ใกล้ถึง "วันแม่แห่งชาติ" อีกคำรบหนึ่งแล้ว ผมคิดถึงคุณแม่ซึ่งอยู่บ้านน้องสาวขึ้นมาตะหงิด ๆ เห็นทีจะต้องไปเยี่ยมท่านบ้าง แม่บอกลูก ๆ คือผมและน้อง ๆ อยู่เสมอว่า "ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็ยังเห็นพวกแกเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ" ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าลูก ๆ จะอายุมากแค่ไหน ก็ยังเป็นเด็กในสายตาของแม่อยู่ดี ความพิเศษของแม่ของผมคือ สมองดีและความจำแม่นมาก แม้อวัยวะส่วนอื่น ๆ จะอ่อนเปลี้ยไปตามวัย ท่านจำได้เสมอว่า ลูกแต่ละคนเป็นหนี้หรือเคยเอาเงินของท่านไปเท่าไหร่ (ฮา

) แต่ท่านก็ไม่เคยจะทวงถามหรือเรียกหนี้คืนจากลูก ๆ เลย... นี่ล่ะ คุณแม่คนดีที่หนึ่งของผม
ไหน ๆ พูดถึงคุณแม่แล้ว ขอเล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็กของผมสักนิดดีกว่า ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี เอาเป็นว่าผมเกิดในยุค sixties หรือในช่วงปี 1960s พ่อแม่เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาหากินอยู่ในกรุงเทพเหมือนคนต่างจังหวัดทั่ว ๆ ไป พ่อทำงานรับใช้รัฐบาลต่างประเทศ มีเจ้านายเป็นฝรั่งหรือชาวต่างชาติ จึงได้มีบ้านพักอาศัยสำหรับคนงานอยู่ในอาณาบริเวณบ้านของ "นายฝรั่ง" เพื่อจะได้คอยรับใช้หรือทำงานให้เจ้านายได้สะดวก บ้านนายฝรั่งตั้งอยู่บนถนนสาทร ซึ่งถนนสาทรในยุคนั้นไม่เหมือนยุคปัจจุบัน เพราะยังเป็นถนนราดยางมะตอยหรือแอสฟัลต์ทั้งสาทรเหนือและสาทรใต้ และคลองสาทรซึ่งคั่นระหว่างถนนสาทรเหนือกับสาทรใต้ยังมีฟุตปาธให้คนเดินและมีบันไดทำไว้ให้ลงไปลอยกระทงได้ด้วย ผมจำได้ว่าแม่เคยพาผมไปลอยกระทงที่คลองสาทรในคืนวันลอยกระทง ซึ่งค่ำคืนวันนั้นสว่างไสวและสนุกครึกครื้นมาก บ้านนายฝรั่งมีรั้วรอบขอบชิดและมีอาณาบริเวณกว้างขวาง สงบร่มรื่น และมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด มียามทั้งไทยและแขกรักษาความปลอดภัยที่ประตูใหญ่ด้านหน้าตลอด 24 ชั่วโมง สนามหญ้าหลังตึกที่นายฝรั่งพักอยู่นั้นกว้างขวางมาก เวลาที่คนงานตัดหญ้าสั้นเตียนแล้วน่าวิ่งเล่น ผมกับน้อง ๆ และเพื่อน ๆ ซึ่งเป็นลูกคนงานเพื่อนของพ่อชอบไปวิ่งเล่นและหรือเล่นว่าวในช่วงหน้าร้อนซึ่งเป็นเวลาที่นายฝรั่งไม่อยู่หรือกลับไปบ้านต่างประเทศเป็นเวลานาน รอบที่ดินบ้านนายฝรั่งถูกล้อมรอบด้วยคลองซึ่งน้ำไม่ค่อยสะอาดนัก แต่ก็มีปลาให้จับมากินได้และสามารถลงไปว่ายเล่นได้อยู่ (ผมกับเพื่อน ๆ นี่แหละครับที่ชอบลงไปว่ายเล่นกัน) และพ่อของผมก็จับปลาหรือวางเบ็ดวางตาข่ายดักมาทำกับข้าวได้บ่อย ๆ
ด้านหนึ่งของแปลงที่ดินบ้านนายฝรั่งอยู่ติดโรงงานผลิตแผ่นเสียงและห้องบันทึกเสียงของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งในยุคนั้น (ทุกวันนี้บริษัทดังกล่าวก็ยังอยู่ แต่หันไปทำธุรกิจอย่างอื่น) และตอนนั้นยังไม่ได้สร้างรั้วปิดกั้นระหว่างที่ดินสองผืนอย่างถาวร ผมจึงมีโอกาสได้ข้ามไปวิ่งเล่นกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่บ้านพักคนงานของบริษัทผลิตแผ่นเสียงที่ว่านี้อยู่บ่อย ๆ เพื่อนของผมคนนี้มักจะเก็บแผ่นเสียงที่เหลือทิ้งจากการผลิตมาให้ผม หรือบางทีก็เอาม้วนเทปรีลขนาด 7 นิ้วมาให้หลายม้วน ผมจึงสงสัยว่าความชอบและฝักใฝ่ในสื่อฟังเพลงแบบอนาล็อกได้เริ่มต้นจากจุดนี้, จากเพื่อนในวัยเด็กคนนี้ของผมหรือเปล่า, เหมือนถูกปลูกฝังโดยไม่รู้ตัว เพราะตั้งแต่นั้นมาผมก็ชอบแผ่นเสียงทั้งที่ยังไม่มีเครื่องเล่น ขอให้ได้เห็นและรูปคลำไว้ก่อนก็มีความสุขแล้ว เดี๋ยวจะมาเล่าต่อครับ