blue, Bronze และ Black แถมด้วยรุ่นพิเศษสำหรับเล่นแผ่นเสียงเก่าในระบบโมโน คือ Quintet Mono ด้วยครับ

[ปีศาจลายคราม]

Benz Micro ACE SL (low output MC) หัวเข็ม hand made จากสวิตเซอร์แลนด์ เคยถูกวางตัวให้เป็นมือวางอันดับต้น ๆ ของหัวเข็ม MC ระดับกลาง และเป็นหัวเข็มที่เคยได้รับการโหวตให้เป็นหัวเข็ม Best Buy และ Product of the Year จากนิตยสารเครื่องเสียงเมืองนอกที่ทรงอิทธิพลทั้งฝั่งอังกฤษและอเมริกา เช่น Hi-Fi World, Stereophile, The Absolute Sound รวมทั้งมีบทความรีวิวออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ตที่ให้ความเห็นชื่นชมในเชิงบวกด้วย เมื่อหลายปีก่อนมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 500-550 เหรียญสหรัฐ ราคาขายในไทยประมาณหมื่นกลาง ๆ ถึงหมื่นแก่ ๆ ต่อมาราคาในเมืองนอกขยับเป็น 700 เหรียญ และ 900 เหรียญในที่สุด และที่สำคัญคือ ขณะนี้แทบไม่มีของให้ซื้อแล้ว แม้แต่เว็บขายหัวเข็มระดับเจ้าพ่อบางแห่งยังไม่มีของขายเลย แถมผู้ขายบางรายยังโก่งราคาเป็น 1000 เหรียญก็มี บังเอิญตอนที่ผมซื้อเมื่อปี 2011 นั้น ผมได้มาในราคาไม่ถึง 500 เหรียญ ก็ถือว่าโชคดีไป และยังใช้ประจำการอยู่จนถึงขณะนี้ (ยังไม่ถึงร้อยชั่วโมง) เป็นหัวเข็ม MC ที่ให้เสียงเปิดโล่ง กระจ่าง ราบลื่น สมดุลเสียงเป็นกลางดีมาก ไม่โอนเอียงไปยังความถี่ย่านใดย่านหนึ่งเป็นพิเศษ เมื่อฟังใหม่ ๆ อาจรู้สึกน่าเบื่อ ไม่น่าตื่นเต้นหรือเร้าใจเท่าไร แต่พอฟังไปนาน ๆ จะรู้สึกว่า นี่ละที่ทำให้เรานั่งฟังเพลงจากแผ่นเสียงได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลย เป็นหัวเข็มแห่งความภาคภูมิใจตัวหนึ่งในคอลเล็คชั่นหัวเข็มของผมครับ

[ปีศาจลายคราม]

เมื่อสัปดาห์ก่อนมีโอกาสได้จัดบ้านและจัดโต๊ะทำงานซึ่งรกรุงรังมานาน และไปยืนดูกล่องหัวเข็มยี่ห้อต่าง ๆ ที่ซื้อเก็บไว้ในตู้ ก็พบว่า แม้ไม่ค่อยจะได้ซื้อหัวเข็มหรือเครื่องเสียง เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีจำนวนหัวเข็มเพิ่มขึ้นแทบจะเป็นคอลเล็คชั่นเล็ก ๆ ได้เลย เสียดายตอนนี้ไม่มีรูป เอาไว้สุดสัปดาห์นี้ ถ้าไม่ขี้เกียจ จะถ่ายมาลงให้ดู ทั้งหมดเป็นหัวเข็มแบบ Moving Coil (MC) ซึ่งผมเห็นว่าเป็นของดีแต่ราคาไม่แพง ถึงกระนั้น บางตัวก็เริ่มมีราคาที่ไม่เป็นมิตรต่อคนที่ยังไม่มีและต้องการจะซื้อ นี่คือรายการหัวเข็มที่ผมมีและใช้อยู่ในตอนนี้ครับ

1) Ortofon MC15 Super Mk II เป็นหัวเข็ม MC แบบ low output ที่ผมเริ่มเล่นอย่างจริงจัง ซื้อเมื่อปี 2002 ใช้งานอยู่หลายปี และยังใช้ได้อีก แต่ตอนนี้ปลดประจำการเก็บเข้ากล่องแล้ว
2) Dynavector DV-20XH ใช้งานอยู่พักหนึ่ง ปลดประจำการแล้ว แต่สภาพยังดีอยู่
3) Denon DL-304 ยังไม่ได้ใช้งาน
4) Benz Micro ACE SL ติดตั้งและใช้งานอยู่บนเทิร์นเทเบิ้ล
5) Ortofon MC20 Super 25th Anniversary Limited Edition ยังไม่ได้ใช้งาน
6) Dynavector DV-10X5 ยังไม่ได้ใช้งาน
7) Dynavector DV-20X2L ยังไม่ได้ใช้งาน

มีหัวเข็มหลายตัว สงสัยต้องหาเทิร์นเทเบิ้ลมาเพิ่มอีกสักตัวสองตัวแล้วล่ะครับ

[ปีศาจลายคราม]

ไม่ทราบมีท่านใดเคยใช้หัวเข็ม Ortofon รุ่น MC 7500 กันบ้าง? เมื่อปี 2002 ตอนที่ผมไปซื้อหัวเข็ม Ortofon MC 15 Super Mk II จากตัวแทนจำหน่าย ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่อัมรินทร์พลาซ่า ราชประสงค์ ผมมีโอกาสได้เห็นหัวเข็ม Ortofon MC 7500 ซึ่งมาพร้อมแพ็คเกจอลังการเป็นกระเป๋าหนังสีน้ำตาลขนาดย่อม ซึ่งข้างในบรรจุหัวเข็ม เครื่องมือและอุปกรณ์ของหัวเข็มครบครัน ผมสอบถามราคาว่าเท่าไร ก็ได้รับคำตอบว่าห้าหมื่นกว่าบาท (ในตอนนั้น) ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาของรุ่น MC 15 Super Mk II ที่ผมซื้อหกพันกว่าบาทแล้ว มันช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน ต่อมาอีกไม่นานหัวเข็ม MC 7500 ก็ได้หมดไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่เป็นหัวเข็มแบบ limited edition และเป็นที่ต้องการของพวก audiophile ในยุคนั้น โดยเฉพาะพวกนักเล่นญี่ปุ่น ซึ่งต่างชื่นชอบหัวเข็มรุ่นนี้กันมากและมีกำลังซื้อ (จากคำบอกเล่าของพนักงานขายในร้านที่ผมไปซื้อหัวเข็ม) ผมเคยอ่านหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่ง เห็นหัวเข็ม MC 7500 ติดตั้งอยู่บนแท่น Oracle Delphi Mk V พร้อมอาร์ม SME V ที่บ้านของนักเล่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง เห็นแล้วต้องกลืนน้ำลาย เพราะชอบ combination ชุดนี้ คิดว่าเสียงคงวิเศษน่าดู และนึกเสียดายว่าตอนนั้นทำไมไม่กำเงินไปสักห้าหมื่นกว่าบาท ซึ่งต้องแลกด้วยการทำงานเกือบสามเดือน เพื่อจะได้หัวเข็ม MC 7500 มาครอบครอง แต่ในความเป็นจริงก็มิอาจทำได้ เพราะเงินมิได้เหลือใช้มากมายอะไรขนาดนั้น แต่ถ้ามันยังมีขายอยู่ในยุคนี้ ผมอาจมีสิทธิ์ลุ้นครับ



www.hifido.co.jp

[ท่านผีเพลง]

ไม่ทราบมีท่านใดเคยใช้หัวเข็ม Ortofon รุ่น MC 7500 กันบ้าง? เมื่อปี 2002 ตอนที่ผมไปซื้อหัวเข็ม Ortofon MC 15 Super Mk II จากตัวแทนจำหน่าย ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่อัมรินทร์พลาซ่า ราชประสงค์ ผมมีโอกาสได้เห็นหัวเข็ม Ortofon MC 7500 ซึ่งมาพร้อมแพ็คเกจอลังการเป็นกระเป๋าหนังสีน้ำตาลขนาดย่อม ซึ่งข้างในบรรจุหัวเข็ม เครื่องมือและอุปกรณ์ของหัวเข็มครบครัน ผมสอบถามราคาว่าเท่าไร ก็ได้รับคำตอบว่าห้าหมื่นกว่าบาท (ในตอนนั้น) ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาของรุ่น MC 15 Super Mk II ที่ผมซื้อหกพันกว่าบาทแล้ว มันช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน ต่อมาอีกไม่นานหัวเข็ม MC 7500 ก็ได้หมดไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่เป็นหัวเข็มแบบ limited edition และเป็นที่ต้องการของพวก audiophile ในยุคนั้น โดยเฉพาะพวกนักเล่นญี่ปุ่น ซึ่งต่างชื่นชอบหัวเข็มรุ่นนี้กันมากและมีกำลังซื้อ (จากคำบอกเล่าของพนักงานขายในร้านที่ผมไปซื้อหัวเข็ม) ผมเคยอ่านหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่ง เห็นหัวเข็ม MC 7500 ติดตั้งอยู่บนแท่น Oracle Delphi Mk V พร้อมอาร์ม SME V ที่บ้านของนักเล่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง เห็นแล้วต้องกลืนน้ำลาย เพราะชอบ combination ชุดนี้ คิดว่าเสียงคงวิเศษน่าดู และนึกเสียดายว่าตอนนั้นทำไมไม่กำเงินไปสักห้าหมื่นกว่าบาท ซึ่งต้องแลกด้วยการทำงานเกือบสามเดือน เพื่อจะได้หัวเข็ม MC 7500 มาครอบครอง แต่ในความเป็นจริงก็มิอาจทำได้ เพราะเงินมิได้เหลือใช้มากมายอะไรขนาดนั้น แต่ถ้ามันยังมีขายอยู่ในยุคนี้ ผมอาจมีสิทธิ์ลุ้นครับ

แปลว่า
1. เงินเดือนเกินห้าหมื่น
2. ภรรยาใจดี ซื้อให้
3. เม้มเงิน ไว้เกินห้าหมื่นแล้ว
4. ถูกทุกข้อ


แต่ตัวไอ้ผีเองนั้น แพงสุดคงเล่นไม่เกินหมื่นบาทครัฟ
เพราะหูตึงซะแล้ววว

[ปีศาจลายคราม]

ไม่ถูกสักข้อ แต่ที่ใกล้เคียงหน่อยคือข้อ 3
ไม่ได้เม้มเงินนะครับ แต่มอบให้ภรรยาเอาไปฝาก ทั้งออมทรัพย์ ทั้งฝากประจำ ทั้งซื้อกองทุน ฯลฯ แล้วรอจังหวะหาเหตุถอนออกมาใช้ครับ (เป็นต้นว่า "นี่คุณ เราก็ฝากไว้เยอะแล้ว ถอนออกมาใช้บ้างเหอะ เดี๋ยวมันจะขึ้นราซะเปล่า ๆ")

[ปีศาจลายคราม]

Ortofon MC Anna ราคา 8500 เหรียญสหรัฐ เป็นหัวเข็มที่สเปค "โหด" เอาเรื่อง (นอกเหนือจากเรื่องราคา) เช่น มีน้ำหนัก 16 กรัม ค่าคอมไพลแอนซ์ 9 ค่าเอาท์พุท 0.2 mV แนะให้ตั้งค่า tracking force ไว้ที่ 2.6 กรัม เมื่อพิจารณาจากค่าดังกล่าว นอกจากจะมีเงินแล้ว โทนอาร์มและโฟโนสเตจของท่านต้องดีพอที่จะรับมือมันได้ด้วย กับซิสเต็มของคนรวยแล้ว คงไม่มีปัญหา แต่สำหรับผม ถ้ามีเงินในงบขนาดนี้ สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือซื้อ integrated amp ของ Pass Labs หรือ McIntosh เสียก่อนครับ

[ปีศาจลายคราม]

หัวเข็ม Clearaudio รุ่น Goldfinger Statement ทายซิ ราคาเท่าไหร่ -- ไม่แพงหรอกครับ -- แค่ 15000 เหรียญสรอ. (เท่านั้น) ลองเอา 30 คูณเข้าไปแล้วจะได้ราคาเป็นเงินไทยโดยประมาณ ส่วนราคาในอังกฤษก็ประมาณ 9000 ปอนด์ ผมเคยเห็นผ่านตามาว่านักเล่นคนไทยบางคนก็ใช้หัวเข็มรุ่นนี้เหมือนกัน คนไทยไม่จนเลยครับ

[อั๋น501]

ขอคั่นรายการด้วยข้อมูลที่ได้มาล่าสุดเกี่ยวกับหัวเข็ม Shelter ซึ่งนอกจาก Shelter 501 Mk II ที่ขึ้นหิ้งเป็นตำนานหัวเข็มไฮเอนด์ที่มีประสิทธิภาพคุ้มค่าเทียบเท่าหัวเข็มบางยี่ห้อที่มีราคาสูงกว่าสองหรือสามเท่าตัวแล้ว ตอนนี้ก็มีรุ่น 501 Mk III ออกวางจำหน่ายเรียบร้อยแล้วครับ เข้าใจว่าในบ้านเราคงมีตัวแทนจำหน่ายอยู่เช่นกัน (เห็นจากโฆษณาในหนังสือ Audiophile ฉบับล่าสุด) ในขณะที่ 501 Mk II มีราคาไม่ถึง 1000 เหรียญสรอ. (ตอนนี้อาจยังพอหาได้อยู่ ถ้าโชคดีและมีความพยายามพอ) แต่สำหรับ Mk III นั้น ราคาของมันพุ่งพรวดไปถึงประมาณ 1300 เหรียญ ซึ่งในราคาระดับนี้ Shelter อาจจะเจอหัวเข็มยี่ห้ออื่นจำนวนหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวชนิดหืดขึ้นคอ เมื่อไปอ่านรีวิวของน้าไมค์กี้ Michael Fremer ปรมาจารย์อะนาล็อกคนหนึ่งแห่งสำนัก Stereophile ในเว็บ Analog Planet ของเขา สรุปได้ว่าเป็นหัวเข็มที่ค่อนข้างจำกัดแนวเพลงที่เล่น (เหมาะกับแนวแจ๊สส์และคลาสสิกเป็นหลัก) ใครที่ชอบฟังแนวโฉ่งฉ่างประเภทร็อคอาจพบว่ามันนุ่มนวลสุภาพไปหน่อย ส่วนใครที่ไม่เชื่อและอยากหักล้างความเห็นของน้าไมค์กี้ ก็เชิญซื้อมาลองพิสูจน์กันได้ตามอัธยาศัยเลยครับท่าน -- 1295 เหรียญ (เท่านั้น) -- ส่วนผมจะลองไปดูว่า 501 Mk II ยังพอมีสต็อคเหลือให้ซื้อบ้างหรือเปล่า เห็นคุณอั๋น501บอกว่าได้มาเล่นเรียบร้อยแล้ว ยินดีด้วยครับ

ภาพจาก www.analogplanet.com

ได้ข่าววงในว่าหัวเข็ม Shelter 501 Mk II เฮียปีศาจฯ ได้มาเล่นสมหวังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 
เป็นไงบ้างช่วยขยายความให้อ่านกันด้วยแฮะ
 

[ปีศาจลายคราม]

ถอด Benz Micro ACE SL เก็บเข้ากล่องก่อนครับ

[ปีศาจลายคราม]

Shelter 501 Mk II ติดตั้งบนอาร์ม Dynavector DV-505 ลองฟังดูแล้ว เมื่อเทียบกับ Benz ACE SL เสียงเบสส์ของ Shelter อวบหนา ชัดเจนและมีน้ำหนักมากกว่า (ในขณะที่เสียงของ Benz จะติดเนียนละเมียด สุภาพ และชัดเจน) การแยกมิติสเตริโอดีมาก เวทีเสียงกว้างขวาง ปลายเสียงร้องติดหวาน ผมบรรยายไม่ถูกว่าหัวเข็มตัวนี้บุคลิกเสียงเป็นอย่างไร รู้สึกว่าเป็นหัวเข็มที่ให้เสียงเป็นธรรมชาติและมีความเป็นดนตรีสูง สามารถสะกดผมให้อยู่กับที่ไม่ยอมทำอะไรอย่างอื่นและนำแผ่นเสียงออกมาฟังได้เรื่อย ๆ สมกับที่เป็นหัวเข็มที่ถูกกล่าวขวัญถึงทั้งใต้ดินและบนดิน สรุปว่าชอบและไม่ผิดหวังครับ

[อั๋น501]

Shelter 501 Mk II ติดตั้งบนอาร์ม Dynavector DV-505 ลองฟังดูแล้ว เมื่อเทียบกับ Benz ACE SL เสียงเบสส์ของ Shelter อวบหนา ชัดเจนและมีน้ำหนักมากกว่า (ในขณะที่เสียงของ Benz จะติดเนียนละเมียด สุภาพ และชัดเจน) การแยกมิติสเตริโอดีมาก เวทีเสียงกว้างขวาง ปลายเสียงร้องติดหวาน ผมบรรยายไม่ถูกว่าหัวเข็มตัวนี้บุคลิกเสียงเป็นอย่างไร รู้สึกว่าเป็นหัวเข็มที่ให้เสียงเป็นธรรมชาติและมีความเป็นดนตรีสูง สามารถสะกดผมให้อยู่กับที่ไม่ยอมทำอะไรอย่างอื่นและนำแผ่นเสียงออกมาฟังได้เรื่อย ๆ สมกับที่เป็นหัวเข็มที่ถูกกล่าวขวัญถึงทั้งใต้ดินและบนดิน สรุปว่าชอบและไม่ผิดหวังครับ

ยินดีด้วยกับเฮียปีศาจฯ ที่สมหวังกับ Shelter 501 Mk II แฮะ